พิมพ์หน้านี้ - The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: บีบีจัง ที่ 10-05-2011 17:21:56

หัวข้อ: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 10-05-2011 17:21:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
หัวข้อ: สารบัญเจ้าค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 10-05-2011 17:23:15
สารบัญ
ช่องว่างหมายเลข 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1459250#msg1459250)
ช่องว่างหมายเลข 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1461035#msg1461035)
ช่องว่างหมายเลข 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1462921#msg1462921)
ช่องว่างหมายเลข 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1470648#msg1470648)
ช่องว่างหมายเลข 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1471837#msg1471837)
ช่องว่างหมายเลข 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1473913#msg1473913)
ช่องว่างหมายเลข 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1475589#msg1475589)
ช่องว่างหมายเลข 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1476593#msg1476593)
ช่องว่างหมายเลข 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1480552#msg1480552)
ช่องว่างหมายเลข 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1483914#msg1483914)
ช่องว่างหมายเลข 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1486902#msg1486902)
ช่องว่างหมายเลข 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1488470#msg1488470)
ช่องว่างหมายเลข 13 Part I (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1493442#msg1493442)
ช่องว่างหมายเลข 13 Part II (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1493750#msg1493750)
ช่องว่างหมายเลข 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1495494#msg1495494)
ช่องว่างหมายเลข 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1497294#msg1497294)
ช่องว่างหมายเลข 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1505782#msg1505782)
ช่องว่างหมายเลข 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1508194#msg1508194)
ช่องว่างหมายเลข 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1510964#msg1510964)
ช่องว่างหมายเลข 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1515174#msg1515174)
ช่องว่างหมายเลข 20 Part I (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1516483#msg1516483)
ช่องว่างหมายเลข 20 Part II (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1520199#msg1520199)
ช่องว่างหมายเลข 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1534183#msg1534183)
ช่องว่างหมายเลข 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1538773#msg1538773)
ช่องว่างหมายเลข 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1577032#msg1577032)
ช่องว่างหมายเลข 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1580289#msg1580289)
ช่องว่างหมายเลข 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1589817#msg1589817)
ช่องว่างหมายเลข 26 [The End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1615024#msg1615024)
ช่องว่างตอนพิเศษ[The End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1616308#msg1616308)


ผลงานเรื่องอื่นๆนะคะ
[เรื่องสั้น] Your Better Half (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16108.0)
[เรื่องสั้น]Bitter Sweet รักนี้หวานปนขม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19935.0)
[เรื่องยาว]:: เมื่อหนุ่มซึนมาหลงรัก :: (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20286.0)
[เรื่องสั้น]หนึ่งเดียวคนนี้ที่แตกต่าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=23888.msg1404556#msg1404556)
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 1
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 10-05-2011 17:29:23


บรรยากาศภายในร้านหนังสือเช่ามีเพียงเสียงเพลงสากลจากลำโพงที่ถูกเลือกสรรมาให้มีท่วงทำนองเหมาะสมกับร้านที่ต้องการความเงียบสงบเป็นหลัก ในเวลาที่ดึกสงัดแบบนี้ในร้านมีเพียงเจ้าของร้านที่ยังหนุ่มแน่นและผมเท่านั้น..

“ฟี่ พี่ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ” ผมพยักหน้ารับให้พี่แก๊บที่เดินเข้าไปข้างในห้องพักพนักงาน เวลาดึกๆใกล้จะปิดร้านแบบนี้มักจะเป็นช่วงเวลาปลดปล่อยของพี่แก๊บเสมอ

“สวัสดีครับ ให้ช่วยอะไรไหมครับ” เสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งดังทำลายความเงียบในร้าน ผมหันไปยิ้มทักทายกับลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามาตามหน้าที่ของพนักงานที่ดี

“วันนี้ XYXY เล่มใหม่ออกหรือยังครับ”
 โอ มาย ก็อด ผมนิ่งอึ้งไปห้าวิเมื่อเห็นหน้าคุณลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ไอ้ที่เคยอ่านการ์ตูนสาวน้อยแล้วนางเอกเล่าว่าเห็นพระเอกครั้งแรกก็เกิดรักแรกพบนั้นผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอยู่จริง จนผมได้พบกับเขาคนนี้...
“ออกแล้วครับ แต่ว่ามีคนยืมไปก่อนหน้านี้พักเดียวเอง” ผมเป็นพนักงานมืออาชีพ หน้าที่ต้องมาก่อน เรื่องตะลึงเอาไว้ทีหลัง
“ว้า...ขอบคุณมากนะครับ” คุณลูกค้าที่ดึงดูดสายตาผมได้ตั้งแต่แรกพบยิ้มแบบเสียดายๆแล้วเดินออกไป ผมชะเง้อมองตามเขาจนเหลียวหลัง เฮ้อ...หวังว่าผมคงไม่ได้เผลอมองเขาแบบโจ่งแจ้งเกินไปหรอกนะ

 ผมรวบกองหนังสือที่ลูกค้าเอามาคืนจากหลังเคาเตอร์ไว้ในอ้อมแขน หนังสือออกใหม่ หนังสือเก่าแล้ว แม็กกาซีน การ์ตูน นวนิยาย วรรณกรรม ผมเรียงหนังสือทุกอย่างแยกตามชั้นให้เป็นหมวดหมู่ การยอมเสียเวลาจัดหนังสือขึ้นชั้นก็เพื่อที่เวลาลูกค้าจะได้หาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายๆ และผมเองก็จะสะดวกเวลาที่ช่วยลูกค้าหาหนังสือที่ต้องการ

ผมสำรวจความเรียบร้อยของชั้นหนังสืออีกรอบก่อนจะเดินไปหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดร้าน อีกสิบนาทีจะได้เวลาปิดร้านแล้ว ลูกค้าคนนั้นก็เดินออกจากร้านไปเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ผมก็ยังไม่ลืมใบหน้าของเขา ทำไมผมถึงต้องครุ่นคิดถึงคนที่เราไม่รู้จักสักนิดด้วยนะ...

อีกห้านาทีจะถึงเวลาปิดร้าน พี่แก๊บยังไม่ออกมาจากห้องน้ำเลย สงสัยกำลังเพลิดเพลิน ลูกค้าก็ไม่มีแล้ว ผมจึงเดินไปล็อกประตูร้านและดึงประตูเหล็กปิดร้าน จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ ผมหลับตาแล้วก็นึกถึงลูกค้าคนนั้นอีกรอบ และผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมผมถึงยึดติดกับคนๆนั้นขนาดนี้ ครั้งแรกที่ผมแอบอึ้งเมื่อเห็นหน้าใครสักคน ครั้งแรกที่ผมแอบกลั้นหายใจเฮือกหนึ่งเพราะเห็นหน้าเขา...
‘ผมอยากเจอเขาอีกครั้ง’


/ฟี่ อาจารย์สั่งงานชิ้นใหม่ แกต้องเข้ามหาลัยมาฟังรายละเอียดนะเฟ้ย/ เสียงแป๋นแหลนดังมาตามสายทันทีที่ผมกดรับโทรศัพท์ ผมขยี้ตาเพื่อให้หายงัวเงียและคว้านาฬิกาปลุกหัวเตียงมาดูเวลา
“เราไม่ได้เข้าเรียนอีกแล้วเหรอจูน” นาฬิกาบอกเวลาเที่ยง ชัดเลย ผมหลับเพลินจนไม่ได้ไปเรียนอีกแล้ว
/ก็เออสิ ดีนะว่าอาจารย์แกไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเรียน ขอแค่มีงานมาส่งก็พอ ว่าแต่แกไหวรึเปล่าเนี่ย/
“อื้อ เดี๋ยวเราเข้าไปมหาลัยตอนนี้เลย ขออาบน้ำแป๊บหนึ่ง”
/อะเคร พวกชั้นจะรอที่เดิมนะยะ/ ผมวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นนั่ง ผ้านวมผืนโปรดของผมหล่นไปกองที่พื้นอีกละ มิน่าว่าทำไมเมื่อคืนหนาวๆ

น้ำเย็นๆจากฝักบัวช่วยให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมามาก บวกกับกลิ่นหอมสดชื่นของสบู่ยิ่งทำให้ประสาทรับรู้ผมตื่นตัว ผมรีบอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อที่จะได้ไปคุยเรื่องงานกับเพื่อนๆ เสร็จสรรพก็คว้ากุญแจห้องและกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ออกมา

*ไอ้ฟี่ ขอบใจมาก นาฬิกามึงปลุกกูตื่นอีกแล้วนะ สลัด...*

กระดาษเอสี่เขียนด้วยปากกาเมจิคสีสันละลานตาที่แปะไว้หน้าประตูห้องผมเรียกรอยยิ้มจากผมได้อีกแล้ว แน่นอนว่าเป็นฝีมือของไอ้คิงชัวร์ ก็มันหลายครั้งแล้วนี่นะ ที่เสียงนาฬิกาปลุกจากห้องผมจะเสียงดังทะลุทะลวงไปถึงห้องมันเสมอ พอมานึกแล้วก็หงุดหงิด ทำไมผมถึงเป็นพวกที่ตื่นเช้ากับชาวบ้านเขาไม่ค่อยได้นะ ทั้งที่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ยินทุกที แถมยังพาลทำให้ชาวบ้านเขารำคาญอีกต่างหาก


“ฟี่ ทางนี้ย่ะ!” เสียงตะโกนที่มีเจ้าของเสียงคนเดียวกับที่โทรมาปลุกผมเรียกให้ผมหันไปมองหลังจากที่ยืนรีรออยู่นาน ผมเดินไปหากลุ่มเพื่อนของผม กลุ่มเพื่อนที่คอยช่วยเหลือดูแลผมมาตลอด...
“ตามึงโหลมากเลยว่ะ” ทัชยื่นมือมาจิ้มๆที่หน้าผม ไม่รู้ทำไมมันถึงต้องทำท่าเหมือนจิ้มขี้ ผมเลยหมั่นไส้ปัดมือมันให้ออกไปห่างๆ และนั่งลงโดยไม่สนใจมัน
“ไหนอะงาน” อย่าพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา เริ่มทำงานกันเลยดีกว่า
“เที่ยวนี้แกให้ออกแบบโชว์รูมว่ะ เป็นโชว์รูมของสินค้าแบรนด์เนมในห้างพาราXXX คอนเซ็ปต์ของโชว์รูมคือสายฝนและความเหงา” จูนเปิดสมุดจดงานแล้วเล่ารายละเอียดคร่าวๆให้ผมฟัง ผมพยักหน้ารับพลางนึกขำในใจ อะไรจะได้คอนเซ็ปต์ที่เหมาะกับตัวผมขนาดนี้นะ... ความเหงา...
“แล้วกำหนดส่งล่ะ”
“อาทิตย์หน้า กูกะว่าถ้าออกแบบได้แล้วกูจะไปหาซื้อวัสดุกับไอ้เม้งเอง” ทัชพูดเป็นงานเป็นการแล้วหันไปพยักหน้ากับเม้งที่นั่งดูดน้ำอัดลมในกระป๋องเงียบๆคนเดียว
“อืม... งั้นเราลองมาคิดคอนเซ็ปต์กันเลยดีกว่า...” ผมหยิบสมุดร่างแบบและดินสอกดออกมาเตรียมพร้อม

หลังจากทุ่มเถียงและหารือกันจนเย็นก็ได้ข้อสรุป จูน ทัชและเม้งจะไปซื้อวัสดุมาเตรียมพร้อมในการทำงานกันวันพรุ่งนี้ ส่วนผมเองพอทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จก็ขอแยกตัวออกมา
“ขอบใจนะฟี่ ถ้าไม่มีแกก็ไม่รู้ว่างานจะเดินหรือเปล่า ความคิดแกนี่เริ่ดไม่เข้ากับท่าทางอมทุกข์เลยว่ะ” ผมขมวดคิ้วกับคำชมของจูน แต่มันก็รีบชิ่งไปขึ้นรถทัชทันที
‘จูนหาว่าผมเป็นคนมืดมนใช่ไหม?’

“ท๊อฟฟี่~” เสียงหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างนุ่มนิ่มที๋โถมเข้ามาหาผมทั้งตัวคือสิ่งที่ผมมักจะเจอเสมอหากต้องเข้ากะที่ทำงานพิเศษตรงกับเธอคนนี้
“เชอรี่ วันนี้มาไวจัง” ผมยกสองแขนขึ้นโอบรอบหญิงสาว วันนี้เชอรี่ก็ยังน่ารักมากเช่นเดิม ผิวขาวเนียนละเอียดแต่งแต้มลิปสติกสีชมพูอ่อนกับผมสีอ่อนเป็นประกาย กลิ่นหอมจากร่างเล็กๆนั้นทำให้เชอรี่ช่างดูสดใสแตกต่างกับผมเหลือเกิน...
“วันนี้ตื่นไวน่ะ เลยรีบมานั่งเล่นที่ร้านดีกว่า จะได้มาเมาท์กับฟี่ด้วย” ผมมองเชอรี่พูดเจื้อยแจ้วแล้วก็ยิ้มตาม ผมเคยคิดอยู่อย่างหนึ่ง ว่าถ้าหากผมเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง เชอรี่คงเป็นธารน้ำที่เย็นสดชื่นก็ว่าได้
“ฟี่ดูตาโหลๆนะ จะไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเอื้อมมือมาแตะแก้มผมเบาๆ ผมอมยิ้มและส่ายหน้าให้เชอรี่
“ฟี่ไม่เป็นไร ปรกติก็นอนน้อยเป็นปรกติอยู่แล้วนะ”
“เชอรี่จะไปซื้อกาแฟพอดี ฟี่อยากได้ด้วยหรือเปล่า?” ผมนิ่งคิดแป๊บหนึ่งแล้วก็ตอบไป จังหวะนี้ต้องสิ่งนี้เท่านั้น
“ขอเป็นเอ็มร้อยห้าสิบดีกว่านะ”


“ทั้งหมดห้าเล่มนะครับ ขอบคุณมากครับ” ลูกค้ารายสุดท้ายของคืนนี้เดินออกไปจากร้านแล้ว ผมมองตามไปแล้วถอนหายใจครั้งที่ห้าสิบล้าน (เวอร์ไปไหม?)
“ฟี่เป็นอะไรเหรอ รอใครอยู่หรือเปล่า” เชอรี่ผู้น่ารักคนเดิมถามผมขึ้นมาทันที เธอคงจะเอะใจแหละครับที่เห็นผมทำท่าเหมือนมองหาใครบางคนอยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานแล้ว
“ไม่ได้รอหรอก ฟี่ขอไปหาการ์ตูนอ่านก่อนนะ” ผมบอกปัดไป ก็ผมไม่ได้รอนี่นา มันจะใช้คำว่ารอได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน   
ผมเดินขึ้นไปชั้นสองของร้านที่เป็นชั้นสำหรับหนังสือการ์ตูนโดยเฉพาะ ผมเดินเลือกการ์ตูนเรื่องที่เกี่ยวกับสายฝนแล้วก็เศร้าๆเพื่อจะเอามาช่วยบิลท์อารมณ์เวลาทำงานที่อจ.สั่ง ผมเชื่อว่าการอ่านหนังสือมันช่วยจุดประกายความคิดใหม่ๆให้เราได้เสมอแหละนะ
“ท๊อฟฟี่! พี่แก๊บโทรมาแหละ” เสียงเชอรี่ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมเลยคว้าการ์ตูนเรื่องที่หาได้แล้วเดินลงไป โทรศัพท์ในร้านถูกยื่นมาตรงหน้าผมทันที
‘พี่แก๊บเสียงหงุดหงิดมากเลย’ เชอรี่ทำปากพะงาบๆให้ผมอ่านจับใจความได้อย่างนั้น มันอะไรกันนะเรื่องที่ทำให้พี่แก๊บหงุดหงิดได้
“สวัสดีครับพี่แก๊บ”
/ฟี่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าวันนี้/ น้ำเสียงปั้นยากของพี่แก๊บทำให้ผมขมวดคิ้วทันที
“ทำไมเหรอครับ ก็ไม่มีอะไรนี่นา” ผมนึกถึงช่วงตั้งแต่ที่ผมเริ่มงานมา มันก็ไม่มีอะไรผิดปรกตินี่นะ
/คือว่านะฟี่ เมื่อกี้มีลูกค้าโทรมาแจ้งกับพี่ ว่าพนักงานผู้ชายคนที่หน้าหวานๆน่ะ ไปชักสีหน้าไม่พอใจใส่เขา/ ผมนิ่วหน้ามากกว่าเดิมเมื่อได้ฟังที่พี่แก๊บพูด พนักงานผู้ชายที่หน้าหวานๆ ก็มีแต่ผมคนเดียว ส่วนคนอื่นนั้นเขาก็ออกแนวหล่อเท่กันทั้งนั้น ว่าแต่ผมไปทำอะไรให้ลูกค้าไม่พอใจ(วะ)?
/แล้วฟี่ได้ทำหน้าไม่ดีใส่ลูกค้าไปหรือเปล่า/
“ผู้ชายหรือผู้หญิงครับ ผมจำไม่ได้เลย”
/อืม...เป็นผู้ชายนะ ช่วงหัวค่ำน่ะ/ บิงโก! พอพี่แก๊บระบุมาแบบนั้นผมก็นึกออกทันที
“ผมจำได้แล้วครับ ไอ้หมอนั่นมันมายืมหนังสือ แล้วทีนี้พอผมเช็คดูในประวัติการยืม ก็เห็นว่าเขามีเล่มเก่าที่ยืมค้างไว้แล้วไม่เอามาคืนเป็นสัปดาห์แล้ว ผมเลยไม่ให้ยืม เขาก็หงุดหงิดพูดไม่ดีใส่ผม”
/อ่า...พี่นึกแล้วว่ามันต้องมีเหตุผล แต่ฟี่ก็ไม่น่าไปชักสีหน้าใส่เขานะ ยังไงเขาก็เป็นลูกค้า/ 
“ครับ ผมก็ต้องขอโทษพี่ด้วย วันนี้ผมคงอารมณ์ร้อนไปหน่อย” ผมยอมรับกับสิ่งที่ผมทำพลาด เป็นเพราะคนๆนั้นแท้ๆเลยทำให้ผมงุ่นง่านแบบนี้
/ฮิฮิ ไม่เป็นไรหรอก นานๆทีเห็นฟี่แสดงอารมณ์ออกมาบ้างก็ดีนะ/  น้ำเสียงระรื่นของพี่แก๊บทำให้ผมรีบตัดการสนทนา ก่อนที่เขาจะเริ่มจีบผมอีกรอบ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ จะปิดร้านแล้ว” ผมส่งโทรสัพท์คืนให้เชอรี่ที่ทำสีหน้าเป็นห่วงผมอยู่ข้างๆ
“ทำไมฟี่ไม่บอกพี่แก๊บไปละ ว่าไอ้เวรนั่นมันตื๊อขอเบอร์ฟี่จนรบกวนลูกค้าคนอื่น”
“ช่างมันเถอะเชอรี่ ยังไงเขาก็เป็นลูกค้า” ผมตัดบทแล้วก็เดินไปปิดร้านโดยไม่สนใจกับสายตาเคืองๆจากเชอรี่
“ฟี่ก็แบบนี้ทุกที ใครผิดก็ต้องว่ากันตามนั้นสิ จะไปยอมทำใม”
“เชอรี่โกรธแทนฟี่ก็พอแล้วละ” ผมยิ้มบางๆให้หญิงสาวผู้น่ารัก คนที่ดีกับผมเสมอ เพื่อนอีกคนที่แสนสำคัญของผม...
“แหม ทำมาพูดดี เชอะ” เชอรี่คงเขินจนไม่รู้จะว่ายังไง เธอเลยสะบัดหน้าหนีผมแล้วเดินฟึดฟัดไปทำความสะอาดร้านทันที

ผมไขกุญแจห้องยังไม่ทันจะสำเร็จก็มีมือๆหนึ่งมาแตะที่บ่า พอผมหันไปมองก็พบกับใบหน้าคมเข้มและรอยยิ้มอำมหิต
“ถ้าพรุ่งนี้ไอ้นาฬิกาปลุกของมึงมันยังเอื้อเฟื้อส่งเสียงมาปลุกกูอีก กูจะปล้ำมึงทำเมียซะ ไอ้ฟี่...” ผมยิ้มให้กับคนที่ขู่ผมด้วยประโยคเดิมๆมาเกือบสองปี ไอ้คิงมันเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายมากครับ
“ยิ้มตลอดอะมึง หวังให้กูใจอ่อนละสิ” ไอ้คิงมันหยิกแก้มผมเบาๆ ใช่ครับ มันหยิกแก้มผม มันบอกว่าผมผิวเนียน แก้มนุ่ม หยิกแล้วมันส์มือดี
“กินข้าวยัง?” ผมถามกลับ ไอ้ยักษ์หน้าเข้มมันรีบกระดิกหางดิ๊กๆทันที
“เข้ามา” ผมไขประตูและเปิดให้มันตามเข้ามา ในตู้เย็นของผมมักจะมีของสดที่พร้อมปรุงอาหารแช่แข็งไว้เสมอ
“นี่ก็ดึกแล้ว เอาอะไรง่ายๆแล้วกันนะ” ผมคว้าวัตถุดิบสามสี่อย่างออกมาจากตู้เย็นแล้วเริ่มเตรียมอาหาร ผมอาข้าวสวยแช่แข็งใส่ชามกระเบื้องตามด้วยหมูสันในหั่นเป็นชิ้นๆ ตามด้วยไข่ไก่ใบโตตอกลงไปด้านบน ผมหันไปซอยหอมหัวใหญ่กับต้นหอมมาโรยหน้าและราดซอสเทอริยากิปิดท้ายก่อนจะเอาชามนั้นเข้าไมโครเวฟไป
“กูดูกี่รอบก็อัศจรรย์ใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าไมโครเวฟทำอะไรได้ขนาดนั้น” คิงที่นั่งมองอยู่บนโซฟาคู่บารมีของผมทำเสียงทึ่งๆเหมือนทุกครั้งที่มันเห็นวิธีทำอาหารจานด่วนของผม
“ให้มันสุกก็กินได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ารสชาติมันไม่อุบาทว์เกินจะทนน่ะนะ” ผมตั้งเวลาทำอาหารแล้วเอากระเป๋าไปแขวนไว้ที่ตู้ เหลือบไปก้เห็นตะกร้าผ้าที่มีเสื้อผ้าใส่แล้วอยู่เกือบเต็มก็ระลึกได้ว่าพรุ่งนี้หยุดงานจะต้องซักผ้าเสียที
“มึงได้กลับบ้านมั่งเปล่า” ผมส่ายหัวแทนการตอบคำถามไอ้คิง บ้านมันกับบ้านผมอยู่ใกล้กัน บางทีผมก็จะกลับพร้อมมัน
“เสาร์นี้กูจะกลับ มึงไปพร้อมกูเปล่า”
“ไม่ได้หรอก กูติดงาน”
“มึงจะทำงานอะไรนักหนาวะ ค่าเทอมก็ไม่เสีย ค่าเช่าห้องพวกอาเขาก็โอนให้ มึงหาแค่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้พอก็ได้แล้วนี่หว่า แต่นี่มึงเล่นทำงานหาเงินยังกะว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทุกอย่างเลย” คิงเริ่มพูดเรื่องเดิมๆที่ผมฟังจากมันจนเบื่อ ก็แล้วทำไมล่ะ ผมจะอยากทำงานเยอะๆ จะได้ไม่ว่าง แล้วมันเดือดร้อนใคร แต่ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรมัน เพราะรู้ดีว่ามันแค่ไม่อยากให้ผมลำบาก
“เฮ้อ...ไม่กลับก็ไม่กลับวะ แล้วแต่มึงละกัน ข้าวกูล่ะ เสร็จยัง กูได้กลิ่นหอมๆแล้วนะเว้ย” มันเปลี่ยนเรื่องได้ไวมากครับ ผมส่ายหัวอย่างเซ็งๆกับไอ้เพื่อนวัยเด็กคนนี้แล้วเดินไปเอาชามข้าวออกมาจากไมโครเวฟ ข้าวหน้าหมูราดซอสเทอริยากิสูตรเร่งด่วนของผมออกมาดูดีไม่ใช่น้อย
“มึงไม่กินเหรอ”
“ไม่อะ กูไม่ค่อยหิว”
“ก็เพราะมึงไม่กินแบบนี้แหละ ถึงได้ตัวแค่นั้น ต้องกินเยอะๆ จะได้ตัวใหญ่แบบกูนี่” ผมหันไปมองไอ้คนที่มันนั่งโซ้ยข้าวชามโตอย่างเมาส์มันพลางนึกสะท้อนใจว่าต่อให้ผม(แดก)อย่างมัน ผมก็คงไม่มีทางตัวโตเท่ามันหรอกครับ


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ขอโทษนะคะ ถ้ามันอาจจะมืดมนไปสักนิด...  :o11:

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 10-05-2011 17:32:32
มาต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบ   :mc4:

มาลงต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 10-05-2011 17:56:26

ชอบตรงที่มีสารบัญนี้แหละ

แต่ไม่กดบวกให้ เพราะไม่ใช้ภาษาไทย  อิิอิ

เจ้สอง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 10-05-2011 18:45:33
เจิมมมมมมเรื่องใหม่
ฟี่มืดมนแต่น่าสนใจมากๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 10-05-2011 21:41:57
บวกให้จ้า
ไม่มืดมนหรอก ฟี่ดูเป็นคนน่ารักนะ
รักแท้ของฟี่ คือ หนุ่มคนนั้นใช่มั้ย รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 2
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 11-05-2011 17:16:35


‘ขอโทษนะครับพี่ตังค์ แต่ฟี่คิดว่าเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ’

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามไรผม ปรกติแล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยร้อนหรือหนาวเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นเหงื่อพวกนี้จึงไม่ได้แปลว่าผมร้อนแน่นอน แต่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเวลาที่เจอเรื่องตึงเครียด...

ใช่ครับ ผมฝันร้าย...

เวลาที่ผมหลับไปทั้งที่ยังเหนื่อยๆ ผมมักจะฝันถึงเรื่องราวแย่ๆที่ผ่านมา ตลกนะครับ แค่เหน็ดเหนื่อยกายก็พออยู่แล้ว แต่ไอ้จิตใจของผมก็ยังไม่รู้จักห้ามสมองบ้าง ปล่อยให้ผมฝันร้ายซ้ำเติมกับความเหนื่อยล้าอยู่ได้

TRrrr…. TRrrr….
 - Meng –
ผมยังไม่ทันจะหายมึนเท่าไรนัก โทรศัพท์มือถือข้างตัวก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา เม้งมันโทรมาทำไมแต่เช้า?
“ว่าไงเม้ง”
/วันนี้เรามีนัดทำงานกลุ่ม ฟี่ลืมหรือยัง/
“โอ๊ะ ลืมไปเลย แล้วนี่มากันครบหรือยัง” ผมนึกถึงที่จูนโทรมาสั่งผมไว้เมื่อวานว่าวันนี้จะเริ่มทำโครงสร้างของโชว์รูมที่บ้านเม้ง ซึ่งเป็นร้านขายส่งไม้และอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งมีพื้นที่ในการทำงานและวัสดุเหลือเฟือ
/ทัชมาแล้ว จูนกำลังมา เราคิดว่าฟี่ต้องลืมแน่ เลยโทรมาปลุกก่อน/ เม้งตอบมาเรียบๆและได้ใจความประสาเม้ง ผมเลยรีบงัดตัวเองออกจากที่นอนทันที
“โอเค งั้นเราจะไปเดี๋ยวนี้ละ ขออาบน้ำแป๊บ อ้อ ขอบใจนะเม้งที่โทรมาปลุก” คุณๆอย่าเพิ่งแปลกใจถ้าผมจะพูดเพราะกับ
เม้งต่างจากไอ้ทัช ก็เพราะว่าความเงียบและสุภาพของเม้งที่ทำให้ผมต้องพลอยพูดเพราะกับมันไปด้วย ผิดกับไอ้ทัชที่มักจะกวนประสาทจนผมทนคุยดีๆด้วยไม่ได้

TRrrr…. TRrrr….
- King –
บ๊ะ วันนี้โทรศัพท์ผมขายดีจริงๆแฮะ พอตั้งท่าจะไปอาบน้ำก็มีคนโทรมาอีกละ งวดนี้เป็นคิง ผมเลยตัดสินใจไม่รับแล้วไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวก็โทรกลับได้นี่นะ


“เฮ้ย เอามาใช้ขนาดนี้ป๊าไม่ว่าเอาเหรอ” พอไปถึงบ้านเม้งผมก็เห็นกองไม้และสีทาบ้านจำนวนมากเต็มสนามหน้าบ้านมัน สันนิษฐานได้เลยว่าเม้งมันต้องไปจิ๊กของป๊ามันมาทำงานกลุ่มอีกแล้ว ไอ้การประหยัดเงินค่าวัสดุเนี่ยผมก็ชอบนะครับ แต่ก็เกรงใจบ้านมันเหมือนกัน ถึงบ้านมันจะรวยก็เถอะ
“ไม่เป็นไรหรอก” แค่นั้นครับ เม้งตอบมาสั้นๆแล้วก็หันไปมุ่งมั่นกับการใช้เลื่อยจิ๊กซอว์เลื่อยไม้ให้ได้ตามที่ผมวาดไว้
“มึงกินข้าวมายังฟี่” ผมส่ายหัวตอบไอ้ทัชที่กำลังนั่งกินข้าวราดไข่พะโล้สามใบโดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้านที่กำลังตั้งใจเลื่อยไม้
“กินข้าวก่อนสิฟี่ เดี๋ยววันนี้แกต้องทำงานอีกเยอะ หึหึ” จูนเดินมาตรงหน้าผมแล้ววางจานข้าวสวยกับพะโล้ชามโตเอาไว้ให้ผมแล้วคุณเธอก็เดินไปเตรียมสีสำหรับลงลวดลาย ผมมองชามพะโล้ที่เต็มไปด้วยไข่ น่องห่าน เต้าหู้และเลือดห่านก้อนสี่เหลี่ยมพอดีคำ!!!!
“เม้ง!! อาม่าอยู่ไหนเนี่ย” ผมตะโกนถามเม้งที่กำลังหอบกองไม้ที่เลื่อยแล้วไปให้จูน เม้งหันมามองผมแล้วก็ชี้เข้าไปในบ้าน ผมเดินดุ่มๆเข้าไปภายในบ้านที่ผมมาเป็นประจำเวลาทำงานกลุ่ม ห้องครัวใหญ่คือเป้าหมายที่ผมตั้งใจจะเข้าไป
“อาม่าครับ ฟี่บอกแล้วว่าไม่ให้ทำแบบนี้ไง” ผมพูดเสียงอ่อนใส่หญิงสูงวัยท่าทางเปี่ยมบารมีที่ยืนอยู่หน้าเตาแก็สภายในครัว ‘อาม่า’ หันมามองผมแล้วยิ้มอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้ามากอดและบีบๆจับๆตามเนื้อตัวผม
“อาฟี่ ผอมไปตั้งเยอะเลยนะ พอไอ้เม้งมันบอกอั๊วว่าลื๊อจะมา อั๊วเลยให้เด็กไปซื้อห่านที่ลื้อชอบมาเตรียมไว้เลยนะ~” อาม่าของเม้งพูดอย่างอารมณ์ดีโดยไม่สนที่ผมหงุดหงิด อาม่าของเพื่อนที่มักจะโอ๋ผมเหมือนว่าผมเป็นหลานในไส้แกก็มิปาน พอรู้ว่าผมจะมาก็มักจะไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารที่ผมชอบโดยไม่เคยสนว่ามันจะเป็นของแพงหรือเปล่า แค่มาใช้วัสดุบ้านเม้งทำงานกลุ่มฟรีๆผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว ยังจะได้กินของดีอีก ผมนี่มันแย่จริงๆเลย
“อาม่าครับ อะไรผมก็กินได้ ไม่เห็นจะต้องซื้อเนื้อห่านมาเลย แพงจะตายไป”
“ถ้าลื้อรู้ว่ามันแพง ลื้อก็กินเยอะๆนะ มันจะได้ไม่เสียของ แล้วมื้อเย็นจะกินอะไรดีล่ะ” อาม่ายังคงไม่สนใจที่ผมพูด ผมพลาดเองแหละครับที่ไปตกหลุมรักฝีมือทำอาหารระดับเหลาของอาม่าเข้าอย่างจังจนถอนตัวไม่ขึ้น
“อ้าว อาฟี่ กินข้าวหรือยัง” อา... ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกครับ ผมหันไปยิ้มให้ป๊าของเม้งที่เดินเข้ามาในครัวอีกคนครับ
“ยังเลยครับ แวะเข้ามาคุยกับอาม่าก่อน”
“กินข้าวซะด้วย ม๊าเขาอุตส่าห์ทำพะโล้ไว้รอลื้อเลยนะ” ผมพยักหน้ารับให้ป๊า ป๊าเองก็เป็นอีกคนที่ใจดีกับผมเสมอต้นเสมอปลาย บางทีสาเหตุที่แกเอ็นดูผมอาจจะเป็นเพราะผู้หญิงในรูปที่มักจะถูกประดับไว้ทั่วบ้านก็เป็นได้...

‘นั่นเจ๊หมิง พี่สาวเราเอง’ คำตอบของเม้งที่เคยบอกกับผมตอนที่มาบ้านเม้งครั้งแรก เด็กสาววัยแรกแย้มที่สดใสยิ้มร่าเริงอยู่ในกรอบรูปทุกใบของบ้านหลังนี้ มันจะไม่มีอะไรให้ผมรู้สึกติดใจเลยถ้าเจ๊หมิงนั้นไม่ใช่คนที่มีโครงหน้าคล้ายผมขนาดนั้น!!!

คุณนึกภาพออกไหมครับ คนที่มีบรรยากาศคล้ายกัน แม้ว่าหน้าจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่พอได้เห็นหน้าคนนี้ก็จะพาลนึกถึงคนอีกคนขึ้นมาโดยอัติโนมัติ นั่นแหละครับคือความรู้สึกที่เม้งมีให้ผม
‘เจ๊เป็นน้ำท่วมปอดแล้วเสียไปตั้งแต่อายุสิบห้าแล้ว ตอนนั้นเราเพิ่งเจ็ดขวบเอง’
ถ้าตอนนี้เจ๊หมิงยังอยู่ก็คงอายุยี่สิบกว่าแล้ว เจ๊หมิงเป็นลูกสาวคนแรกของป๊า เจ๊หมิงที่แสนสดใส ร่าเริงและเป็นที่รักของคนในบ้าน แต่เจ๊หมิงกลับอายุสั้น และด่วนจากไปเสียก่อน ดอกไม้แรกแย้มที่ควรจะทำให้บ้านนี้สดใสจึงหมดสิ้นไป
‘ขอโทษนะฟี่ เราก็บอกอาม่ากับป๊าแล้วว่าฟี่ไม่ใช่ตัวแทนของเจ๊หมิง แต่ก็ไม่ฟังกันเลย’ ตอนนั้นผมยิ้มให้เม้ง และบอกกับเม้งว่าผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรถ้ามันจะเป็นแบบนี้ การที่ผมจะเป็นประโยชน์และเป็นที่พึ่งทางใจให้ใครได้มันก็ดีออกจะตาย อย่างน้อยผมจะได้รู้สึกว่าผมสมควรอยู่บนโลกใบนี้ขึ้นมาสักนิด...

“กินเสร็จแล้วเหรอฟี่” ทัชหันมาทักผม งานไม้คืบหน้าไปเยอะแล้ว โครงสร้างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
“อืม แล้วนี่มึงจะประกอบเลยมั้ย” พอเราตัดไม้ให้เป็นรูปร่างที่เราต้องการแล้วก็เอามาประกอบกันตามแบบที่ร่างไว้ จากที่ผมมองดูก็เหมือนว่าเม้งจะเลื่อยส่วนหลักๆมาเกือบครบแล้ว
“แป๊บๆ ขอกูทำกลอนประตูก่อน” ไอ้ทัชมันพูดไม่ผิดหรอกครับ มันกำลังใช้สีอะครีลิกวาดกลอนประตูที่ไม้อัดแผ่นใหญ่ ไอ้นี่มันเก่งครับ วาดของกระจุกกระจิกเก่งไม่สมกับท่าทางเถื่อนๆของมันสักนิด
“ฟี่ๆ แกว่าชั้นสลักลายตรงหน้าต่างแถมไปด้วยดีมั้ย” หญิงเหล็กคนเดียวของกลุ่มหันมาถามความเห็นผม จูนเอาผ้ามาคาดหัวไว้เหมือนพวกช่างไม้ตัวจริงไม่มีผิด ผมชะโงกหน้าไปดูส่วนของหน้าต่างที่จูนวาดลวดลายและแกะสลักเป็นรูปเถาไม้พันไปมา
“เอาดิ เดี๋ยวเราช่วย” ผมก้มตัวลงนั่งข้างจูนและหยิบเอาสิ่วกับค้อนมาตอกลวดลาย

เราทำงานกันจนเริ่มมืดก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ เหลือแค่การลงลายละเอียดปลีกย่อย ผมเท้าเอวมองผลงานด้วยความภูมิใจ นับว่าคุ้มค่าที่เราลงแรงไปจริงๆ
“โห พอประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่างแบบนี้แล้วมันตรงกับคอนเซ็ปต์ของอจ.เป็นบ้าเลยว่ะ” ผมก็คิดเหมือนที่จูนพูดครับ
 ธีมของโชว์รูมนี้คือความเหงาและสายฝน ผมจึงเลือกออกแบบโดยใช้ฉากเป็นกำแพงมีหน้าต่างและประตู โดยประตูนั้นเปิดแง้มออกมานิดหนึ่ง และด้านนอกเป็นแผ่นไม้แกะเป็นรูปผู้หญิงใส่โค้ทตัวโตเดินกางร่มสีดำ มือหนึ่งหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม ส่วนตรงที่เป็นหน้าต่างก็แกะสลัดเป็นลวดลายดอกไม้ และมีชายหนุ่มหน้าเศร้ายืนมองหญิงสาวข้างนอกด้วยสายตาที่เจ็บปวด สีหลักๆที่ผมใช้คือดำ เทา ขาว และเขียวขี้ม้าครับ
“มึงนี่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูงนะฟี่ ออกแบบอะไรได้หดหู่แบบนี้” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่เถียงที่ไอ้ทัชพูดครับ เพราะบางทีมันก็ฟังดูเป็นไปได้เหมือนกัน...
“แต่เราว่าสวยดี สวยมากด้วย มันดูลงตัวกันน่ะ” อืม...ขอบใจนะเม้ง...รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง..
“แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอฟี่”
“ไม่อะจูน ขอหยุดบ้างเถอะ”
“เออ งั้นเราไปหาไรกินกันเอาปะ ชั้นอยากกินอะไรย่างๆว่ะ”
“หมูปิ้งหน้าปากซอยมั้ยจูน”
“หุบปากไปไอ้ทัช ชั้นว่าเราไปกินบุฟเฟต์เนื้อย่างกันเถอะ” พอหญิงเหล็กว่ามาเช่นนั้นพวกเราจึงเคลื่อนพลกันไปร้านเนื้อย่างบุฟเฟต์เจ้าประจำแถวทองหล่อกันทันทีครับ


หลังจากที่เราส่งผลงานโชว์รูมให้อาจารย์ไปแล้วผมก็กลับมาสบายๆอีกครั้ง ชีวิตผมก็กลับมาวนเวียนอยู่กับการทำงานพิเศษและไปเรียนบ้างขาดเรียนบ้างเช่นเดิม วันนี้ผมก็มาทำงานแต่หัววัน ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับลูกค้าและงานในร้านนั้นเอง..
“ท๊อฟฟี่! ทำไมกูตามหาตัวมึงยากนักวะ” เสียงห้าวทักผมลั่นร้านจนลูกค้าคนอื่นหันมามองเป็นตาเดียวกัน ผมต้องยกนิ้วมาจุ๊ปากเพื่อให้เพื่อนสนิทของผมหรี่โวลุ่มเสียงลงหน่อย
“ไม่ต้องมาจุ๊ปาก มึงมาคุยกับกูให้รู้เรื่องเลย” ชัดแล้วครับว่าผมคงต้องแอบแว่บไปคุยกับมันก่อน ไม่งั้นมันอาละวาดร้านพังแน่
“ว่าน พี่ฝากด้วยนะ เดี๋ยวพี่มาแป๊บนึง” ผมหันไปฝากงานไว้กับน้องในร้านอีกคนที่เข้ากะคู่กัน น้องว่านยิ้มกว้างและพยักหน้าให้ผมรีบไป ดูท่าว่าคงกลัวไอ้คิงพังร้านเหมือนกัน

“อะไรของมึงวะคิง เวลางานกูนะเนี่ย” พอลากมันเข้ามาในห้องพักพนักงานได้ผมก็ชิงทำเสียงหงุดหงิดใส่มันก่อนเลยครับ ข่มไว้ก่อนดีที่สุด
“วันนั้นกูโทรไปทำไมไม่รับ แถมกูไปเคาะห้องก็ไม่เปิด” มันเขย่าไหล่ผมแล้วก็ถามรัวมาเป็นชุด พออ้าปากจะตอบมันก็ถามผมต่ออีก
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า” อา...ผมกะแล้วว่ามันต้องถามคำนี้
“ไม่เป็นไร กูสบายดี” ผมส่ายหัวและยิ้มเพื่อให้มันสบายใจ คิงมักจะมาถามผมแบบนี้เรื่อยๆตั้งแต่วันนั้น...
“ให้จริงเถอะ วันนั้นกูได้ยินเสียงปึงปังจากห้องมึงด้วย พอโทรไปก็เสือกไม่รับ กูละใจไม่ดีเลย” มันคงหมายถึงเช้าวันที่ผมไปทำงานบ้านเม้งน่ะครับ วันที่ผมฝันร้าย..
“กูแค่ตื่นมาแล้วมึนๆน่ะ เลยเดินไปเตะโต๊ะ แล้วกองหนังสือเลยหล่นลงมากระแทกพื้น” เป็นความจริงครับ วันนั้นตอนที่ผมจะไปอาบน้ำ ผมมึนหัวมากเลยเดินไม่ดูทาง
“มึงฝันถึงเรื่องนั้นใช่มั้ย ฝันอีกแล้วใช่มั้ย”
“อืม กูฝัน...” ผมหลับตาเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมฝัน เหมือนว่าแผลสดของผมถูกสะกิดขึ้นมาทีละนิด
“ไม่นึกถึงมันนะ ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป”
“อืม มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก กูไปทำงานละ” ผมไม่เสียเวลากับไอ้คิงต่อหรอกครับ ที่แว่บออกมาคุยกับมันตอนลูกค้าเต็มร้านก็เหลือทนแล้ว ป่านนี้ว่านเหนื่อยแย่เลย
“เดี๋ยวกูไปหาที่ห้องนะ” มันตะโกนบอกผมเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ว่านหันมามองผมตาใสแล้วถาม
“แฟนพี่ฟี่เหรอฮะ” เฮ้ย บ้าแล้วน้องว่าน เอาอะไรมองเนี่ย
“เพื่อนครับ เพื่อนสนิท แล้วพี่ก็ไม่ใช่เกย์ด้วยนะ” มือหนึ่งผมก็สแกนยืมหนังสือให้ลูกค้า ปากก็พูดไปด้วย แต่ดูท่าลูกค้าร้านนี้จะเป็นสาววายเยอะไปหน่อย พวกเธอเลยหันมาสนใจบทสนทนาของพวกผมกันเป็นแถว
“แหม พี่ว่าแบบน้องท๊อฟฟี่เนี่ยน่าจะมีแฟนเป็นหนุ่มหล่อมาดแมนมากกว่าสาวสวยนะคะ หน้าตาน่ารักขนาดนี้” ขอบคุณครับพี่บีมลูกค้าผู้น่ารักของผม ผมยิ้มให้พี่บีมแล้วรีบหยิบหนังสือใส่ถุงผ้าส่งให้แกอย่างรวดเร็ว
“ผมก็ชอบทั้งสองแบบแหละครับพี่บีม ของสวยๆงามๆใครบ้างละจะไม่ชอบ” ผมยิ้มกริ่มให้พี่บีมแล้วหอบกองหนังสือการ์ตูนสองตั้งใหญ่ๆขึ้นไปเก็บบนชั้นสอง ถ้ามองไม่ผิดผมเห็นพี่บีมหันไปกรี๊ดกร๊าดกับเพื่อนๆแวบหนึ่งนะ

หลังจากที่ไอ้คิงกลับไปแล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยมีสมาธิเลย ใจผมหมกมุ่นคิดแต่เรื่องที่ผมฝันตลอด ผมไม่ค่อยฝันถึงเรื่องนั้นบ่อยนัก
งานตรงหน้าทำให้ผมต้องหยุดคิดเรื่องของตัวเองและหันมาตั้งใจทำงาน พี่แก๊บฝากให้ผมดูแลร้าน ซึ่งผมต้องทำให้ดี วันนี้ผมต้องทำบัญชีปิดร้านเลยให้ว่านกลับไปก่อน เพราะว่าบ้านน้องอยู่ไกล
“งั้นผมกลับก่อนนะ พี่ฟี่ก็กลับดีๆละครับ” น้องมันสั่งเสียผมเหมือนเห็นผมเป็นเด็กงั้นแหละ พอมันพูดจบก็เดินออกไปแล้วกด
ล็อกประตูให้ผมเสร็จสรรพ
สำหรับคนที่เรียนเอกดีไซน์นั้นคงไม่เหมาะกับการทำบัญชีรายรับ-จ่ายแน่นอน แต่ว่าพี่แก๊บนั้นก็รั้นจะสอนให้ผมทำงานนี้จนได้ แถมผมเองก็ยังทำได้คล่องเสียอีก ทำให้พี่แก๊บมีเวลาอู้งานมากขึ้น สำหรับร้านหนังสือการ์ตูนเช่านั้นมันไม่ได้มีแต่เรื่องรายรับค่าเช่า แต่มันยังมีรายจ่ายที่ใช้ในการซื้อหนังสือเข้าร้าน รายรับจากการสมัครสมาชิก ฯลฯ ซึ่งทำให้การทำบัญชีเวลาปิดร้านทุกวันเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากเรื่องบัญชีแล้วเราก็ยังต้องมีการอัพเดทหนังสือเช่าทุกวัน วันนี้มีการ์ตูนหรือแมกกาซีนอะไรออกใหม่บ้าง  นอกจากจะต้องคอยอัพเดทหนังสือที่ออกใหม่แล้วยังต้องคอยหาหนังสือที่ดีๆและน่าอ่านมาให้ลูกค้าเช่าด้วย

พอมาคิดๆดู ร้านหนังสือเช่านี่แหละที่เหมาะกับผมมาก เพราะว่ามันมีเรื่องหยุมหยิมปลีกย่อยมากมายพอให้ผมวุ่นวายจนหยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่านไปได้ การที่ผมทำงานที่นี่ช่วยเยียวยาผมจากเรื่องนั้นได้ดีเหลือเกิน...

ผมทำบัญชีเสร็จแล้วและกำลังล็อกร้าน ผมเดินไปหลังร้านที่มอเตอร์ไซค์ผมจอดอยู่ น้องหนูฟิโอเร่คันงามยังจอดเด่นเป็นสง่าเหมือนเดิม ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับห้องพักไปอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะรู้ดีว่าไอ้คิงจะมาหาที่ห้อง
ผมเกลียดเวลาที่มันมาสะกิดแผลของผม ผมเกลียดที่มันชอบมาเป็นห่วงผมเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมไม่ชอบ ผมคิดว่ามันทำเป็นไม่สนใจจะดีกว่า เพราะทุกครั้งที่มันมาถามไถ่ผม มันจะเป็นเหมือนการที่เอาเกลือมาราดแผลสด ผมเจ็บแปล๊บทุกครั้งที่มันทำ
สีหน้าห่วงใย มันชอบพูดว่าเมื่อไรผมจะลืม เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่จะให้ผมทำยังไง จะให้ผมใช้เวลาแค่ปีเดียวในการลืมคนที่ผมแสนผูกพันเนี่ยนะ...

การที่เขาจากไป มันก็ได้ทำให้ในใจผมมีช่องว่างช่องใหญ่ขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายขอเลิกกับเขาก็เถอะ...
 

----------------------------- To Be Continue -----------------------------
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 11-05-2011 18:16:05
^
^
จิ้มผู้เขียนค่ะ ชอบนิยายแนวนี้อ่านแล้วได้อารมณ์ดีค่ะ
บรรยากาศอาจจะมัวๆแต่ไม่ถึงขั้นเป็นสีดำ เหมือนหมอกปกคลุมดี จะรออ่านนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Little_b ที่ 11-05-2011 18:21:19
รอตอน 33333  - 3333
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 11-05-2011 20:39:46
โถ ชีวิตฟี่ อย่าอมทุกข์ไปนะจ๊ะ เดี๋ยวก็ได้เจอคนที่มาทำให้ฝันดีแทนแล้ว(รึเปล่า)
รออ่านต่อจ้า
ปล...อยากกินมั่งพะโล้ห่าน >"< ที่ไหนมีขายมั่งอ่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-05-2011 21:32:02
อาจจะใช่  แต่ก็ต้องมองว่าเขาเป็นห่วงเขาถึงได้ถามไถ่



อย่ามองเขาในแง่ร้าย  เพราะคนที่มองในแง่ร้ายก็คือตัวเองนั้นละ  ที่ยังไม่ลืมเขา
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 11-05-2011 22:47:04
เรื่องมันเศร้าจัง


น่าสงสารอ่ะต้องทำงานเพื่อให้ใจไม่ว่างมาคิดมาก



แย่จังรออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 12-05-2011 00:13:53
เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านนะครับฟี่
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-05-2011 00:36:15
อัพเร็วๆนะคะ 
สารภาพเลยว่า ส่วนตัวเนี่ย ชอบนิยายโทนนี้ อึมครึมๆหม่นๆเทาๆ (ที่ไม่ใช่ดำ ดราม่ากระจาย) มากกว่าแนวหวานแหววอีกนะคะ
เพราะมันให้ความรู้สึกใกล้เคืองกับชีวิตมนุษย์เราจริงๆมากกว่าพวกนิยายใสปิ๊งอะไรอย่างงั้นอีกเนอะ
แต่หาโทนเทาๆอ่านยากอ่ะเดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น คุณบีอัพบ่อยๆ อย่าดองนะคะเรื่องนี้  :monkeysad:

กอดคุณบี  :กอด1:
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 3
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 12-05-2011 17:19:24


ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าสมองของผมวุ่นวายเหลือเกิน ตั้งแต่วันที่ผมฝันร้ายก็ดูเหมือนว่าคนในฝันนั้นตามมาหลอกหลอนผมเรื่อยๆ

เวลาที่ผมไปเรียน หรือไปทำงานมันก็ดีหน่อย เพราะมีเรื่องอื่นมาช่วยแชร์ที่ว่างในหัวผมไปใช้ ผมจะได้ไม่ต้องคิดวุ่นวายเรื่องนั้นมากมาย

แต่พอเวลาที่ผมกลับอพาร์ตเมนท์นี่สิ เวลาที่ผมไม่ได้ทำอะไร...
ไอ้ห้องของผมนี่แหละที่ทำให้ผมต้องปวดร้าวอีกครั้ง ความเงียบในห้องของคนที่อาศัยคนเดียว ผมไม่ชอบดูโทรทัศน์ และใน
ไอพอดของผมก็มีแต่เพลงช้าๆเศร้าๆที่ไม่เหมาะจะเปิดฟังในตอนนี้ ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำและเข้านอน...


“พี่ตังค์ ซื้ออะไรมาเนี่ย?” ผมมองกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าอย่างแปลกใจ รูปการ์ตูนเพนกวินบนกล่องช่วยแก้ความสงสัยของผมได้ในทันที
“เครื่องไล่ยุง? พี่จะซื้อมาทำไม ห้องก็มีมุ้งลวด” คนตรงหน้าผมยิ้มแหยๆแล้วก็ตอบเสียงเบางุ้งงิ้ง
“พี่เห็นมันน่ารักดี ก็เลยซื้อมา..”
“ฮื้อ เหตุผลแค่นั้นน่ะนะ” ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ คนๆนี้มักจะมีเหตุผลในการทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงเสมอ เรียกว่าผมไม่มีทางเข้าใจได้แน่นอนว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้น
“แหม นิดหน่อยเองฟี่”
“ไอ้นิดหน่อยของพี่น่ะ พอเอามารวมๆกันมันก็มากเหมือนกันนะ” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงคิดอะไร ทำอะไรไม่ค่อยไตร่ตรอง นึกอยากจะทำก็ทำ
“...” เงียบ พอเขาเห็นว่าผมเริ่มหงุดหงิดเขาก็จะเงียบ ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ผมหายหงุดหงิดไปเองและเขาก็จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหลังจากนั้นเรื่องเก่าๆก็จะเวียนกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมไปละ” ผมตัดสินใจคว้ากระเป๋าแล้วตั้งท่าจะเดินออกมาจากห้องเขาเพราะไม่อยากจะโมโหในตอนนี้ แต่พอผมลุกยืนเท่านั้นเขาก็คว้าแขนผมเอาไว้
“นายจะไปไหน”
“จะกลับบ้าน วันนี้วันเกิดอา เขาจะไปฉลองกัน”
“นายจะไปทำไม จะไปสนใจคนพวกนั้นทำไม คนที่เขาไม่เคยดีกับนาย นายไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับพวกเขานักหรอก” ผมนิ่วหน้าเมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วก็ถอนหายใจ
“ทำไงได้ละพี่ตังค์ ยังไงผมก็ยังเป็นหลานเขา ยังต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” 
“อืม ก็แล้วแต่ฟี่ละกัน” ผมยิ้มให้พี่ตังค์แล้วก็กอดเขาเบาๆ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมนี่นะ
“แล้วผมจะรีบกลับ”


ผมสะดุ้งตื่นอีกแล้ว เหมือนว่ามันเป็นการปลุกให้ผมตื่นโดยจิตใต้สำนึกที่ไม่ต้องการให้ผมฝันต่อ ผมลุกขึ้นมานั่งมองไปยังปลายเตียง แต่ในใจของผมกลับนึกถึงเรื่องราวไปไกลกว่านั้นเสียอีก...
เรื่องราวต่างๆผุดขึ้นมาอีกครั้งระหว่างที่ผมเริ่มพยายามจะหลับอีกครั้ง นิสัยส่วนตัวของเขา คำพูดของเขา น้ำเสียงของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขานั้นผมยังจำได้ขึ้นใจเหมือนว่าเรื่องของเรามันเพิ่งจะผ่านมาเมื่อวานเอง...

พี่ตังค์ผิวขาว พี่ตังค์เป็นหนุ่มตี๋ พี่ตังค์พูดเพราะ
พี่ตังค์เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น
พี่ตังค์เป็นคนอ่อนโยน แต่ในทางกลับกันก็อารมณ์ร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ผมจำได้แม้กระทั่งวันที่เราเลิกกัน...

‘ขอโทษนะครับพี่ตังค์ แต่ฟี่คิดว่าเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ’ 
‘นายพูดอะไรน่ะฟี่ พี่ไม่เข้าใจ พี่ทำอะไรให้นายไม่พอใจงั้นเหรอ’
‘ไม่ครับ ก็อย่างที่ผมบอก ผมมาคิดดูแล้ว เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ’
‘เราคบกันมาตั้งสามปีแล้วนะ จะไปด้วยกันไม่ได้ยังไง!’
‘แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง พี่รู้บ้างมั้ย ว่าทุกวันนี้เวลาที่ผมมองพี่ เวลาที่ผมอยู่กับพี่ ผมมองไม่เห็นอนาคตที่เราจะมีร่วมกันสักนิด’
‘นายพูดแบบนั้นได้ยังไง พี่มีอะไรดีไม่พอ นายอยากได้อะไรพี่ก็ให้’
‘มันไม่เกี่ยวกับว่าพี่ดีหรือไม่ดีนะ ผมบอกแล้วว่าเราไม่มีทางไปกันได้’
‘ไม่เอาหรอก พี่ไม่เลิก ไม่เลิกเด็ดขาด’
‘ผมขอร้องเถอะ ผมไม่มีหัวใจให้พี่อีกแล้ว อย่าให้ผมต้องเสียความรู้สึกดีๆไปมากกว่านี้เลยนะ’
‘ไม่เอา พี่ไม่เลิก ให้พี่แก้ตัวเถอะนะ นายอยากได้อะไรพี่ก็จะให้’
‘พี่ตังค์... พี่คุยไม่รู้เรื่องแล้วนะครับ..’
‘พี่ไม่อยากคุย ไม่อยากคุยแล้ว ไม่เอาแล้ว’

เหตุการณ์ที่เราสนทนากันในวันนั้นมันยังคงวนเวียนไปมาไม่จบสิ้น ผมจำได้ดีว่าพี่เขาไม่ยอมรับการตัดสินใจของผม เรายังคงดันทุรังคบกันอยู่อีกเป็นเดือนจนผมทนไม่ไหวจริงๆ โชคดีว่าช่วงนั้นผมกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ผมจึงย้ายข้าวของมาอยู่
อพาร์ทเมนต์แถวมหาวิทยาลัยแทน เรียกว่าหนีหน้าไม่เจอกันอีกเลย... และเขาเองก็ไม่ได้ออกมาตามหาผมด้วย...

แรกๆผมยังคงถามไถ่ข่าวคราวของเขาจากเพื่อนๆเขา ได้ยินมาว่าพี่ตังค์ใช้ชีวิตเหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก ไปเรียน กลับห้อง เล่นเกม กินข้าว นอนดูหนัง หลักๆก็ทำอยู่แค่นี้เท่านั้น...
ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้จากเขามาเพื่อให้ชีวิตของเขาตกต่ำลง แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือการไม่หันหลังกลับไปมอง เมื่อตัดสินใจแล้ว เลิกกันแล้วก็ไม่ควรไปใกล้ชิดเหมือนเดิม เพราะมันจะทำให้สิ่งที่ผมทำสูญเปล่าไปทันที

อีกเรื่องหนึ่งที่คนใกล้ตัวผมมักจะชอบถามกันก็คือว่า ‘ทำไมถึงเลิกกัน’ เพราะผมและพี่ตังค์คบกันมานาน และเราสองคนก็รักกันมาก มากจนใครๆก็อิจฉา ผมมีแต่พี่ตังค์ และในสายตาพี่ตังค์ก็มีแต่ผม

ผมไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้กับคนที่ถาม มันเหมือนกับว่าวันหนึ่งผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนกับจุดนี้ได้อีกแล้ว
พี่ตังค์ถามผมว่าไม่รักเขาแล้วเหรอ? คำตอบคือไม่ ผมยังรักเขา รักเต็มหัวใจและไม่ได้มีใครมาแทนที่เขา แต่ผมแค่รู้สึกว่าอะไรๆที่ผมทนมาสามปีมันเริ่มสิ้นสุดลง ผมจึงคิดว่าควรจะเลิกก่อนที่ผมจะเกลียดเขา... ขึ้นมาสักวัน...

เรื่องน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า เมื่อผมเลิกกับเขาและย้ายมาอยู่คนเดียว ผมได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องพี่ตังค์ ข้อเสียต่างๆที่ผมไม่เคยมองเห็นกลับผุดขึ้นมาเรื่อยๆ

พี่ตังค์ไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านเลยตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ
พี่ตังค์ไม่เคยโทรหาที่บ้านถ้าไม่มีธุระสำคัญ
พี่ตังค์ตัดสินใจอะไรแล้วต้องทำให้ได้ ไม่เคยสนว่าผมจะเห็นด้วยหรือไม่
พี่ตังค์อารมณ์ร้ายสุดๆ
พี่ตังค์ชอบวาดฝันบนแผ่นฟ้า แต่ไม่เคยคิดจะทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา...   

แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ตังค์มีมาก และบดบังด้านแย่ๆของเขาไปหมดก็คือความรักที่มีให้ผม ผมเองก็รักเขาจนหมดหัวใจ แต่ผมไม่รู้ว่าความรักที่เขามีให้ผมเป็นความรักจริงๆหรืออะไรกันแน่ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความผูกพันก็ได้...

ผมเองรู้สึกเจ็บปวดมากไม่แพ้พี่ตังค์ ถึงผมจะเป็นคนบอกเลิก แต่มันก็เป็นการเลิกที่ยังรู้สึกรักอยู่เต็มหัวใจ...
จะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะผมเองไม่มีเหตุผลชัดเจนที่มันฟังขึ้น ผมรู้แค่ว่าถ้ายังดันทุรังคบต่อไปมันจะต้อง้ราวฉานยิ่งไปกว่านี้แน่

ผมไม่เคยคบใครได้นานเท่าไรนัก อย่างพี่ตังค์เนี่ยก็นับว่านานสุดๆแล้ว แฟนคนก่อนหน้านี้ก็คบมาแค่ปี บางคนครึ่งปี บางคนสองเดือน บางคนอาทิตย์เดียวยังมีเลย ผมจึงไม่เคยเข้าถึงอารมณ์ของเพลงประเภท ‘หากันจนเจอ’, ‘ชีวิตคู่’, ‘คู่แท้’ ฯลฯ พอผมเริ่มเห็นว่าเราจะไปกันไม่ได้หรือมีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถทนต่อไปได้ ผมก็จะเลิกเลย แต่ทุกครั้งที่ผมเลิกกับใครก็ตาม ช่องว่างในใจผมก็ยิ่งขยายใหญ่ ยิ่งตอนเลิกกับพี่ตังค์ด้วยแล้ว มันก็เหมือนว่าจะใหญ่มากจนผมรู้สึกว่าพื้นที่ในหัวใจของผมมันจะเหลือเพียงนิดเดียวพอให้รู้สึกเจ็บปวดบ้างเป็นบางครั้ง ความสุขไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยสัมผัสมันมาแสนนานแล้ว

มันคงเป็นผลกรรมสำหรับคนอย่างผม คนที่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นไม่สมควรจะมีความสุข การอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวก็เป็นบทสรุปของชีวิตผม... ผมเคยนอนร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนเวลาที่หัวใจบีบคั้นจนถึงที่สุด น้ำตาที่ไหลออกมาจนเปียกหมอนเป็นเหมือนน้ำกรดที่รินรดลงบนหัวใจเน่าๆของผม ผมอยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่ผมก็ใจไม่ถึงพอ ผูกคอตายก็ทรมาน กรีดข้อมือก็คงเจ็บ กระโดดน้ำตายศพก็อุบาทว์ ผมเลยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายไปซะ


“ฟี่ กูบอกแล้วไง ว่าไม่ให้มึงแต่งตัวแบบนี้นอน...” ผมขยี้ตาเพราะความง่วงงุนก่อนจะพยักหน้ารับรู้กับคนตรงหน้า
“แล้วมึงใส่ทำไมวะ” ไอ้คิงถามซ้ำ มันมาทุบประตูห้องปลุกผมตอนตีสี่ เพื่อ?
“มึงไปเที่ยวมาเหรอ” ผมได้กลิ่นเหล้าจางๆจากตัวมัน สงสัยมันจะไปเที่ยวผับมาครับ
“เออ ตอบกูก่อน ทำไมแต่งตัวแบบนี้นอน” ผมก้มมองตัวเอง เสื้อแขนยาวตัวโตพอที่จะปิดได้เกือบหัวเข่า มันโป๊ตรงไหนวะ
“กูก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าเกลียดตรงไหนนี่หว่า”
“ก็เพราะว่ามึงเป็นคนใส่ไงไอ้ห่า” ไอ้คิงมันดันไหล่ผมให้เดินถอยเข้ามาในห้อง พอเราสองคนออกมาพ้นจากประตูแล้วไอ้คิงก็เดินตุปัดตุเป๋ไปที่เตียงผมแล้วล้มตัวลงนอน
“ทำไมไม่ไปนอนห้องตัวเองวะ?” ผมเกาหัวแกรกแล้วเดินมานั่งบนเตียง ไอ้คิงเริ่มส่งเสียงกรน ดูท่าว่ามันเมาเอาเรื่องเลยครับ
ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วก็หลับต่อ สรุปแล้วไอ้ที่มันมาบ่นๆเรื่องการแต่งตัวของผมก็หาสาระไม่ได้ เพราะว่ามันเมามา ดูท่าพรุ่งนี้ผมคงต้องเตรียมมื้อเช้าช่วยให้มันสร่างเมาซะแล้วละ

“โอ้ว เพื่อนกูเทพมาก” ไอ้คิงมองจานอาหารเช้าตรงหน้าแล้วเริ่มพล่าม กับอีแค่สลัดผัก ไข่ดาว ไส้กรอกและเบคอนมันจะอะไรนักหนาวะ มีเตาอบกูก็อบให้มึงกินได้ทุกอย่างละ
“แดกซะ อย่าพล่ามมาก แฮงค์มั้ยละมึง เมามาอย่างแมว” ผมเขี่ยๆสลัดผักในชามตัวเอง เช้านี้ผมไม่อยากกินอะไรมากมาย แค่สลัดก็พอแล้ว
“เออ สุดๆอะ พวกไอ้กั๊กแม่งสั่งเปิดขวดไม่รู้กี่ขวดเลย กว่ากูจะลากสังขารกลับมาได้นะ” ไอ้คิงเอาซอสมะเขือเทศราดไข่ดาวจนท่วมก่อนจะตักเข้าปากทีละครึ่งใบ ทำไมพอผมเห็นมันกินแล้วรู้สึกว่าอ้วกจะแตก(วะ)ครับ
“แดกเข้าไปเหล้าน่ะ ตับมึงจะได้แข็งแรง” ปากผมก็ด่ามัน แต่ผมก็ยังเดินไปเปิดนมมาเทใส่แก้วให้มันด้วยหวังว่าแคลเซียมจะไปช่วยเจือจางปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมัน(เกี่ยวกันไหมครับ?)
“ว่าแต่เมื่อคืน ไอ้ชุดที่มึงใส่นะ มันไม่เรียบร้อยรู้ไหม”
“หา? มึงยังไม่ลืมอีกเรอะ” ไอ้คิงมันพยักหน้าพร้อมกับ ‘ขย้อน’ ไส้กรอกลงคอไปด้วย
“มึงมันตัวเล็ก ผิวขาว พอแต่งแบบนั้นมันก็ดูน่ารักน่าปล้ำ เหี้ย กูพูดไรไปวะ...” มันบอกสาเหตุกับผมและด่าตัวเองได้ในประโยคเดียว ผมฟังแล้วก็พอเข้าใจว่ามันเป็นห่วงผม
“เดี๋ยวก่อนนะ ปัญหามันคือคนแบบมึงที่มาเคาะห้องกูตอนเกือบเช้าไม่ใช่เรอะ ถ้ามึงไม่มาเคาะ กูก็ไม่เปิดประตู และมึงก็จะไม่รู้ว่ากูแต่งตัวยังไงนอน จริงมั้ย เพราะงั้นประเด็นนี้กูไม่ผิด จบป่ะ”
“เออ จริง จบก็ได้”

คุณอาจจะคิดว่าผมกับไอ้คิงคงจะเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน เพราะความห่วงหาที่มันมีให้ผมแบบออกนอกหน้านั่นเอง ผมเองก็เป็นห่วงมันไม่น้อย ผมถึงขนาดเคยอ้างตัวเป็นแฟนมันแล้วไปวีนใส่ผู้หญิงที่มาตื๊อมันด้วย แต่ไม่ต้องคิดลึกครับ ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนจริงๆ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เล่นกัน ดูแลกัน ตีกัน ช่วยเหลือกันมาตลอด ผมเองคงไม่อุตริไปมีอารมณ์วาบหวามกับเพื่อนสนิทตัวเองหรอกครับ

ที่สำคัญไอ้คิงมันมีสาวในดวงใจอยู่แล้ว ให้ทายสิว่าเป็นใคร หึหึ ก็สาวจูนเพื่อนผมไงละครับ มันหลงรักจูนตั้งแต่แรกพบ และพร่ำเพ้อถึงร่างเล็กๆใบหน้าหวานๆเสียงห้าวๆนิสัยโหดๆทุกวันทุกเวลาหลังอาหาร แต่จูนก็ไม่เคยรับรู้ เพราะผมไม่เคยบอกจูนว่าไอ้คิงแอบชอบ เพื่อนผมมันเขินครับ ไม่เข้ากับหน้าด้านๆของมันเลยใช่มั้ยละ

“วันนี้มึงไปทำงานป่าววะ”
“ไปดิ”
“แล้วมีเรียนมั้ย”
“มี รอมึงกินเสร็จแล้วกูจะไปอาบน้ำเนี่ย”
“อ้าว รอทำไมอะ ก็ไปอาบเลยดิ เดี๋ยวกูล้างเอง” ผมส่ายหน้าครับ ไอ้คิงเคยล้างจานเอง แล้วมันก็ทำแตกทุกใบที่มันจับ ผมจึงไม่อยากให้มันแตะคอลเลกชั่นจานสุดที่รักของผมอีกเลย
“เดี๋ยวกูติดมอไซค์มึงไปพร้อมกันเลยนะ อยากเจอว่ะ..” ผมพยักหน้ารับ รู้ดีว่าคนที่ไอ้คิงอยากเจอคือใคร โดยไม่รู้ตัวผมก็ยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง
“คิดถึงเขาละสิ ทำไมไม่บอกเขาไปละว่าชอบ” เพื่อนผมมันกำลังเขินครับ เห็นแล้วก็น่าเอ็นดู
“ไม่ได้หรอก พอกูอยากจะคุยกับเขาก็รู้สึกเขินเป็นบ้าเลยว่ะ” จริงครับ พอไอ้คิงเจอจูนทีไรมันจะเก๊กเข้ม ทำนิ่งๆผิดจากนิสัยโหวกเหวกของมันสิ้นเชิง
“พยายามเข้าแล้วกันนะคิง”
“ว่าแต่มึงเถอะฟี่ เมื่อไรจะลองคบคนอื่นดูล่ะ เรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้วนะ” ทำไมจากที่คุยเรื่องของมัน ถึงกลายเป็นมาคุยเรื่องผมได้ละ
“เอาเถอะคิง กูบอกแล้ว กูแค่ขอเวลา ขอให้กูรู้สึกดีกว่านี้ มึงรู้ไหมว่าตอนนี้แค่จะยิ้มกูยังรู้สึกผิดเลย” ผมพูดออกไปตรงๆ เพราะเปล่าประโยขน์ที่จะปิดบังความรู้สึกกับไอ้คิง
“ไม่เอาดิวะฟี่ ยังไงมึงยังมีกูนะ” ไอ้คิงเดินมากอดผมไว้แน่นแล้วตบไหล่ผม ผมหลับตาซึมซับความอบอุ่นที่มันมีให้ผม
‘ก็เพราะมีมึงนี่ละคิง กูเลยยังเป็นผู้เป็นคนได้ไง...’


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.ขอโทษนะคะถ้าไม่ค่อยตอบคอมเมนท์
ปล.2 กอดทุกคนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 12-05-2011 18:47:08
^
^
^
ในที่สุดก็จิ้มทันอีกครั้งค่ะ >< ฮิ้ว~~~
ชอบมากๆ คิงก็น่ารักห่วงเพื่อนดีจัง ฟี่สู้ๆ~!  :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-05-2011 18:48:11
กอดคุณบีด้วยค่ะ  มาๆกอดกัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 12-05-2011 19:09:41
 :กอด1: :กอด1:



หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 13-05-2011 00:47:35
เศร้าจังอ่ะเพราะรักมากเลยลืมสนใจข้อเสีย


แต่น่าจะคุยกันใหม่แล้วปรับตัวกันอีกทีน่ะอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้น่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 13-05-2011 15:43:01
มาช่วยๆกันดัน  เรื่องแนวหวานอม ขมกลืน มาแบรกอารมณ์
นิยายหื่นๆ แบบว่าจบเรื่องโน้นจบ เจอเรื่องนี้เข้าไปแล้ว  :เฮ้อ:

เอาใจช่วยน้องฟี่ มีเพื่อนที่ดีนะคะ แบบว่าเพื่อไม่แอบหวังเพื่อนใช่มะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 16-05-2011 03:43:45
มาดันจ้ะ

คุณบีจะได้เข้ามาอัพ :กอด1:
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 4
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-05-2011 22:32:29

วันนี้ผมมีเซอร์ไพรส์ครับ...
ทายสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น...

/ฟี่ วันนี้มาเข้ากะตั้งแต่ตอนเย็นได้มั้ย พอดีพี่ต้องไปธุระน่ะ/ พี่แก๊บโทรมาผมหลังจากที่ผมเลิกเรียนหมาดๆ ผมยกแขนมาดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งบ่ายสอง กะเย็นคือห้าโมงเย็น ผมยังมีเวลาอีกนาน
“ได้ครับ เดี๋ยวฟี่ไปให้”
/อืม ขอบใจมากนะฟี่ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมมาฝาก/
“ขอเป็นชูครีมนะครับ”
/หงะ..ได้ซี่ เดี๋ยวพี่จะซื้อเข้าไปให้นะ/ พี่แก๊บรีบวางสายผมทันทีก่อนที่ผมจะขออะไรแพงกว่านั้น แหม ก็จะให้ผมไปทำงานล่วงเวลาแบบนี้ก็ต้องขอค่าตอบแทนหน่อยนะ ถึงแม้ผมจะได้เงินค่าโอทีด้วยก็เถอะ

“อุ๊ย ท๊อฟฟี่ มาแทนพี่แก๊บเหรอ” เชอรี่ทักผมเสียงใสทันทีที่เห็นหน้าผมเดินเข้าไปในร้าน แต่ผมยังไม่ทันได้ทักเชอรี่กลับ สายตาของผมก็ไปป๊ะเข้ากับบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจผมได้มากกว่า

‘เขาคนนั้น’ ยืนดูหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือออกใหม่ วันนี้เขาแต่งชุดนักศึกษาไม่ใช่ชุดธรรมดาเหมือนวันแรก เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ชายหลุดลุ่ยออกมาจากกางเกงสแล็ก ดูแล้วให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันพิลึก วันแรกที่เจอกันเขาใส่เสื้อยืดเรียบๆคอวีและกางเกงขาเดฟดูเซอร์ๆ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเป็นพวกอาร์ต มาวันนี้เขาแต่งชุดนักศึกษาที่ดูแล้วก็ไม่เรียบร้อยเท่าไร แต่มันก็ให้ลุคส์ต่างไปจากวันนั้นมาก

แล้วผมบอกคุณหรือยังว่าเขาหล่อ...

เขาหล่อแบบเซอร์ๆ ลองนึกถึงเรย์ แมคโดนัลด์ หรืออนันดา หรือฮิวโก้ เขาเป็นผู้ชายแนวนั้นแหละ ซึ่งแตกต่างจากคนที่ผมเคยคบซึ่งมักจะออกแนวหล่อเนี้ยบ เขาทำให้ผมรู้สึกถึงสเน่ห์ของสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในสายตาผม เขาเป็นคนที่ใส่กางเกงยีนส์เก่าๆ ขาดๆได้ดูดี และทำให้ผมรู้สึกว่าอยากใส่บ้าง เสื้อยืดธรรมดาๆเรียบๆก็ดูเป็นตัวเลือกที่ดีในการแต่งตัวขึ้นมาทันที ต่างจากพี่ตังค์ที่มักจะแต่งตัวเนี้ยบๆ กางเกงยีนส์ก็ไม่ชอบใส่เลย

พอเห็นเขา รอบกายผมก็เป็นเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว...
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งไปหมด เสียงรอบๆก็เงียบลงเหมือนปิดสวิทช์ คนอื่นรอบกายเหมือนเป็นเพียงเงารางๆที่พร่าเลือน ตัวของเขามีประกายเจิดจ้าหลอกล่อให้ผมเข้าไปใกล้ หากให้ประมาณการช่วงนั้นในหน่วยของเวลา ผมก็พอกะได้ว่ามันแค่สามวินาที แต่ทำไมเวลาสามวินาทีถึงทำให้ผมรู้สึกอะไรมากมายได้ขนาดนี้

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติ... ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองไปจากคราวนั้น เขาดูโทรมลงไปมากโข ใบหน้าที่สดใสก็ดูเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ผมเก็บอาการแล้วเดินกระเป๋าเข้าไปไว้ก่อนจะออกมาด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ผมทำงานไปพร้อมกับแอบมองเขาไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมได้แต่นึกรำพึงในใจว่าอยากจะเป็นคนที่แบ่งเบาความทุกข์ของเขามาแทนเพียงเท่านั้น

เพราะเขาไม่เหมาะกับความเศร้าเลยแม้สักนิดเดียว พอคิดแบบนั้นแล้ว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกอึ้ง เหมือนน้ำตาพาลจะไหล
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยคุยกัน และเขาก็ไม่เคยมีผมในสายตา กลับทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากมายเพื่อเขาขนาดนี้

“ฟี่ เชอรี่เห็นนะ” ผมหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องพัก ตอนนี้ผมกำลังพักกินข้าวอยู่ พี่แก๊บก็มาแล้วเลยปลีกตัวมาได้
“เห็นอะไรเหรอ?”
“สายตาที่ฟี่มองลูกค้าคนนั้นน่ะ” เชอรี่นั่งลงตรงข้ามกับผมและใช้ส้อมจิ้มหมูทอดในจานผมไปเคี้ยว
“เราเก็บอาการแล้วนะ” ผมพูดยิ้มๆ
“เชอรี่ก็ไม่ทันสังเกตหรอก แต่ตอนที่เขาเอาหนังสือมาให้ฟี่สแกนน่ะ ฟี่ยิ้มให้เขาด้วย”
“แค่ยิ้มเนี่ยนะ? แล้วมันทำไมอ่า?”
“ก็ฟี่น่ะ ยิ้มนับครั้งได้เลยนะ ถ้าไม่ใช่ลูกค้าที่สนิทกันมากๆ ฟี่ก็ไม่ยิ้มหรอก แต่กับคนนั้น ฟี่ยิ้มให้เขาด้วย” ผมละอึ้งกับ
เรดาห์ของผู้หญิงจริงๆ นี่ใช่ที่เขาเรียกว่าสัญชาติญาณของเพศแม่หรือเปล่าครับ
“อืม เขาดู...น่าสนใจน่ะ”
“แค่น่าสนใจเหรอ... น้อยไปมั้ง...” เชอรี่ทำสีหน้ายั่วเย้าผม ผมชักจะรู้สึกเขินๆเสียแล้วสิ
“ไม่เอาน่าเชอรี่ ไม่มีอะไรหรอก” ผมรีบบอกปัด เชอรี่เองก็ทำตาระยิบระยับล้อเลียนผมแล้วก็เดินออกไปข้างนอก ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้ายังไง ผมรู้เพียงแค่ว่าหัวใจของผมมันเริ่มเต้นเป็นจังหวะอีกครั้งแล้วละ...


เขาชอบอ่านแมกกาซีนแนวๆและการ์ตูนพวกที่ผมไม่มีทางหยิบมาอ่าน ผมรู้เพราะผมเข้าไปดูประวัติการยืมหนังสือของเขา เขาเพิ่งจะมาสมัครสมาชิกที่นี่ไม่นานเอง และช่วงเวลาการยืมของเขาก็มักจะเป็นช่วงที่ผมไม่เข้ากะ จึงไม่แปลกที่ผมไม่ค่อยเจอเขา

เขาอายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี เกิดเดือนเดียวกับผมด้วย!!! แต่เขาไม่ได้เรียนที่เดียวกับผมแฮะ บ้านเขาอยู่แถวนี้ก็เลยมายืมหนังสือที่นี่ ผมอ่านข้อมูลส่วนตัวของเขาแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโรคจิตหรือเปล่านะ ผมกำลังใช้สิทธิ์ของการเป็นพนักงานร้านหนังสือเช่าในทางมิชอบโดยแอบอ่านข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า แต่ผมก็ห้ามความอยากรู้ไม่ได้จริงๆ...

การที่ผมได้พบกับเขาอีกครั้งทำให้ผมมีเรื่องยิ้ม นึกถึงหน้าเขาแล้วผมก็ยิ้ม แต่ความเศร้าของเขาก็ยังรบกวนใจผมไม่หาย ทำไมเขาถึงดูโทรมไปขนาดนั้น อะไรทำให้เข้าต้องดูย่ำแย่ ผมเก็บความสงสัยไว้กับตัว และก็ไม่เคยไขความข้องใจได้ จวบจนผมได้เจอเขาเป็นครั้งที่สาม...


ผู้หญิงร่างสูงหน้าตาดีที่ยืนเกาะแขนเขานั้นบ่งบอกความใกล้ชิดได้เกินพอ ผมรู้สึกว่าในหัวใจมันหวิวๆแต่ผมก็ยังเก็บอาการไว้และทำงานได้ แค่ความใกล้ชิดของคนทั้งคู่คงไม่หนักนาเท่าไรนัก หากผมไม่เหลือบไปเห็นว่าผู้หญิงคนนั้น...

ใส่ชุดคลุมท้อง...

เศษหัวใจของผม  แตกสลายลงในตอนนั้นทันที ยิ่งเห็นเขายิ้มให้เธอผมก็เจ็บปวดเกินจะทน มือของผมจับที่สแกนหนังสือไว้แน่นจนมือเริ่มซีด เชอรี่เห็นอาการของผมจึงเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆและบอกให้ผมไปนั่งพักก่อน แต่ผมยืนยันว่าไหว และขอทำงานต่อ ภาพของเขาและเธอพูดคุยกันจุ๊กจิ๊กยังคงทิ่มแทงมาในสมองผม ผมหน้ามืด และทุกอย่างรอบตัวก็เริ่มมืดมน ผมมองเห็นหัวใจของผมกำลังตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ตัวตนของเขากำลังจะเลือนหายไปจากความรู้สึกของผม

จากนี้ไปผมจะไม่นึกถึงเขาอีก... รักแรกพบของผม...

 
“ภพนิพิฐ อาจารย์ขอคุยด้วยก่อนสิ” อาจารย์หรรษาเดินเข้ามาทักผมในช่วงเลิกเรียนของวันหนึ่ง ผมหันไปบอกเพื่อนๆว่าไม่ต้องรอและเดินตามอาจารย์ไปที่ห้องคณะ อาจารย์หรรษาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผมและเป็นอาจารย์ที่สั่งให้ทำโชว์รูมครับ
“อาจารย์มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” ผมนั่งลงบนโซฟาในห้องคณะ อาจารย์เดินไปหยิบแฟ้มมาเล่มหนึ่งแล้วมานั่งข้างผม
“คือว่าอาจารย์ลองส่งเรื่องไปทางแบรนด์กระเป๋านั้นน่ะ แล้วทางแผนกออกแบบเขาชอบผลงานเรามากเลย เขาบอกว่าออกแบบได้หดหู่ดีมาก หึหึ ไม่รู้ว่าเธอจะดีใจกับคำชมนี้หรือเปล่านะ” อาจารย์อมยิ้มขำ ก็คำชมทะแม่งๆแบบนั้นนี่นะ
“ก็ดีใจแหละครับ แสดงว่าผมทำได้ตามคอนเซ็ปต์ ว่าแต่มันทำไมเหรอครับ?”
“ก็เขาอยากจะขอเซ็นสัญญาเอาโชว์รูมของเธอไปใช้จริงน่ะสิ ได้เงินด้วยนะ แต่เขาอยากให้ปรับเปลี่ยนบางจุดบ้างน่ะ” ผมตาโตทันที นี่ผลงานของพวกผมจะได้เอาไปใช้จริงเหรอเนี่ย
“ตกลงครับ แล้วจะเริ่มเซ็นสัญญาเมื่อไรครับ”
“อาทิตย์หน้านี่แหละ แล้วเดี๋ยวอาจารย์จะนัดเธออีกทีนะ” ผมคุยกับอาจารย์ต่ออีกครู่หนึ่งแล้วก็เดินออกมา บรรดาสหายของผมนั่งรออยู่ในโรงอาหาร พอได้เจอเพื่อนๆผมก็เลยเล่าเรื่องที่เพิ่งคุยกับอาจารย์ให้ฟัง ทุกคนมีสีหน้าดีใจตามที่คาดไว้ไม่ผิด

ผมเองก็ดีใจ แต่ไม่ได้ดีใจเพราะว่าจะได้แสดงผลงานของตัวเอง หรือดีใจเพราะจะได้เงินค่าจ้าง แต่ดีใจเพราะว่าอย่างน้อยเวลาว่างของผมจะได้เหลือน้อยลง...ผมจะได้ลืมเรื่องของเขาได้เร็วขึ้น


แสงไฟจากหน้าจอแลปทอปของผมเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้อง แว่นสายตาที่ผมมักจะใช้แทนคอนแทกเลนส์หมิ่นเหม่บนดั้งจมูก ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาออกแบบงานให้ออกมาในรูปแบบสามมิติเพื่อจะนำไปเสนอให้กับอาจารย์
‘ฟู่ว์...ปวดหัวแฮะ’ ผมละมือจากคีย์บอร์ดและถอดแว่นวางไว้ข้างเมาส์ หวังว่าตู้เย็นของผมคงพอมีอะไรให้ผมกินแก้ง่วงได้บ้างนะ
‘แฮม ทูน่าสเปรด แต่ไม่มีขนมปัง... ผักกาดแก้ว.... อืม ทำสลัดดีกว่า’ ผมหั่นแฮมและผักกาดให้เป็นชิ้นพอดีคำแล้วตัก
ทูน่าสเปรดโปะลงไปก่อนจะคลุกๆให้เข้ากัน เติมน้ำสลัดใสอีกนิดก็คงจะพอกินได้ มื้อค่ำของผมเริ่มที่เวลาห้าทุ่ม สลัดเฉพาะกิจสำหรับกินคนเดียวเหมือนเดิมพร้อมเสิร์ฟแล้ว...

ตอนที่ผมคว่ำชามที่ล้างแล้วลงบนชั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเครื่องชั่งน้ำหนักแอบอยู่ตรงใต้ชั้น นานแล้วที่ผมไม่เคยใช้งานมัน ผมใช้เท้าเขี่ยเครื่องชั่งน้ำหนักออกมาและขึ้นไปยืน ตัวเลขดิจิตัลหน้าจอกำลังวิ่งประมวลผลอย่างรวดเร็ว

’47 เหรอ อุบาทว์มาก...’ ผมเดินไปส่องกระจก กระดูกไหปลาร้าของผมเห็นชัดเจนบ่งบอกว่าผมผอมไปอีกแล้ว ผมกินอะไรไม่ค่อยลง ความอยากอาหารไม่ค่อยมี ของในตู้เย็นส่วนมากก็มีไว้เพื่อให้ไอ้คิงกินซะมากกว่า

ผมสูงประมาณ 167 เซนติเมตร ถือว่าเป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนหรอก สิ่งที่จะทำปัญหาให้ผมจริงๆคือน้ำหนักต่างหาก ถ้าผมผอมไปมากกว่านี้คงไม่ใช่เรื่องดี เห็นแบบนี้แต่ผมก็รักสุขภาพนะครับ พอเริ่มคิดได้ว่าต้องทำการเพิ่มน้ำหนัก ผมเลยหยิบมาม่ามาแกะใส่ชามและกดน้ำร้อน เพิ่มคาร์โบไฮเดรตให้ร่างกายตัวเองบ้าง

ผมเกลียดเวลากินและเวลานอน เพราะว่ามันจะทำให้ผมมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จังหวะที่ผมกำลังคีบเส้นมาม่าเข้าปากก็นึกไปถึงภาพของเขาที่มาพร้อมกับผู้หญิงท้องคนนั้น ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกว่าของที่กินเข้าไปมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาตามหลอดอาหารเลย ผมวางตะเกียบแล้วเอามือปิดปากวิ่งเข้าห้องน้ำ สลัดที่ผมกินเข้าไปและมาม่ากองอยู่ในชักโครก ผมอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง

‘เสียดายของว่ะ’ ผมคิดด้วยความหงุดหงิดแล้วกดน้ำชักโครก รู้เลยว่าถ้ากินอีกรอบก็คงอาเจียนอีก ผมเลยตัดสินใจปิด
แลปทอปแล้วนอนเลย ท้องจะได้ไม่ร้อง และสมองจะได้ไม่ต้องคิดอะไร

คุณเคยไหม ที่วันหนึ่งคุณต้องบังคับตัวเองให้หาอะไรให้ยุ่งไว้เสมอ เพื่อที่จะไม่ฟุ้งซ่าน ผมเองก็เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมเพิ่มอาการขึ้นมาอีกอย่าง คือการบังคับตัวเองให้หลับ เพื่อที่เวลาจะได้ผ่านไปไวๆ ทำไมผมถึงน่าสมเพชแบบนี้นะ

ผมหลับตาแล้วแต่ก็ยังคิดถึงเรื่องของเขา ผมเสียดายเขา เสียดายอนาคตของเขา ยังดูเด็กอยู่เลยแท้ๆไม่น่าจะมีลูก ผมเสียดายที่เขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตให้สมกับเป็นวัยรุ่น ผมเสียดายที่เขาจะต้องมีห่วงมาผูกคอตั้งแต่อายุยังน้อย เสียดายที่ไม่ได้รู้จักเขาให้เร็วกว่านี้ และเสียดายที่ผมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่เธอ...

ผมกำลังอิจฉา....

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล. มีคนมาช่วยดัน เลยใจอ่อนค่ะ  :a1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 16-05-2011 22:43:13
ตกลงใครพระเอกหว่าาาาาา
คุณเพื่อน คุณแฟนเก่า หรือคุณคนแปลกหน้าผู้มีเมียแล้ว? 

อัพบ่อยๆนะคะคุณบี :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-05-2011 22:47:00
ชีวิตเศร้าจิตได้อีกโอ้ยอ่านแล้วสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 16-05-2011 23:39:14
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มาม่ากว่าเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา

หวังว่าจะขึ้นอืดและผ่านพ้นไปเร็วนี้นะคะ จะได้เห็นโลกเป็นสีชมพูสดใส
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-05-2011 23:45:27

อ่านแล้วอย่าเครียดนะค้า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอค่า  o13
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 17-05-2011 00:38:17
บวกเป็นกำลังใจให้ฟี่ อย่าคิดไปใหญ่โตสิ ธ่อ
มาต่ออีกไวๆ นะค๊า อยากอ่านๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 17-05-2011 09:23:37
เป็นกำลังใจให้ฟี่ค่ะ ><~
ชีวิตทำไมดูจะมืดมนได้ขนาดนั้นนะ สู้ๆหน่อยเน้อ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 5
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 17-05-2011 15:56:33
ช่องว่างหมายเลข 5


สวรรค์ยังคงกลั่นแกล้งผมอย่างต่อเนื่อง ผมนึกถึงคำที่แม่บอกผมว่าพระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งคนที่กำลังลำบาก แต่ไหงกับผมท่านถึงไม่เคยใยดีแล้วยังซ้ำเติมผมอีก อย่าเถียงนะว่าไม่จริง ก็ดูเหตุการณ์ตรงหน้าผมนี่สิ...

“ฟี่ นี่น้องเขาเพิ่งเข้ามาใหม่นะ”
ผมเงยหน้ามองพี่แก๊บที่พาพนักงานใหม่มาแนะนำกับผมในห้องพักพนักงาน เขาคนนั้นที่ผมได้แต่เคยมองอยู่ห่างๆยืนยิ้มกว้างให้กับผม ผมแอบคิดไปแวบหนึ่งว่าจะต้องหยีตาให้กับรอยยิ้มเจิดจ้านั้นไหม? แต่ก็ไม่ได้ทำจริงๆหรอก ผมผูกเชือกรองเท้าเสร็จแล้วก็ยิ้มให้เขาไป
“ดูท่าน่าจะอายุน้อยกว่าฟี่นะ น้องเขาชื่อณัฐ ฝากสอนงานน้องเขาด้วยละ” ถ้าเป็นผู้หญิงคงแทบลมจับ แต่ผมเป็นผู้ชาย และไม่ได้ใจเสาะขนาดนั้น
เห็นไหมละ ว่าพระเจ้าคงไม่เอ็นดูผมจริงๆด้วย เหตุการณ์ที่ทำใจผมสลายผ่านไปได้แค่เดือนเดียว ก็พาต้นเหตุที่ทำให้ผมใจสลายมายืนตรงหน้าผม...ซะอย่างนั้น

“พี่ชื่อฟี่ใช่ไหมครับ” ผมพยักหน้าให้ณัฐ พี่แก๊บไม่ต้องบอกชื่อเขาผมก็รู้ รู้ไปถึงว่าบ้านเขาอยู่ไหนเลยด้วยซ้ำ...
“เอ่อ... ณัฐ...อายุอ่อนกว่ากี่ปีเหรอ” ผมโคตรตื่นเต้นเลยที่ได้เรียกชื่อเขา เสียงผมแอบสั่นหรือเปล่านะ
“ตอนนี้ 19 ปีครับ แล้วพี่ฟี่ล่ะ”
“20 น่ะ อันที่จริงห่างกันแค่ปีเดียว ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นะ” ผมลองเสนอ ก็ผมไม่อยากเป็นพี่เขานี่หว่า!
“ไม่ได้หรอก เรียกพี่ดีแล้วครับ” ผมปวดใจหนึบๆแฮะ บอกไม่ถูกเลย
“ก็ตามใจแล้วกัน เดี๋ยวจะอธิบายรายละเอียดงานให้ฟัง” ผมพยักหน้าให้ ’เขาคนนั้น’ หรือ ‘ณัฐ’ เดินตามผมมา ทั้งที่ตอนนี้ได้อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งที่ใจเคยคิดว่าอยากจะเข้าไปใกล้ชิดสนิทกับเขา แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่สมควร แต่หัวใจของผมก็ดันเริ่มเต้นแรงอีกแล้ว

“ไหวหรือเปล่า ให้เชอรี่สอนงานณัฐแทนก็ได้นะ” เชอรี่ถามผมตอนที่ผมกำลังพักกินข้าว เชอรี่เอาส้อมจิ้มปลาหมึกผัดกะเพราของผมเข้าปากแล้วถามอย่างเป็นห่วง ตอนที่เชอรี่เดินเข้าร้านมาแล้วเห็นผมกำลังสอนงานณัฐนั้น เชอรี่ทำท่าตะลึงตาค้าง จนผมต้องลากเธอมาอีกมุมของร้านและสัญญาว่าจะเล่าเรื่องให้ฟัง
“ไหวดิ เรื่องแค่นี้ เชอรี่อย่าลืมสิ ว่าฟี่กับเขายังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย ฟี่แค่รู้สึก...” ผมพูดต่อไม่ออก ผมจะบอกว่าอะไรดีละ ผมรู้สึกอะไรกับเขานะ..
“รู้สึกชอบเขาฝ่ายเดียว ใช่มั้ย?” ผมนิ่ง คำตอบของเชอรี่ตรงใจผมเหลือเกิน นี่ผม...กำลัง... เริ่มมีใจให้คนๆหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักอย่างงั้นเหรอ...
“ตั้งแต่เชอรี่มาทำงานที่นี่ เพิ่งจะเห็นฟี่รู้สึกชอบคนอื่นนี่แหละ” เชอรี่อมยิ้มด้วยใบหน้าน่ารัก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวเลยขยี้หัวเชอรี่เบาๆ ซึ่งเรียกเสียงคิกคักจากเธอได้พอควร
“เอ่อ ขอโทษนะครับ คือว่า...” ทั้งผมและเชอรี่หันไปที่ประตู ณัฐยืนมองมาที่พวกผมด้วยสายตาเก้อๆ
“มีอะไรเหรอณัฐ”
“พี่แก๊บให้มาบอกพี่เชอรี่ว่าเลิกเจ๊าะแจ๊ะกับพี่ฟี่แล้วก็รีบไปทำงานครับ ลูกค้าเต็มร้านเลยตอนนี้”
“ต๊ายยยยย อีพี่แก๊บ ปากดีใหญ่แล้ว ถือว่าเป็นเจ้าของร้านหรือไงยะ” เชอรี่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปข้างนอก แต่ณัฐยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่กล้าหันไปมองร่างสูงของเขา ไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับเขาด้วยซ้ำ
“พี่ฟี่...เป็นแฟนกับพี่เชอรี่เหรอครับ”
“อุ๊บ แค่กๆๆ” สำลักสิครับ พอณัฐถามแบบนั้นผมก็สำลักกะเพราปลาหมึกเลย อะไรทำให้เขาคิดแบบนั้นละเนี่ย
“น้ำครับ” ผมรับขวดน้ำดื่มมาจากณัฐแล้วกระดกอึกใหญ่
“ไม่ใช่สักหน่อย ทำไมถามแบบนั้นละ”
“ก็ณัฐเห็นพี่สองคนสนิทกันเหมือนเป็นแฟนเลย” ณัฐน่ารักมั้ยครับ เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ น่าเอ็นดูขัดกับลักษณะอาร์ตๆเซอร์ๆภายนอกมากมาย
“ไม่ใช่หรอก ก็สนิทกันแบบเพื่อนน่ะนะ” ผมนึกสภาพว่าถ้าณัฐเห็นไอ้คิง คงจะชวนให้คิดมากกว่านี้อีก...

 

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


  

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.ดราม่ากันอย่างต่อเนื่องค่ะ ตอนนี้อารมณ์กำลังเศร้าได้ที่ แต่งได้แบบลื่นไหลๆ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 17-05-2011 16:42:13
โถๆๆๆ ณัฐช่างไม่รู้อะไรเลย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 17-05-2011 17:37:35
ชอบค่ะชอบแนวหดหู่ ทรมานตัวเอง 5555 :laugh:
 :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: mamaUM ที่ 17-05-2011 18:11:18
เรื่องมัน "หดหู่ มืดมน หาแสงไม่เจอ" ตรงคอนเซป เป๊ะ เลยไม่เนี้ยคะ ??
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 17-05-2011 20:16:10
แม่เจ้า เรื่องเนี่ยชวนร้องไห้ทุกทีที่อ่าน หุ o22
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 17-05-2011 20:20:20
เมื่อไหร่ท๊อฟฟี่จะสดใสเนี่ย

สงสารจัง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 17-05-2011 22:56:35
มีสนใจถามด้วย อย่างนี้จะพอมีหวังบ้างไหมหว่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 17-05-2011 23:27:25
มาลงชื่ออ่านจ้า  ยังอยู่ในโทนหม่นๆ อยู่นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 18-05-2011 01:07:37
 o13

เล่าเรื่องได้น่าติดตามมาก ในเรื่องมีตรีมเรื่องที่ชัดเจน เดินเรื่องโอเค
ชอบเรื่องเล่าแนวๆนี้มาก แล้วจะรออ่านติดตามตลอดน๊า
+1 จัดไปเลย ชอบมาก อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: Little_b ที่ 18-05-2011 01:58:57
 :-[ :-[ :-[ :-[ ใครจะเป็นพระเอกเนี่ยย อยากเอาคนที่มีลูกแล้ววว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-05-2011 07:30:43
สั้นอ่ะคุณบี  :o12:
มาต่อเร็วๆนะคะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 18-05-2011 11:45:36
เหงา เศร้า
หดหู่ แต่อยากอ่านต่อมากๆ เลยค่า
ชวนติดตามอ่ะ ซิกๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 18-05-2011 12:29:19
ชอบแนวนี้ กำลังเป็นอยู่ อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 5 (17/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 18-05-2011 16:49:34
ตอนนี้สั้น แต่ก็นะ ณัฐแอบน่ารักนะเรา ><~
อิอิ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 6
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 18-05-2011 17:28:25
ช่องว่างหมายเลข 6

“จูนไม่เคยอยากจะไปคบกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงบ้างเหรอ” ผมลองถามจูนในเย็นวันหนึ่งที่พวกนั้นกำลังตั้งใจลอกการบ้านของผมอยู่ เพื่อนสาวหน้าหวานใจห้าวของผมเงยหน้ามามองผมแบบงงๆนิดหนึ่งก่อนจะถามกลับ
“แกจะให้ชั้นไปทำตัวหวานแหววอะนะ”
“เราไม่เห็นว่าคบกับเพื่อนผู้หญิงแล้วจะต้องทำตัวหวานแหววสักหน่อย” ผมเถียงเธอ
“ไม่เอาหรอก ชั้นไม่ชอบอะ พวกผู้หญิงมีแต่เรื่องจุกจิกให้รำคาญใจ แล้วนี่แกถามทำไม หรือว่ารำคาญชั้นใช่มั้ย” จูนถามกลับแล้วทำตาขวางใส่ผม ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเธอมีเจตนาที่แท้จริงว่าอะไร เหอะๆ
“ไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็นหรอกจูน เรารู้นะว่าจูนน่ะเป็นยังไง”
“ทำไมยะ ชั้นเป็นยังไง”
“แกมันสาววายเต็มขั้น มาสิงอยู่กับกลุ่มชายหนุ่มหน้าตาดีอย่างพวกฉันเพราะหวังจะได้เห็นอะไรที่ถูกใจแกละสิ” ไอ้ทัชตอบได้โดนใจผมมากครับ ใช่เลย จูนเป็นสาววาย มีความสุขกับการได้เห็นอะไรวายๆ เวลาที่พวกผมสามคนอยู่ด้วยกันมันทำให้จูนอิ่มเอมใจเป็นพิเศษ ผมเคยถามว่าถ้าชอบอะไรวายๆก็ไปสิงอยู่กับผู้ชายกลุ่มอื่นก็ได้นี่นา อย่างกลุ่มพวกไอ้ซิงค์ที่ออกจะเกย์สุดๆ จูนเธอก็บอกว่าไม่เอา เธอรู้สึกถูกชะตากับพวกผมมากกว่า...
“ไม่ต้องมาคาดหวังเรื่องที่จูนชอบกับเรานะ...” เม้งตอบเรียบๆขัดจังหวะก่อนที่จูนกับทัชจะเริ่มสงครามน้ำลาย พวกผมทั้งสามคนหันไปจ้องเม้งแบบอึ้งๆ
“เพราะเราไม่มีทางทำอะไรประเจิดประเจ้อให้จูนเห็นหรอก” เม้งพูดเพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงกรี๊ดจากจูนได้สนั่นโต๊ะ ขนาดพวกผมเองยังฮาไปด้วยเลย เม้งนี่ถึงจะไม่ค่อยค่อยพูด แต่เวลาพูดทีก็ฮือฮาเหมือนกันนะครับ


“ช่วงนี้ดูมึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ เวลาจะไปทำงานน่ะ” ผมหันไปมองไอ้ทัชที่นั่งเท้าคางมองผมเก็บกระเป๋าอยู่
“งั้นเหรอ” ผมตอบแล้วยกยิ้มบางๆที่มุมปาก สงสัยจะเป็นอย่างที่มันว่า ก็ที่ร้านมีอะไรที่ดึงดูดใจผมอยู่นี่นะ...
“อ๊ะๆ ชั้นก็สังเกตเหมือนกันนะ ช่วงนี้เหมือนแกจะยิ้มเก่งขึ้นนะ” สาวจูนไม่เคยพลาดเรื่องชาวบ้านหรอกครับ คุณเธอรีบรวบของใส่กระเป๋าแล้วตั้งท่าจะกลับบ้านเหมือนกัน
“ฟี่ยิ้มเก่งขึ้นก็ดีแล้วนี่” เม้งพูดขึ้นมาแบบนิ่งๆ จูนหันไปมองเม้งที่เงียบไปแล้วก็หันมายิ้มให้ผม
“ที่เม้งพูดก็ถูกนะฟี่ พวกชั้นก็อยากให้แกดูมีความสุขไปตลอดเหมือนกัน”
“อืม ขอบใจมากนะ” ผมเองไม่รู้วาจะตอบรับความหวังดีจากพวกเขาได้ยังไง ผมทำได้แค่เพียงยิ้มขอบใจไป เพราะผมเองก็ห่างจากสิ่งที่เรียกว่าความสุขมานาน จนเริ่มลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าคนมีความสุขต้องทำยังไง...


ผมเดินเข้ามาในร้านแล้วมองหาคนที่ผมรอจะเจอมาทั้งวันแต่ก็ไม่เจอ เชอรี่หันมาเห็นผมทำหน้าหงุดหงิดก็เดินมาเฉลยคำตอบให้ผมทันที
“ณัฐเขาไปธุระน่ะ เลยขอเลื่อนมาเข้ากะเย็นแทน ดีใจมั้ยละ...ฮุฮุ”
กะเย็น... แปลว่าคืนนี้ผมต้องอยู่กับเขางั้นเหรอ โอมายก็อด ผมคิดอะไรลงไปนะ ที่จริงผมหมายถึงว่าคืนนี้ผมต้องปิดร้านกับณัฐ ที่จริงก็มีพี่แก๊บด้วยแหละ แต่รายนั้นอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ นี่ผมจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย...
“ขอโทษที่มาช้านะครับ!” ผมยังไม่ทันหายใจเต้นดี ไอ้คนที่ผมรอก็มายืนหอบแฮ่กข้างหลังผม พอหันไปมองก็เห็นณัฐที่ยิ้มกว้างแล้วเกาะขอบประตูร้านอยู่
“เอ้าๆ พวกพี่จะไปขวางประตูทำไมครับ ลูกค้าเข้าร้านไม่ได้นะ” ว่านส่งเสียงเตือนพวกผมที่ขวางทางเข้าออกอยู่ ผมก็เลยเดินลิ่วเข้าไปในห้องแต่งตัวทันทีโดยไม่ทักทายณัฐก่อน

แกร๊ก

ผมลงกลอนประตูห้องน้ำแล้วไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนชักโครก ระยะห่างนั้นมันสั้นไป ณัฐเข้ามาใกล้ผมเกินไป ใกล้จนผมได้กลิ่นโรลออนของนีเวียและกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากตัวเขา กลิ่นที่ผมอยากจะฝังจมูกลงไปสูดมากกว่าได้กลิ่นห่างๆ วันนี้ณัฐไม่ได้โกนหนวด ไรหนวดจางๆที่คางคงจั๊กกะจี้น่าดูถ้ามาถูกับผิวกายของผม..
‘โอ๊ยยยย กูเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย!’ ผมขยี้หัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง การมีตัวตนของณัฐทำให้ผมว้าวุ่นใจ ขนาดตอนที่ผมได้แต่มองเขาห่างๆก็ยังเผลอละเมอไปบ้าง แล้วยิ่งณัฐมาใกล้ชิดผมแบบนี้ ผมจะทนไหวไหมล่ะ!!

“ขอบคุณมากครับ” ผมแอบเหลือบมองเวลาที่ณัฐทำงาน ณัฐมักจะยิ้มให้ลูกค้าเสมอ ผมเคยคิดว่าคนที่สามารถยิ้มได้ด้วยดวงตาเป็นพวกที่น่าอัศจรรย์ แล้วดูณัฐสิ ทั้งแววตาและริมฝีปากก็สามารถยิ้มให้ดูสดใสได้ขนาดนั้น ถ้าเปรียบเขากับผมแล้วก็เหมือนกลางวันและกลางคืนเลยนะ...
“ณัฐเนี่ย ดูสว่างจัง” ผมพูดขึ้นมาเมื่อลูกค้าไปแล้ว ณัฐหันมามองผมแบบงงๆ ผมเลยต้องขยายความ
“ก็ดูสดใสไง ตรงข้ามกับพี่ที่ดูมืดมนหม่นหมอง” ยิ่งพูดก็ยิ่งสมเพทตัวเองครับ ผมกล้าประจานความหม่นหมองของผมให้ณัฐฟังได้ยังไง...
“แล้วพี่ฟี่ไม่คิดเหรอครับ ว่าบางทีความสดใสของณัฐจะทำให้พี่หายมืดมนได้บ้าง” ตรรกะเรียบง่ายของณัฐทำให้ผมยิ้มได้ เพราะแบบนี้แหละผมถึงคิดว่าการนิยามว่าณัฐเป็นแสงสว่างนั้นเหมาะที่สุดแล้ว
“นั่นสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นคงดี” ผมรู้สึกดี ความอบอุ่นของณัฐเหมือนเป็นน้ำทิพย์ที่ชโลมใจผมให้ชุ่มชื้น...
 คืนนี้เป็นการทำงานที่ผมมีความสุขที่สุดเลย...

และเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ...ผมมีความสุขมากขึ้นทุกวัน การไปทำงานไม่เคยทำให้ผมกระตือรือร้นได้ขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งวันนั้น...

วันนั้นก็เป็นเหมือนกับอีกหลายๆวันที่ผมมาทำงานตามปรกติ อยากเจอณัฐเป็นปรกติ และมีความสุข(ผิด)ปรกติ เมื่อผมเดินเข้าไปในร้านก็เห็นว่าทั้งเชอรี่และว่านกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง
“พี่ฟี่ มาดูนี่สิ” ว่านกวักมือเรียกผม ในมือว่านมีโทรศัพท์มือถืออยู่ ลักษณะเหมือนว่ากำลังดูคลิปอะไรบางอย่าง ชั่วขณะนั้นเหมือนว่าเชอรี่ทำสีหน้าบางอย่างที่ผมไม่ทันสังเกต บางทีเรื่องนี้มันอาจเป็นความต้องการของพระองค์...ที่อยากให้ผมตายไปจากโลกนี้ซะ...
“น่ารักมั้ย” ว่านถามผมอีกครั้ง เด็กทารกน้อยในหน้าจอมือถือกำลังหัดคลาน ผิวขาวสะอาดตาและแก้มยุ้ยดูน่ารักน่าชัง
“ลูกใครเหรอว่าน” ผมถามอย่างสงสัย
“ลูกพี่ณัฐครับ น่ารักเนอะ”

‘ลูกพี่ณัฐครับ น่ารักเนอะ’
‘ลูกพี่ณัฐครับ น่ารักเนอะ’
‘ลูกพี่ณัฐครับ น่ารักเนอะ’
‘ลูกพี่ณัฐครับ น่ารักเนอะ’

ประโยคบอกเล่าที่เฮงซวยเส็งเคร็งที่สุดเล่นซ้ำไปมาในหัวผมหลายรอบ ตอนนั้นเองที่ผมเห็นสายตาห่วงใยของเชอรี่และใบหน้ายิ้มๆของณัฐ ทุกสิ่งทุกอย่างผุดขึ้นมาในหัวผมอย่างน่าอัศจรรย์
วันแรกที่ณัฐมาที่ร้านเพื่อถามหานิตยสารกับผม
วันที่ณัฐมาพร้อมกับใบหน้าโทรมหมองคล้ำ
วันที่ณัฐมาพร้อมกับผู้หญิง....ท้อง...คนนั้น...
ณัฐมีแฟน และมีลูกแล้ว... นี่ผมลืมไปได้ยังไง การที่ผมได้อยู่ใกล้เขาทำให้ผมมีความสุขจนลืมเรื่องสำคัญไปเลยหรือเนี่ย....
......
....
..
.
“อะ...อื้ม น่ารักมากเลย” ขอบคุณที่ตัวผมยังมีแรงยิ้ม ไม่รู้ว่าผมบังคับตัวเองให้ยิ้มตอบไปได้ยังไง ณัฐบอกกับผมแบบอวดๆว่าลูกชายของเขากำลังหัดคลาน แถมแทะเก่ง...
ผมไม่อยากรู้โว้ย! เชื่อไหมว่าตอนนั้นผมคิดว่าแว่บหนึ่งว่าช่างเป็นเด็กที่อุบาทว์ที่สุดในโลก แต่ผมก็คิดได้...ว่าเด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...
“ไว้พามาเล่นที่ร้านบ้างสิ” ผมพูดอะไรออกไปวะ... ผมขอให้ใครสักคนก็ได้ช่วยพาผมไปจากตรงนี้ที...
“ฟี่ๆ เชอรี่เพิ่งนึกออกว่ามีเรื่องจะเมาท์ ไปข้างในกันเถอะ” ผมรู้สึกว่ามีคนลากแขนผมให้เดินเข้าไปในห้องพักพนักงาน พอเข้าไปแล้วผมก็ถูกดันไหล่ให้นั่งลงบนโซฟา เชอรี่ดึงเก้าอี้มานั่งตรงข้ามผมแล้วโผเข้ามากอดผมไว้แน่น
“ฟี่...” เสียงอ่อนหวานของเชอรี่เหมือนพยายามปลอบประโลมผม แต่ผมไม่รู้สึกเลยสักนิด ไม่รู้สึกถึงน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่รู้สึกถึงอ้อมแขนที่หอมกรุ่น ไม่รู้สึกถึงน้ำตาของเชอรี่ที่หยดลงข้างแก้มผม ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ผมปล่อยให้เชอรี่กอดผมไปเรื่อยๆ พอเธอผละออกผมจึงบอกกับเธอ
“เชอรี่... ฟี่ไม่เป็นอะไรหรอก ฟี่แค่ชอบเขาฝ่ายเดียว ฟี่ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่านี้” ผมไม่รู้ว่าผมทำสีหน้าหรือน้ำเสียงยังไงไป เชอรี่ถึงได้เอาแต่ส่ายหัวและกอดผมแน่นอยู่แบบนั้น
“ฟี่...” เชอรี่เรียกชื่อผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ระโหยโรยแรงกว่าเดิม ผมอยากอยู่ตรงนี้นานๆ แต่นี่มันเป็นเวลาทำงาน ผมยังมีหน้าที่อยู่
“ไปทำงานกันเถอะเชอรี่ ฟี่ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมแกะมือเชอรี่ออกแล้วเดินออกไปหน้าร้าน ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ส่งไปไม่ถึงสมองของผมอีกแล้ว ผมขอไม่รับรู้อะไรอีกเลยจะดีกว่า... แม้กระทั่งเสียงสะอื้นของเชอรี่ ผมก็ไม่ได้ยิน...

วันนี้ลูกค้าอาจรู้สึกว่าบรรยากาศในร้านมีความหดหู่อยู่เต็มไปหมด พนักงานหญิงหนึ่งเดียวของร้านมีดวงตาแดงเรื่อเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก กับพนักงานชายหน้าตาน่ารักอีกคนที่ยิ้มแย้มจนเกินเหตุ ดูยังไงก็แสนจะพิลึก...แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไร...
“พี่ฟี่ เชอรี่ ณัฐไปก่อนนะ” ณัฐหยิบกระเป๋ามาสะพายข้างแล้วโบกมือลาพวกผมก่อนจะกลับบ้าน พอณัฐออกไปจากร้านแล้วผมก็หันไปมองเชอรี่
“ทำไมณัฐเรียกเชอรี่ด้วยชื่อเฉยๆล่ะ”
“ก็เชอรี่เห็นว่าณัฐอ่อนกว่าแค่ปีเดียว ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นี่นา” เชอรี่หันมาตอบผม ไม่รู้ทำไมพอเธอคุยกับผมต้องทำเสียงสั่นๆด้วยนะ
“อะไรกัน ทีกับฟี่ดันเรียกพี่...” ผมเคยบอกณัฐแล้วนี่ ว่าไม่ต้องเรียก แต่เขาก็ยืนยันจะเรียก แต่กับเชอรี่ดันไม่ยอมเรียก อะไรของณัฐกันเนี่ย
“ฟี่ แล้วฟี่ไม่เป็นอะ- ”
“ฟี่ไม่เป็นไรหรอก เชอรี่อย่าร้องไห้เพื่อฟี่เลยนะ ฟี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ผมบอกกับเชอรี่ไปแบบนั้น ทั้งที่ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่า ‘ผมไม่เป็นอะไร’ อย่างที่พูดไปจริงหรือเปล่า...


Special: Chompoo’s scene

สวัสดีค่ะ นี่เชอรี่เองนะคะ วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในมุมมองของเชอรี่ให้ฟัง..

เชอรี่บอกไม่ถูกหรอกนะคะ ว่าทำไมเชอรี่ถึงต้องร้องไห้เสียใจขนาดนั้น ทั้งที่ว่ากันตามจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของเชอรี่เลยแม้แต่น้อย เชอรี่คิดว่าบางทีที่เชอรี่ต้องเสียใจขนาดนั้นก็เพราะมันเป็นเรื่องของฟี่ คนที่เชอรี่ปรารถนาอยากให้เขามีความสุขเหลือเกิน

เชอรี่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของคนเรากว่าที่จะผูกพันและสนิทกันได้มันต้องใช้เวลายาวนาน แต่ฟี่ก็มาทำลายทฤษฎีนั้นทิ้ง ฟี่เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนรักของเชอรี่ เป็นคนที่คอยปลอบเวลาเชอรี่อกหัก เป็นคนที่คอยเอื้อเฟื้อไหล่ให้เชอรี่ได้พักพิง ในเมื่อฟี่คอยช่วยเหลือและซับน้ำตาที่เชอรี่เสียให้กับผู้ชายเฮงซวยพวกนั้นได้ เชอรี่ก็อยากจะเสียน้ำตาเพื่อฟี่บ้าง...

“เรียกเราว่าฟี่ก็ได้” เชอรี่ยังจำคำแนะนำตัวของฟี่ได้ ชายหนุ่มอายุเท่ากันแต่มีแววตาเหมือนผ่านความเจ็บปวดมาอย่างโชกโชน เชอรี่สนใจเขาตั้งแต่แรกเห็น แต่เมื่อได้ทำงานด้วยกันไปนานๆเชอรี่ก็รู้ว่าฟี่เกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนที่ดีของเชอรี่เท่านั้น และเชอรี่ก็ไม่ปรารถนาความสัมพันธ์แบบอื่นจากฟี่ เพราะรู้ดีว่าความเป็นเพื่อนยั่งยืนกว่าสิ่งไหน...

ท๊อฟฟี่เป็นชื่อที่น่ารัก และตัวบุคคลก็น่ารัก ใครเห็นก็ชื่นชมและชื่นชอบ แต่มันก็เท่านั้น... เพราะว่าฟี่เป็นคนที่เหมือนกับว่ามี
ออร่าบางๆที่แผ่กระจายรอบตัว ออร่าที่บอกว่า ‘อย่ามายุ่งกับผมนะ’ ทุกคนที่คิดในทางชู้สาวกับฟี่จึงเหมือนกับว่าต้องเว้นระยะห่างจากฟี่มาก้าวหนึ่ง เพราะฟี่ไม่เคยเปิดหัวใจยอมรับใครในทำนองนั้น...

แต่เมื่อณัฐก้าวเข้ามา ฟี่ก็เปลี่ยนไป ฟี่ยิ้มแย้ม ฟี่สดใส เหมือนว่าความสดใสของณัฐจะกระจายและซึมซาบเข้าไปในใจฟี่ เชอรี่เองก็มีความสุขไปด้วย และความสุขนั้นมันก็หลอกให้พวกเราลืมความเป็นจริงไป...
ลืมไปว่า ‘ณัฐ’ คือคนเดียวกับ ‘ชายคนนั้น’ ที่ฟี่มีใจให้
ชายคนนั้นที่มีเจ้าของและมีพันธะผูกพันแล้ว 

ยิ่งฟี่ไม่แสดงอาการเท่าไร ฟี่ยิ่งเจ็บปวดมากเป็นทวีคูณ เชอรี่รู้เพราะแววตาของฟี่มันกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกที่พบกัน ฟี่ที่มีแววตาโศกเศร้าและเจ็บปวดระคนกัน ทั้งที่ฟี่เป็นคนที่แสนดี เป็นคนขยัน เอาการเอางานและตั้งใจเรียน ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ทำไมฟี่ต้องเจอสิ่งเจ็บปวด ทำไมฟี่ถึงไม่ได้มีความสุขเหมือนใครเขาสักที...

ถ้าหากพระเจ้าของฟี่มีจริง เชอรี่ก็ขออ้อนวอนเหมือนกัน ขอให้พระเจ้าของฟี่เมตตาฟี่มากกว่านี้
ขอให้ฟี่มีความสุขสักทีเถอะค่ะ...
อย่าให้หัวใจของฟี่ต้องมีช่องว่างมากไปกว่านี้เลย...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล. ขอโทษนะคะถ้าเรื่องนี้ทำให้คนอ่านมีความสุขหรืออิ่มเอมใจได้ไม่นาน... มันเป็นเพราะว่าบีไม่อยากให้คนอื่นมีความสุขเกินหน้าเกินตาค่ะ ขอให้ทุกคนโศกเศร้ากันโดยถ้วนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 18-05-2011 18:47:33

หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 18-05-2011 19:17:46
บีบีใจร้ายอ่ะ

สงสารน้องฟี่อ่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 18-05-2011 19:35:07
 :L2:

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 18-05-2011 19:37:09
อ่านไป ขนลุกไป คือ ความรู้แบบไปรักคนที่ไม่สามารถจะรักได้ อยากให้แฮปปี้จัง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-05-2011 19:42:55
แงๆๆๆ
ตกลงใครเป็นพระเอกค๊าาาาาา  :sad4:
หรือว่าพระเอกยังไม่ปรากฎตัว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 18-05-2011 20:31:32
รอต่อไป
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-05-2011 21:29:47
อารายเนี่ย เจ้าเด็กนั่นลูกณัฐจริงๆ เหรอ ได้ยังไง๊ ไม่ยอมๆ >"<
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 18-05-2011 21:46:12
ถ้าเป็นลูกจริงๆ แล้วตัวจริงเมื่อไหร่จะออกเนี้ยยยยย :z3:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 19-05-2011 00:23:52
ช่างเป็นตอนที่ทำให้อารมณ์พลิกผันได้รวดเร็ว เหมือนกับอากาศเมืองไทยเลย จากสว่างสดใสก็มาครึ้มฝนตกภายในตอนเดียวกัน เหอๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 19-05-2011 01:38:10
อ่านฟิคเรื่องนี้แถมทิชชู่ตลอดอ่ะ
ฮือออออออออออออ ไม่ไหว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 19-05-2011 04:32:27
 :o12: เศร้าตามบี ใจร้ายมากมาย ฮือๆ สงสารฟี่

แต่เอาเข้าจริง ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในละคร

ที่จะมามีรับเป็นลูกบุญธรรมจริงๆไม่ใช่คนที่ทำเค้าท้อง

เรื่องแบบนั้นมันมีแค่ในละคร ฟี่เลยต้องมานั่งเศร้า

แล้วจะรออ่านต่อน๊า ตอนนี้ขอให้ฟี่ยิ้มได้มากกว่านี้
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 19-05-2011 11:48:00
อ่านมาก็หลายตอนและ ยังไม่เห็นมีใครทักเรื่องพนักงานสาวสวยหนึ่งเดียวของร้าน
เธอชื่อ ชมพู่ บางตอนเธอก็ชื่อ เชอรี่ อันนี้แอบงง อยู่คนเดียวนะคะ
เรื่องยังหดหู่ กระชากใจเหมือนเคย  o13
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 19-05-2011 12:19:56
อ่านมาก็หลายตอนและ ยังไม่เห็นมีใครทักเรื่องพนักงานสาวสวยหนึ่งเดียวของร้าน
เธอชื่อ ชมพู่ บางตอนเธอก็ชื่อ เชอรี่ อันนี้แอบงง อยู่คนเดียวนะคะ
เรื่องยังหดหู่ กระชากใจเหมือนเคย  o13

ขอบคุณมากค่ะ 55555+
ตอนแต่งโคตรมึน ไม่รู้ทำไปได้ไง ขอบคุณจริงๆนะคะ
เดี๋ยวตอนเย็นเจอกันค่ะ ดราม่ากันอย่างต่อเนื่อง \^^/
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 19-05-2011 12:40:49
ปามีดรัวๆๆ ใส่บีบี o18
ย๊ากกกกกกกกกส์
เค้าโศกมากนะ ปวดกะบาลไปหมดแล้ว
โฮ เมื่อเค้าเจ็บ บีบีก้อต้องเจ็บ :laugh3: ก๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 19-05-2011 13:06:38
เอาให้ตาบวมกันไปข้างนึงเลยยย 


ชวนหดหู่และชวนฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด  :เฮ้อ:


แล้วเราจะมาหดหู่เป็นเพื่อนใหม่นะ  :jul3:

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 19-05-2011 13:29:22
เนื้อเรื่องเสร้าจัง

จะติดตามต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 6 (18/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 19-05-2011 16:50:46
มารอตอนต่อไป หดหู่ได้อีกครับ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 7
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 19-05-2011 17:20:13


ผมใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านไปหลายเดือนผมก็ยิ้มแย้มและพูดคุยเหมือนที่เคยเป็น ผมร่วมสนุกสนานไปกับเพื่อนที่เรียน และใช้เวลากับการทำงานพิเศษ แต่ช่วงนี้ผมเรียนหนัก ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาไปทำงานพิเศษช่วงกลางวันเท่าไร เพราะอย่างนั้นผมจึงมักจะเข้ากะช่วงเย็นตอนปิดร้านบ่อยๆ

วันนี้ผมก็หัวยุ่งอยู่กับการทำงานส่งอาจารย์ ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่อาจารย์สั่งงานมาแรกๆถึงไม่มีอารมณ์อยากจะทำ แต่พอเวลาจวนเจียนใกล้จะต้องส่งงานมันก็เริ่มมีไฟขึ้นมา...ไฟลนก้นน่ะครับ
“ฟี่~ ” ผมเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกผม หญิงสาวผู้น่ารักและเป็นดาวของคณะอักษรศาสตร์เดินตรงรี่มาหาผมที่ม้าหินอ่อน ผมเหลือบเห็นไอ้ทัชรีบจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าขึ้นมากะทันหัน แหม...เห็นสาวไม่ได้นะมึง...
“ว่าไงเชอรี่ ทำไมเดินมาตึกสถาปัตย์ได้ล่ะ” ผมหันไปยิ้มให้เชอรี่ที่เดินมาหย่อนก้นข้างผม
“แวะมาหาฟี่ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย” ใช่ครับ อย่างที่บอกว่าผมเข้ากะเย็นประจำ เจอแต่น้องว่านกับพี่แก๊บเท่านั้น ส่วนเชอรี่นั้นเธอเป็นสาวกลางวัน เพราะเรียนไม่ยุ่งเท่าผม สาขาเธอจะเน้นเรื่องส่งงานมากกว่าเรื่องเข้าเรียนครับ
“แล้วเชอรี่ไม่อยากเจอทัชบ้างเหรอครับ” เชอรี่หันไปมองไอ้ทัชที่เสนอหน้ามาใกล้แล้วยิ้มหวานเจี๊ยบกลับไปให้
“แล้วทัชเป็นอะไรกับเชอรี่ละคะ เชอรี่ถึงต้องอยากเจอทัช” ไอ้ทัชหน้าม้านไปเลยครับ แต่แป๊บเดียวก็กลับมาระรื่นได้ต่อตามประสาคนหน้าด้าน
“แล้ววันนี้รี่ไม่มีเรียนเหรอ” จูนถามเชอรี่บ้าง สองคนนี้เขาเรียนมัธยมที่เดียวกันมาครับ แต่ว่าอยู่กันคนละห้องเลยไม่ค่อยสนิทกัน ตอนที่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆนั้นถ้าเชอรี่เปรียบเหมือนดาวของคณะอักษรศาสตร์ จูนก็เปรียบเหมือนโอเอซิสของสถาปัตย์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสองสาวก็ประกาศตนว่าไม่ใช่พวกสาวหน้าหวานแอ๊บแบ๊วไปวันๆ เพราะพิษสงที่เธอมีนั้นไม่ธรรมดา ใครที่แหยมมาจีบไม่ดูตาม้าตาเรือเป็นต้องโดนดีไปทุกราย
“เลิกเรียนแล้ว เดี๋ยวเชอรี่จะไปทำงานแล้วแหละ ว่าแต่ฟี่จะให้เชอรี่ซื้อขนมใส่ตู้เย็นไว้ให้มั้ย” เชอรี่จะคอยซื้อของกินใส่ตู้เย็นที่ร้านไว้ให้ผมกินเวลาเข้ากะตอนกลางคืนครับ เพราะว่าผมจะไปที่ร้านตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่คนเยอะจนไม่มีเวลาไปหาข้าวกิน
“อืม...ขอเป็นน้ำเต้าหู้ใส่แต่สาคูกับลูกเดือยแล้วกัน เอา-”
“เอาหวานๆ” เสียงใสพูดขัดขึ้นมาอย่างคนรู้ใจ ผมยิ้มแล้วหยิกแก้มเชอรี่เบาๆ เธอรู้ทุกอย่างแหละครับว่าผมชอบกินอะไร
“งั้นเชอรี่ไปละนะ บ๊ายบายจ้ะจูน เม้งแล้วก็ทัช” เชอรี่โบกมือลาเพื่อนทั้งสามคนของผมแล้วก็สะพายกระเป๋าเดินนวยนาดออกไป
“น่ารักจริงจริ๊ง~” ไอ้ทัชมองเชอรี่เดินออกไปแล้วก็พร่ำเพ้อครับ พวกผมสามคนไม่สนใจคนละเมอแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านต่อไป

พอทำงานส่งอาจารย์เสร็จตอนหกโมงเย็นกว่าๆผมก็บึ่งน้องฟิโอเร่ไปที่ร้านทันที เชอรี่กับณัฐกลับไปแล้ว เหลือแต่พี่แก๊บแล้วก็น้องว่าน พี่แก๊บพอเห็นหน้าผมก็ยิ้มร่ามาเลย
“ท๊อฟฟี่ผู้น่ารักกกกก” พี่แก๊บเดินอ้าแขนกว้างตั้งท่าจะกอดผม แต่ผมก็เบี่ยงตัวออกและดันอกพี่แก๊บไว้
“จะใช้อะไรก็บอกมาเลยครับ ไม่ต้องมาทำท่าน่าขนลุก”
“แหม ใจร้ายจัง พี่ไม่ได้จะใช้อะไรสักหน่อย” พี่แก๊บยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยที่ผมรู้ดีว่าแกมักจะใช้เวลามีธุระเรื่องงาน
“ก็ดีครับ” พอผมไม่ใส่ใจแกก็รีบกลับคำและจับแขนผมไว้แน่น
“พี่แค่อยากจะขอให้ฟี่ช่วยมาเปิดร้านตอนเช้าให้หน่อยน่ะ” เหวอ! มากไปไหมครับพี่
“เฮ้ย ไม่ได้ ผมมีเรียน” ซะเมื่อไรละครับ ไม่เอาเว้ย ไม่อยากมาเปิดร้านตอนเช้า  ขี้เกียจตื่น
“อย่ามาขี้จุ๊เบ่เบ๊กับพี่ แกให้ตารางเรียนพี่ไว้เมื่อต้นเทอม จงมาเข้ากะให้พี่เสียดีๆ” ผมกุมขมับ ไม่น่าให้ตารางเรียนกับไอ้พี่แก๊บไปเลย
“น่านะฟีฟี่ผู้น่ารัก”
“ถ้าพี่เรียกผมแบบนั้นผมจะลาออกจริงๆ”
“โอเคๆ น้องฟี่ มาเข้ากะให้พี่แก๊บหน่อยนะครับ” พี่แก๊บเปลี่ยนมาทำท่าขึงขัง และตอนที่ผมกำลังจะใจอ่อนนั้น ผมก็นึกบางอย่างออก
“แล้วเปิดร้านกับใครเหรอครับ”
“กับณัฐน่ะ พี่ถึงขอให้เป็นฟี่มาไง ถ้าเป็นน้องว่านคงไม่ไหว” ที่พี่แก๊บพูดว่าไม่ไหวก็เพราะว่า ระบบงานที่ร้านนี้จะไม่มีนโยบายให้พนักงานที่ทำงานต่ำกว่าแปดเดือนเข้ากะร่วมกันตามลำพังครับ เนื่องจากว่าที่ร้านจะมีอยู่สามกะ คือช่วงเช้า ช่วงกลางวัน และช่วงเย็น โดยช่วงเช้านั้นพี่แก๊บจะไม่เข้าร้าน เพราะแกไม่ตื่นเช้า แต่จะมาเข้าร้านตั้งแต่ตอนกะกลางวัน ซึ่งตอนเช้าถ้าไม่เป็นผมก็ต้องเป็นเชอรี่ที่ทำงานมาปีกว่าแล้วมาเปิดร้านให้ เพราะว่าถ้าปล่อยคนที่ยังทำงานไม่ค่อยชำนาญให้เข้ากะตามลำพัง เวลามีปัญหาอาจจะวุ่นวายครับ

ปัญหาอะไรน่ะเหรอครับ?

ก็เช่น ลูกค้า A ยืมหนังสือไปเป็นเวลามากกว่า 1 ปี ค่าเช่าก็บานเบอะ แล้วถ้าลูกค้าเอามาคืน เราก็จะต้องมีการเจรจาเรื่องค่าเช่ากับค่าปรับ ซึ่งหากไม่มีประสบการณ์เพียงพอก็จะไม่รู้ว่าควรคิดเงินเท่าไร เป็นต้นครับ (มันไม่ง่ายนะครับ ไหนจะลูกค้าพูดไม่รู้เรื่อง ไหนจะต้องแก้บัญชีให้สอดคล้องกับยอดเงินในระบบยืมคืน บลาๆๆๆ)

 “ไม่เอาครับ” ผมยืนยัน ให้ตายผมก็ไม่มาเข้ากะให้หรอกครับ
“พี่ให้สองแรงเลย”
“ตกลงครับ” อ่า...ไม่ต้องตกใจครับที่ผมเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็พี่แก๊บบอกว่าสองแรงนี่นา!!
** สองแรงคือการให้ค่าแรงสองเท่าครับ **
“ดีมาก ปิดร้านแล้วอย่าลืมเอากุญแจร้านไปนะ” ตามนั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็ต้องมาเข้ากะตามลำพังกับคนที่ยากจะเผชิญหน้าที่สุด...

ผมรู้สึกว่าหมดแรงยังกะไปทำงานใช้แรงมา ที่จริงผมไม่ได้เหนื่อยกายหรอกนะ แต่ผมเหนื่อยใจ เหนื่อยใจเมื่อนึกถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ พอเข้าห้องได้ผมก็เอากระเป๋าไว้ที่และตัดสินใจว่าออกไปเรียกเหงื่อสักหน่อยดีกว่า...อา...อย่าคิดลึกครับ

“คิง กูจะไปวิ่ง ฝากซื้อไรเปล่า” ผมเคาะประตูห้องไอ้คิง แล้วเจ้าของห้องก็โผล่ออกมาในสภาพหัวยุ่งสุดๆ
“เอ่อ...ขอกระทิงแดงกับมะขามจี๊ดให้กูหน่อย” ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินลงบันไดมาครับ รองเท้าวิ่งคู่เก่งของผมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดกับพื้นไม้ปาร์เกต์ของอพาร์ทเมนท์ ดูท่าว่าไอ้คิงคงการบ้านเยอะเอาการ
ผมเลือกที่จะวิ่งไปตามถนนของหมู่บ้านจัดสรรในซอยนี่แหละครับ รถมันน้อยดี หมาจรจัดก็ไม่มี คืนนี้ลมมันเย็นๆเลยไม่ร้อนเท่าไร และผมก็อยากจะเหนื่อยให้หายบ้าด้วย เผื่อจะสงบอารมณ์ได้
ตอนวิ่งไปบางทีเจอคนรู้จักผมก็ทักทาย ร้านค้าหลายร้านยังคงเปิดอยู่ แถวย่านมหาวิทยาลัยก็ดีแบบนี้แหละครับ กลางคืนมันก็ครึกครื้น แต่ถ้าเลยตีหนึ่งไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันจะเงียบเป็นป่าช้าเลยแหละครับ

แปลกที่วันนี้ผมไม่สามารถสลัดเรื่องราววุ่นวายออกไปจากสมองได้ ยิ่งบรรยากาศรอบตัวผมเงียบสงบมากเท่าไร ผมก็ยิ่งคิดโน่นคิดนี่มากขึ้น ผมนึกถึงพี่ตังค์ นึกถึงแฟนสมัยมัธยม นึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ นึกถึงใครต่อใครมั่วไปหมด แล้วก็นึกถึงณัฐ...

TRrrr… TRrrr…

โทรศัพท์มือถือของผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เบอร์โชว์หน้าจอไม่เชิญชวนให้ผมกระตือรือร้นที่จะรับเท่าไรนัก ผมจ้องมองอย่างอ้อยอิ่งกว่าจะกดรับสายได้
“สวัสดีครับพี่ตังค์”
/ฟี่ ทำอะไรอยู่/ ประโยคเด็ดของพี่ตังค์ที่มักจะเริ่มในการสนทนาทางโทรศัพท์ ผมนั่งบนเก้าอี้ยาวในสวนใกล้ๆ สงสัยว่าจะต้องใช้พลังงานในการคุยมากกว่าวิ่งเสียอีก
“ออกมาวิ่งครับ พี่ตังค์มีธุระอะไรหรือเปล่า” ประโยคเด็ดของผมเหมือนกัน แต่เป็นประโยคเด็ดเวลาคุยกับพี่ตังค์นะ... เพราะพี่ตังค์จะไม่โทรหาผมถ้าไม่มีเรื่องให้ช่วยหรอก...
/เปล่า ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก พี่แค่อยากโทรมาเล่าน่ะ ว่าพี่จะไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว/
“หา? พี่เนี่ยนะ นึกยังไงละครับ”
/ที่ทำงานใหม่น่ะ ได้เงินเยอะกว่าเดิม/
“อืม ดีใจด้วยนะครับ” ผมยิ้มให้กับลมกับแล้ง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้รับรู้หรอกว่าผมทำหน้ายังไง แล้วเราสองคนก็เงียบ ผมไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้ว่าเขาโทรหาผมทำไม เขาแค่อยากโทรมาเล่าสารทุกข์สุขดิบกับผมงั้นเหรอ ไม่แค่นั้นหรอกมั้ง...
/ฟี่...มีความสุขดีหรือเปล่า?/ น้ำเสียงเอื้ออาทรที่ไม่มีอะไรแอบแฝงทำให้ใจผมสั่น แค่วูบเดียว...
“ครับ ตอนนี้เรียนยุ่งๆ”
/ปีสองจะขึ้นปีสามก็งี้แหละ เดี๋ยวพอปีสามละหนักกว่านี้อีก/
“ครับ...”
/ถ้าพี่ย้ายไปแล้วเราก็คงห่างกันมากนะ.../
“แล้วพี่จะย้ายไปที่ไหนครับ”
/สุราษฯ/
“โห ไกลจัง”
/อืม.../
“....”
ผมคงไม่ต้องเล่าต่อว่าบทสนทนาของเราจบลงที่ตรงไหน พี่ตังค์แค่บอกว่าจะติดต่อมาอีก แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังหรือรอคอย เพราะผมเองก็แค่รู้สึกยินดีไปกับพี่เขาด้วยเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดอีก
เพราะผมไม่เคยมองกลับหลัง... อะไรที่ผมทิ้งมันไปแล้ว ผมจะไม่คว้ามันกลับมาอีก...

ผมตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมง ร้านเปิดแปดโมง มีเวลาอีกตั้งชั่วโมงนึง ผมเลยตัดสินใจทำมื้อเช้าไปกินที่ร้านดีกว่า ขนมปังก็มี ไส้กรอกก็มี ทำแซนด์วิชแล้วก็อบไส้กรอกไปน่าจะเวิร์ค ผมจัดแจงหากล่องทัพเพอร์แวร์มาใส่ของกินให้มิดชิด ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผมทำอาหารเช้าไปในปริมาณแค่ไหน...

จนได้เห็นสีหน้าตื่นเต้นของเขา...

“พี่ฟี่ น่ากินจัง ทำมาเผื่อณัฐด้วยใช่มั้ย?” ผมยิ้มให้กับเจ้าของใบหน้าหล่อที่ยังดูงัวเงียๆ ดูเขาคงไม่ชินกับการตื่นเช้าเท่าไร 
“อื้ม กินสิ” ผมมองของกินที่ผมเอามาแล้วก็นึกแปลกใจ นี่ผมทำมาสำหรับสองคนกินสบายๆเลยนะเนี่ย ตอนทำผมคิดอะไรอยู่นะ
“เดี๋ยวณัฐไปชงกาแฟมาเผื่อนะ” ว่าแล้วณัฐก็เดินเข้าไปในห้องพักแล้วชงกาแฟมาเผื่อผม เรานั่งกินมื้อเช้ากันหลังเคาเตอร์นั่นแหละ กาแฟที่ณัฐชงมามันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อจนผมเคลิ้มทีเดียว
“เป็นไงล่ะ ฝีมือผม” เจ้าตัวทำท่ายืดอกภูมิใจ
“รสดีมากเลย”
“แซนด์วิชพี่ฟี่ก็อร่อยมากนะ” ผมเชื่อครับ เพราะผมทำมาสามคู่ ณัฐฟาดไปสอง

ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้กินมื้อเช้ามานานมาก พอจัดการอาหารเรียบร้อยผมก็เดินไปจัดหนังสือการ์ตูนที่ชั้นบนให้เรียบร้อย ไม่ต้องแปลกใจว่าผมขยันนะครับ ที่จริงผมมีเจตนาแอบแฝง...
ผมทนอยู่ใกล้ณัฐไม่ได้ครับ เพราะผมคิดไม่ดี..
ผมอยู่กับณัฐในช่วงที่ร้านเงียบๆไม่วุ่นวาย ณัฐที่เพิ่งตื่น ณัฐที่ผมยุ่งๆ ณัฐที่ใส่ยีนส์เดฟเอวต่ำเห็นขอบบ็อกเซอร์ เวลาณัฐยกแขนสูงๆแล้วชายเสื้อเปิดจนเห็นหน้าท้องวับๆแวมๆผมก็ใจตุ๊มๆต่อมๆ
โคตรละอายใจเลย...

“พี่ฟี่ยังไม่มีแฟนเหรอ” ขณะที่เรากำลังนั่งว่างๆกันอยู่ณัฐก็เริ่มชวนผมคุย แล้วเขาก็ถามเรื่องแฟนขึ้นมา
“ยังหรอก แต่ก็เคยมีนะ”
“แล้วทำไมตอนนี้ไม่มีละครับ หรือถือว่าน่ารักเลือกได้”
“เอ่อ ช่วยชมว่าหล่อได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกครับ เพราะพี่ฟี่ไม่หล่อ แต่พี่ฟี่น่ารัก”
“ก็อยากจะเขินนะ แต่มันเป็นคำชมที่ทะแม่งๆ” ผมขมวดคิ้ว แล้วณัฐก็เอานิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากผม...

ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม
ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม
ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม

ผมบ้าไปเลยครับ ผมเขินแกะ(Sheep)หายเลย ผมจะเขินทำไมวะ แค่ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผมเองนะ!! ผมจะใจเต้นทำไมเนี่ย!
“ห้ามทำคิ้วขมวดครับ เดี๋ยวหน้าแก่นะ” ณัฐพูดเสียงเข้ม ผมก็ได้แต่พยักหน้า แล้วผมก็นั่งเขินไปแป๊บหนึ่ง
ผมมีเรื่องอยากถามเขา... ผมมานึกดู ตั้งแต่ที่เขาเริ่มทำงานมามันก็ห้าเดือนได้แล้ว(ไวเหมือนโกหก) เราก็คุยกันบ่อยและก็รู้จักกันมาพอแล้ว หากผมอยากถามเรื่องนี้ คงไม่เป็นไร(ละมั้ง??)
“ถามไรหน่อยสิณัฐ”
“ครับ?” เขาหันมาทำหน้าหล่อใส่ผม ทำไมน่ารักแบบนี้นะ...
“ทำไมถึงมีลูกไวจังเลย ณัฐเพิ่ง 19 เองนะ” ผมถามน้ำเสียงจริงจัง ณัฐนิ่งไปแวบหนึ่ง ไม่ใช่นิ่งโกรธ หรือไม่พอใจ แต่เป็นการคิดน่ะครับ นิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
“อืม...มันเป็นเรื่องฉุกเฉินครับ”
“ฉุกเฉินงั้นเหรอ?”
“เรื่องไม่คาดคิดน่ะครับ”
“ณัฐไม่ได้ตั้งใจให้ท้อง” ณัฐพูดเหมือนรู้สึกผิดแล้วก็เงียบไป ผมเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
“ณัฐจำได้ วันนั้น ณัฐพาแฟนไปไหว้พ่อแม่ที่บ้าน แล้วพ่อแม่ไม่อยู่พอดี ก็เลย...” อืม ผมเข้าใจครับ คนหนุ่ม อารมณ์ร้อน...
“ครั้งเดียวเองครับพี่ฟี่ เหอะๆ” ณัฐหัวเราะเสียงแห้ง ผมเองก็พูดไม่ออก ไอ้คนที่เขาอยากจะมีกันก็แสนยากเย็น แต่ทำไมไอ้คนที่วุฒิภาวะไม่พร้อมถึงได้มีง่ายจัง(วะ)
“ตอนแรกณัฐก็ไม่รู้ แฟนณัฐเขาจะไปเอาออก แต่ณัฐไม่ให้เอาออก” อืม...มีความคิดเหมือนกันแฮะ..
“ก็ดีแล้ว ยังไงเขาก็เป็นชีวิตเป็นเลือดเนื้อของเรา” ผมตบไหล่ให้กำลังใจเขา พอผมได้ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ผมรู้สึก...โล่งใจ..เพราะอะไรนะ...
“พี่ฟี่รู้มั้ย ช่วงนั้นน่ะ ผมเครียดมากเลยนะ แทบจะบ้าตาย ร้องไห้ทุกวัน กินข้าวปลาไม่ลง”  ผมนึกไปถึงครั้งที่สองที่ผมเจอณัฐ ลองคำนวณดูแล้วช่วงเวลามันก็พอดีกัน สงสัยช่วงนั้นที่ณัฐโทรมไปก็คงเพราะเรื่องนี้นี่เอง...
“ณัฐ ณัฐเป็นคนที่น่านับถือมากนะ ณัฐยังมีสามัญสำนึกของความเป็นคน แม้ว่าณัฐจะยังไม่พร้อม แต่ณัฐก็เลือกที่จะเก็บเขาไว้ ทั้งที่ณัฐจะเลือกหนีปัญหาไปก็ได้” ผมให้กำลังใจณัฐ ณัฐเป็นเด็กหนุ่ม เป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังคงมีสำนึกดี ถ้าผมจะบอกว่าความคิดดีๆของเขาทำให้ผมรู้สึกดีไปด้วยคงไม่เกินไปหรอกนะ
“ขอบคุณครับ” ณัฐยิ้มให้ผม จะผิดไหมถ้าผมจะบอกว่าอยากกอดเขา แต่อย่าเลย จะช็อกซะเปล่าๆ...

ผมจะจำเหตุการณ์วันนี้ให้แม่น วันที่เขาเปิดใจเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง วันที่อารมณ์รุนแรงของผมที่มีต่อเขาค่อยเจือจางลง ความปรารถนาและความสเน่หาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความหวังดี ผมหวังดีกับเขา ขอให้เขาจัดการปัญหาในชีวิตเขาไปได้
ตอนนี้ผมไม่เจ็บปวดแล้ว อาจจะมีปวดแปล๊บๆเวลาที่แฟนเขามาหา แต่ก็ไม่อิจฉาริษยารุนแรงเหมือนเมื่อก่อน

ผมรู้ตัวแล้ว ว่าถ้าผมชอบเขาจริง ก็ขอแค่ได้เห็นเขามีความสุขก็พอแล้ว แค่เห็นเขายิ้มได้ แค่เห็นเขามีความสุข ช่องว่างในใจผมมันก็เต็มตื้นขึ้นมาบ้าง...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.1 ขอโทษนะคะถ้าตอนนี้หดหู่น้อยไปหน่อย บังเอิญว่าวันนี้อารมณ์ดี :-[
ปล.2 ลืมบอกไปว่าเรื่องนี้เนี่ย ในแต่ละตอนบางทีอาจจะข้ามช่วงระยะเวลาไปหลายเดือนนะคะ เพราะว่าช่วงนี้เป็นเหมือนการเล่าเรื่องในอดีต
ซึ่งไคลแมกซ์มันอยู่ที่อนาคตค่ะ หึหึ

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 19-05-2011 17:31:34
จิ้มมม :z13:

มืดมนอย่างต่อเนื่อง
รอวันที่ฟ้าสดใสอยู่นะ ซิกๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 19-05-2011 17:51:36
คุณบีบีจะให้หดหู่น้อยกว่านี้อีกก็ได้นะ

ไม่ว่ากัน


แต่แบบไหนพี่ก็ชอบ ขอบคุณนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-05-2011 18:08:35
เป็นการอ่านนิยายที่ได้บรรยากาศที่สุด วันนี้แถวบ้านดิฉันฟ้าครึ้มมัวหม่นทั้งวัน
สลับกับฝนจั้กๆทั้งวัน อ่านนิยายที่ตัวเอกของเรื่องอยู่กับอาการหดหู่ๆ อร๊ายยยย....
อะไรมันจะเข้ากั๊นเข้ากันขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 19-05-2011 18:18:33
มารอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 19-05-2011 19:09:42
 :L2:
ไม่เป็นไรตอนนี้ยังมีความสว่างเล็กๆ เจืออยู่นะ
แค่ได้รักก็เพียงพอแล้ว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 19-05-2011 20:44:31
อ่านตอนนี้แล้ว ไม่ปวดใจ แต่ไม่ได้หวังว่าอยากให้มันหดหู่ทุกตอนนะคะ
ฟี่เริ่มเปิดใจ คิดบวกแล้ว บรรยากาศเลยไม่อึมครึม
ก่อนอ่านคิดว่า อ่านตอนนี้จบคงปิดคอม นอนได้เลยแบบว่าไม่มีอารมณ์จะทำอะไรต่อ :laugh:
แต่อ่านจบ ยังพอไหวอยู่ ยังเม้มได้ ยังท่องเล้าได้อีกนาน
เป็นกำลังใจให้น้องฟีฟี่ และ คนแต่ง  :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนท
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 19-05-2011 20:54:10
คนในอนาคตตตตตตต อยู่หนายยยยยยยยย :serius2:
อิอิ  :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 19-05-2011 20:56:04
อ่านแล้วอยากกอดฟี่ เผื่อฟี่จะรู้สึกดี(แต่กลัวจะเก็บไปฝันร้ายมากกว่า)
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 20-05-2011 00:01:12
 :เฮ้อ: ยังพอยิ้มได้ แต่เจอประโยคเด็ดคนเขียนเป็นเซ็งเลย

เรื่องนี้มันโศกนาฏกรรมแห่งรักโดยแท้  :z3:

แล้วพรุ่งนี้จะรออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 20-05-2011 00:54:53
อ่านถึงตอนนี้ตีความบางอย่างได้ว่า

ช่องว่างนั้นการทิ้งระยะห่างเพื่อคนที่เรารัก การเฝ้ามองดูคนที่เรารักด้วยความหวัง ดี มันคงมีความสุขมากกว่าการได้ครอบครอง ♥
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 20-05-2011 02:27:40
แล้วใครมันคือพระเอกเนี่ยยยยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 20-05-2011 04:16:00
โอยยย // เอาหัวชนกำแพง
ให้มันได้แบบเน้เซ้ๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วเมื่อไหร่ฟี่จะมีความสุขสกที
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 20-05-2011 06:47:17
เฝ้ารออนาคตอยู่นะคะ หวังว่าคงไม่หดหู่กว่านี้น๊า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 7 (19/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 20-05-2011 07:26:11
 :L2:
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 8
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 20-05-2011 08:26:53


วันนี้เป็นวันฉลองครับ ฉลองให้กับโอกาสที่ผมเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ครบ 21 ปี และเป็นเรื่องที่น่าดีใจว่ามีคนเกิดเดือนเดียวกันในวันที่ใกล้ๆกับผมด้วย
“ตอนแรกพี่กะว่าจะจัดตอนวันเกิดณัฐ แต่คิดไปคิดมา อีกห้าวันก็วันเกิดฟี่แล้ว เลยรอวันเกิดฟี่ก่อน” พี่แก๊บบอกขณะกรอกแอลกอฮอล์บำรุงตับอย่างเมามันส์
“หึ อย่าลืมวันเกิดเชอรี่แล้วกัน” เชอรี่แอบจกแยมบนชิ้นเค้กของผมไปกินหน้าตาเฉย แต่ผมก็ชินซะแล้วละ
“?” ช้อนคันที่มาจ่อตรงปากผมทำให้ผมประหลาดใจสุดๆ ณัฐเอาช้อนปาดแยมจากเค้กในจานของตัวเองแล้วยื่นมาที่ผม
“ณัฐให้” ป๊าดดดด ถ้าผมเป็นตัวการ์ตูน  คงหน้าแดงแปร๊ดไปแล้วครับ แต่ผมยังเก็บอาการได้ ผมอ้าปากกินแยมจากช้อนของณัฐ ช้อนที่ณัฐใช้กินเค้ก ช้อนที่ณัฐเอาเข้าปากตัวเองไปแล้ว นี่มันจูบทางอ้อมมมมม~~
“ณัฐ ป้อนเชอรี่บ้างซี่” เชอรี่ขยับมาเกาะที่ขาณัฐแล้วก็อ้าปากขอให้ณัฐป้อนบ้าง แต่ผมไวกว่าครับ ผมตักเค้กในจานผมแล้วป้อนเชอรี่อย่างทันท่วงที
“ถ้าเป็นเชอรี่น่ะเดี๋ยวฟี่ป้อนเองนะ” ผมยิ้มหวานให้เชอรี่ เชอรี่ก็ทำจิกตาใส่ผมแต่ก็กอดคอผมไว้แน่น
“แหม น่ารักแบบนี้เชอรี่รักฟี่ตายเลย”
“พี่เชอรี่ กอดว่านแบบนี้มั่งสิ” น้องนุชสุดท้องของพวกเราสะกิดเชอรี่ยิกๆ เชอรี่จึงหันไปลูบหัวเบาๆและบอกให้รอไปอีกสิบปี

พอเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น งานเลี้ยงก็ต้องเลิกรา ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน เชอรี่และว่านกลับบ้านทางเดียวกับพี่แก๊บ
พี่แก๊บจึงอาสาไปส่ง ส่วนบ้านของณัฐอยู่เลยจากอพาร์ทเมนท์ผมไปอีก และวันนี้ผมไม่ได้เอารถมา จึงติดรถณัฐกลับไปด้วย

 “เกาะดีๆนะพี่ฟี่ เดี๋ยวณัฐจะซิ่งละ” ณัฐดึงแขนผมให้ไปจับเอวเขาไว้ ผมนะมือสั่นอย่างหนักจนกลัวว่าณัฐจะรู้สึกได้ อยู่ใกล้แบบนี้ผมก็ได้กลิ่นตัวของณัฐแบบเต็มๆ ถ้าผมสามารถเก็บกลิ่นของเขาใส่ขวดไว้ได้ผมก็จะทำ หึ...ผมไม่ได้โรคจิตนะ...
“พี่ฟี่ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษา” ขณะที่ผมกำลังลวนลามณัฐทางจมูกนั้นเขาก็พูดขัดจังหวะผมขึ้นมา เมื่อกี้เขาบอกว่าจะปรึกษาผมงั้นเหรอ?
“หืม? อะไรเหรอ”
“ขอแวะจอดแป๊บได้มั้ย”
“อือ” พอผมอนุญาต ณัฐก็เลี้ยวรถไปตรงสวนที่ผมเคยมาวิ่งจ๊อกกิ้ง ณัฐจอดรถแล้วตั้งขาหยั่งก่อนจะลงจากรถไปนั่งยองๆที่พื้น ผมเลยเดินไปนั่งข้างเขา
“...” ผมเห็นเขาเงียบก็เลยไม่กล้าพูด บางทีเขาอาจกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ ผมเลยยิ่งไม่กล้าขัด

“สัญญาได้มั้ยว่าถ้าณัฐเล่าแล้ว อย่าหาว่าณัฐเลวเลยนะ” ผมเหวอเลยครับ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมชักไม่มั่นใจเสียแล้วว่าผมมีค่าคู่ควรพอจะฟังเรื่องจากปากเขาหรือเปล่า
“ณัฐ ถ้ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากละก็ ลองเล่าให้คนใกล้ๆตัวฟังดีกว่ามั้ย” อย่างเช่นแฟนณัฐไงล่ะ...
“ไม่หรอก ณัฐอยากเล่าให้พี่ฟี่ฟัง ได้มั้ยครับ” อูย...ผมแพ้คนสุภาพ ผมแพ้คำพูดเพราะๆ ใจผมละลายเป็นน้ำเลยครับ
“พี่จะเป็นผู้ฟังที่ดีแล้วกัน”
“ขอบคุณนะครับ”
แล้วณัฐก็ถอนหายใจก่อนจะเล่าให้ผมฟัง แต่ก่อนอื่นผมจะขออธิบายก่อนว่าทำไมผมกับณัฐจึงดูเหมือนสนิทกันมากจนณัฐไว้ใจผม เนื่องจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ผมได้รับรู้เรื่องราวของณัฐได้ทำให้ผมใกล้ชิดกับเขามากขึ้น เราสนิทกัน ณัฐกล้าเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง และผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนเต็มคนขึ้นมา ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมมีคุณค่า ผมไม่ค่อยรู้สึกว้าเหว่ การที่ผมได้รับรู้ว่ายังมีณัฐอยู่ ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกใบนี้มีอะไรมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองหัวใจเขาก็ตาม...

“ช่วงนี้ณัฐกับแฟนไปกันได้ไม่ค่อยดี...” โอ..นี่เป็นข่าวใหม่ครับ เป็นเรื่องไม่ดีสินะ แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะยิ้ม..
“ทำไมละ”
“ไม่รู้สิ เราทะเลาะกันบ่อยๆ เรามักจะมีเรื่องขัดใจกันแบบไม่มีสาเหตุ เรียกว่ามองหน้ากันบางทีก็เคืองกันแล้วอะ” อย่างที่ณัฐบอกมาผมก็เข้าใจนะ เพราะผมก็เคยเป็นมาก่อน
“แล้วผมก็เลย...ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง...” ตายละ สัญญาณอันตรายในหัวผมวิ่งวนเลย มันเริ่มมีกลิ่นตุๆเสียแล้ว
“ผมมีคนอื่น...ผมมีผู้หญิงคนอื่น...”

คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกค้อนอันใหญ่ฟาดกบาลมั้ยครับ นั่นละ ความรู้สึกผมตอนนั้น...

“เมื่อไร...” น้ำเสียงผมสั่นนิดๆ ผมถามในเรื่องที่ไม่น่าจะถาม แต่ผมก็อยากรู้...
“ประมาณเกือบเดือนแล้วครับ...” เด็กหนุ่มวัยยี่สิบหมาดๆคนนี้นั่งกุมขมับ เขาเองคงรู้สึกผิดมากมายเหมือนกัน
“มีอะไรกันหรือเปล่า?”
“ครับ สองครั้ง...” คุณผู้อ่านครับ ไอ้ฟี่อยากกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรที่ได้ทำแบบนั้น ผมเองชอบเขาแทบตายยังพยายามหักอกห้ามใจ แล้วผู้หญิงคนนั้นกล้าดียังไง!!!!
“ณัฐชอบเขาหรือเปล่าละ” แต่ผมยังรักษาท่าทีไว้ได้ครับ ทั้งที่ตอนนี้เหมือนน้ำตาผมจะหยดอยู่รอมร่อ เหมือนมีเข็มพันเล่มพุ่งมาปักบนหัวใจของผมเลย
“ก็ชอบ... นะ...” โอ...ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าเป็นเรื่องนี้ผมไม่น่ารับปากเป็นที่ปรึกษาให้เขาเลย...
“ณัฐ พี่คงตัดสินให้ไม่ได้หรอกนะว่าณัฐควรจะทำยังไง ณัฐต้องลองคิดดูเองดีๆ ว่ามันคุ้มค่ามั้ยที่ณัฐจะต้องเสียครอบครัวไปเพราะผู้หญิงคนอื่น บางทีมันอาจเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบก็ได้”
“...” ณัฐไม่ได้ตอบอะไรผม แต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังคิด ณัฐกำลังนึกตามที่ผมพูด ผมเองพูดไปก็หดหู่ไป ทำไมผมต้องมาให้คำแนะนำเรื่องหัวใจกับคนที่ผมชอบด้วยนะ...
“ใจเย็นๆนะ” ผมแตะมือณัฐเบาๆ เรานั่งกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ณัฐก็บอกว่าจะไปส่งผม
เจ็ดเดือนหลังจากที่ผมไม่เคยหลับไปทั้งน้ำตา...แต่คืนนี้ผมต้องนอนร้องไห้อีกแล้ว...ผมอกหักครับ อกหักเพราะผู้ชายที่ผมชอบซึ่งเป็นสามีคนอื่นแอบไปมีชู้...

“เหยด...ทำไมหน้าโทรมแบบนี้ละเนี่ย...” ผมตื่นขึ้นมาเช้านี้ด้วยสภาพที่ตาช้ำแดงเพราะร้องไห้มาอย่างหนัก วันนี้ผมมีสอบด้วย
โฮกกก ดีนะที่เป็นสอบภาษาอังกฤษ เลยชิลล์ๆ
ก๊อก ก๊อก
ผมเดินไปที่ประตูห้องแล้วจ้องผ่านตาแมว ไอ้คิงมาเคาะห้องผมแต่เช้า สงสัยจะหิว
“เฮ้ย มึงเป็นไรวะฟี่” มันอุทานแบบโอเวอร์แอ๊คติ้งเมื่อเห็นสภาพหน้าผมจนผมรู้สึกคันเท้าตงิดๆ
“เป็นคน” ผมเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากจ้องหน้ามัน ไม่รู้ทำไมพอเห็นมันแล้วผมอยากจะร้องไห้อีกรอบ
“เฮ้ย มีไรป่าววะ บอกกูได้นะ” ผมส่ายหัวให้มัน ไม่บอก ยังไงผมก็ไม่บอกเว้ย
“ว่าแต่มีไรให้กินปะ” นั่นไง ไอ้เวร... ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วเอากล่องอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งยัดใส่เวฟให้มันแล้วเดินไปอาบน้ำโดยไม่สนใจเสียงบ่นงุ้งงิ้งของมัน (ไอ้คิงมันไม่ชอบกินอาหารสำเร็จรูปครับ)

น้ำเย็นๆจากฝักบัวช่วยให้ผมตาสว่างและสมองโล่งขึ้นมาได้บ้าง ผมถูสบู่ไปตามร่างกายจนห้องน้ำมีแต่ฟองเต็มไปหมด ผมชอบอาบน้ำ ชอบให้ผิวกายของผมได้สัมผัสน้ำ และผมจะชอบมากกว่านี้ถ้ามีใครสักคนที่จะมาอาบน้ำด้วยกันกับผม...
“อ้าว แดกไวจริง..” พอผมพันผ้าเช้ดตัวออกมาจากห้องน้ำ ไอ้คิงก็ไปแล้วครับ เหลือไว้แต่กลิ่นข้าวผัดจากไมโครเวฟกับช้อนใช้แล้วในอ่างล้างจาน สันดาน...กินแล้วก็ไม่ล้าง..

ผมเดินไปแต่งตัวตรงหน้ากระจกแล้วจ้องมองใบหน้าตัวเอง ผมดูโทรมเป็นบ้า พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็พาลจะร้องไห้ แต่น่าแปลกว่าผมอยากร้องไห้มากมาย แต่ไม่ยักกะเศร้าเท่าไร...
เมื่อก่อนผมไม่ร้องไห้บ่อยนัก ผมมักจะกลั้นมันไว้ แต่ผมเพิ่งมาคิดได้ว่าบางทีการร้องไห้ออกไปอาจจะดีกว่า เพราะมันทำให้ผมได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้าง แต่วิธีนี้ก็คงใช้กับคนที่มีความเศร้าเป็นปกติแบบผมไม่ได้บ่อยนักหรอก...
“ณัฐ...” ทำไมคนๆนี้ถึงได้มีอิทธิพลกับผมนักนะ ทั้งทำให้ผมสดใสขึ้น ทำให้ผมเศร้าลง ทำให้ผมกินได้ ทำให้ผมกล้ำกลืน ทำให้ผมบินได้ และทำให้ผมร่วงหล่น...
ผมต้องทำอะไรสักอย่างกับความรู้สึกนี้แล้ว...

แต่ผมก็ไม่ทันได้จัดการอะไร...
เพราะสวรรค์คงขีดเส้นทางไว้ให้ผมแล้ว...
“ถึงสิ้นเดือนนี้เหรอ?” ผมถามณัฐซ้ำอีกรอบ ทำไมอะไรๆถึงรวดเร็วแบบนี้...
“ว้า คิดถึงแย่เลยเนอะ” เชอรี่บ่นเสียดายเมื่อได้ยินณัฐบอกว่าจะลาออกไปทำงานที่อื่นสิ้นเดือนนี้ ผมเองก็ใจหายวาบเมื่อนึกถึงว่าจะไม่ได้พบเจอและพูดคุยกับณัฐเหมือนเดิม
“แล้วจะไปทำที่ไหนเหรอ”
“เพื่อนณัฐชวนไปทำคอลเซ็นเตอร์ มันได้เยอะกว่าที่นี่น่ะครับ” ณัฐยิ้มเศร้าๆ ผมเข้าใจดีว่าทำไมณัฐต้องหางานอื่นทำ เพราะสำหรับคนที่ยังเรียนและมีลูกแล้วก็คงต้องการงานพิเศษที่จะทำนอกเวลาเรียนและมีรายได้ดีไปพร้อมๆกัน แล้วไอ้งานคอลเซ็นเตอร์เนี่ย มันก็ทำเป็นกะกลางวันกับกลางคืน ถ้ากลางวันไปเรียน กลางคืนก็ไปทำงานได้สบายๆ
“แล้วเดี๋ยวเชอรี่จะโทรไปป่วนนะ อิอิ” ผมไม่ได้สนใจแซวหรืออะไรอย่างที่เชอรี่ทำหรอกครับ เพราะตอนนั้นสมองของผมมันอื้ออึงไปหมดแล้ว...

“ฟี่... ใจหายหรือเปล่า?” เชอรี่ถามผมในตอนดึกที่ลูกค้าไม่ค่อยมีแล้ว วันนี้ผมเข้ากะกับเชอรี่ครับ
“ก็นิดนึงนะ...” ผมตอบไปแบบกลางๆ เพราะถ้าเอาตามจริงแล้วผมช็อกถึงขนาดว่าตั้งตัวไม่ทันเลยแหละครับ ใบ้แดกไปห้าวิทีเดียว
“เชอรี่ไม่อยากให้ณัฐออกเลย” เชอรี่ทำหน้าเศร้าจนผมอดสงสัยไม่ได้
“ทำไมล่ะ” ผมคิดว่าจะมีผมคนเดียวเสียอีกที่สมควรทำหน้าเศร้า
“ก็ตั้งแต่ที่ณัฐมา ดูฟี่จะร่าเริงตลอดเลย ถ้าณัฐไม่อยู่แล้ว ฟี่จะยิ้มแย้มแบบนี้อีกหรือเปล่า”
“เชอรี่...” เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้สึกซาบซึ้งอย่างจริงจังกับความหวังดีของเชอรี่ ผมเพิ่งเข้าใจว่าการที่ได้รับรู้ว่ามีคนที่ยังรักเราอยู่มันช่างดีเหลือเกิน...
“ถ้าเชอรี่อยากให้ฟี่ร่าเริง ฟี่ก็จะร่าเริง ฟี่ขอโทษนะ ถ้าเมื่อก่อนฟี่ไม่เคยเข้าใจความปรารถนาดีของเชอรี่และของทุกคน ฟี่ขอโทษถ้าฟี่เอาแต่อมทุกข์ หดหู่อยู่คนเดียว..”
“ไม่เป็นไร แค่วันนี้ เวลานี้ ฟี่เข้าใจก็พอแล้วนะ” เชอรี่ตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ ผมเลยยกมือขึ้นมาประคองสองแก้มของเธอเบาๆและขอบใจเชอรี่สำหรับความหวังดีที่เชอรี่มีให้ผมเสมอมา
“เชอรี่เป็นเพื่อนรักของฟี่นะ”

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกครับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ณัฐจะมาทำงาน ณัฐเข้ากะเช้า ผมเข้ากะเย็น ถ้าบางทีผมโชคดีอาจสวนกับณัฐพอดี ผมรีบบึ่งน้องฟิโอเร่ไปที่ร้านอย่างว่อง จอดรถเสร็จสรรพก็เดินเข้าร้านไปโดยไม่ทันเก็บหมวกกันน็อคไว้ที่รถด้วยซ้ำ
“อ้าวพี่ฟี่ นึกว่าจะไม่ได้เจอเสียแล้ว” คนที่ผมอยากเจอยืนอยู่หน้าเคาเตอร์ครับ ผมอยากจะเดินเข้าไปกอดเขาเลยด้วยซ้ำ แต่สายตาผมก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนเดียวกันกับคนที่เป็นแม่ของลูกเขา...
“มารอณัฐเหรอครับ” ผมทักเธอไปโดยยั้งปากไม่ทัน แต่เธอก็ทำเพียงแค่พยักหน้ายิ้มรับกับผมเท่านั้น
“แล้วจะไปที่อื่นกันต่อเหรอเนี่ย” เชอรี่ช่างเป็นผู้กู้สถานการณ์ฝีมือฉกาจ ผมในตอนนั้นรู้ตัวเลยว่ากำลังจะกินหัวแม่นั่นอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะมาทำไมวันนี้ เอ๊ะ! นี่ผมเรียกแฟนณัฐว่า ‘แม่นั่น’ งั้นเหรอ ไม่ได้ๆ ผมจะไม่ใช้คำพูดแย่ๆเรียกจิกแทนคนอื่นแบบนั้นอีก
“ว่าจะไปหาอะไรกินครับ” ณัฐตอบแล้วหันไปพูดคุยอะไรกับเธอไม่รู้ ผมเองเห็นแล้วก็ต้องเบือนหน้าหนี ไปทางอื่น และตัวเลือกของผมก็คือห้องพักพนักงาน ผมเดินลิ่วเข้าไปข้างในและไม่สนใจจะพูดคุยกับใคร

เมื่อผมออกมาอีกครั้งณัฐก็ออกไปแล้ว เชอรี่ละสายตาจากลูกค้าแล้วหันมาทำปากพะงาบๆกับผม
‘ณัฐ ไป แล้ว’
ผมอ่านปากเชอรี่ได้อย่างนั้น ผมเพียงแต่ยิ้ม ยิ้มให้กับความน่ารังเกียจของตัวผม ทำไมที่ผมคิดว่าผมทนได้เวลาเห็นพวกเขาสองคนนั้น พอเอาเข้าจริงผมก็พ่ายแพ้ยับเยิน หากเปรียบพวกนั้นเป็นคู่ต่อสู่ในสมรภูมิ ผมคงตายกลับมาหลายครั้งหลายครา
ผมไม่ขอใส่ใจเรื่องนี้อีก ในเมื่อณัฐเองก็จากไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไร เพราะตารางเวลาในการดำเนินชีวิตของเราไม่เหมือนกัน หากลองคิดดีๆ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะช่วยให้ผมตัดใจจากเขาได้


----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.เห็นคอมเมนท์ของผู้อ่านที่รัก<3 บางคนแล้ว ว่าอยากให้หดหู่น้อยกว่านี้ ><
ก็อยากให้อดใจรอกันหน่อยค่ะ ในตอนนี้บีต้องการที่จะนำเสนอด้านมืดที่คนๆนึงจะสามารถแสดงออกมาได้
เชื่อว่าทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาที่เฟลสุดๆ จนท้อแท้ จนคิดว่าทนไม่ไหว
แต่อย่างที่เขาว่ากันค่ะ ฝนไม่ตก ฟ้าไม่ครึ้มไปตลอดกาล  :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 20-05-2011 08:50:43
น้องบี มันมืดมนมากค่ะ
พี่ห่อเหี่ยวมาก แอร๊ยยยยส์
ทำไมถึงทำกับฉันได้ อะฮึกอะฮึก

รอตอนต่อไปนะคะ ถึงจะโศกพี่ก้อจะตามอ่าน
ฮือออออ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 20-05-2011 08:59:22
เห็นว่าอัพ แต่ยังไม่ไหวจะอ่าน แอบเปิดในที่ทำงาน ปริ้นมาเก็บไว้อ่านตอนนั่งรถกลับบ้าน
จะได้แผ่หมอกมืดมนแก่เพื่อนร่วมเดินทางกลับด้วยกัน :laugh:
คนแต่งขยันอัพถี่ หรือว่าหลอกให้ดีใจช่วงนี้ช่วงเดียว :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 20-05-2011 09:13:12
น้องบี

พี่อ่านแล้วหดหู่  จนเหี่ยวไปทั้งตัวแล้วเนี่ย

 :z13:  :z13: จิ้มสองที โทษฐานทำให้เหี่ยว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 20-05-2011 16:49:32
 :เฮ้อ: :sad4:
เศร้ามากมาย ไม่มีคำพูดนี่แหละผู้ชาย
มีเพื่อนเจอแบบนี้แล้วเหมือนกันเศร้าอะ
แล้วจะรออ่านต่อนะ
ปล.ถ้าจะเศร้าเอาให้มันสุดๆไปเลย แล้วฟ้าหลังฝนจะได้มาเยือนบ้าง 555
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 20-05-2011 17:35:45
นั่นซีคะน้องบี อ่านไปก็ได้แต่ปลอบใจน้องฟี่ในเรื่องไปด้วย(ปลอบใจตัวเองไปด้วย อิ  อิ) ว่า...
ตอนนี้เป็นกลางคืน เดี๋ยวก็สว่างแระ ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป (ใกล้บวชเข้าไปทุกทีปะคะ)
หวังว่าน้องบีคงเขียนด้านสว่างของน้องฟี่บ้างนะคะ จะรออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 20-05-2011 18:43:50
มันหดหู่แต่เหมือนเสพติดแล้วอ่ะ ยังไงก็อยากอ่าน
สงสารฟี่ แต่ดีแล้วที่ไม่มากไปกว่านี้กับณัฐ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 20-05-2011 20:59:58
ดราม่า คือชีวิต เสพติดกันทุกวัน
ขาดสักวัน ชั้นคงตาย

อะไรประมาณนั้น
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 20-05-2011 21:50:50
อ่านแล้ว เจ็บเหมือนกัน รักคนที่รักไม่ได้ รัคนที่ไม่เคยมองเรา เฟลแดก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 20-05-2011 22:54:43
มารอตอนต่อไปครับ
สงสารฟี่อ่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 21-05-2011 04:21:50
เมื่อไหร่พระเอกจะเกิดคะ  :z3:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-05-2011 06:39:59
หมองหม่น รอวันฟ้าเปิดค่่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 21-05-2011 23:40:20
แวะมาดัน อยากอ่านมากตอนนี้ถึงขั้นติดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 22-05-2011 14:02:31
เศร้าตลอด
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 8 (20/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 22-05-2011 15:31:01
เมื่อไหร่พระเอกจะเกิดคะ  :z3:


ไม่บอกค่ะ 55+
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 9
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 22-05-2011 15:34:06


วันเวลาที่หมุนเวียนไปเรื่อยๆพาให้ฤดูกาลเปลี่ยนผัน จากฤดูฝนย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเหงาไม่สมควรโดดเดี่ยวมากที่สุด เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? ก็เพราะว่าไอ้อากาศที่หนาวเย็นเนี่ย นอกจากมันจะบาดผิวเนื้อของเราให้แห้งแตกแล้ว ความหนาวมันยังกัดกินเข้าไปถึงในหัวใจของเรายามที่เราเห็นคู่รักเดินโอบกันมาน่ะสิ...
 
นับตั้งแต่วันที่ณัฐลาออกไป ผมก็เปลี่ยนปฏิทินไปหกรอบแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ความรู้สึกของผมมันก็ไม่เคยหมดหรือเปลี่ยนไป บางครั้งเวลามาทำงาน ผมก็ยังมองหาเขา เชอรี่ได้เจอณัฐบ้างเวลาที่ณัฐแวะมายืมหนังสือ แต่ผมเจอแค่สองสามครั้งเอง ณัฐผมยาวขึ้น ทำให้ดูเซอร์กว่าเดิม แต่ผมชอบตอนเขาผมสั้นมากกว่าแฮะ

ที่สำคัญ ทุกครั้งที่ผมเจอณัฐ เขามาคนเดียว และไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวเขาเลย บางทีอาจะเป็นเพราะผมกับเขาห่างกัน จนกลายเป็นเพียงคนรู้จักกันไปแล้วก็ได้... ผมจึงไม่กล้าถามไถ่เรื่องส่วนตัวของเขาอีก

ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยละความพยายาม ผมพยายามมองหาณัฐในทุกที่ๆผมคิดว่าเขาน่าจะไป มันเหมือนเป็นสัญชาติญาณใหม่ของผม ที่จะสอดส่ายสายตามองหาคนที่เคยเติมเต็มหัวใจผมได้ บางทีที่โชคดีหน่อย ผมก็จะได้เจอเขาแบบผ่านๆ ไอ้ที่ผมคิดว่าถ้าเราไม่เจอกัน ไม่อยู่ใกล้กัน ผมอาจจะตัดใจได้ เอาเข้าจริงแล้วผมทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ก็ดูสิ ผมยังนึกถึงเขาเสมอเลย

แต่แล้วโอกาสที่ผมจะได้เจอเขาก็ลดน้อยลงไปอีก เมื่อผมต้องลาออกจากงานพิเศษ เพราะต้องฝึกงานและทำโปรเจ็คท์จบ ผมยุ่งจนหัวหมุน ชีวิตวันๆอยู่แต่ที่ฝึกงาน มหาวิทยาลัย อพาร์ทเมนท์ ไม่มีเวลาจะเถลไถลไปที่อื่นเสียด้วยซ้ำ เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับณัฐก็กลายเป็นแค่คนที่เคยรู้จักกัน เวลาที่บังเอิญเจอกันในร้านหนังสือ หรือแถวนั้น ผมกับเขาแค่ทักทายกันประสาเพื่อนเก่า มีเพียงรอยยิ้มและถ้อยคำเอื้ออาทร ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสเขาเหมือนที่เคยทำ และผมก็ได้เรียนรู้อย่างหนึ่ง ว่าเราสองคนคงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกันได้...


สองปีผ่านไป...

“พี่ตังค์ ผมกำลังไปนะ รอที่นั่นแหละ” ผมวางสายแล้วยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสแล็คขายาว วันนี้งานมีปัญหานิดหน่อยทำให้เสร็จช้า ก็ไอ้ลูกค้าจอมจุกจิกน่ะสิ ที่สั่งให้ผมปรับโน่นนี่ไม่เลิกราจนผมเกือบจะเอาแล็ปท๊อปฟาดกบาลเข้าให้

ผมขึ้นรถตู้ไปยังสถานที่ที่ผมนัดกับคนรักเก่าเอาไว้ พี่ตังค์เพิ่งย้ายจากสุราษฯมาได้ไม่กี่เดือน เขาบอกกับผมว่าคราวนี้จะมาประจำที่กรุงเทพสองเดือน แล้วก็จะย้ายไปทางภาคเหนือ พอมีโอกาสเราเลยนัดไปเจอกันก่อนที่พี่ตังค์จะย้ายไปอีก

“พี่เริ่มรู้สึกอยากจะอยู่ประจำที่แล้วแหละฟี่” ผมเงยหน้ามองพี่ตังค์ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าขาวนวลบ่งบอกความเป็นลูกเสี้ยวจีนดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ผมไม่ได้ตอบรับหรือแสดงความเห็นใดๆกับคำพูดนั้นของเขา
“นายจะไม่ถามพี่หน่อยเหรอว่าทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น”
“ไม่หรอกครับ มันก็คงเป็นเหตุผลส่วนตัวของพี่...” ผมไม่ได้หมายความอย่างที่ผมพูด ผมรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพี่ตังค์น่ะอยากจะกลับมาคืนดีกับผม แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น
“พี่อยากกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับนายนะฟี่” อา...เขายังดันทุรังที่จะพูด ทำไมคนๆนี้ถึงไม่เคยเรียนรู้มารยาททางสังคมเลยนะ
ผมไม่ชอบคนที่พูดไม่รู้เรื่อง ผมไม่ชอบคนที่เอาแต่คิดจะแก้ไขเรื่องในอดีต ผมไม่ชอบคนที่ย่ำอยู่กับที่ ผมไม่ชอบคนที่ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่พี่ตังค์อยากกลับมาคบกับผมคืออะไร เขาจะรักผมจริง หรือเขาหาใครอื่นไม่ได้แล้ว ? ไม่ว่าสาเหตุมันจะเป็นอะไรก็ตาม ผมไม่เคยคิดจะกลับไปคบกับเขาแม้แต่น้อย...
“พี่ตังค์ครับ ถ้าผมรู้ว่าเรามาเจอกันครั้งนี้มันจะทำให้ผมต้องมานั่งฟังพี่พูดถึงแต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ละก็ ผมจะไม่มาเจอพี่ให้เสียเวลาหรอกครับ” ผมวางแบงค์ร้อยไว้บนโต๊ะกาแฟแล้วเดินออกมา ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นนั่งเอ๋ออยู่คนเดียวที่โต๊ะ  ส่วนตัวผมขอกลับไปพักผ่อนให้หายปวดประสาทจะดีกว่า

ที่อยู่ใหม่ของผมเป็นทาวน์เฮาส์ที่มีโครงสร้างแบบโมเดิร์นตามที่ผมใฝ่ฝัน สาเหตุที่ผมไม่ซื้อรถ เพราะผมอยากมีบ้าน ผมเบื่อที่ต้องเสียเงินเช่าอพาร์ทเมนท์ทุกเดือนทั้งที่เราสามารถเอาเงินค่าเช่ามาผ่อนบ้านได้เลยด้วยซ้ำ บ้านหลังนี้อาของผมใจดีช่วยค้ำประกันและให้ผมยืมเงินดาวน์ ผมเอาเงินเก็บตั้งแต่สมัยที่ผมทำงานพิเศษมาตกแต่งบ้านให้เป็นวิมานของผม ส่วนเรื่องรถน่ะ บริการขนส่งสาธารณะมีเยอะแยะไป ไม่อยากนั่งรถเมลล์ก็นั่งรถตู้สิครับ ไม่ต้องขับเองด้วย

ผมเดินไปที่โต๊ะกินข้าวสำหรับหกคนซึ่งผมเอาแล็ปท๊อปมาตั้งไว้ ผมเปิดเครื่องแล้วเดินไปหาอะไรเย็นๆมาดื่มแก้หงุดหงิด ช่วงนี้ผมติดน้ำอัดลมเป็นบ้า ต้องมีเป๊ปซี่ติดบ้านไว้เป็นลังเลยแหละครับ ไอ้ทัชมันบอกว่าสักวันกระเพาะผมคงทะลุเพราะดื่มเป๊ปซี่แทนข้าว

ประตูกระจกบานใหญ่ถูกเปิดออกเพื่อให้ลมพัดเข้ามา ผมชอบหิ้วแล็ปท๊อปไปนั่งเล่นตามส่วนต่างๆในบ้านแล้วแต่ผมจะพอใจว่าวันนี้อยากนั่งตรงไหน วันนี้เป็นคิวของโต๊ะกินข้าวสุดรักที่ผมขอให้ที่บ้านเม้งช่วยประกอบให้ในราคาพิเศษ

อันดับแรกที่ผมต้องทำคือเช็คเฟสบุ๊ค ผมเพิ่งจะมาติดไอ้เฟสบุ๊คนี่ช่วงประมาณปีสี่ ช่วงที่ผมไม่ค่อยได้เจอกับเชอรี่ เธอจึงบังคับให้ผมเล่น เพื่อที่ว่า ‘เชอรี่จะได้คุยกับฟี่ผ่านทางนี้ได้’

หน้าเพจเฟซบุ๊คแจ้งเตือนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมคลิกดูข่าวคราวอัพเดทของเพื่อนๆ เชอรี่โพสสเตตัสบอกว่าวันนี้เจอหนุ่มหล่อหน้าตาน่ารักมาก ไอ้ทัชก็ไปโพสของเชอรี่ต่อว่า ทำไมนอกใจทัชละครับ ผมอ่านไปก็นั่งหัวเราะไป และในขณะที่กำลังเพลินๆอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นคำขอเพิ่มเป็นเพื่อนที่เด้งขึ้นมาใหม่พอดี ผมคลิกไปดูว่าใครกันนะที่ขอผมเป็นเพื่อน...

นี่สินะ... ที่เรียกว่าฟ้าหลังฝน...
ผมตอบรับคำขอเป็นเพื่อนนั้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของคนบนหน้าจอนั้นดูเปลี่ยนแปลงไปพอควร นานเท่าไรแล้วแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน ครึ่งปี หนึ่งปี ไม่สิ หนึ่งปีครึ่งต่างหาก... ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆที่เขาต้องห่างกันนั้นจะไม่ได้พบเจอกันนานแค่ไหน อาจจะมากกว่าผม อาจจะเป็นสิบปี แต่สำหรับผมกับเขา ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งช่างนานเหลือเกิน ครั้งสุดท้ายที่เราเดินสวนกันและได้พูดคุยแค่สองประโยคนั้นมันก็ไม่ต่างจากไม่ได้พบกันหรอก

‘ณัฐดูโตขึ้นมากเลย...’ ผมพิจารณาใบหน้าในอัลบั้มรูปของเขา ไม่มี... ไม่มีรูปครอบครัวหรือลูก มีแต่รูปของเขา สถานที่ที่เขาไป รูปเขากับเพื่อนๆ

น้ำตาผมเกือบไหลในขณะที่มองดูรูปเขา ผมไม่ได้เศร้า ตรงข้ามกันผมดีใจด้วยซ้ำ แต่บางครั้งเมื่อมนุษย์รู้สึกตื้นตันมากๆก็ไม่แปลกนี่นาถ้าเราจะอยากร้องไห้ บางรูปณัฐดูเซอร์ ผมยาว ไว้หนวด อิมเมจผิดไปจากที่ผมรู้จักเลย แต่รูปปัจจุบันล่าสุด ณัฐตัดผมสั้นเรียบร้อย จมูกโด่ง ดวงตาคม และไรหนวดจางๆ ผมคิดว่าถ้าผมโรคจิตเข้าขั้นอาจจะจูบลงไปบนหน้าจอแล็ปท๊อปเลยด้วยซ้ำ

ตึงตึ๊ง~

เสียงที่ผมไม่คุ้นเคยดังจากแล็ปท๊อปผมพร้อมกับที่หน้าจอเล็กๆผุดจากมุมล่างขวาของหน้าจอ มันคือระบบแชทของเฟสบุ๊คซึ่งผมไม่ค่อยได้ใช้งานฟังก์ชันนี้เท่าไร ก็ผมไม่ชอบแชทน่ะ มีอะไรโทรคุยดีกว่าไหม?

แต่กรณีนี้ กับคนนี้ ณ เวลานี้ ถ้าผมไม่พิมพ์ตอบกลับไป ผมว่าผมไปตายให้หนอนแดกดีกว่า...(ขอโทษนะครับถ้าผมหยาบคาย)

Nat Says: ...หวัดดีครับ
Toffy Says: อืม หวัดดีเช่นกัน
Nat Says: นึกว่าจะไม่ทักตอบซะแล้ว
Toffy Says: ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ
Nat Says: ไม่รู้สิ เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ณัฐคิดว่าอาจจะลืมณัฐไปแล้ว
Toffy Says: บ้าแล้ว ใครจะลืมได้ละ
Nat Says: แสดงว่าณัฐยังสำคัญอยู่สินะ 
Toffy Says: 555+ ได้ทีเอาใหญ่
Nat Says: แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ
Toffy Says: ก็เพิ่งกลับจากที่ทำงาน แล้วก็มานั่งเล่นเน็ตที่บ้าน
Nat Says: หืม... ไม่เจอกันแป๊บเดียว ทำงานซะแล้ว
Toffy Says: แป๊บเดียวอะไร ตั้งปีครึ่งนะ
Nat Says: เออเนอะ มานึกดูก็นานเหมือนกัน
Toffy Says: ก็ใช่สิ ตั้งแต่ณัฐออกไป ฟี่ก็ทำงานที่ร้านพี่แก๊บต่ออีกพักหนึ่งก็ต้องลาออกมาฝึกงาน แล้วก็ทำโปรเจคท์
Nat Says: เหนื่อยแย่เลย
Toffy Says: ไม่หรอก มีอะไรทำดี

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าการแชทมันจะเพลิดเพลินดีเหมือนกัน หรือมันอาจจะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลที่เราคุยด้วยกันแน่นะ...

Nat Says: เรียกแทนตัวเองว่า ‘ฟี่’ น่ารักจัง

ผมนิ่งไปชั่วขณะ ณัฐบอกว่าผมน่ารัก ผมไม่รู้ว่าณัฐจะคิดอะไรหรือเปล่า แต่ผมน่ะคิดไปไกลแล้วนะ!!

Toffy Says: งั้นกลับไปแทนตัวเองว่าพี่ดีไหม?
Nat Says: เอาตามตรงนะ ไม่ดีหรอก

ผมใจชื้นขึ้นมาเลยครับ ผมไม่อยากเป็นพี่ของณัฐ ผมอยากให้เราเป็นแค่เพื่อนธรรมดากันมากกว่านี่นา ผมเลยลองหยั่งเชิงดูว่าถ้าผมจะเปลี่ยนสรรพนามเวลาคุยกับเขาเนี่ย เขาจะโอเคมั้ย

Toffy Says: งั้นจะเลิกเรียกแทนตัวเองว่าพี่นะ แล้วณัฐก็ห้ามเรียกเราว่าพี่ด้วย
Nat Says: อื้อ ได้สิ > <
Toffy Says: แล้วตอนนี้ณัฐทำงานที่ไหนละ แล้วเรียนเป็นไงบ้าง
Nat Says: ก็ใกล้จะจบแล้วครับ ส่วนตอนนี้ทำงานอยู่ที่คอฟฟี่ช็อปของพี่ชายเพื่อน
Toffy Says: โอ้ แล้วชงกาแฟเป็นมั้ย
Nat Says: เป็นสิ ลองมาชิมๆ
Toffy Says: ที่ไหนเหรอ
Nat Says: แถวสยามครับ ณัฐทำอร่อยนะ
Toffy Says: งั้นต้องเลี้ยงนะ ถ้าอร่อยจริงถึงจะไปอุดหนุนบ่อยๆ
Nat Says: ได้เลย 55+
Nat Says: แล้วตอนนี้ฟี่ย้ายที่อยู่แล้วเหรอ
Toffy Says:ใช่ๆ ซื้อบ้านแล้วแหละ
Nat Says: จริงสิ!! ดีจังเลย แถวไหนเหรอครับ
Toffy Says: แถว XXX แหละ มันอยู่ในเมือง เดินทางสะดวกดี

แล้วผมก็คุยเรื่องราวจิปาถะเรื่อยเปื่อยกับณัฐ ผมได้รู้เรื่องของเขาหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่เขาไปทำคอลเซ็นเตอร์ได้เกือบปีแล้วก็ย้ายมาเป็นคนขายกาแฟ(ณัฐบอกให้ผมเรียกแบบนั้น) ตอนนี้ชีวิตณัฐก็แฮปปี้ดี เรียนปีสาม สอบตกบ้างอะไรบ้าง

แต่ผมยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่อยากรู้...

Toffy Says: แล้วแฟนณัฐเป็นไงบ้าง สบายดีไหม?
Nat Says: เหอะๆ คงไม่สบายเท่าไรหรอกครับ
Toffy Says: ? มีปัญหาเหรอ?
Nat Says: คือว่าตอนนี้เราแยกกันอยู่มานานแล้ว
Toffy Says: !!!
Nat Says: เรามีปัญหากันบ่อยอย่างที่เคยเล่าให้ฟี่ฟัง มาลองคิดดูแล้วมันไปกันไม่ได้จริงๆ
Toffy Says: แล้วเรื่องลูก?
Nat Says: นั่นละประเด็น ณัฐขอเลิกกับเขา แล้วแฟนณัฐเขาก็บอกว่าถ้าเลิกกันก็ไม่ต้องมาเจอลูก
Toffy Says: อ้าว ทำไมอย่างนั้นละ
Nat Says: ณัฐคิดว่าเขาก็คงโกรธเหมือนกัน และก็คงไม่อยากเห็นหน้า ตอนนี้ก็เลยห่างๆกันดีกว่า
........
.....
...
..
.
ผมจำเรื่องราวที่เราคุยกันคร่าวๆได้แค่นั้น เพราะหลังจากนั้นแล้วผมก็สติหลุด คิดสะระตะวุ่นวายไปหมด ทำไมผมถึงกลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว ทำไมผมถึงวุ่นวายใจเพราะณัฐอีกครั้ง สรุปแล้วเวลาที่ไม่เจอกันไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนใจได้เลยเหรอ?

ดีนะ ที่คืนนี้เป็นวันศุกร์ แล้วพรุ่งนี้ผมไม่ต้องไปทำงาน เพราะผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นเลยสักนิด...
ผมคิดวนไปวนมาแต่เรื่องของณัฐ ผมจะถือว่าตอนนี้สวรรค์ให้โอกาสผมได้มั้ย?

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล. ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ กอดทุกคนที่มาช่วยดันและเมนท์นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 22-05-2011 15:46:24
รักของฟี่นี่เหมือนบาปรักเลย
เป็นหนี้ตกค้าง ตัดใจไม่ได้ซะที
อดเอาใจช่วยไม่ได้ อยากให้ฟี่มีคนรักที่ฟี่รักจริงๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 22-05-2011 15:52:35
การรักใครซักคนนี้ แม้จะเป็นการแอบรักข้างเดียว มันก็ลืมยากพอสมควรนะ
ต่อไปนี้จะเป็นโอกาสของฟี่จริงๆรึเปล่า
หวังว่าเรื่องราวของฟี่ใกล้จะสว่างเข้าไปทุกทีแล้วนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 22-05-2011 19:34:12
หวังว่าณัฐคงไม่ใช่พระเอกนะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 22-05-2011 19:43:52
อยากรู้ว่าณัฐคิดอะไรกับฟี่บ้างไหม สงสารฟี่อ่า  :call:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 22-05-2011 19:44:44
เข้ามาเป็นกำลังให้ท๊อฟฟี่

คุณบีด้วยค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 22-05-2011 19:47:26
เฮ้ออออ  :serius2:
จะเอาคนใหม่ จะเอาคนใหม่ :z3: 5555
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 22-05-2011 19:57:17
ยังคงสงสารฟี่อยู่
นัทไม่เคยมีฟี่อยู่ในหัวใจอยู่แล้ว
แล้วอยู่ๆ จะมามีใจ มันยังไงๆ อยู่นะ
รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 22-05-2011 22:58:34
เวลาผ่านไปแค่ไหน มันเปลี่ยนใจกันยากจัง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 23-05-2011 23:24:11
กด Like แรงๆเลย อิอิ อยากอ่านต่ออย่างแรง อยากรู้จังว่าหลังจากนี้จะเป็นไปยังไงต่อ
อยากให้คู่ได้ลงเอยกันจัง จะคอยอ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 24-05-2011 08:25:23


จอกันเย็นนี้นะค้า!!!


หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 24-05-2011 09:28:12
ฟี่ไม่คิดจะเจอคนใหม่เลยหรอ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 24-05-2011 09:44:11
รอจ้า
เมื่อไรเนื้อคู่ฟี่จะมานะ
หวังว่าคงไม่ใช่ณัฐ นะ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 9 (22/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 24-05-2011 10:51:10
เข้ามาเชียร์ณัฐครับ อิอิ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 10
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 24-05-2011 17:16:14


ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งที่ช่วยฉุดรั้งให้ผมทนอยู่กับความเจ็บปวดได้ไม่ว่ามันจะถาโถมเข้ามาในชีวิตผมกี่ครั้งก็ตาม ผมยึดถือประโยคที่ว่า “ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด” ไม่ว่าเรื่องใดๆ เหตุการณ์ใดๆ มันก็มีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องดีๆกับผม ผมก็จะยึดถือคตินี้เตือนใจตัวเองไว้เสมอ ว่าอย่าหลงระเริงกับความสุขมากเกินไป ใครจะรู้ละครับ ว่าบางทีที่ผมกำลังมีความสุขอยู่แบบนี้ วันพรุ่งนี้ทุกอย่างอาจกลับตาลปัตร ความทุกข์อาจถาโถมมาจนผมตั้งตัวไม่ทันก็เป็นได้

ที่จู่ๆผมก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็เพราะว่าผมกำลังมีความสุขน่ะสิ โลกของผมกำลังหมุนไปโดยมีความสุขเป็นจุดศูนย์กลาง และในความสุขนั้นก็มีคนที่ชื่อว่า ‘ณัฐ’ นั่งอยู่ตรงกลาง แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าผมเอาแต่มองอยู่ห่างๆแบบนี้ จะมีประโยชน์อะไรถ้าผมไม่ได้เห็นหน้าเขา จะมีประโยชน์อะไรถ้าผมไม่ได้พิสูจน์ความรู้สึกตัวเอง ว่ายังชอบณัฐเหมือนเดิมไหม...

ผมก็เลยชวนณัฐไปดูหนังครับ...

ให้ตายเถอะ คุณรู้ไหมว่าวันนั้นผมแทบบ้า ผมทำตัวเหมือนสาวน้อยออกเดทครั้งแรก ผมค้นเสื้อผ้าออกมาจนหมดตู้ เลือกชุดนั้นชุดนี้ไม่จบสิ้น นั่งจ้องหน้ากระจกเป็นชั่วโมงเพื่อสำรวจว่าตัวเองเพอร์เฟคท์หรือยัง จนผมเริ่มรู้สึกว่าถ้าผมยังไม่หยุดคลุ้มคลั่งผมคงไปตามนัดไม่ทันแน่ๆ

ผมไปถึงก่อน ก็เลยฆ่าเวลาโดยการเดินเล่นแถวๆนั้น ไปยืนอ่านนิตยสารฟรีได้พักหนึ่งณัฐก็โทรมา ผมหันไปมองรอบตัวแต่ก็ไม่เห็น พอผมกดรับแล้วพูดฮัลโหลเท่านั้นแหละ ผมก็เห็นณัฐก็ขึ้นลิฟต์มาพอดี

และมันก็เกิดอีกแล้วครับ อาการโลกหยุดหมุนของผม...

ผมอึ้งไปแวบหนึ่งเมื่อเห็นเขา พระเจ้า.... นี่ท่านกำลังเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า ทำไมท่านถึงส่งคนแบบนี้ลงมาให้ผมได้พบเจอแต่ไม่ได้ครอบครอง ทำไมท่านถึงสร้างให้เขามีรอยยิ้มที่สดใสแบบนั้น ทำไมท่านถึงทำให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้แม้เพียงนิด...

ผมอยากจะร้องไห้เป็นบ้า...

“รอนานมั้ย” ผมเงยหน้ามอง ‘ณัฐ’ คนใหม่ ณัฐคนที่ผมไม่ได้เจอมาเป็นปี ณัฐดูโตขึ้นจริงๆ เหมือนจะสูงขึ้น ตอนนี้ผมต้องแหงนหน้ามองเขาแล้ว ณัฐคนนี้ดูมีเนื้อหนังขึ้นมา ดูแข็งแรง ดูสมเป็นชายหนุ่มมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหนดี ทำไมผมถึงเกิดอาการทำตัวไม่ถูกแบบนี้นะ...

“ไม่นานหรอก ฟี่ก็เพิ่งมาเหมือนกัน..” โอะ.. ทำไมผมทำตัวหน่อมแน้มแบบนั้นละ มาเรียกตัวเองว่า ฟ่ง ฟี่ อะไรเนี่ยยยยยย!!!
“กินอะไรมาหรือยัง หิวมั้ย” ผมส่ายหน้าตอบ เพราะตอนนี้ผมโคตรอิ่มเลยครับ อิ่มอกอิ่มใจ(อ้วกกกก)
“แต่ณัฐหิวหละ ไปหาไรกินกันเถอะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินตรงดิ่งไปร้านราเมนทันที ผมอมยิ้มนิดๆเมื่อเห็นว่าเขายังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน... ไอ้เรื่องมัดมือชกเนี่ย...

ผมมองอาหารบนโต๊ะแบบอึ้งๆ นี่ผมจะกินเข้าไปหมดหรือ ณัฐเล่นสั่งมาซะถล่มทลายแบบนี้ ทั้งบะหมี่เย็นของณัฐ บะหมี่เย็นทรงเครื่องของผม ทาโกะยากิ เกี๊ยวซ่า ชูมัย ชาฮั่น โอย....แค่เห็นผมก็อิ่มแล้วละ
“ฟี่ อ้าปาก” ผมทำตามไปโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วเกี๊ยวซ่าครึ่งชิ้นก็เข้ามาอยู่ในปากผม ผมตั้งตัวไม่ติด เมื่อกี้ถ้าผมไม่ได้ฝันไปมันก็เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ที่ณัฐคีบเกี๊ยวซ่าใส่ปากผมน่ะ
“ชอบกินน้อย กินยังกะแมวดม ถึงได้ผอมแบบนี้ไง”
“ไม่ได้ผอมนะ แค่ตัวเล็ก..” ผมขมวดคิ้วเมื่อผมถูกว่า เรื่องอะไรผมจะยอมให้มากล่าวหาผมแบบนี้ละ ผมแค่กินน้อยแล้วก็คอยจะลืมกินแค่นั้นเอง
“ไม่ต้องมาเถียง อ้าปาก” ณัฐไม่ฟังผมเลยครับ ยังยืนยันจะลำเลียงเกี๊ยวซ่าเข้ากระเพาะผมให้หมดจานอยู่เหมือนเดิม
“หึ๊ ไม่เอาแล้วละ อิ่มแล้ว” ผมส่ายหน้า ก็ไม่อยากกินแล้วนะครับ
“อีกคำนะครับ นะ” ง่า... พูดแบบนี้ผมยอมกินก็ได้..

และแล้วผมก็กินเกี๊ยวซ่าที่ณัฐป้อนให้จนหมดจาน ตอนเดินไปโรงหนังผมนึกว่าจะอ้วกออกมาเพราะอิ่มเกินขนาดด้วยซ้ำ แต่ก็แปลกแฮะ ผมแค่รู้สึกแน่นๆ แต่ก็ไม่ได้อิ่มโอเวอร์อะไรมากมาย น่าแปลกที่ผมกินได้เยอะขนาดนั้นจริงๆนะ

ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นผมดูหนังเรื่องอะไร เหมือนว่าหนังมันจะไม่สนุกด้วยซ้ำ ผมเอาแต่นึกถึงเรื่องของคนที่นั่งข้างผมตอนนี้ ใกล้จนผมได้กลิ่นของเขา ใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจของเขา ใกล้เสียจนสมองผมอื้ออึงไปหมด

ตอนที่หนังจบ แล้วเราต้องออกจากโรงหนัง ผมรู้สึกเสียดายเหลือเกิน เราพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนมาถึงป้ายรถเมลล์ ผมยังขึ้นรถสายเดียวกับเขาอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผมจะลงก่อนสองป้ายเท่านั้น ผมกำลังจำใจมองหารถตู้ทั้งที่ยังไม่อยากกลับ

“ฟี่ นั่งรถเมลล์ได้หรือเปล่า” จู่ๆณัฐถามขึ้นมาเฉยๆ ผมเลยหันไปมองเข้าด้วยความสงสัย
“ทำไมถามงั้นละ เห็นฟี่เป็นพวกไฮโซนั่งรถเมลล์ไม่เป็นงั้นเหรอ”
“เปล่าๆ ณัฐแค่อยากจะบอกว่า ถ้าฟี่นั่งรถเมลล์ได้ เรานั่งรถเมลล์กลับกันมั้ย”
“ฮื้ม? นึกยังไงเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เขาพูด
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่...”
“แค่?”
“แค่ไม่อยากให้ถึงไวน่ะ” ณัฐพูดจบแล้วณัฐก็ยิ้ม ยิ้มแบบ...แบบ...แบบหวานๆ...น่ะครับ...


ทุกคนครับ ตอนนี้ไอ้ฟี่มานอนตายที่บ้านแล้วครับ กลับมาถึงได้ยังไงไม่รู้ แต่ที่รู้แน่คือตอนนี้ผมนอนตาค้างอยู่บนที่นอน จะหลับก็หลับไม่ลง น่าแปลกนะครับ ตอนที่นั่งรถเมลล์กลับมาอย่างที่ณัฐเสนอแล้ว ปรกติเวลานั่งรถผมจะไม่ชอบให้รถติด อยากจะถึงบ้านเร็วๆ แต่มาวันนี้ผมอยากให้มันถึงช้าๆ อยากจะให้ช่วงเวลาในตอนนั้นคงอยู่ไปยาวนาน ผมนอนนึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้รู้จักกับณัฐมา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นเขามาจนวันนี้ก็สี่ปีได้แล้ว

ผมไม่เคยเก็บความรู้สึกเวลาผมชอบใครไว้นานขนาดนี้มาก่อน ถ้าผมถูกใจใครผมก็จะไม่รีรอเลย แต่กับณัฐ มันเป็นอะไรที่ผมบอกไม่ถูก บางครั้งผมก็อยากบอกกับเขา แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ทำไม่ได้ จนเวลามันผ่านมาจนป่านนี้ ความรู้สึกของผมก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมหลับตาแล้วนึกถึงใบหน้าของณัฐตอนที่คีบเกี๊ยวซ่าให้ผม นึกถึงตอนที่ณัฐบอกกับผมว่าไม่อยากให้ถึงบ้านไว

 ถ้าหากผมไม่ได้หลงตัวเอง หากว่าผมไม่ได้คิดไปเอง หากว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว ผมจะทึกทักเอาได้ไหม ว่าบางทีณัฐก็อาจจะรู้สึกไม่แตกต่างจากผม...

ผมมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน มันคือเรื่องท่าทีของณัฐ ผมไม่รู้ว่าผมหลงตัวเองหรือเปล่า แต่มันตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ผมมักจะสังเกตได้ ว่าบางครั้งณัฐก็ปฏิบัติกับผมต่างจากคนอื่น ณัฐไม่สนิทกับคนอื่นและเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง...เหมือนที่มักจะเล่าให้ผมฟัง...

แต่พอผมกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง กำลังจะคิดว่าเขาคงมีใจให้ผมบ้าง มันก็จะมีบางอย่างมาดลใจผม มายับยั้งให้ผมหยุดคิด บางอย่างคอยกรอกหูผมว่าณัฐเขาก็ดีกับทุกคนเท่ากันแหละ บางอย่างที่เรียกว่า ‘ความละอาย’...

แล้ววันนี้ละ... วันนี้ที่สถานะของณัฐไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมจะสามารถทำอะไรได้ไหม ผมจะทำให้ทุกสิ่งก้าวหน้าไปมากกว่านี้ได้ไหม มันจะผิดไหม ผมจะกลายเป็นคนที่ไปทำให้ชีวิตของเขาแตกร้าวหรือเปล่า เขาจะรังเกียจผมไหมถ้าเขารู้ว่าผมคิดอย่างไรกับเขา ผมจะทำลายความเชื่อใจของเขาที่มีให้ผมหรือเปล่า...

ผมคิดมากจนผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากวันนั้นเราไม่ได้โทรหาหรือสานต่อความสัมพันธ์ใดๆอีก เราพูดคุยแล้วก็ทักทายกันในแชทแต่ไม่เคยโทรหากัน ผมไม่กล้าโทร ผมไม่รู้ว่าถ้าผมโทรไปแล้วจะบอกว่าอะไร ผมจะคุยอะไร ผมโทรหาเขาทำไม แล้วถ้าผมโทรไป แล้วเขาไม่อยากคุยกับผมล่ะ...

แต่คนธรรมดาอย่างผมจะห้ามความรู้สึกได้ไหวงั้นเหรอ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลองโทรหาเขา เสียงรอสายดังอยู่นาน แต่ละครั้งที่มันดัง ‘ตู๊ด’ ก็เหมือนดึงพลังชีวิตผมไปด้วย แค่การรอให้คนรับสายทำไมมันถึงตื่นเต้นแบบนี้นะ

/สวัสดีครับ/ เสียงนุ่มๆของณัฐทักมาเหมือนที่เคย ผมหลับตาแล้วยิ้ม นึกออกเลยว่าโทนเสียงแบบนี้เขาคงกำลังยิ้ม
“เอ่อ...หวัดดี ทำอะไรอยู่เหรอ”
/เลิกงานแล้ว ก็เลยมาดูไลฟ์ครับ/ อ่า...มิน่าละ เสียงดังเชียว..ผมได้ยินเสียงจ้อกแจ้ก เสียงคนพูดคุยเต็มไปหมดเลย
“เหรอ..” แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนรอบตัวผมหม่นหมองลงทันที...ณับอยู่ในโลกของเขา...
/ฟี่มีอะไรหรือเปล่า/ น้ำเสียงของเขายังคงออ่นโยน ผมส่ายหัวแล้วก็คิดได้ว่าเขาไม่เห็นหน้าผมนี่นะ...
“ไม่มีหรอก แค่โทรมาหาเฉยๆ แค่นี้นะ..” ผมแอบหวังนิดๆว่าเขาจะพูดว่าอย่าเพิ่งวาง
/อื้อ บายครับ/ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้...

ผมนอนกอดหมอนอยู่บนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมาก็หงุดหงิด นึกโมโหตัวเองที่หน้าด้านโทรไปหาเขา ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย ทั้งที่เราเป็นแค่เพื่อน แค่คนรู้จักกัน ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกน้อยใจด้วยซ้ำ ผมละเกลียดนักไอ้ความรู้สึกแบบนี้...

ผ่านไปอีกหลายวันเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปรกติ  ไม่มีอะไรหวือหวา ผมได้แต่เฝ้าดูเฟซบุ๊คของเขาว่ามีการอัพเดทหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ทุกครั้งที่เห็นเขาอัพสเตตัสใหม่ ผม ก็จะนั่งยิ้ม แค่ได้เฝ้ามองมันก็คงเพียงพอแล้วละ หวังว่านี่คงไม่ได้แปลว่าผมโรคจิตใช่ไหมครับ...

“จ๊ะเอ๋!!”
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งโหยงแล้วอุทานเสียงดัง หนังสือการ์ตูนในอ้อมแขนหล่นตุบลงพื้นจนหมด ผมหันไปมองไอ้คนบ้าที่มันมาแกล้งผม ไม่ผิดครับ เสียงนี้มีคนเดียวเท่านั้นเอง
“ณัฐ หัวใจจะวาย คนกำลังใช้สมาธิไม่เห็นเหรอ” ผมมองคนหน้าทะเล้นที่ช่วยผมเก็บหนังสือไปขำไปอย่างหมั่นไส้ สนุกสินะ แกล้งผมได้แบบนี้
“แหมๆ อ่านการ์ตูนนี่ต้องใช้สมาธิมากเลยเนอะ” ผมมองคนกวนประสาทตาขวาง ทำไมณัฐมันต้องกวนประสาทผมด้วยนะ ไอ้ความทะลึ่งทะเล้นขี้เล่นของเขาเนี่ยไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด นานแค่ไหนก็ยังหน้าระรื่นเหมือนเดิม... เหมือนความรู้สึกของผมเลยนะ ที่มันยังเหมือนเดิม...
“แล้วนี่ฟี่มายืมการ์ตูนเหรอ” ผมพยักหน้า ในใจคิดว่าโคตรโชคดีเลยว่ะที่มาวันนี้และตอนนี้ ได้เจอหน้าแบบฟลุ้คๆ ซะอย่างนั้น
“มายังไงเนี่ย”
“มากับน้องฟิโอเร่”
“แหม นึกว่าไม่ได้เอารถมา จะไปส่งสักหน่อย” ผมหันควับ อะไรนะ ณัฐบอกว่าจะไปส่งผม???
“ทำไมต้องมองณัฐแบบนั้นล่ะ คิดว่าณัฐขี้โม้ละเซ่”
“เหอะ ใครจะไปรู้ละณัฐ ก็ตัวเองอะ ขี้แกล้ง ชอบหลอกจะตาย”
“แหมๆ ณัฐก็พูดจริงเป็นนะ ว่าแต่ฟี่กินข้าวหรือยัง”  ผมส่ายหัว กลับจากที่ทำงานมาก็ดิ่งมาร้านหนังสือเลย
“งั้นไปหาข้าวกินกันนะ”

ตลกไหมครับ แค่ประโยคเดียวสั้นๆ ผมก็โอนอ่อนผ่อนตามเขาไปทันที ทั้งๆที่ยังไม่รู้สึกอยากกินอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้คนอื่นเขาก็คงเคยเป็นกัน ความรู้สึกแบบที่ยอมทำตามที่คนๆหนึ่งบอกอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่สำหรับผมมันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ เพราะผมไม่เคยมีคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากทำทุกอย่างเพื่อเขาขนาดนี้ ผมแค่อยากให้ณัฐมีความสุข...

ณัฐชวนผมไปนั่งกินขนมจีนร้านป้าเจ้าประจำสมัยที่ผมยังอยู่แถวๆนี้ ตอนแรกณัฐตั้งใจจะมาตะลุยกินแต่ของหวาน ทั้ง
น้ำแข็งไสและบัวลอย แต่พอณัฐเห็นผมกินขนมจีนน้ำยาป่า ก็เลยสั่งตามผมมาอีกจานหนึ่ง
“ไอ้น้ำยาป่าเนี่ย มันใส่ปลาร้าใช่มั้ยฟี่” ณัฐตักขนมจีนใส่ปากแล้วทำจมูกฟุดฟิด
“อื้อ ณัฐกินปลาร้าได้ไม่ใช่เหรอ” ผมเงยหน้ามองณัฐอย่างแปลกใจ อย่าบอกนะว่าผมจำผิด
“กินได้ๆ คือณัฐได้กลิ่นไง ก็เลยลองถามดู”
“วันนี้ณัฐเลิกงานไวเหรอ ธรรมดาเวลานี้ไม่เคยเจอณัฐที่ร้านเลยนะ”
“ก็ปรกติแหละครับ แต่เหมือนว่ารถไม่ค่อยติด”
“ก็โรงเรียนปิดเทอมแล้วนี่นา” ผมรู้สึกว่าเราเหมือนเป็นแฟนกันเลยครับ ผมอิ่มอกอิ่มใจยังไงไม่รู้ วันนี้ขนมจีนป้าเลยอร่อยเป็นพิเศษไปเลย
เรานั่งกินกันไปเรื่อยๆ ณัฐกินขนมหวานต่ออีกสองถ้วยโดยบังคับให้ผมช่วยกินด้วย เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พอผมไปถึงบ้านผมก็เอารถเข้าในที่จอดรถ พอไขกุญแจเข้าบ้านได้โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา ผมเห็นเบอร์ที่โทรมาแล้วก็รีบกดรับ
“ว่าไง”
/ถึงบ้านแล้วเหรอ/ ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงเขาฟังดูอ้อนๆนะ?
“อื้อ เพิ่งถึงเนี่ยแหละ แล้วณัฐก็โทรมา”
/ฟี่.../
“หืม?”
/เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก/
“เอ๊า ซะงั้นแหละ”
/นี่ๆ วันนี้ณัฐมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง/
.......
...
..
.

นั่นนับเป็นครั้งแรกของการสนทนาทางโทรศัพท์มือถือระหว่างผมและณัฐที่ยาวกว่าสิบนาที เราคุยกันสัพเพเหระมากมาย จนวางสายก็ยังไปคุยต่อในแชท
และนั่นก็ทำให้ผมติดนิสัยอย่างหนึ่งที่เวลาเข้าเฟสบุ๊คแล้ว ก็มักจะเปิดดูว่าณัฐออนไลน์หรือเปล่า แต่ส่วนมากจะไม่ทันหรอก แค่ผมออนปุ๊บเขาก็ทักปั๊บแล้ว ไม่รู้ว่าทำได้ยังไงน้า... ณัฐทำให้ผมอิ่มเอมใจจนลืมคติประจำใจของผมเองเสียสนิท
คติประจำใจผมที่ว่า “ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด” .....


----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.ขอให้มีความสุขในการอ่านนะคะ  :music:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 24-05-2011 20:54:04
ทำไมมันได้กลิ่นมาม่าลอยมาเรื่อยๆ >"<
บวกให้ค่ะ รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-05-2011 21:36:14
อ่านตอนนี้แล้วแอบเห็นอนาคตของตัวละครที่ชื่อว่า ฟี่เลย TT
ทำไมคนแต่งใจร้ายกับคนอ่าน และฟี่ขนาดนี้นะ กลัวๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 24-05-2011 21:48:25
ถึงตอนนี้ อารมณ์เค้ายังเหงา เศร้าๆ อยู่เลย
เริ่มไม่อยากให้ฟี่ไปพัวพันกับณัฐแล้วอ่ะ

ฮือออ ปาดน้ำตา วิ่งจากไปทำตุ๊กตาวูดู จิ้มๆๆๆๆ ณัฐ ก๊ากกก
อย่ามายุ่งกับฟี่น่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-05-2011 21:49:34
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงไม่หวังถึงกับให้ฟี่มีความสุขตอนจบหรอก
เอาเป็นว่าอย่าโดนหลอกจนเสียผู้เสียคนไปก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 25-05-2011 00:06:00
ไม่อยากให้ณัฐเป็นพระเอกอ่ะ   :z3:
มีเมียมีลูกอยู่แล้วทั้งคน  ปล่อยมันไปเหอะว่ะฟี่เอ๊ย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 25-05-2011 01:25:20
มาให้สุขแล้วก้ออสุดม้าย ทำให้เจียนตายทั้งเป็นอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: lolilo ที่ 25-05-2011 01:26:29
ทำไมมันมืดมนหมดหมอง(ข)มุก(ข)มัว ,, โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
ไม่ไหวๆ สงสาร ฟี่ กลับไปซบอก น้องเขื่อน สักครู่ถ้าจะดี TT"
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 25-05-2011 09:19:24
อ่านแล้วกดดันอ่ะ
อยากให้ฟี่มีความสุข แต่ความสุขของฟี่ = ณัฐ
ซึ่งมันหาความแน่นอนไม่ได้เลย
ไม่ใช่ว่าณัฐไม่ดี  ณัฐออกจะชอบฟี่ แต่มันไม่มากพอจะทำให้ฟี่มีความสุข
เหมือนลมเย็นๆ พัดมาวูบนึงแล้วก็ไป ชีวิตที่เหลือจะทำไงล่ะ T_T
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 25-05-2011 12:45:58
คนเขียนขยันลงจังเลยชอบๆ

เรื่องนี้ยังเดาไม่ออกว่าจะจบแบบไหนนะ แล้วณัฐรักฟี่ไหม จะเป้นแฟนกันไหม
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 25-05-2011 17:13:59
วันนี้ไม่ลงนะคะ แต่สัญญาค่ะ ว่าพรุ่งนี้ท้องฟ้าสดใส (หรือเปล่านะ  :teach:)

รักทุกคนค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 25-05-2011 19:52:50
สดใสจริงเปล่าอ่ะะะะะะ o18
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 10 (24/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 26-05-2011 01:58:15
วันนี้ไม่ลงนะคะ แต่สัญญาค่ะ ว่าพรุ่งนี้ท้องฟ้าสดใส (หรือเปล่านะ  :teach:)

รักทุกคนค่ะ  :L2:
แล้วจะมานั่งเฝ้าคอมรอจ้า
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 26-05-2011 17:21:29


คุณเคยเป็นไหมที่รู้ว่าขนมหวานสีสันยั่วยวนใจที่อยู่ตรงหน้านั้นอาจจะทำให้ฟันของคุณผุได้หมดปาก แต่คุณก็ยังอยากที่จะกระโดดเข้าไปลิ้มลองรสชาติของขนมหวานนั้น แม้ว่าคุณจะถอยออกมาให้ห่างจากมัน แต่ก็เหมือนว่ามันกำลังโบกมือเรียกให้คุณเข้าไปใกล้ พอคุณปิดตาเพื่อที่จะได้ไม่เห็นมัน มันก็ส่งเสียงเรียกให้คุณไปลองชิม

ผมทำแล้วทุกวิถีทางที่จะหยุดความรู้สึกของผมไม่ให้เตลิดมากไปกว่านี้ ผมลองทำงานยุ่งๆ เลิกงานมืดๆ จะได้ไม่เหลือเวลาไปพบเจอกับณัฐ แต่ไอ้หัวใจเจ้ากรรมของผมมันก็ก่อกบฎ ยังหาทางไปกินข้าวและพูดคุยกันจนได้

แม้กระทั่งลองมองคนอื่น ผมก็ทำแล้ว แต่มันไม่ได้ผล ผมไม่เห็นจะรู้สึกกับคนอื่นเหมือนตอนที่ผมเจอณัฐครั้งแรกเลย ขนาดผมลองนึกทบทวนถึงแฟนๆเก่าของผม ผมก็จำได้ว่าไม่เคยรู้สึกกับใครเหมือนที่รู้สึกกับณัฐ จนตอนนี้ผมเริ่มเหลืออดกับความรู้สึกตัวเอง ในเมื่อผมห้ามหัวใจผมไม่ได้ ผมก็ขอปล่อยมันไปตามยถากรรมจะดีกว่า ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่ผมมีให้ณัฐมันจะไปสิ้นสุดที่จุดไหน...

ผมยืนมองหน้าร้านขายกาแฟสดแบบอึ้งๆ หน้าร้านเต็มไปด้วยผู้คนทั้งหญิงและชาย วันนี้ณัฐชวนให้ผมลองมาเที่ยวร้านกาแฟที่เขาทำงานอยู่ สภาพร้านที่กินพื้นที่สองบล็อก ตกแต่งโดยใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นของเก่า มีลวดลายของต้นกาแฟระบายอยู่ตามพื้นผิวดูแล้วเข้ากัน หน้าร้านมีชั้นวางของที่ระลึกเช่นโปสการ์ดและพวงกุญแจที่ดูแล้วคงไม่ได้มีจุดประสงค์เรื่องการขายเพียงอย่างเดียว แต่มันดูเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งร้านมากกว่า
“รับอะไรดีครับ” คนในร้านคงคิดว่าผมเป็นลูกค้า ผมยืนลังเลว่าจะเอายังไงดี แล้วก็ตัดสินใจบอกว่าผมมาหาณัฐ
“เอ่อ...คือว่าผมมาหาณัฐครับ” พอผมบอกไปอย่างนั้น ทั้งพนักงานในร้านและคนที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ทำหน้าอ๋อ
“ณัฐไปห้องน้ำ เดี๋ยวก็มา นั่งรอก่อนได้ครับ” พนักงานในร้านคนเดิมที่ทักผมเชื้อเชิญให้ผมนั่ง ผมมองเก้าอี้ไม้สีขาวหน้าร้านที่ตั้งเรียงรายอยู่แล้ว ผมเลือกที่จะนั่งตัวนอกสุด เพราะดูท่าแล้วบรรดาคนที่อยู่หน้าร้านจะเป็นคนรู้จักของพนักงานที่นี่ ผมลอบมองและคอยฟังที่คนพวกนั้นพูดคุย เรื่องสัพเพเหระติดจะทะลึ่งตึงตังแต่ก็ชวนให้หัวเราะดังมาเรื่อยๆ ผมนั่งอยู่ไม่นานร่างของคนที่ผมคุ้นเคยก็เดินมา ณัฐยิ้มกว้างให้ผมแล้วเดินมาหยุดตรงหน้า
“มานานหรือยังฟี่” ผมก้มหน้าแล้วส่ายหัว ผมไม่มีทางเงยหน้าตอนนี้แน่ๆ ทำไมน่ะเหรอ เพราะผมไม่อยากจะสติแตกน่ะสิ ณัฐก็แต่งตัวเหมือนปรกติ ผมก็ทรงเดิม ดูยังไงก็เป็นณัฐคนเดิม แต่คงเพราะว่าเป็นณัฐที่กำลังทำงาน ทำให้ณัฐดูแปลกตาไป และผมก็ชอบมันซะด้วย ถ้าผมจ้องมองณัฐมากกว่านี้ ต้องทนไม่ไหวแน่นอน
“มานี่สิ” ณัฐกวักมือให้ผมเดินตามไปที่เคาเตอร์ พนักงานคนอื่นหันมาสนใจผม แต่ละคนดูเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีกันทั้งนั้น ณัฐแนะนำให้ผมรู้จักกับเจ้าของร้านชื่อพี่โอ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ทักผมในตอนแรก และแฟนของพี่โอ ชื่อว่าพี่เป็ด กับน้องหมิวที่เป็นพนักงานอีกคน ผมยกมือสวัสดีพี่ๆที่อายุมากกว่าผม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมสายตาของพวกพี่เขาถึงมองผมแบบกรุ้มกริ่มยังไงไม่รู้
“กินอะไรมั้ย เดี๋ยวณัฐทำให้”
“เอาลาเต้ หวานๆแล้วกัน”
“โอเค รอแป๊บนะ” ผมมองตามณัฐที่เดินเข้าไปหลังเคาเตอร์ ร่างสูงของเขาหยิบจับอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว ผมมองตั้งแต่แขนของเขาที่กดเปิดเครื่องบดกาแฟ มือเขาที่หยิบขวดนมข้นหวาน ไหล่ของเขาที่สั่นเบาๆขณะคนกาแฟ ผมมองทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับว่ามันเป็นความฝัน สถานการณ์ที่ผมไม่เคยได้คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมาอยู่ ณ จุดนี้ได้ ผมยกมือขึ้นมาแตะตรงหน้าอกตัวเองเบาๆ หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่ข้างใน ความรู้สึกแบบที่ผมบอกไม่ถูกนี้คืออะไรกันนะ

“ทำงานเหนื่อยมั้ย” ผมถามขึ้นมาตอนที่เรากำลังจะกลับ ณัฐยิ้มให้ผมแล้วก็บอกว่าไม่เหนื่อย ทำงานที่นี่มันก็ดูสนุกสนานจริงๆแหละ เพราะว่าพี่ๆที่นี่อัธยาศัยดีแล้วก็ฮามาก ขนาดผมไม่ได้เข้าไปร่วมสนทนากับเขานะ เขายังคุยโน่นนี่แล้วลากผมไปเอี่ยวด้วยได้ โดยเฉพาะพี่โอที่ชอบพูดเรื่องทะลึ่งตลกๆนั่นละตัวดี พอเห็นผมเขินหน่อยแกก็เลยเล่าใหญ่เลย ยิ่งช่วงเย็นๆที่พี่เป็ดแฟนแกกับน้องหมิวกลับบ้านแล้ว แกยิ่งเฮฮาใหญ่ (ประสาคนกลัวเมีย)
“ฟี่เบื่อหรือเปล่า”
“หึ ไม่หรอก พวกพี่เขาฮาดี”
“อ๊ะ รถมาแล้ว” ณัฐชี้ไปที่รถตู้สายที่วิ่งผ่านบ้านพวกเรา ตอนที่ณัฐเดินนำหน้าผมไป ผมมองมือของเขาจากด้านหลังแล้วก็แอบคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ถ้ามือใหญ่ๆนั้นกุมมือผมแล้วเดินไปด้วยกันคงดีไม่น้อย...

ณัฐเดินนำไปเปิดประตูรถตู้ไว้แล้วให้ผมขึ้นไปก่อน ที่นั่งเบาะคู่ว่างพอดีผมเลยเดินไปนั่งริมหน้าต่างแล้วณัฐก็เดินมานั่งข้างๆผม ที่นั่งยวบลงเพราะรับน้ำหนัก ผมรู้สึกได้ถึงทุกอย่างรอบตัว ทั้งอากาศที่เสียดสีกับผิวผมเมื่อณัฐเดินมานั่งข้างๆ กลิ่นหอมๆจากตัวของณัฐรวมถึงกลิ่นเหงื่อ กลิ่นโรลออน รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตย์เมื่อข้อศอกของเราแตะกัน ความวูบวาบในรถตู้ที่ต้องใกล้ชิดกันทำให้ผมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ผมพยายามนึกถึงเรื่องแย่ๆ เรื่องเฮงซวยต่างๆ แต่มันก็ไม่ได้ผลเมื่ออยู่กับณัฐ ณัฐเป็นแสงสว่างที่ทำให้ความมืดมนของผมเบาบางลงไป ผมหลับตาไล่ความรู้สึกที่ไม่ดีให้หมด เมื่อเปลือกตาบนของผมแตะเปลือกตาล่าง ผมก็รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก จนเผลอหลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้

‘อุ่นจัง...’ ผมยังคงหลับตา แต่ผมรู้สึกตัว รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใกล้ตัว มือใหญ่ที่กุมมือผมไว้แนบแน่น...

มือ
ใหญ่
กุม
มือ
ผม
.
.
.

‘เฮ้ย!! มือ’ ผมสะดุ้งทั้งที่ยังหลับ สัมผัสที่มือของผมบอกว่ากำลังกุมมือกับณัฐอยู่ ไม่สิ... ต้องบอกว่าณัฐกุมมือของผมอยู่... นิ้วของเราสอดประสานกันและฝ่ามือของเราก็ประกบกัน อุณหภูมิจากมือของณัฐถ่ายทอดมาสู่ผมโดยตรง ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเราถึงจับมือกันได้ บางทีตอนที่ผมเผลอหลับไปผมอาจจะละเมอไปจับมือณัฐเอง แล้วณัฐก็เลยเกรงใจผมจึงไม่กล้าแกะมือผมออกก็เป็นได้

ผมกำลังฉวยโอกาส ทั้งที่ผมรู้สึกตัวแล้ว แต่ผมไม่ลืมตา ผมยังคงหลับตาเอาไว้ และปล่อยให้ณัฐประคองมือผมไว้แบบนั้น ผมรู้สึกตื่นเต้น วูบวาบ อารมณ์ของผมไม่คงที่ เพียงแค่การจับมือเท่านั้น แต่ผมรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่มากมายเหลือเกิน ความรู้สึกสารพัดตีกันอยู่ในหัวผม ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่วัยรุ่น ไม่ใช่เด็กๆที่แอบชอบใครและตื่นเต้นแค่เพียงได้เห็นหน้าคนที่ชอบ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะดูไร้เดียงสาขนาดนี้ แต่ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนั้น...

อยากให้เวลานี้ยาวนานไปตลอดเหลือเกิน...
ทำไมผมถึงได้มีความสุขแบบนี้นะ..ทำไม ทำไม ทำไม

ก่อนที่รถตู้จะถึงที่หมาย ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและค่อยๆชักมือออกมาปิดปากตอนหาว หันไปมองณัฐก็เห็นว่าหน้าเขาดูสะลึมสะลือ ณัฐคงหลับเหมือนกัน
“ถึงแล้วเหรอฟี่” เสียงณัฐตอนที่เพิ่งตื่นฟังดูแหบและห้าวกว่าเดิม ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้เขา พอผมตั้งใจว่าจะลุกออกไปนั่งตรงริมนอกณัฐก็นั่งขวางไว้ ผมคิดว่าณัฐคงขยับไม่ได้เพราะขาเขายาว แต่พอหันไปมองณัฐก็เห็นว่าเขาจ้องผมตอบกลับมา แววตาของเขามีบางอย่างที่บ่งบอกถึงความตั้งใจจริง แววตาที่ผมปฏิเสธมันไม่ได้
“ณัฐ เดี๋ยวฟี่จะต้องลงแล้วนะ ณัฐขยับมานั่งข้างในได้มั้ย?”
“ฟี่จะลงแล้วเหรอ”
“อื้อ ก็บ้านฟี่อยู่แถวนี้นี่”
“ฟี่อยากลงจริงๆเหรอ”
“...” ผมเงียบ ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไร เขาเองก็เงียบ จวบจนใกล้จะถึงป้ายของผมณัฐก็ขยับให้ผมเดินออก
“บ๊ายบายนะฟี่” ผมโบกมือกลับให้ณัฐแล้วเดินลงจากรถตู้ไปอย่างสับสน...

อะไรกันนะ
มันคืออะไร...

“ฟี่~” เชอรี่เดินเข้ามาเกาะแขนผมแล้วเรียกเสียงหวาน เธอพยายามออดอ้อนหลังจากที่รู้ว่าผมนั่งรอเธออยู่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์มาเกือบครึ่งชั่วโมง
“ขอโทษที่เลทนะจ๊ะ เดี๋ยวเชอรี่พาไปเลี้ยงฟูจินะ” ผมยิ้มๆแล้วยกแขนโอบไหล่เธอ เชอรี่เพิ่งทำโอทีเสร็จเลยเลท ผมเองก็ไม่ได้รีบไปไหนเลยไม่ได้โกรธเคืองอะไร แต่แกล้งสักหน่อยก็น่าจะดี
“ดีเลย ฟี่อยากกินปลาดิบชุดใหญ่”
“ฮ้า! ชุดเล็กได้มั้ย ชุดใหญ่มันแพงไปน้า!!” แล้วเชอรี่ก็โวยวายตามที่คาด ผมทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินนำเธอเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นไปเลย

“สรุปก็คือตอนนี้ฟี่รู้สึกว่าท่าทีของณัฐแปลกไป?” ผมคีบปลาดิบใส่ปากแล้วพยักหน้าตอบเธอ วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ที่เรานัดมาพบปะกันหลังเลิกงาน ผมเล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นให้เชอรี่ได้ฟัง เธอฟังผมเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็ทำตาโต อาหารที่สั่งมาก็ไม่ยอมแตะ เชอรี่ให้ความสำคัญกับเรื่องของผมเหมือนว่ามันเป็นเรื่องของเธอด้วยเช่นกัน
“แล้วฟี่รู้สึกยังไง”
“ฟี่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยนะเชอรี่ เวลาที่อยู่กับณัฐ เขามักจะทำให้ฟี่มีความรู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเสมอเลย เชอรี่คิดดูสิ แค่จับมือน่ะ มันก็ทำให้ฟี่ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยนะ” ผมพูดออกไปยาวยืดแล้วก็แปลกใจกับตัวเอง นี่ผมกำลังนั่งพูดความรู้สึกให้คนอื่นฟังงั้นเหรอ...พิลึกเป็นบ้า
“ฮืม...เชอรี่เข้าใจจ้ะ”
“แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนะเชอรี่ บางทีเวลาฟี่มีความสุขมากๆ ฟี่ก็จะคิดถึงเรื่องแฟนกับลูกของณัฐ ถึงเขาจะบอกว่าห่างกันแล้ว แต่เชอรี่นึกออกมั้ยว่ามันก็ต้องมีสายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาดอยู่ดีแหละ ฟี่ไม่รู้ว่าที่ฟี่ทำลงไปมันจะทำร้ายจิตใจของใครหรือเปล่า”
“ฟี่...” เชอรี่ยื่นมือมากุมมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ เธอยิ้มแล้วเธอก็พูดกับผม
“เชอรี่ตอบให้ฟี่ไม่ได้หรอกนะ ทางเดียวที่ฟี่จะรู้ในสิ่งที่ฟี่สงสัยได้ คือฟี่ต้องถามใจตัวเอง และต้องพูดคุยกับณัฐ ถ้าฟี่สงสัยอะไร ถ้าฟี่อยากรู้อะไร ฟี่ต้องถามไปตรงๆ”
“อืม..” ผมก้มหน้า คิ้วทั้งสองข้างขมวดชนกัน คืนนั้นก่อนที่เราจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เชอรี่พูดประโยคหนึ่งกับผม ประโยคที่ทำให้ผมยิ้มไปตลอดเวลาที่อาบน้ำ

‘แต่ฟี่รู้ไว้อย่างหนึ่งนะ คนเราจะไม่สัมผัสตัวคนอื่นอย่างใกล้ชิดหรอก ถ้าไม่ได้รู้สึกดีด้วยน่ะ ขนาดเชอรี่ยังไม่เคยรู้สึกอยากจับมือแบบแนบแน่นกับผู้ชายที่ไม่รู้สึกชอบเลยนะจ๊ะ’

ผมคิดไปว่าอย่างน้อยณัฐคงมีความรู้สึกดีๆให้ผม ผมยิ้มแล้วก็ยิ้มอีก ผมยิ้มจนเมื่อยปาก จนตอนที่ผมคิดว่าปากผมจะฉีกแล้วนั้นก็มีเมสเสจส่งเข้ามือถือของผม พอผมเปิดอ่านผมก็เพ้อไปเลยจนเช้า

-คิดถึงจัง... ฝันดีครับ-
From  Nat


----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.1 สั้นนิดนึงนะคะ แต่จะชดเชยให้ตอนหน้าแทน  :sad4:
ปล.2 เพิ่งเขียนเสร็จเลยค่ะ เจอคำผิดแจ้งหน่อยนะค้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนท
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 26-05-2011 17:35:34
แน่ใจหรอฟี่ ว่านัทมันทำให้ตัวฟี่สว่างขึ้นอ่ะ
ทำไมเรารู้สึกว่า ฟี่มืดมนลงกว่าเดิมล่ะ?   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 26-05-2011 18:23:08
หวานๆ แบบเจ็บจี๊ดๆ ไงมิรู้ค่า
ฮีก ฮีก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 26-05-2011 19:41:17
รู้สึกว่ามันสลัวๆมากขึ้น จากที่มืดมนมานานนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 26-05-2011 19:45:08
มันหวานๆๆนะ

แต่หม่นๆๆๆๆมากกว่าอ่ะ

เฮ้อ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 26-05-2011 20:06:47
ความคิดเหมือนรีบน

สุขแบบอมทุกข์ เซ้าๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 26-05-2011 20:55:56
โอย กลัวใจยังไงไม่รู้ ณัฐเอาไงก็เอาเหอะ >.<
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 26-05-2011 21:07:24
มันเหมือนมีสัญญาณเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ลางร้ายกำลังมาเยือน!!!!!
ยิ่งอ่านยิ่งกดดันอะว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ชั้นจะเชื่อใจผู้ชายที่เคยทำ ญ ท้องแล้ว
ก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อคนรักในฐานะสามีได้ไหมนะ ลุ้น
แล้วจะรออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 27-05-2011 08:59:16
วันนี้มาม๊ายยย
มารอจ้า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 27-05-2011 10:07:10
ฟี่ลุย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 27-05-2011 12:15:19


เย็นนี้เจอกันค่ะ คาดว่าเรื่องคงจะยาวยืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ขอให้ทุกคนทำใจร่มๆไว่ก่อนนะคะ เผื่ออ่านตอนเย็นแล้วเกิดอารมณ์อยากเอาเมาส์ฟาดหัวบี 555+
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม อยากให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของฟี่ด้วยนะคะ เพราะบีเชื่อว่าคนเราก็มีความคิดเห็นต่างกันไป
บางทีเรื่องที่เราเห็นเป็นทางขวา ก็อาจจะมีคนคิดทางซ้ายก็ได้ ใครจะไปรู้ เนอะ ^^

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 27-05-2011 12:34:59
รอจ้าบีบี
เค้ากลัวอ่ะ กลัวใจบีบีแหละ
ง๊ากกกก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 27-05-2011 13:13:38
เฮ้อ ความรักกกกกกก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 11 (26/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 27-05-2011 13:47:39
*เขินนน :impress2:

ฟี่น่ารักว่ะ :o8:

อย่ามาม่าเลยน้า :man1:


หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 12
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 27-05-2011 17:26:49

ระวัง!!
ทำใจร่มๆก่อนอ่าน


ช่วงนี้ผมกำลังจำศีลครับ...
อย่าเพิ่งตกใจคิดว่าผมกลายพันธุ์เป็นหมีไปแล้วนะ การจำศีลของผมคือการลาพักร้อน เก็บตัว และไม่ออกไปปรากฎตัวในที่สาธารณะมากนัก รวมถึงไม่ไปเจอกับใครบางคนด้วย...

เพราะผมกำลังต้องการให้สมองโล่ง เพื่อจะได้คิดอะไรๆให้ถี่ถ้วนและเป็นเรื่องเป็นราว สถานการณ์ระหว่างผมกับณัฐเป็นอะไรที่ซับซ้อน เราปฏิบัติต่อกันเหมือนคนที่กำลังคบหาดูใจ แต่ว่าไม่มีการพูดออกมาเป็นเรื่องราว บางทีผมก็คิดไปว่าผมคงเป็นคนสำคัญสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ได้มีการพูดอะไรออกมาจากปากเขาเลย ผมครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนี้มาเป็นวันที่สองแล้ว ผมหลบเลี่ยงณัฐแล้วบอกกับเขาว่างานผมยุ่งมาก ต้องทำโอทีทุกคืน แต่ถ้าผมหลบเขาไปเป็นวันที่สาม ผมเชื่อว่าเขาต้องระแคะระคายในความเปลี่ยนไปของผมแน่นอน

ผมตัดสินใจไปหาคนที่ผมคิดว่าจะช่วยผมได้...

“อ้าวฟี่ จะมาทำไมไม่บอกอาก่อนละ อาจะได้เตรียมกับข้าวไว้ให้” ผมมองหญิงสาวร่างเล็กบอบบางตรงหน้าแล้วเดินเข้าไปกอด กลิ่นหอมจากตัวของอาผึ้งยังคงทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเสมอ ผมหอมแก้มเธอดังฟอดแล้วเสียงหัวเราะของอาผึ้งก็ดังสดใสเหมือนเด็กสาว กาลเวลาไม่ได้ทำให้อาผึ้งของผมงดงามน้อยลงไปเลย
“อะไรฟี่ก็กินได้ครับ อาผึ้งทำอร่อยทุกอย่างแหละ”
“แหม นานๆมาทีละปากหวาน แต่ชอบปล่อยให้อาอยู่คนเดียวนักแหละ” อาผึ้งเหน็บแนมผมแต่ก็หันมาจูงมือผมเข้าไปในบ้าน บ้านเดี่ยวหลังน้อยสีขาว รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุ 7 ขวบจนจบมัธยมปลายผมก็ย้ายไปอยู่ข้างนอก อาผึ้งคนที่คอยเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่ตอนนั้นคือญาติคนเดียวที่ผมเหลืออยู่...ญาติที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน...

ผมมองรูปบนผนังบ้าน รูปโทนสีขาวดำในกรอบรูปสีดำดูมีรสนิยม ใบหน้าของคนบนรูปส่วนมากก็จะเป็นผมตอนเด็กๆและอาผึ้ง และอีกคนหนึ่ง... พ่อของผม...
“อามีความสุขดีหรือเปล่าครับ” อาผึ้งหันมามองผมแล้วทำหน้างงๆ ผมเปลี่ยนเป็นฝ่ายดึงอามานั่งที่โซฟาตัวโปรดของอาแทน ผมนั่งลงแล้วกุมมืออาเอาไว้ ผมสงสัยเหลือเกิน สงสัยว่าเหตุใดผู้หญิงตัวเล็กๆที่แสนเปราะบางคนนี้จึงยึดมั่นในความรักเหลือเกิน
“ฟี่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ว่าทำไมอาถึงได้ยึดมั่นกับพ่อขนาดนั้น พ่อก็ตายไปตั้งนานแล้ว ทำไมอาถึงไม่ลองมองคนอื่น อาไม่เหงาเหรอครับ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าผมดูอ่อนโยนและแสนดี ผมอยากให้เธอมีความสุขมากๆ
“ฟี่... อาไม่รู้หรอกนะลูก ว่าฟี่ไปเจอเรื่องอะไรมา แต่ไหนแต่ไรฟี่ไม่เคยที่จะปริปากพูดเรื่องนี้กับอา แต่ในเมื่อฟี่พูดขึ้นมาแล้ว อาก็จะบอกว่าที่อาอยู่คนเดียวไม่ใช่เพราะอารู้สึกผิด อาไม่ได้ลงโทษตัวเองให้โดดเดี่ยวไปจนตาย เพียงแต่อาเลือกเอง อาเลือกที่จะอยู่คนเดียว ฟี่รู้มั้ยลูก ว่าไม่มีใครที่จะเข้ามาแทนที่พ่อของฟี่ในหัวใจของอาได้เลยนะ...” อาผึ้งบีบมือผมแน่นแล้วจ้องตาผม ผมมองเข้าไปในดวงตาของอาผึ้งซึ่งมีแต่ความจริงปรากฎอยู่ ผมก้มหน้าซบบ่าของอาแล้วน้ำตาผมก็ไหล... ผมนึกถึงเรื่องเมื่อตอนที่ผมเจ็ดขวบ ตอนที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้...

ราวๆ 16 ปีก่อน..
'ท๊อฟฟี่ สวัสดีอาผึ้งสิลูก' ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆหน้าตาหล่อเหลากำลังคะยั้นคะยอลูกชายตัวเล็กให้ไหว้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกัน ท๊อฟฟี่เหลือบมองหญิงสาวที่ยิ้มแย้มอ่อนโยน เธอดูใจดี และเธอก็ดูสวยกว่าแม่ของท๊อฟฟี่เสียอีก แต่นั่นไม่มีทางทำให้ท๊อฟฟี่ใจอ่อนหรอก เพราะผู้หญิงคนนี้ทำให้แม่ของท๊อฟฟี่ต้องโดดเดี่ยว ทำให้พ่อของท๊อฟฟี่ไม่รักแม่

ท๊อฟฟี่จำได้ ว่าตอนที่มีประชุมผู้ปกครองแล้วเพื่อนๆพาพ่อและแม่มาด้วย ท๊อฟฟี่กลับมีแต่แม่ พอท๊อฟฟี่ถามแม่ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่อยู่ด้วยกันเหมือนคนอื่น แม่ก็จะหน้าบึ้ง ตาของแม่จะแดงๆ แล้วแม่ก็จะบอกว่า
‘พ่อเขาไม่อยากอยู่กับเรานี่ลูก’
พอแม่พูดเรื่องพ่อแล้วแม่ก็จะร้องไห้ ท๊อฟฟี่ไม่อยากให้แม่ร้องไห้ เขาจึงไม่ถามถึงพ่ออีก นานๆทีพ่อจะมาหาแล้วซื้อของเล่น ซื้อขนมมาฝาก ท๊อฟฟี่จะดีใจเป็นที่สุดที่ได้กอดพ่อ ได้เล่นกับพ่อ แต่ถ้าได้เล่นกับพ่อและแม่ไปพร้อมกันก็คงดี เพราว่าเวลาพ่อมาก็มักจะมาตอนที่แม่ไม่อยู่ แต่บางครั้งที่พ่อมาแล้วเจอว่าแม่อยู่บ้าน ท๊อฟฟี่ก็จะได้ยินเสียงแม่เถียงกับพ่อ แม่จะชอบถามพ่อว่า
‘ของพวกนี้ผู้หญิงพวกนั้นเลือกมาใช่มั้ย เอามันกลับไปเลยนะ!’ เสียงแม่จะเกรี้ยวกราด แต่สุดท้ายแล้วของฝากจากพ่อก็จะเป็นของท๊อฟฟี่อยู่ดี เพราะว่าของพวกนั้นมันถูกใจท๊อฟฟี่จริงๆนี่นา

ช่วงที่ท๊อฟฟี่เข้าป.หนึ่ง แม่ก็ประสบอุบัติเหตุรถชน คุณลุงที่ทำงานของแม่พาท๊อฟฟี่ไปหาแม่ที่โรงพยาบาล ท๊อฟฟี่นั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้วก็มองคนอื่นทำสีหน้ากังวล สักพักพ่อก็มาโผล่ตรงหน้าท๊อฟฟี่ สีหน้าพ่อดูตื่นตกใจ พ่อกอดท๊อฟฟี่แน่น หลังของพ่อสั่นเบาๆ ท๊อฟฟี่ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อร้องไห้ จนกระทั่งพ่อบอกกับท๊อฟฟี่..
‘ไปอยู่กับพ่อนะลูก แม่เขาเลี้ยงฟี่ไม่ได้แล้ว ฟี่ต้องไปอยู่กับพ่อนะ...’ ท๊อฟฟี่มองหน้าพ่ออย่างไม่เข้าใจ พอมองเลยบ่าพ่อไปก็เห็นคุณน้าคนสวยยืนหน้าเศร้าอยู่ข้างพ่อ
‘แม่ไปไหนครับ?’ ท๊อฟฟี่ถามด้วยความสงสัย ทำไมต้องไปอยู่กับพ่อ แล้วแม่ไปไหนล่ะ
‘แม่เขาไปสวรรค์แล้วนะ’ พ่อบอกกับท๊อฟฟี่แค่นั้นก็มีคุณหมอมาเรียกให้พ่อไปจัดการเรื่องอะไรก็ไม่รู้ คุณน้าคนสวยคนนั้นเดินมานั่งข้างท๊อฟฟี่แล้วกอดท๊อฟฟี่ไว้ กลิ่นหอมจากร่างกายนุ่มนิ่มของคุณน้าคงทำให้ท๊อฟฟี่รู้สึกดีได้ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้...
ตอนที่ท๊อฟฟี่ได้เข้าใจว่าแม่จะไม่กลับมาแล้ว...
และรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคุณน้าคนนี้คือคนที่ทำให้พ่อไม่เลือกท๊อฟฟี่กับแม่...

ท๊อฟฟี่แหกปากร้องไห้ ดิ้น เตะ แล้วก็ข่วนคุณน้าคนนั้นไม่หยุด แต่เธอก็ไม่ดุ ไม่ว่า หรือตีท๊อฟฟี่เลย เธอเอาแต่กอดท๊อฟฟี่ไว้แล้วร้องไห้  จนพ่อมาเห็นก็เลยรีบดึงท๊อฟฟี่ออกไป
‘ฟี่ อาผึ้งเขาเจ็บนะลูก ทำไมทำแบบนั้น!’ พ่อตวาดท๊อฟฟี่เสียงดัง
‘ฟี่ไม่ชอบ ไม่ชอบคนนี้ คนนี้เอาพ่อไปจากฟี่กับแม่ ฟี่เกลียดเขา!!’ ท๊อฟฟี่เองก็ตะโกนสู้ เพราะท๊อฟฟี่กำลังเสียใจที่รู้ว่าแม่ไม่อยู่แล้ว


หลังจากวันนั้นฟี่ก็ไม่เจอคุณน้าคนนั้นอีก ฟี่ไปอยู่บ้านตากับยาย พ่อมาหาบ้าง แต่ทุกครั้งที่มาก็จะเถียงอะไรกับตายายไม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ตากับยายเก็บข้าวของของท๊อฟฟี่ แล้วพ่อก็มารับ
‘ไปกับพ่อเถอะลูก’ ท๊อฟฟี่จำได้ว่าตากับยายเดินมากอดท๊อฟฟี่ แล้วพ่อก็พาท๊อฟฟี่ขึ้นรถคันโตของพ่อไป รถของพ่อไปจอดที่บ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังสีขาว มีต้นไม้ดอกไม้เยอะแยะไปหมด เถาไม้เลื้อยๆเกาะตามเสาและโครงหลังคา มันสวยเหมือนบ้านในนิทานไม่มีผิด ท๊อฟฟี่หลงรักที่นี่ตั้งแต่แรกเห็น ทว่าความรู้สึกนั้นมันก็เลือนหายไปเมื่อท๊อฟฟี่เห็นผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง

‘ท๊อฟฟี่ สวัสดีอาผึ้งสิลูก’

ท๊อฟฟี่ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอาผึ้งอย่างโจ่งแจ้ง คงเพราะว่าท๊อฟฟี่เป็นเด็กที่เงียบๆและว่าง่าย แต่อาผึ้งก็คงรู้ดีว่าท๊อฟฟี่เกลียดเธอ ท๊อฟฟี่ไม่เคยมองว่าความดีของอาผึ้งนั้นมาจากใจจริง เธอแค่อยากทำให้พ่อเห็นว่าเธอรักท๊อฟฟี่แค่นั้น ใจจริงเธอคงเกลียดท๊อฟฟี่เหมือนกันแหละ ทั้งที่คิดอย่างนั้น แต่อาผึ้งก็ไม่เคยแสดงท่าทีไม่ดีกับท๊อฟฟี่เลยสักครั้ง เธอเอาใจใส่ดูแลทุกอย่างให้พ่อและท๊อฟฟี่โดยไม่มีข้อบกพร่อง พ่อเคยชมอาผึ้งว่าเธอเป็นวันเดอร์วูแมน ทั้งทำงานนอกบ้านและงานในบ้านได้ไม่มีที่ติ แต่ท๊อฟฟี่ก็ไม่เคยเปิดใจให้อาผึ้งเลย

นั่นคือตอนเด็กที่ผมจำได้ และมันก็มีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่าง และเปิดใจรักอาผึ้งจากหัวใจที่แท้จริง...

วันหนึ่งที่ผมสอบปลายภาคชั้นม.5 เสร็จ ผมไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนแล้วค้างคืนที่บ้านเพื่อนโดยไม่โทรบอกพ่อหรืออาผึ้ง พอตอนเช้าที่ผมเดินเข้าบ้านก็เห็นพ่อและอาผึ้งรออยู่ อาผึ้งนั่งหน้าซีดบนโซฟา พออาผึ้งเห็นผมปุ๊บ เธอก็ปรี่เข้ามาใกล้และเต็มแรงจนผมจนหน้าหัน
‘ทำไมถึงไปค้างที่อื่นแล้วไม่โทรมาบอกห๊ะ!!’ ครั้งแรกที่ได้เห็นอาผึ้งเกรี้ยวกราดช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึง ผมยืนอึ้งพักหนึ่งความโมโหที่เธอตบผมก็เข้ามาแทรกแทน
‘คุณมีสิทธิ์อะไรมาตบผม! คิดว่าตัวเองเป็นแม่ผมหรือไงถึงทำแบบนี้กับผมได้ คุณไม่ใช่แม่ผมนะ!’ ผมตวาดเธอกลับไป อารมณ์โมโหบดบังจนผมมองไม่เห็นน้ำตาที่คลอเบ้าของอาผึ้ง
‘ฟี่!!’ พ่อตวาดผมเสียงดังและเดินเข้ามาใกล้ แต่ผมไม่สนใจ ผมยังคงตะโกนใส่หน้าเธอเหมือนเก็บกดมานาน
‘คุณจำไว้บ้างสิ ว่าคุณเป็นคนที่เอาครอบครัวไปจากผม ทำให้แม่ผมต้องเศร้าจนวันตาย คุณมันก็แค่คนที่แย่งสามีชาวบ้าน แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาตบผม!’ อาผึ้งมองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวดที่สุดที่ผมไม่เคยเห็นจากใคร ขนาดแม่ที่มักจะดูเศร้าสร้อยเสมอก็ยังทำสายตาได้เศร้าไม่เท่าอาผึ้งในตอนนี้ พ่อกระชากแขนผมเตรียมจะชก แต่อาผึ้งก็รั้งพ่อไว้ เธอรั้งพ่อไว้ทั้งน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า ปากก็ห้ามพ่อไม่ให้ทำอะไรผม
‘พอเถอะค่ะ อย่าตีฟี่เลย ผึ้งผิดเอง ผึ้งก้าวก่าย อาขอโทษที่ตบฟี่นะลูก’ อาผึ้งพูดเสียงเครือ น้ำตาใสๆนั้นมีที่มาจากสิ่งไหนกัน เธอละอาย? เธอเสียใจ? เธอโกรธ? แต่แล้วผมยังไม่หายข้องใจดี อาผึ้งก็เป็นลมล้มพับไป พ่อรีบประคองอาผึ้งไว้และลูบไล้ที่ใบหน้าสวยนั้นอย่างห่วงใย ผมยืนมองพ่ออุ้มอาผึ้งขึ้นไปชั้นสองอย่างสับสน ความเกลียดชังในตัวผมที่มีต่ออาผึ้งกำลังสั่นคลอน ผ่านไปพักใหญ่เมื่อ พ่อเดินลงมาจากชั้นสอง พ่อเห็นผมนั่งเหม่อมองไปที่สวนจึงเดินมานั่งข้างๆ และเริ่มสนทนา

‘ฟี่เกลียดอาผึ้งมากเลยหรือ ?’
‘เปล่าครับ’ ผมตอบพ่อแล้วก็นั่งก้มหน้า ผมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้เกลียดอาผึ้งมากมายแบบที่ผมเคยคิดเสมอมา
‘แล้วทำไมถึงพูดแบบนั้น ลูกรู้ไหมว่าอาผึ้งเสียใจมาก’
‘ฟี่รู้ว่าอาผึ้งเสียใจ แต่ที่ฟี่พูดแบบนั้นไปก็เพราะฟี่คิดแบบนั้น เธอแย่งพ่อมาจากฟี่กับแม่นะครับ เธอทำให้แม่หัวใจสลาย’
‘ฟี่... อาผึ้งไม่ได้แย่งพ่อมานะลูก’ พ่อหมายความว่ายังไงถึงพูดแบบนั้น ผมหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ
‘ลูกก็โตแล้วนี่นะ พ่อควรจะเล่าให้ลูกฟัง...จากปากพ่อดีกว่าไหม?’ ผมพยักหน้า ทำไมพ่อพูดเหมือนว่าเรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่แม่บอกผมมาตั้งแต่เด็ก
...........
........
......
...
..
.

‘ฟี่เป็นลูกที่เกิดมาโดยที่พ่อไม่ได้ตั้งใจ’ พ่อพูดแล้วสบตาผม ผมเจ็บแปลบในหัวใจ แต่ผมเจ็บยิ่งกว่าเมื่อเห็นสายตาปวดร้าวของพ่อที่ต้องพูดมันออกมา
‘ตอนนั้นพ่อยังอายุน้อย เลือดร้อน มุทะลุ พ่ออยากรู้อยากลอง แต่แล้วผลที่ตามมามันก็คือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพ่อรู้ว่าลูกกำลังจะเกิดมา พ่อก็ต้องเลี้ยงดู แต่ตอนนั้นพ่อคิดอะไรไม่ออกเลย ทุกสิ่งมันมืดแปดด้าน พ่อเอาแต่คร่ำครวญว่าชีวิตวัยรุ่นของพ่อต้องจบลงกับผู้หญิงที่พ่อไม่ได้รัก แต่พอนานวันเข้าพ่อก็เริ่มทำใจได้ พ่อรู้ว่าพ่อต้องเอาใจใส่แม่ของลูกให้ดีที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้ จนวันที่ลูกเกิด พ่อก็รักลูกตั้งแต่วินาทีนั้น พ่อคิดว่าเราคงจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นได้ ทุกอย่างมันคงจะไปได้ด้วยดี ลูกที่น่ารัก ครอบครัวของพ่อเอง...มันดูมีความสุขนะ’
‘แล้วทำไม...สุดท้ายพ่อถึงจากเราไปครับ...’ ผมถามพ่อกลับ แล้วพ่อก็ถอนหายใจ
‘ฟี่ อย่าลืมนะลูกว่าพื้นฐานของพ่อกับแม่ไม่ได้เกิดจากความรัก มันเป็นความรับผิดชอบที่มีต่อตัวลูก ถึงพ่อจะรักลูกแค่ไหน แต่พ่อก็ไม่เคยรักแม่ของลูกได้อย่างสุดหัวใจเสียที และแม่ของลูกคงรับรู้ได้ว่าพ่อไม่เคยรักเธอเลย จนมันถึงจุดแตกหัก เราทะเลาะกันทุกวัน พูดคุยดีๆได้แค่สองสามคำก็เถียงกัน พ่อพยายามแล้ว พยายามอดทน แต่มันก็ทนไม่ไหว จนพ่อต้องเป็นฝ่ายแยกตัวออกมา พ่อคิดว่าถ้าเราห่างกันบ้างทุกอย่างคงดีขึ้น แต่เอาเข้าจริงพอกลับมาใกล้กัน มันก็เป็นเหมือนเดิมอีก’

ตอนที่พ่อเล่านั้น ผมก็พลันคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง... ที่เขาบอกว่า คนไม่ใช่ ยังไงมันก็ไม่ใช่สินะ..

‘ลำพังแค่มีลูก มันก็ทำให้พ่อเลือกแม่ของลูกได้นะฟี่ แต่ปัญหามันอยู่ที่พ่อกับแม่ของลูกทะเลาะกันตลอดเวลา แม้จะพยายามแค่ไหนเราก็เข้ากันไม่ได้ ความเห็นของเราขัดแย้งกันไปทุกเรื่อง พ่อคิดว่ามันคงเป็นเพราะพ่อกับแม่ยังไม่ได้รู้จักกันดีพอก็มีลูกเกิดมาแล้ว มันอาจฟังดูเหมือนพ่อไร้ความรับผิดชอบ แต่พ่อไม่เคยทอดทิ้งลูกเลยนะฟี่’
 
ผมนิ่งเงียบ ลำพังสมองของเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนในตอนนั้นคงยังไม่เข้าใจอะไรแจ่มแจ้งนัก แต่ผมก็ลองพยายามคิดอย่างเป็นกลาง ว่าถ้าผมเป็นพ่อ ผมก็คงไม่ทนเหมือนกัน แต่ว่าผมเป็นลูกแม่ และผมต้องเห็นความโศกเศร้าของแม่มาตั้งแต่เกิด ผมจึงยังไม่อาจสนิทใจได้เท่าไรนัก

‘แล้วพ่อ...เจอกับอาผึ้งได้ยังไงครับ’  ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที พ่อดูรักเธอเสียมากมายในขณะที่ไม่รู้สึกรักแม่สักนิดอย่างนั้นเหรอ? พอผมถามออกไป พ่อก็มองผมยิ้มๆก่อนจะเล่าให้ฟัง
‘พ่อรู้จักกับอาผึ้งมาตั้งแต่ตอนที่ลูกยังอยู่ในท้องแม่ของลูกเลย เราทำงานพิเศษตอนเรียนมหา’ลัยที่เดียวกันน่ะ ผึ้งเขาเป็นผู้หญิงที่เฮฮา น่ารัก นิสัยดี เราสองคนสนิทกันมาก แต่ก็ไม่เคยก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไป เพราะผึ้งเองก็รู้ว่าพ่อมีลูกแล้ว แต่พอช่วงที่พ่อเริ่มระหองระแหงกับแม่ของลูกและพ่อแยกห่างออกมา ผึ้งก็เข้ามาในชีวิตพ่อ ดูแล ให้คำปรึกษาพ่อเสมอ เธอไม่เคยคาดหวังมากไปกว่าการเป็นเพื่อนเลย’ พ่อหยุดพูดแล้วหลับตา ดุเหมือนพ่อกำลังดึงเอาความทรงจำในตอนนั้นกลับมา พ่อดูผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดเวลาที่มีเรื่องของอาผึ้งมาเกี่ยวข้อง.. ทำไมที่ผ่านมาผมไม่เคยสังเกตเห็นเลยนะ
‘แต่ในที่สุดพ่อก็ตกหลุมรักเธอจนได้...พ่อรักเธออย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน พ่อดึงรั้งและผูกมัดผึ้งไว้กับพ่อ ทั้งๆที่ผึ้งมีโอกาสจะได้เจอผู้ชายที่ดีและไม่มีพันธะ แต่พ่อก็ตัดโอกาสของผึ้งไปหมด’ พ่อพูดแล้วก็นั่งซบหน้ากับฝ่ามือ ผมเองก็เงียบ พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะให้ใครผิดหรือใครถูกดี
‘ฟี่ พ่อไม่หวังให้ลูกให้อภัยพ่อนะ แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้ ว่าการที่พ่อเลิกกับแม่ ไม่ได้แปลว่าพ่อเลิกเป็นพ่อของลูก ยังไงฟี่ก็เป็นลูกพ่อ และพ่อต้องดูแลฟี่ให้ดีที่สุด’

เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว... ผมยิ้มให้พ่อได้ ผมรู้แล้วว่าไม่ว่าพ่อกับแม่จะเป็นยังไงก็ตาม สิ่งสำคัญคือท่านรักผม ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินได้ว่าพ่อผิด แม่ถูกทิ้ง เพราะบางทีเรื่องราวมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น พ่อไม่ได้ทิ้งแม่ เพราะพ่อยังไม่เคยรักแม่เลยด้วยซ้ำ ระหว่างพ่อกับแม่เหมือนจะมีเพียงผมที่เชื่อมท่านทั้งคู่เอาไว้ ตอนนี้ผมสงสารแม่ที่แม่ไม่เคยรับความจริงที่เกิดได้ สงสารที่แม่เอาแต่โทษพ่อ สงสารพ่อที่ไม่อาจประคองครอบครัวของเราไว้ และสงสารที่สุดคืออาผึ้ง ผมไม่เคยรู้เลยว่าอาผึ้งต้องทนแบกรับความรู้สึกผิดมาเป็นสิบปี...   

พ่อเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน พ่อป่วยเป็นนิวมอเนีย วาระสุดท้ายของพ่อมีอาผึ้งคอยกุมมือพ่อไว้แน่น ผมมองเห็นอณูความรักแผ่ออกมาจากคนทั้งสอง แม้ตอนนั้นพ่อจะไม่ได้สติ แต่ผมก็รู้สึกว่าพ่อจับมืออาผึ้งไว้แน่น อาผึ้งเองก็นั่งเงียบๆแต่มีน้ำตาไหลตลอดเวลา จนตอนที่ชีพจรของพ่อหยุดลงเธอก็ไม่ฟูมฟาย มีเพียงน้ำตาที่ไหลมากขึ้นกว่าเดิม อาผึ้งเดินมากอดผมตอนที่นำร่างของพ่อไปที่โบสถ์ ผมกอดเธอตอบแล้วผมก็ร้องไห้

ในงานศพของพ่อ อาผึ้งดูสวยเหลือเกิน ผิวขาวซีดของอาผึ้งและร่างเล็กบอบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องชั้นดีที่พร้อมจะแตกหักลงทุกเมื่อ อาผึ้งจ้างช่างสลักคำไว้อาลัยบนป้ายหลุมศพของพ่อ คำไว้อาลัยของอาผึ้งทำให้ผมรู้สึกปวดร้าวจนถึงที่สุดที่เคยดูถูกว่าอาผึ้งเป็นเพียงผู้หญิงที่แย่งสามีคนอื่น... เพราะความรักของอาผึ้งนั้นล้นเหลือ

‘ผึ้งขอกล่าวลากับคุณเป็นครั้งสุดท้าย คุณอุ่นผู้เป็นที่รักของผึ้ง คุณอุ่นที่ทำให้โลกของผึ้งสดใสเสมอ คุณอุ่นที่ทำให้ผึ้งรู้ว่าการรักใครจนสุดหัวใจมันเป็นยังไง ผึ้งรู้ดีว่าความรักของเรานั้นมีคนมากมายที่ไม่เห็นด้วย และมีคนมากมายที่คิดว่าผึ้งเป็นคนไม่ดี แต่ผึ้งไม่เคยสนใจคำพูดพวกนั้นเลยค่ะ คุณอุ่นรู้ไหมว่าวินาทีที่คุณอุ่นจับมือผึ้งแล้วบอกว่าจะอยู่กับผึ้งไปจนชั่วชีวิตของคุณ หัวใจของผึ้งก็เป็นของคุณอุ่นไปโดยดุษฎี ผึ้งฝากหัวใจ ฝากร่างกายและความรักไว้ที่คุณอุ่นจนหมดแล้ว ผึ้งขอให้คุณอุ่นหลับให้สบาย ผึ้งจะดูแลฟี่เองค่ะ’

เสร็จจากพิธีฝัง เพื่อนสนิทหลายคนของอาผึ้งก็เดินเข้าไปโอบประคองอาไว้ แต่อาผึ้งเลือกเดินมาหาผม และกล่าวคำสัญญากับผม

‘อาจะดูแลฟี่เองนะลูก’

ผมพยักหน้ารับและจับมืออาผึ้งไว้ ผมยอมรับเธอเป็นครอบครัวของผมเต็มตัว ผมเดินไปโยนกุหลาบลงในหลุมของพ่อและเฝ้ามองตอนที่เขาเอาดินกลบไปในหลุม มีขณะหนึ่งที่ผมได้ยินเสียงอาผึ้งพูดเบาๆไปกับสายลม

‘ผึ้งจะตามคุณไปสักวันหนึ่งนะคะ...’

ผมกระชับมืออาผึ้งแน่น นั่นเพราะผมไม่อยากให้อาจากไปไหน...


กลับมาที่ปัจจุบัน ผมนั่งกอดเอวอาผึ้งไว้แน่น น้ำตาผมไหลจนมันแทบไม่เหลือ แต่ผมก็ยังอยากร้องไห้ไปเรื่อยๆ มือนุ่มของอาผึ้งลูบหลังผมอ่อนโยน
“ฟี่...ฟี่กำลังเจอเรื่องเหมือนกับที่อาเคยเจอใช่ไหมลูก..” ผมไม่ตอบอา แต่ผมพยักหน้ากับไหล่ของอาเบาๆ อาผึ้งขยับจากแผ่นหลังมาลูบหัวผม
“ฟี่ไม่รู้จะทำยังไงครับ ทุกอย่างมันมืดมัวไปหมด ผู้ชายคนนั้นเขาก็ได้พูดอะไรให้กระจ่าง ทุกอย่างมันคลุมเครือไปหมด” ผมพูดไปสะอื้นไป มันเหมือนว่าพอผมได้กอดอา ทุกอย่างในใจผมก็พรั่งพรูออกมาหมด
“เขาทำเหมือนว่าฟี่เป็นคนสำคัญ เขาให้เกียรติและเทคแคร์ แต่ฟี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วเขารู้สึกยังไงกับฟี่ แม้กระทั่งมุมมองในด้านความรักของเพศเดียวกันเขาก็ไม่เคยพูดถึง ผู้ชายที่เคยมีภรรยาและมีลูกจะมาสนใจผู้ชายด้วยกันงั้นเหรอครับ ฟี่กลัวไปหมดเลย จะเดินหน้าต่อก็เจ็บ จะอยู่กับที่ก็เจ็บเหลือเกินครับอาผึ้ง...”

“ใจเย็นๆนะลูก... เราอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ถ้าเกิดว่าฟี่ยังไม่รู้ความรู้สึกของเขา ทำไมฟี่ไม่ลองถามดูละ ถ้าไม่ว่าเลือกทางไหนก็เจ็บ ทำไมฟี่ไม่เลือกเจ็บแต่ได้รับรู้ อย่างน้อยฟี่ก็จะได้รับรู้ความรู้สึกเขา ไม่ใช่ทนเจ็บไปโดยไม่รู้อะไรนะ” ผมมองหน้าอาผึ้งทั้งน้ำตา ที่อาผึ้งพูดมาก็ถูก แต่ผมไม่กล้า ผมมันขี้ขลาด ผมกลัวว่าจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่มีอยู่ตอนนี้ไป
“อารู้ว่าฟี่กลัว คนๆนั้นเขาคงเป็นคนที่ฟี่รู้สึกดีด้วยมากเลยสินะลูก ฟี่ถึงได้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม”
“ครับ... เขา...ทำให้ฟี่รู้สึกอะไรได้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับคนอื่น ไม่ว่าเมื่อไรการมีตัวตนของเขาก็ทำให้ฟี่หยุดหายใจได้เสมอ ทำให้โลกของฟี่หยุดหมุน ทำให้ฟี่ลอยละล่องเพราะความสุข...”
“แล้วฟี่จะยอมปล่อยคนที่ทำให้ฟี่รู้สึกดีขนาดนี้ไปอีกเหรอ บางทีมันอาจเป็นโอกาสของฟี่นะ อย่าปล่อยให้เรื่องอื่นมันเข้ามาขัดขวาง อย่างน้อยลองทำตามหัวใจดูสิลูก”
“แล้วภรรยากับลูกของเขาละครับ..”
“เรื่องนั้นถ้าฟี่อยากรู้ ฟี่ต้องถามเขานะ ฟี่ถามเขาเรื่องภรรยากับลูกของเขาก่อนสิ แล้วถ้าเกิดเขาบอกว่าเลิกกันแล้วจริงๆ ฟี่ค่อยบอกความรู้สึกออกไปก็ยังไม่สายนะลูก” อาผึ้งพูดกับผมอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวาน เสียงใสๆนั้นปลอบประโลมหัวใจของผมให้แข็งแรงได้
“ครับ ฟี่จะลองดู แต่ถ้าเกิดว่าฟี่ต้องผิดหวัง ฟี่ขอรบกวนยืมบ่าของอาผึ้งไว้รักษาแผลใจได้ไหมครับ”
“ได้สิ อาให้ทั้งบ่าและที่พัก แถมอาหารสามมื้อเลยจ้ะ” อาผึ้งยิ้มกว้าง และผมก็ตัดสินใจจัดการกับเรื่องทุกอย่างได้ในวันนั้นนั่นเอง

เรื่องของอาผึ้งและพ่อ ถ้าผมไม่ได้โตมาจนป่านนี้ และไม่ได้เจอเรื่องเหล่านี้ ผมคงไม่มีทางเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อปัญหาเกิดขึ้นและเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ สิ่งสำคัญคือเราจะทำยังไงไม่ให้เรื่องมันแย่ลงไปต่างหาก จะทำยังให้เรื่องไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม จะทำยังไงให้ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยเดิม พ่อผมเลือกที่จะห่างกับแม่ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องโตมาโดยเห็นแต่ภาพพ่อแม่ทะเลาะกัน

ถ้าเพียงแต่ผมถามณัฐ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผมคงได้รู้แน่ชัด...
 

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.ไม่มีอะไรจะพูด รอฟังฟีดแบ็กค่ะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 27-05-2011 17:45:27
เฮ้อชีวิตหน๋อชีวิตมันเลือกไม่ได้จริงๆ
แงๆ ถ้าหัวใจมันสั่งได้ง่ายๆ ก็ดีเด้  :เฮ้อ:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 27-05-2011 18:13:27
รวบรวมพลังลมปราณก่อนอ่าน ย๊ากกกกกกกกส์
เดี๋ยวมาเม้นนะคะ บีบี

ซิกๆ เค้าอ่อนไหวกับเรื่องครอบครัวจริงๆ :monkeysad:
ชีวิตรักของพี่กับอาผึ้งช่างคล้ายกัน
"อยากรักก้อต้องเสี่ยง ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในความฝัน"
โฮๆๆๆ
ลองดูสักตั้งก้อดีฟี่ :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 27-05-2011 21:30:23
มารอฟังคำตอบจากณัฐครับ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 27-05-2011 21:33:27
โอ้วววว น้ำตาท่วมกระทู้ >"<
เป็นเหมือนกรรมเก่าจากรุ่นพ่อ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 27-05-2011 22:20:53
เฮ้อ  เศร้า ซึ้ง

น้ำตาท่วมจอ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 27-05-2011 23:16:15
น่าสงสารออ่ะ เหมือนมันซ้ำรอยเดิม ให้ฟี่ได้เข้าใจความรู้สึกของผึ้ง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 27-05-2011 23:52:06
 :o12:
นี่ละนะที่เรียกว่าความรัก
หวังว่าเรื่องของพี่จะเหมือนของอาผึ้งที่ได้เจอรักเดียวตลอดไปจริงๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 28-05-2011 23:39:29
เฮ้ออออ

อย่าเศร้านานเลยน้า
ความสุขมีไม่นาน  ความทุกข์ก็มีไม่นานเหมือนกันนะ :m15:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 12 (27/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 29-05-2011 08:29:47
พึ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากเลยจ้า
ภาษาดี อ่านได้อารมย์
รู้สึกอินตาม 

ท๊อฟฟี้น่ารักมากเลย :กอด1:
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 13 Part I
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 30-05-2011 12:11:34


Part I

ผมกลับมาจากบ้านอาผึ้งและแวะไปที่สุสานของพ่อ ผมเอาดอกไม้ไปวางบนหลุมศพพ่อ ลมพัดเอื่อยๆเหมือนเป็นคำอวยพรจากพ่อ... ว่าขอให้ผมกล้าพอที่จะทำตามหัวใจตัวเอง..

ตอนที่ผมนั่งรถตู้กลับมามันก็มืดแล้ว ไฟถนนข้างทางพอมองตอนกลางคืนก็สวยดี เวลานี้ผมใจสงบที่สุด เหมือนว่าอะไรๆก็ต้องไปได้สวย ผมหลับตาและภาวนากับพระเจ้าว่าขอให้ท่านอยู่เคียงข้างผม

พอถึงป้าย ผมก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าซอย อากาศคืนนี้เย็นนิดๆ แล้วตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะอาบน้ำดีหรือเปล่านั้น โทรศัพท์ผมก็สั่น ผมผุดยิ้มเมื่อลองเดาดูว่าใครจะโทรมา และเมื่อเห็นคนที่โทรมาผมก็ยิ้มกว้างกว่าเก่า เวลานี้ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน...

/ฟี่ ว่างหรือเปล่า?/ ผมแปลกใจกับประโยคแรกของเขา แต่ผมก็ยังตั้งรับทัน
“อืม ว่างสิ ทำไมเหรอ”
/ไปนั่งรถเล่นกัน เดี๋ยวณัฐไปรับนะ/
“อะ..อือ” แล้วณัฐก็วางสายไปทั้งที่ผมยังงงๆ ณัฐยังไม่เคยมาที่บ้านผม ณัฐไม่ถามผมเลยเหรอว่าบ้านผมอยู่ซอยไหน? แล้วพอผมคิดสักพักโทรศัพท์ผมก็ดังอีกครั้ง ณัฐโทรเข้ามาถามทางผม ผมอดไม่ได้ก็เลยบอกเส้นทางไปหัวเราะไป

ผมย้อนกลับไปหน้าปากซอยเพื่อนั่งรอณัฐที่ป้ายรถเมล์ ผมนั่งคิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงอาผึ้ง คิดถึงพ่อ คิดถึงณัฐ แล้วก็คิดว่านี่สวรรค์อาจจะให้โอกาสผม...
“สวัสดีครับ นั่งรอใครอยู่เหรอ” ผมเงยหน้าแล้วยิ้มให้คนที่มีวิธีทักทายแบบทะเล้นๆเสมอ ผมของณัฐเสยปัดไปด้านหลัง สงสัยคงขับมาอย่างเร็วเลยละสิ ทำไมกันนะ...ผมถึงรู้สึกเตลิดเปิดเปิงทุกครั้งที่เห็นใบหน้านี้...
“ทะลึ่ง” ผมตอบกลับไปยิ้มๆ ณัฐหัวเราะแล้วก็ส่งหมวกกันน็อกให้ผม พอสวมเสร็จแล้วผมก็ก้าวขึ้นไปซ้อนมอเตอร์ไซค์เขา
“เกาะแน่นๆนะฟี่ ณัฐจะบินไปละ” ณัฐเอื้อมมาดึงมือผมไปเกาะไว้ที่เอวเขา ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้แม่น มือของผมที่เกาะอยู่ที่เอวณัฐนั้นเกาะแน่นจนแทบจะฝังมือเข้าไปในท้องของณัฐ

นั่นเป็นสัมผัสแรกที่ผมได้ใกล้ชิดณัฐขนาดนั้น...

ทั้งมือของผมที่เกาะอยู่ที่เอวของณัฐ หน้าท้องของผมที่เกือบจะแนบไปกับแผ่นหลังของณัฐ ต้นขาของผมที่เบียดอยู่กับสะโพกของณัฐ คางของผมอยู่ใกล้ต้นคอของเขา กลิ่นแชมพูจากผมของณัฐโชยมาตามลม

พระเจ้า...ท่านกำลังทดสอบจิตใจของคนบาปอย่างผมเหรอครับ...

“โอ๊ะ!” เสียงณัฐอุทานเบาๆทำให้ผมรู้สึกตัว ผมฟุ้งซ่านจนเผลอจิกเล็บลงไปที่เอวณัฐ ผมลดแรงที่ปลายนิ้วลงแล้วตะโกนถามสู้กับลมที่พัดย้อนมา
“ขอโทษนะ เจ็บหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เจ็บครับ” ณัฐปล่อยมือจากแฮนด์มอเตอร์ไซค์แล้วมาดึงมือผมไปเกาะเอวเขาอีกรอบ
“ฟี่เกาะไว้สิ เดี๋ยวหล่นนะ” ผมไม่พูดอะไร แต่ในใจนึกประหม่า ซ้อนรถมาร้อยวันพันปีไม่เคยจะต้องเกาะแน่นแบบนี้ แล้วทำไมวันนี้ถึงบังคับให้ผมเกาะให้แน่นจังนะ...

“ฟี่ ขอมือหน่อย” ณัฐจอดรถที่ใต้สะพานแห่งหนึ่ง มือใหญ่นั้นยื่นมาตรงหน้าผม ผมมองมือณัฐ แล้วก็มองหน้าณัฐสลับไปมา
“ทำหน้างง ส่งมือมาสิ” พอณัฐพูดซ้ำผมเลยยื่นมือไปที่ณัฐ ณัฐคว้ามือผมไว้แล้วจูงผมเดินไป วันนี้เขาจะทำให้ผมเป็นแบบนี้สักกี่ครั้งกันนะถึงจะพอใจ ทั้งให้เกาะเอว ทั้งจับมือ...

เพื่อนที่ไหนเขาต้องจับมือกันเวลาเดินละ ยิ่งเป็นผู้ชายด้วยกันแล้ว...

เราทั้งคู่เดินขึ้นบันไดคอนกรีตมาจนถึงบนสะพาน ไฟถนนสีส้มเรียงรายอยู่บนทางเท้าบนสะพานข้ามแม่น้ำแห่งนี้ ดึกแบบนี้ไม่ค่อยมีรถ ภาพของผู้ชายสองคนที่คนตัวโตกว่าเดินนำหน้าแล้วจูงมือให้คนตัวเล็กตามหลัง ผมอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลย...

“สวยมั้ยฟี่...” ผมพยักหน้าเมื่อมองไปบนผิวน้ำสีดำที่มีเงาสะท้อนจากแสงไฟบนสะพาน และมันยิ่งสวยมากขึ้น.. เมื่อมีคนเคียงข้างแบบนี้ ผมแอบมองเสี้ยวหน้าของณัฐ ผมหลงใหลทุกอย่างที่เป็นณัฐ ณ วินาทีนั้นผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมมอบความรู้สึกให้ณัฐไปมากแค่ไหน  ผมไม่สามารถกลับหลังได้อีกแล้ว ถ้าผมไม่ก้าวต่อไป และปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ที่เดิมผมคงเสียใจจนตาย อย่างน้อยถ้าผมต้องเจ็บ ก็ขอให้ผมได้กระจ่างใจดีไหม...

“ไปเที่ยวทะเลไหมฟี่?” ผมชะงักกึก อ้าปากยังไม่ทันจะได้ถามณัฐก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน ณัฐหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้
“ณัฐอยากไปที่ไหนละ” ผมตัดสินใจพักเรื่องที่จะถามไว้ก่อน ผมมันใจง่าย แค่เขาชวนใจผมก็ไถลตามไปแล้ว
“อืม...ที่ไหนดีละ เอาทะเลใกล้ๆสวยๆ”
“ไปเกาะล้านมั้ยละ” ผมเสนอ และนั่นละครับ...จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของเรา...




ปล.1 น้ำจิ้มค่ะ... รอจานหลักตอนเย็น...
ปล.2 ไอ้ฟี่ใจง่ายเนอะ... เหมือนคนแต่งเลย T T
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 30-05-2011 13:02:21
ไม่ได้เข้าเล้าตั้งหลายวัน มาวันนี้ได้อ่านตั้งหลายตอน ดีจังเลย
ซ้าธุ..ไปเที่ยวคราวนี้ ขอให้เป็นการไปเจอความสุขสมหวังรออยู่ที่เกาะล้านนะฟี่


ปล.1 น้ำจิ้มค่ะ... รอจานหลักตอนเย็น...
ปล.2 ไอ้ฟี่ใจง่ายเนอะ... เหมือนคนแต่งเลย T T
ปล. ปล. ขอสนันสนุนให้ฟี่ใจง่ายจ้ะ ถ้าการใจง่ายนั้นทำให้เรามีความสุข รีบคว้าไว้ก่อนเลยจ้ะฟี่
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 30-05-2011 13:03:11
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

อีโมข้างบนเหมือนจะน้ิอยไป ขอบ่นเพิ่มอีกนิด
ถามว่าน้องฟี่ใจง่ายไปมั้ย ตอบได้เลยว่าใช่ง่ะ
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง มนุษย์ส่วนใหญ่ก็เลือกทำตามความต้องการของตัวเองทั้งนั้น
ไม่ผิดหรอกที่น้องฟี่ ตัดใจจากณัฐไม่ได้ ตอนหน้าจะเคลียมั้ยคะ
ณัฐจะบอกควาทรู้สึกตัวเองหรือยัง ว่าที่ทำแบบนี้กับฟี่เพื่ออะไร แค่เหงาหรือเปล่า
ตอนที่แล้วทำน้ำตาอาบหน้า ตอนนี้สีเทาๆ ยังไม่จาก ตอนหน้าจะเป็นเทาปนชมพูได้หรือยังคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 30-05-2011 13:12:47
บรรยากาศในตอนต่อไป จะไม่อึมครึมแล้วใช่ไหมคะ บีบีจัง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 30-05-2011 13:48:56
เอ้ออออ
สงสัยจะมีเหตุนะ
เราว่าณัฐแปลกๆ อ่ะ
ไม่รู้สิ ใจมันคิดแบบนั้น
รอจานหลัก แบบอิ่มอกอิ่มใจตอนเย็นจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 30-05-2011 16:12:24
ตกลงณัฐมันคิดอะไรมั๊ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 30-05-2011 16:26:24
ทำไมเรามองในแง่ลบล่ะ ฮือออออออออออออออ
ไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายๆกับฟี่ T___T
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 13 Part II
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 30-05-2011 17:19:44
Part II
(**หมายเหตุ ตัวละครในสถานที่นี้เป็นตัวละครสมมตินะคะ)

“ล็อกบ้านเรียบร้อยแล้วนะฟี่” ณัฐหันมาถามผม ผมพยักหน้าแล้วตรวจตราความเรียบร้อยในบ้านเป็นรอบที่สาม ประตูหน้าต่างล็อกเรียบร้อยแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ของณัฐจอดคู่กับคันของผมอยู่ตรงที่จอดรถโดยมีโซ่คล้องไว้อีกชั้น ผมคล้องกุญแจประตูบ้านแล้วล็อกอย่างแน่นหนา

เราตกลงกันว่าจะออกเดินทางตอนหกโมงครึ่ง ณัฐขับมอเตอร์ไซค์มาจอดที่บ้านผมตอนตีห้าแล้วโทรปลุกผมอยู่สิบห้านาทีกว่าผมจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ พอผมตื่นก็จัดหามื้อเช้าให้ณัฐกินระหว่างรอผมอาบน้ำ พอหกโมงครึ่งเราก็ออกจากบ้านเพื่อไปขึ้น
รถตู้ไปแหลมบาลีฮายเพื่อข้ามไปเกาะล้านอีกที

หลังจากวันนั้นที่เรามีความคิดว่าจะไปเที่ยวกันผมก็มาหาข้อมูลที่พักแล้วจองเสร็จสรรพ ทริปแบบด่วนจี๋ช่างน่าตื่นเต้น เพราะเราสองคนจะได้ลุ้นกันว่าที่พักจะเป็นยังไง ทะเลจะสวยไหม เราสองคนไม่เคยไปเกาะล้านกันทั้งคู่ จึงยิ่งน่าลุ้นเข้าไปใหญ่

พอได้ขึ้นรถตู้เราสองคนก็หลับไปตามระเบียบ หัวผมพิงอยู่ที่ไหล่ของณัฐ ผมหลับยาวไปจนถึงตัวเมืองพัทยาแล้วสะดุ้งตื่น มองไปข้างทางเริ่มเห็นทะเล แสงแดดเจิดจ้าเหมาะแก่การมาเที่ยวทะเล ณัฐหันมามองผมแล้วยิ้ม ทำไมเขาชอบยิ้มนักนะ... ใจผมมันสั่นรู้ไหม...
“ฟี่พิงไหล่ณัฐซะนานเลย เมื่อยหรือเปล่า”
“ไม่เมื่อยหรอก ถ้าเมื่อยจริงๆก็ให้ฟี่นวดให้ ได้มั้ย?” ผมก้มหน้า สถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนเกินไปแล้วนะ...มันเหมือนแฟนกันเกินไปแล้ว..

นั่งรถตู้กันอีกพักหนึ่งก็ถึงท่าเรือแหลมบาลีฮาย เราทันขึ้นเรือตอนสิบโมงพอดี เรือที่นำผู้โดยสารไปส่งที่เกาะล้านเป็นเรือลำใหญ่ที่โคลงเคลงไปตามแรงคลื่น ตอนเดินขึ้นไปผมแอบหวาดเสียวนิดๆ แต่มือของณัฐที่กุมมือผมไว้แน่นนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เรือใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะ น้ำทะเลสีฟ้าใสเห็นถึงข้างใต้ ผมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเพราะอยากจะเล่นน้ำ ณัฐเองก็ดูอารมณ์ดีไม่แพ้กัน

พอไปถึงท่าเรือหน้าบ้านก็มีรถของรีสอร์ทมารับ เจ้าของรีสอร์ทเป็นคนขับรถมารับเอง เขาดูยังอายุน้อยแถมยังอัธยาศัยดีจนผมพูดคุยได้อย่างออกรส ระหว่างที่ไปเช็คอินเขาก็แนะนำร้านอาหารและหารถมอเตอร์ไซค์ให้หนึ่งคัน เพราะว่าที่เกาะล้านนักท่องเที่ยวมักจะใช้มอเตอร์ไซค์ในการเดินทางไปหาดต่างๆครับ ผมกับณัฐซื้อของสดมาจากบนชายผั่งเพื่อจะทำอาหารทะเลกินกันเอง แล้วที่รีสอร์ทมีเตาปิ้งย่างไว้ให้บริการด้วย โชคดีชะมัด

“ฟี่ เอาของไปเก็บก่อนเถอะ แล้วค่อยไปเล่นน้ำ” ณัฐบอกผมที่กำลังคุยกับเจ้าของรีสอร์ทอย่างเพลิดเพลิน อ้อ! ผมลืมบอกไป เจ้าของรีสอร์ทชื่อคุณแซนด์ครับ คุณแซนด์มองหน้าผมกับณัฐสลับกันแล้วก็เลยถามขึ้นมา
“คุณสองคนเป็นแฟนกันเหรอครับ?” ผมจุกเลยครับ เขินชิบเป๋ง แต่ก็รีบบอกปัดไปว่าไม่ใช่
“อ้าว ยังงั้นเหรอครับ ถึงว่าถ้าเป็นแฟนกันทำไมจองห้องเตียงคู่ ฮ่าๆ” คุณแซนด์ยิ้มกว้าง ผมเองก็ยิ้มตอบไป ใจหนึ่งผมก็อยากจะบอกครับว่าเป็นแฟนกัน แต่มันไม่ใช่นี่นะ.. เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมต้องทำใจรับเรื่องนี้ให้ได้ เพราะณัฐเองก็มักจะแนะนำกับคนอื่นว่าผมเป็นเพื่อน แต่วันนี้ผมไม่อยากได้ยินจากปากณัฐครับ ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมจึงชิงตอบเสียเอง ผมขอเจ็บเพราะปากผมเองดีกว่าครับ...
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยคุณฟี่หิ้วกระเป๋าไปนะครับ” คุณแซนด์เอื้อมมือมาจะช่วยผมยกกระเป๋า พอจะบอกว่าไม่เป็นไร ก็มีคนที่ไวกว่าผมครับ
“ไม่ต้อง ผมหิ้วให้ ‘เพื่อน’ เองได้ครับ” ณัฐคว้ากระเป๋าไปจากมือผมแล้วใช้อีกมือที่ว่างคว้ามือผมไว้
“ขอตัวก่อนนะครับคุณแซนด์” ณัฐพยักหน้าให้คุณแซนด์แล้วลากผมไปที่ห้อง ผมเองก็เหวอไปกับท่าทีของณัฐจนไม่ทันได้สังเกตสายตาของคุณแซนด์ที่มองตามมา

“โห ห้องน่ารักเป็นบ้า” ผมอุทานด้วยความตื่นเต้น ก็ห้องนี้น่ะเป็นห้องแบบยกพื้นที่ยื่นไปตรงทะเล ห้องที่ใช้ไม้ในการสร้างให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านต่างจังหวัดเลย
“เตียงเดี่ยวสองเตียง?” ผมหันไปตามเสียงที่พูดขึ้นมา ณัฐยืนมองเตียงทั้งสองนิ่ง ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วสายตาสงสัยว่าณัฐไม่พอใจอะไรหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก” พอผมถามณัฐก็แค่ส่ายหัวแล้วยิ้มกลับมา ณัฐเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ตรงมุมห้อง ผมเองก็รื้อกระเป๋าตัวเองออกมาและหยิบเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเข้าตู้ พอจัดของๆตัวเองเสร็จผมก็หันไปหาณัฐ
“ให้ฟี่จัดของให้มั้ย”
“ไม่เป็นไร”
“เอาเถอะ ยังไงฟี่ก็ทำของตัวเองเสร็จแล้ว” ผมลากกระเป๋าณัฐมาแล้วลงมือเอาเสื้อผ้ามาแขวน เสื้อผ้ามีกลิ่นของณัฐทุกตัว ผมเหลือบไปเห็นณัฐกำลังตั้งใจมองวิวนอกหน้าต่าง ผมเลย...

แอบดมกลิ่นเสื้อของณัฐครับ...มันหอมเป็นบ้า...ฮ้า...กลิ่นของณัฐ

“ทำอะไรน่ะฟี่..” เสียงทุ้มนุ้มข้างหุทำผมสะดุ้งเฮือก ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับตอนนี้ มันเหมือนเด็กแอบกินขนมแล้วโดนคุณครูจับได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะอายดี จะตกใจดี หรือจะกังวลดี
“ณัฐถามว่าฟี่ทำอะไรครับ” โฮ....... คราวนี้ไอ้ฟี่ตายแน่ครับ ณัฐจะทำหน้ายังไง ณัฐต้องโกรธ ณัฐต้องรังเกียจผมแน่เลย
“อ๋อ.. เอ่อ...คือกลิ่นมันหอมดี ฟี่เลยสงสัยว่าณัฐใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรน่ะ” ผมตอบโดยไม่หันไปมองณัฐ
“เหรอ... ถ้าอยากรู้ก็ถามณัฐก็ได้นี่ จะไปดมทำไม”
“....” ผมอึ้งเลย พูดไม่ออก จะให้เหตุผลว่าอะไรดีวะเนี่ย จะบอกว่าผมจมูกเทพ แค่ดมก็แยกแยะยี่ห้อได้งั้นเหรอ คนนะ ไม่ใช่หมา หรือจะบอกไปตามตรงว่าผมอยากดมกลิ่นณัฐ?  สงสัยแบบนั้นคงได้กลับบ้านแน่
“ฟี่จะไปดมเสื้อทำไม ณัฐอยู่นี่ทั้งคน... มาดมที่ตัวณัฐไม่ดีกว่าเหรอ”  !?! หา??? อะไรนะ ผมฟังผิดเหรอ?
“!?!” พอผมจะหันไปถามณัฐก็สะดุ้งเฮือกเพราะณัฐอยู่ใกล้ผมมากทีเดียว ใกล้ขนาดที่ว่าพอผมหันไปปากเราสองคนก็เกือบแตะกันน่ะครับ
“มานี่มา” ณัฐพูดแค่นั้นแล้วตัวผมก็ลอยเลยครับ ลอยหวือขึ้นมาเพราะถูกอุ้ม ใช่เลย ผมถูกอุ้มเหมือนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมเหลือบมองแขนของณัฐที่มีกล้ามขึ้นเพราะใช้แรง คางของณัฐที่มีไรหนวดจางๆ ณัฐดูสมเป็นผู้ชายขนาดนี้เลย มันจะดีแค่ไหนกันถ้าเขากอดผมไว้ด้วยมือที่แข็งแรงทั้งสองข้างนั้น...
“ณัฐ ทำอะไรน่ะ!” แต่ผมก็ต้องหยุดความคิดอกุศลไว้แค่นั้นเมื่อณัฐโยนผมลงบนฟูก ต้องใช้คำว่าฟูกครับ เพราะว่าผมเลือกจองห้องที่ไม่มีเตียง ผมไม่ชอบนอนเตียงเท่าไรเพราะผมนอนดิ้น กลัวว่าจะตกเตียงเอาน่ะครับ
“อยากกอด”

“กอดได้ไหม”
สงสัยว่าณัฐยังกลัวผมอึ้งไม่พอ พ่อเจ้าประคุณเลยถามซ้ำอีกรอบ รูปการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากครับ เราสองคนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่ม ผมอยู่ด้านล่าง มีณัฐคล่อมอยู่ด้านบน เพื่อนกันเขาไม่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใช่ไหมครับ!!!

“เอ่อ.. ถ้าอยากกอดก็บอกดีๆ ไม่เป็นต้องลากมาบนที่นอนแบบนี้เลย” พระเจ้า ผมพูดอะไรออกไปวะครับ!
“ณัฐอยากนอนกอดนี่ ไม่ได้เหรอ” แล้วณัฐก็ทำหน้าเศร้า ผมเองกำลังสงสัยว่าตัวเองจะโดนเด็กใช้ใบหน้าหล่อๆมาล่อลวงให้ติดกับหรือเปล่า ไอ้ใจของผมมันก็ง่ายครับ หวั่นไหวอ่อนยวบไปหมดแล้ว
“ได้สิ...” พอผมบอก ณัฐก็ล้มตัวลงมานอนข้างๆแล้วกอดผมไว้แน่น ผมรับรู้ว่าจมูกของณัฐสูดดมกลิ่นจากตัวผม แขนแข็งแรงของณัฐกอดรัดผมแน่นขึ้นๆ จนสุดท้ายผมก็ยกแขนโอบณัฐไปพร้อมกัน...ผมใจง่ายว่ะ... แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าใครก็คงอยากทำตามที่ใจเรียกร้อง...

“ฟี่...” ณัฐถามผมเสียงเบา เรายังคงกอดกันอยู่อย่างนั้น หน้าผมซุกอยู่กับอกของเขา ผมจึงต้องผงกหัวขานรับแนบอกณัฐ
“หืม?”
“อย่าไปคุยกับไอ้เจ้าของรีสอร์ทมากนักนะ”
“หา? ทำไมล่ะ เขาก็ออกจะดูเฟรนด์ลี่” คุณแซนด์ใจดีนะครับ อุตส่าห์อาสาว่าจะให้เด็กที่รีสอร์ทปิ้งพวกอาหารทะเลที่ผมซื้อมาให้ระหว่างที่ผมไปเล่นน้ำ พอผมกลับมาจะได้กินพอดี
“ณัฐไม่ชอบที่มันมองฟี่” ผมขมวดคิ้ว ณัฐต้องการจะสื่ออะไรของณัฐ?
“อ้าว ก็คุยกันมันก็ต้องมองหน้าสิ ไม่มองหน้าจะให้มองก้นเหรอ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ บางทีณัฐก็ทำอะไรพิลึกๆดีนะครับ
“ก็ลองให้มันมองก้นฟี่ดูสิ!” ง่า...ผมพลาดครับ ณัฐไม่ขำตาม แถมยังขยับตัวมาคล่อมผมเหมือนตอนแรกแล้วแถมออพชั่นเสริมโดยการล็อกแขนสองข้างของผมไว้แน่น หน้าหล่อๆขมวดคิ้วทำหน้าบึ้ง
“ณัฐเป็นอะไรน่ะ ไม่พอใจอะไรก็บอกสิ?” ผมเริ่มสับสนว่าณัฐเป็นอะไรกันแน่ ร้อยวันพันปีณัฐไม่เคย...เอ่อ...งี่เง่าแบบนี้
“ณัฐไม่อยากให้คนอื่นมองฟี่นี่ ไม่อยากให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะกับฟี่”
“ณัฐต้องการจะสื่ออะไร ฟี่ไม่เข้าใจ” ผมถามณัฐเสียงสั่น ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก ณัฐเองก็ขมวดคิ้วแล้วทำหน้าเศร้า
“ณัฐหวงของณัฐนี่นา...ไม่อยากให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย..”

“หวง?” ผมทวนคำถามอีกรอบ หวงที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า  ‘Jealous’ งั้นเหรอครับ...
“ใช่”
“ณัฐหวงฟี่ทำไม...” เสียงผมมันสั่นแล้วครับ ผมกำลังจะร้องไห้... ณัฐทำให้หัวใจของผมเตลิดไปแบบกู่ไม่กลับแล้ว ณัฐแกล้งผมงั้นเหรอ? ต้องใช่แน่ๆ เพราะณัฐยิ่งชอบแกล้งผมอยู่  คงเห็นผมทำตัวไม่ถูกแล้วสนุกสินะ...
“...” นั่นไง ณัฐไม่ตอบครับ ณัฐเงียบ น้ำตาผมก็ไหล ณัฐแกล้งผม...
“ฟี่ ไม่เอานะ...ไม่ร้อง อย่าร้องไห้...” ณัฐใช้นิ้วป้ายน้ำตาให้ผม แต่ความเศร้าของผมมันก็มากจนผมกลั้นไม่ไหว มันเหมือนว่าผมกำลังขึ้นสวรรค์ กำลังจะบินโผล่พ้นจากเมฆขึ้นไปอยู่แล้วก็ถูกถีบกลับลงมา ณัฐเกลียดผมมากหรือไงนะถึงต้องแกล้งให้ผมดีใจแบบนี้...
 “อ๊ะ...อย่า...” ผมดันหน้าณัฐออก จากที่ใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มผม ณัฐก็เปลี่ยนมาจูบเบาๆ จูบที่ใช้ริมฝีปากแตะอย่างอ่อนโยน ถ้าเป็นปรกติผมคงจะหวั่นไหวไปกับสัมผัสนี้ที่ณัฐกำลังทำ แต่ตอนนี้ผมเสียใจ ผมถูกปั่นหัว ณัฐคงเห็นผมเป็นของเล่น ผมเบี่ยงตัวให้ออกมาจากอ้อมแขนของณัฐแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ยิ่งผมขืนตัวออกมาเท่าไร เขาก็ยิ่งรัดผมไว้แน่น 
“ฟี่.. หยุดร้องเถอะนะ ณัฐขอโทษ” ผมส่ายหัว...ณัฐแกล้งผมเองแล้วจะมาขอโทษทำไมกัน...
“ณัฐขอโทษนะที่หวงฟี่... ขอโทษที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ...”

อะ
ไร
นะ
.
.
.
ผมฟังไม่ผิด? ณัฐไม่ได้ขอโทษที่แกล้งผม ณัฐขอโทษที่หวงผม เราเข้าใจกันคนละเรื่องงั้นเหรอ?
ณัฐไม่ได้แกล้งผม ผมแค่คิดไปเอง ที่จริงณัฐหวงผม ไม่อยากให้ผมคุยกับคุณแซนด์?

จะเป็นไรไหมถ้าผมจะขอบินขึ้นสวรรค์อีกรอบ...


----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล. ยิ่งเขียนยิ่งมันส์ 555+

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 30-05-2011 17:37:31
คยเขียนมันส์

แต่คนอ่าน "หัวใจจะวาย" :serius2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 30-05-2011 17:55:53
ยิ่งมันส์ ก็ต้องรีบมาต่ออีกนะคุณบีขาาา :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 30-05-2011 18:16:06
เอิ้ววว
ค้างจะตายแล้ว
ลุ้นมันทุกบรรทัด อ๊ากกกก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 30-05-2011 18:19:53
อร๊ายยยยยยย  กรี๊ด

จุ๊บๆ บีบีจัง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 30-05-2011 18:30:29
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก
ลอยตามฟี่ไปอีกคนได้มั้ย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-05-2011 19:55:37
แอบดีใจแทนฟี่ได้ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-05-2011 20:12:59
ไม่ไหวน๊าาาาาาาา ณัฐอย่าลีลามาก ตรงๆ ไปเลย ฟี่ยิ่งคิดเองไม่ได้อยู่ 555

บวกๆ ค่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 30-05-2011 20:25:41
 :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 30-05-2011 20:41:37
ปล. ยิ่งเขียนยิ่งมันส์ 555+
จ้ะยิ่งมันส์ ก็ยิ่งต้องเขียนเยอะๆ ลงต่อๆกันเยอะๆ ใช่ไหมคะ อิ อิ (พูดเอาประโยชน์ใส่ตัวเลย ดิฉัน)
ณัฐ..หวังว่านายจะรู้สึกตรงกับฟี่จริงๆนะ ถ้าใช่...รุกต่อ ลุยไปโลด จะถูกใจ(คนอ่านที่ซู้ดดดดดด)ฟี่เลยแระ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 31-05-2011 02:10:31
บินเลยค่ะลูก :laugh: :laugh: :laugh:

เอาให้มันสูงๆ :z1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 31-05-2011 09:35:33
มารอฟี่ให้ลอยสุงๆค้างๆนานๆไปเลย ฮิๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 31-05-2011 11:15:19
อ่านะ อ่านตอนนี้เห็นณัฐทำแบบนี้คนอ่านจิ้นกันไปไกลลิบลิ่วแล้ว  :z3:
อย่างกับนั่งอ่านบนไวกิ้ง มันเสียววูปๆ กลัวจะมาม่าตลอดเวลา  :z3:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 13 Part I+II (30/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 31-05-2011 13:31:28
ความฝันยังคงดำเนินต่อไป ฟี่รีบๆตื่นสิ เพราะว่าฝันก็แค่ความสุขในจินตภาพเท่านั้น
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 14
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 31-05-2011 17:24:59


ผมได้ยินเสียงคลื่นสาดเข้ากระทบกับชายฝั่ง
เสียงกระดิ่งตรงหน้าต่างที่ดังกรุ๊งกริ๊งยามถูกลมพัด
เสียงลมหายใจของตัวผมเอง
เสียงหัวใจของผมที่มันเต้นแรงจนรู้สึกได้ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังอยู่ใกล้ๆหู...

ใครโทรมาวะ... แง่ง...

“ณัฐ...ฟี่ขอ...รับโทรศัพท์ก่อนได้ไหม?” ผมบอกกับคนที่อยู่บนตัวผมด้วยเสียงออดอ้อนแบบที่ผมไม่ได้ต้องการจะใช้สักนิด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสียงผมถึงเป็นแบบนั้น ยิ่งเห็นสายตานิ่งๆที่มองมา หัวใจของผมมันก็ยิ่งอ่อนระทวย ผมกำลังจะเป็นบ้าครับ...
“...” ณัฐไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ขยับตัวออกให้ผมได้ลุกไปรับโทรศัพท์ได้

“ว่าไงครับ” ผมรับสายด้วยน้ำเสียงแสดงความคุ้นเคยกับปลายสายที่โทรมา
/ฟี่~ ไปเที่ยวที่ไหนไม่บอกเลยน้า/
“เชอรี่รู้ได้ยังไงเนี่ย”
/ก็เชอรี่มีญาณวิเศษไง อิอิ/
“ตลกแล้ว รู้ได้ไงเนี่ยหืม?”
/ก็ไปหาที่บ้านมาน่ะสิ แล้วคนบางคนก็ไม่อยู่/

ผมลุกเดินไปนั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง เพราะดูท่าว่าการสนทนานี้คงจะอีกยาว เสียงหวานๆของเชอรี่แฝงความเป็นห่วงมาอย่างชัดเจน ที่ผมต้องทำมีเพียงแค่รอฟังสิ่งที่เชอรี่จะถามเท่านั้น

/ฟี่... เชอรี่จะรอนะ ถ้ามันเจ็บปวดจนทนไม่ไหวก็รีบกลับมา..ไม่ต้องงกค่ารีสอร์ทล่ะ.../ ผมกัดริมฝีปากแน่น น้ำใจจากผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนคนนี้เป็นอะไรที่ผมไม่มีทางตอบแทนได้หมด อย่างที่เขาบอก มีเพื่อนเป็นร้อยก็ไม่เท่าเพื่อนแท้แค่คนเดียว

“รออะไร..” ผมสะดุ้งเฮือก ณัฐมายืนฟังผมคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ และลำโพงของผมมันก็ดังพอที่คนอื่นที่อยู่ใกล้ผมจะได้ยินไปด้วย ผมหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของณัฐ ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็รู้ว่าณัฐอารมณ์ไม่ดีชัวร์
“เชอรี่รออะไร” ณัฐถาม แล้วผมก็ส่ายหัว ผมดันตัวณัฐให้ถอยออกไปห่าง แต่ณัฐก็บีบแขนผมไว้แน่น
“ทำไม? ตอบณัฐไม่ได้เหรอ” เสียงณัฐเข้มขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็อึกอัก ไหนจะโทรศัพท์ ไหนจะณัฐ
/ฟี่...มีอะไรหรือเปล่า?/ เสียงเชอรี่ฟังดูกังวล คงจะได้ยินเสียงณัฐหงุดหงิดสินะ...
“ไม่มีอะไรหรอกเชอรี่ ฟี่ขอวางก่อนนะ” แล้วผมก็วางสาย พอผมวางปั๊บณัฐก็เอาโทรศัพท์ไปจากมือผมแล้วโยนลงบนที่นอนอีกด้านหนึ่ง เรียกว่าคนละมุมห้องเลยแหละครับ
“เชอรี่โทรมาทำไม”
“ก็โทรมาคุยเฉยๆ..”
“แล้วทำไมต้องพูดว่าจะรออะไรด้วย”
“ไม่มีอะไร... เชอรี่ก็แค่บอกว่าจะรอของฝาก..” ผมโกหกไปดีกว่าเนอะ..
“รอของฝาก? แล้วเชอรี่รู้ได้ยังไงว่าฟี่มาเที่ยว”
“ก็เชอรี่ไปหาฟี่ที่บ้าน แล้วเห็นว่าบ้านปิดทั้งที่เป็นวันหยุด...” ผมกระเถิบตัวหนีณัฐที่ขยับมาใกล้ผมเรื่อยๆ ตัวผมแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโซฟาอยู่แล้ว และคงจะจมลงไปในโซฟาแน่ๆถ้าณัฐไม่หยุดรุกมาใกล้ผมแบบนี้
“อ่าฮะ...เชอรี่ไปหาที่บ้านบ่อยเหรอ..”
“ก็บ่อยนะ เกือบทุกวันหยุดแหละ..” ผมตอบไปก็ไม่เข้าใจว่าทำไมณัฐต้องมารุกไล่อะไรผมแบบนี้
“เป็นเพื่อนกันแน่ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้า ก็เป็นเพื่อนกันสิ(วะ) มันจะเป็นอื่นนอกจากเพื่อนได้ไงในเมื่อหัวใจผมให้ไอ้บ้าตรงหน้านี่ไปหมดแล้ว!
“อืม...” ณัฐพยักหน้ารับรู้ ทำสีหน้าประมาณว่าเชื่อก็ได้ (แต่อย่าให้รู้ว่าโกหกนะ...)  นี่ผมกลัวเขา?
“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ” ณัฐถอยออกไปห่างจากผมแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเงิน ผมก็เลยลุกจากโซฟาแล้วจะเดินไปหยิบของตัวเองบ้าง แต่พอผมลุกจากโซฟาเท่านั้นแหละ...
“อะ...” ตัวผมชาวาบเลยครับ จู่ๆณัฐก็หันมาผลักผมกลับไปที่โซฟาแล้วล็อกตัวผมไว้ หน้าณัฐห่างจากหน้าผมแค่นิ้วเดียว ริมฝีปากของเราก็ห่างกันแค่สองเซน. ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของณัฐที่รินรดอยู่บนแก้มของผม แล้วจมูกกับริมฝีปากของณัฐก็ขยับมาใกล้แก้มของผมมากขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกขนลุกซู่เหมือนไฟฟ้าสถิตย์ ผมหลับตาปี๋ตอนที่ริมฝีปากของณัฐแตะลงบนแก้มผม... สัมผัสวูบวาบและใกล้ชิดเกินกว่าเพื่อน... ความรู้สึกแบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน กับแค่การหอมแก้มมันจะอะไรนักหนา ก็แค่การเอาปากหรือจมูกมาแตะที่แก้ม มันไม่น่าจะทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากแบบนี้นี่!

ณัฐทำให้ระบบทุกอย่างในตัวผมเพี้ยนไปหมด!!!

ณัฐทำให้ผมหวั่นไหวไปกับแค่การหอมแก้ม แค่การแนบชิด...
ผมเองไม่ใช่ว่าจะใสซื่อบริสุทธิ์ ขนาดจูบครั้งแรกสมัยม.ปลายผมยังไม่รู้สึกอะไรมากแบบตอนนี้ แล้วนี่ณัฐแค่หอมแก้มผม เราแค่ใกล้กันนิดๆหน่อยๆผมก็รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย ร่างกายของผมทุกอณูมันตื่นตัวผิดปกติเกินไปแล้ว...

 “ฟี่...หอมจังเลยนะ...ตัวฟี่หอมจังเลย..” เสียงของณัฐฟังดูทุ้มและนุ่มนวลเหลือเกิน น้ำเสียงของณัฐมันทำให้ผม...รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ น้ำเสียงของณัฐทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีความสำคัญ...
“ท๊อฟฟี่...หวานเหมือนชื่อหรือเปล่านะ...” หา? ณัฐว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ชัดเลย
“อะ..” สัมผัสอุ่นและนุ่มที่ริมฝีปากของผมบ่งบอกว่าผมกำลังถูกณัฐชิมหาความหวานตามที่ณัฐสงสัย... ถึงตอนนี้ผมแอบเคืองพ่อนิดๆที่ตั้งชื่อผมเป็นขนมหวาน ถ้าตั้งชื่อผมว่าไอ้ขม ณัฐก็คงไม่คิดจะชิมหรอก...คุณว่างั้นไหม?
“อืม...ฟี่” ณัฐกระซิบขึ้นมาเสียงแผ่ว ณัฐจะทำเสียงแบบนั้นทำไมว้า… ผมคลั่งจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไอ้ร่างกายผมมันก็เป็นอะไรไม่รู้ ทำเหมือนเป็นหนุ่มจิ้นไปได้ แค่เขาหอมก็อ่อนระทวย แค่เขาจูบก็ละลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปแล้ว สมองผมมึนเบลอไปหมดเลย ตอนนี้ผมลืมไปหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุผลหรืออะไรก็ตาม สมองของผมสั่งการแต่ว่าอยากจะผูกพันกับคนๆนี้ให้มากขึ้นอีก ผมเหมือนตัดขาดกับสรรพสิ่งรอบตัว ไปจนหมด ณ จุดนี้ผมสนใจแต่เรื่องของคนตรงหน้าเท่านั้น ยิ่งริมฝีปากของณัฐรุกเร้ามามากเท่าไร ผมก็ยิ่งสนองตอบไปมากเท่านั้น ณัฐขบและกัดริมฝีปากของผมแล้วส่งเสียงอืออาในลำคอ มือของณัฐเริ่มแตะลูบไปตามแผ่นหลังของผม เอ่อ...แผ่นหลังมัน...เป็น...จุดอ่อนของผมนะครับ...
“อะ..ณัฐ...อย่า...” ผมหันหน้าหนีริมฝีปากของณัฐแล้วดันอกณัฐออก ผมเหมือนกำลังต่อสู้กับความต้องการของตัวเองไม่มีผิด คุณเคยไหมที่แบบว่าขนมมาจ่ออยู่ตรงปากแต่ก็ต้องห้ามใจไม่กิน...

กริ๊ง กริ๊ง

การกระทำทุกอย่างหยุดนิ่งเลยครับ...เสียงโทรศัพท์ในห้องช่างดังได้จังหวะ ผมมองหน้าณัฐที่กัดฟันกรอดแล้วเดินไปรับโทรศัพท์เสียงห้วน
“ฮัลโหล” ผมมองณัฐที่ยืนหันหลังคุยโทรศัพท์แล้วผมก็มองตัวเอง เสื้อผ้าหน้าผมยุ่งไปหมด ผมหันไปมองกระจก ปากของผมแดงเจ่อ แก้มก็ช้ำ ผมเป็นคนผิวขาว พอเจออะไรมากระตุ้นก็มักจะแดงช้ำได้ง่าย
“ขอบคุณมาก เดี๋ยวพวกผมจะลงไป” พอได้ยินณัฐพูดผมเลยรีบลุกและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย คงเป็นคุณแซนด์โทรมาบอกเรื่องอาหารแน่เลย
“อ๊ะ ฟี่จะไปไหน” พอณัฐวางหูปุ๊บ ผมก็วิ่งออกไปนอกห้องแล้วครับ จังหวะนี้ผมต้องรีบโกยก่อนที่จะหมดโอกาส
“ไปกินข้าว เดี๋ยวณัฐรีบตามมานะ ฟี่จะไปรอข้างล่าง” ผมตะโกนบอกณัฐจากตรงบันไดทางลง พูดจบผมก็วิ่งลงไปเลยโดยไม่รอณัฐ

อากาศชายทะเลในยามค่ำคืนบวกกับแสงไฟสีส้มช่างเหมาะเจาะลงตัว ทางรีสอร์ทมีการก่อกองไฟประดับเอาไว้ช่วงกลางคืนด้วย ปาร์ตี้บาร์บีคิวไนท์มีแขกคนอื่นๆลงมาใช้บริการกันอีกมาก ทั้งผมและณัฐเลือกโต๊ะตัวที่อยู่ติดชายทะเล ณัฐบอกให้ผมคอยเป็นคนย่าง ส่วนณัฐก็เป็นฝ่ายเดินไปหยิบของสดมาจากบาร์
“ฟี่ กินนี่สิ” ผมมองปลาหมึกย่างที่ณัฐตักมาวางในจานผมที่เต็มไปด้วยกุ้งหอยปูปลามากมายจนผมกินไม่ทันแล้วถอนใจ
“เอ่อ...ณัฐ... ฟี่กินไม่หมดหรอกนะ”
“ไม่ได้ กินในจานให้หมด ผอมจะตายอยู่แล้ว” พระเจ้า...ถ้าผมกินหมดจานนี้อย่างที่ณัฐว่า ผมคงอิ่มไปถึงพรุ่งนี้เย็นแหละครับ
“ณัฐ ฟี่กินไม่หมดจริงๆนะ” ผมหันไปย้ำกับณัฐอีกรอบ ณัฐหันมามองผมด้วยสายตาประเมินแล้วก็ยิ้มก่อนจะขยี้หัวผม
“อืม งั้นกินอีกคำนึงนะ” ณัฐจิ้มปลาหมึกมาจ่อตรงหน้าผม แล้วสุดท้ายผมก็ต้องยอมกิน พอกินหมดชิ้นหนึ่ง ณัฐก็เอามาป้อนใหม่ พอผมส่ายหน้าหนีณัฐก็จะตัดพ้อต่างๆนาๆจนผมรู้สึกผิดแล้วก็ยอมกินต่อ...จนหมดจาน..
“เก่งจังเลย..” ณัฐชมแล้วลูบหัวผม ผมไม่ใช่เด็กนะ!! แต่ผมก็ชอบที่ณัฐทำแบบนี้แฮะ..

ระหว่างมื้อเย็นนั้นที่รีสอร์ทมีลูกค้าเยอะพอสมควร คุณแซนด์เองก็ต้องคอยดูแลแขกทุกคนเลยไม่ได้มาคุยกับผมเท่าไรนัก แต่มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ผมหันไปจ๊ะเอ๋กับคุณแซนด์พอดีแล้วเขาก็ส่งยิ้มให้ผม ผมจึงยิ้มกลับไปตามมารยาท แต่พอผมหันหน้ากลับมาก็จะเห็นณัฐทำตาขวางมองเลยผมไป...ที่คุณแซนด์...

“อิ่มแล้วไปเดินเล่นกันมั้ยฟี่” ณัฐที่กำลังตักไอศครีมเข้าปากเงยหน้ามาถามผม ผมก็พยักหน้าตอบกลับไปแล้วหันไปนั่งจ้องทะเลต่อ
“เอาแก้วมานี่มา เดี๋ยวณัฐไปเติมน้ำให้” ณัฐเอื้อมมือมาเอาแก้วน้ำอัดลมไปจากมือผม ผมมองตามหลังณัฐที่เดินไปเติมน้ำให้แล้วก็นั่งยิ้มคนเดียว ผมว่าผมคงเป็นบ้าไปแล้วแหละครับ ที่แค่เห็นแผ่นหลังณัฐก็มีความสุข...

“คุณฟี่ ทำไมนั่งคนเดียวละครับ”
“อ๋อ ณัฐไปเอาน้ำให้น่ะครับ” ผมหันไปก็เห็นคุณแซนด์ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“แหม สนิทกันดีจังนะครับ” ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“แล้วคบกันมานานหรือยังครับ”
“ก็รู้จักกันมาสี่ปีได้แล้วมั้งครับ” ผมนิ่งคิดแล้วก็ตอบไป แต่พอผมตอบ คุณแซนด์กลับทำสีหน้าแปลกใจ
“รู้จักกัน? สรุปแล้วไม่ได้คบกันเป็นแฟนหรอกเหรอครับ” ผมขมวดคิ้ว อะไรทำให้คุณแซนด์คิดแบบนั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือทำไมคุณแซนด์ถึงถามอะไรที่ละลาบละล้วงจังหว่า ดูเขาจะเฟรนด์ลี่ไปหน่อยไหม
“อะฟี่ ชาเขียวกับฝอยทอง” ณัฐมาเป็นผู้ช่วยชีวิตผมครับ ผมมองจานฝอยทองอบกรอบกับชาเขียวในมือณัฐ...
“ณัฐ... ทำไมเป็นชาเขียวละ ไหนเป๊ปซี่ของฟี่ละ” ผมถามแล้วณัฐก็ส่ายหัว
“วันนี้กินเป๊ปซี่ไปเยอะแล้วนะฟี่ พอแล้ว”
“โหย...” ผมส่งเสียงขัดใจนิดเดียวณัฐก็ทำตาดุใส่ผม จนผมต้องยอมเงียบไปเอง
“ว่าแต่คุณแซนด์มีอะไรเหรอครับ” ผมลืมไปซะสนิทว่าคุณแซนด์ยืนอยู่ด้วย พอหันไปก็เห็นคุณแซนด์แค่ยิ้มแล้วก็ส่ายหัว
“เปล่าหรอกครับ แค่มาทักทายเฉยๆ ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ” คุณแซนด์พูดแค่นั้นแล้วก็เดินไปดูแลลูกค้าคนอื่นๆ ผมเองก็แปลกใจว่าทำไมไม่เป็นช่างคุยเหมือนตอนที่ณัฐยังไม่มาเลยหว่า
“ณัฐ ณัฐว่าคุณแซนด์เขาแปลกๆไหม” ผมแอบกระซิบถามณัฐที่ตวัดหางตามองคุณแซนด์ แล้วก็หันมาทำตาขวางใส่ผม
“เพิ่งจะรู้สึกเรอะ” ณัฐพูดกับผมเสียงห้วนแล้วก็หยิบเอาฝอยทองของผมไปกินโดยไม่พูดถึงคุณแซนด์อีก

พอเราทั้งสองคนอิ่มแล้วก็เลยชวนกันขับมอเตอร์ไซค์ไปที่หาด พอหาที่จอดได้เราก็ลงไปเดินเล่นกัน ช่วงนี้มืดแล้วคนก็เลยไม่ค่อยมี น้ำทะเลที่นี่ใสจนผมอยากจะเล่นน้ำซะเดี๋ยวนั้นแต่ก็ต้องอดใจรอให้เช้าก่อนครับ
“ฟี่ ไปนั่งตรงนั้นกัน” ณัฐจับมือผมแล้วพาผมเดินไปนั่งตรงโขดหิน ผมบอกหรือยังครับ... ว่าตั้งแต่มาที่นี่ณัฐจับมือผมบ่อยมาก...ผมเองไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะครับ แต่ผมแค่เขิน...แล้วก็สับสนบ้าง...ในบางที...
“ทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นละฟี่” ณัฐเอานิ้วมาจิ้มตรงหว่างคิ้วผมอีกแล้ว แต่มันก็ทำให้ผมรู้ตัวนะ ว่าผมกำลังขมวดคิ้ว
“อือ...ฟี่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ..”
“คิดอะไรแล้วทำไมต้องขมวดคิ้วด้วยละ ถ้าต่อไปนี้ฟี่ขมวดคิ้ว ณัฐจะเอานิ้วดีดหน้าผาก ดีไหมครับ?”
“หึ! ไม่ดีอะ มันเจ็บนะ”
“งั้นก็อย่าขมวดคิ้ว” ครับ...ง่ายๆสั้นๆ แล้วพ่อเจ้าประคุณก็หันไปนั่งชมคลื่นชมดาวต่อ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนว่าง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องที่ณัฐคอยห้ามหรือคอยเตือนผมนั้นมันก็มักจะเป็นเรื่องที่ส่งผลดีกับตัวผมเอง อย่างเรื่องที่ผมดื่มจัด(เป๊ปซี่นะครับ) ณัฐก็คอยห้ามให้ผมดื่มน้อยลงเพราะกลัวกระเพาะผมจะมีรู ขนาดนิสัยที่ผมชอบขมวดคิ้วณัฐก็ไม่อยากให้ทำ เพราะเขาไม่อยากให้ผมหน้าแก่

ผมเองก็นั่งเพลิดเพลินกับลมเย็นๆและดาวที่เต็มท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งณัฐเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดกับผมก่อน
“ฟี่... ฟี่ไม่มีอะไรที่อยากจะถามณัฐบ้างเหรอ”  ผมละสายตาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวแล้วหันไปมองหน้าคนข้างๆ ผมก้มหน้านิ่งแล้วก็คิด ผมอยากถามสิ...สารพัดสิ่งที่ผมคิดอยากจะถาม แต่บางครั้งที่ผมตั้งใจว่าจะถาม พอเจอหน้าณัฐผมก็ลืมไปหมดทุกสิ่ง เวลาที่อยู่กับณัฐผมมักจะลืมเรื่องราวที่ขุ่นข้องหมองใจไปจนหมด มันเป็นแบบนั้นเพราะว่าตัวผมอยากจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ผมมีความสุขให้มากเข้าไว้ หากมีเรื่องที่จะทำให้ทุกอย่างต้องพังทลายลงผมก็จะพยายามทุกทางไม่ให้มันเกิดขึ้น

“ฟี่ก็ไม่รู้สิณัฐ บางทีฟี่ก็มีเรื่องอยากจะถามณัฐมากมาย แต่พออีกแว่บหนึ่งฟี่ก็คิดว่าไม่ถามเสียยังจะดีกว่า” ผมบอกแล้วก็ถอนหายใจ พูดไปพูดมาผมมันก็เหมือนคนขี้ขลาดคนนึงเท่านั้นเอง...
“ทำไมฟี่ถึงคิดแบบนั้น ทำไมฟี่ถึงคิดเอาเอง บางทีคำตอบมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ฟี่คิดก็ได้นี่นา” ผมมองณัฐด้วยความแปลกใจ ใบหน้าณัฐดูจริงจัง... แต่ผมก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดี
“ฟี่...ณัฐไม่รู้หรอกนะว่าฟี่คิดอะไร หรือรู้สึกยังไง ถ้าฟี่ไม่พูดออกมา..” ผมมองตามมือของณัฐที่เอื้อมมาจับมือผมไว้ ใจจริงผมก็แค่ไม่กล้าสู้สายตาของณัฐ ผมเลยก้มมองมือ แต่ณัฐก็จับคางให้ผมเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขาแทน
“รู้ไหม...ว่าตรงนี้ของณัฐ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีให้ฟี่นะ...” ณัฐจับมือของผมไปแตะที่อกด้านซ้ายของเขา..ด้านที่รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างใน ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ผมไม่เข้าใจว่าเวลาคนเราจะกลั้นน้ำตาทำไมต้องกัดริมฝีปาก เพราะสำหรับผมมันไม่ช่วยอะไรเลย ต่อให้ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดอาบ น้ำตาผมก็ยังไหลอยู่ดี และสุดท้ายผมก็กลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ได้..
“ไม่เอานะ ฟี่ไม่ร้องไห้สิ...” ณัฐดึงให้ผมไปนั่งบนตักเขาแล้วลูบแก้มของผม นิ้วของณัฐแตะให้ผมเลิกกัดปากตัวเอง เขาพรมจูบลงบนแก้ม เปลือกตา และริมฝีปากของผม เขาลูบหลังปลอบโยนผมสารพัดแต่ก็ไม่ช่วยหยุดน้ำตาของผมได้...

ผมรู้สึก...ว่าหัวใจของผมมันกำลังพองโต...

“ณัฐไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะสูงหรือตัวโตอะไรเลยนะ แต่พอมาอยู่ใกล้ๆฟี่แล้วณัฐก็รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ชะมัด หึหึ”
“ฮึก...ใช่สิ...ฟี่มันเตี้ย...” ผมเถียงไปทั้งที่ยังสะอื้น ก็ดูสิ ผมนั่งบนตักเขาเหมือนเป็นเด็กตัวน้อยๆไม่มีผิด ผมรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายของณัฐ ผิวกายของเราต่างก็แนบชิดกัน ผมสูดกลิ่นหอมจากซอกคอของณัฐ กลิ่นกายของณัฐ กลิ่นที่ผมสูดดมเท่าไรก็ไม่เคยพอเสียที
“ฮื้อ... มาดมซอกคอเขาแบบนี้ได้ยังไง” ณัฐพูดแต่ผมก็ไม่นำพา ผมชอบของผมนี่นา
“ไหนเงยหน้ามาคุยกันก่อนสิ ฟี่ยังไม่บอกกับณัฐเลยนะ...” ผมถูกณัฐจับให้หันมามองหน้าเขา แสงจันทร์ยามค่ำคืนสาดแสงไปที่ใบหน้าของณัฐชัดแจ่ม แล้วณัฐล่ะ...จะเห็นไหมว่าผมหน้าแดงแค่ไหน ณัฐจะรู้ไหมว่าผมกำลังเขินสุดๆ
“ทำไมณัฐต้องถามด้วยละ...”
“แล้วณัฐอยากรู้ไม่ได้เหรอ ฟี่บอกไม่ได้เหรอ หรือว่าเราไม่ได้คิดเหมือนกัน..” ณัฐพูดเสียงตัดพ้อ พอผมได้ยินผมก็ปรี๊ดทันทีเลยครับ
“ณัฐอย่ามาขี้โกงนะ... ณัฐอย่ามาหาว่าฟี่ไม่ได้รู้สึกเหมือนณัฐนะ ณัฐไม่รู้หรอกว่าฟี่คิดมากแค่ไหน ณัฐไม่รู้หรอกว่าฟี่กลัวทุกครั้งที่ใกล้ณัฐ กลัวว่าสักวันหนึ่งที่ฟี่เผลอพูดไปก็จะทำให้ณัฐเกลียด..” ผมเคืองจริงๆนะครับ...จะมาหาว่าผมไม่รู้สึกอะไร...ไอ้น้ำตาบ้านี้ก็ไหลเอาๆ หรือว่าชาติที่แล้วผมจะเป็นสาวน้อยเจ้าน้ำตากันแน่นะ
“ณัฐไม่เคยเกลียดฟี่เลยสักนิด...” ณัฐบอกแค่นั้นผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่ได้รับรู้ว่าเขาไม่เกลียดผมก็เพียงพอ...

แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะพอใจกับคำๆนี้ หากสักวันที่อะไรๆมันชัดเจนขึ้นมามากกว่านี้ก็ค่อยว่ากัน สำหรับผมแล้ว ความสัมพันธ์มันไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว ณัฐอาจจะไม่ได้บอกว่าเขาชอบผม และผมก็ไม่ได้บอกว่าผมชอบเขา ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะเราต่างก็รู้กันดีอยู่ เรื่องบางเรื่องผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูด เพราะทุกสิ่งที่ผมเป็น มันก็บอกความรู้สึกของผมได้หมดแล้ว ผมอยากให้เรื่องราวมันค่อยเป็นค่อยไป ผมจะใช้ความรู้สึกนำทางหัวใจ ตราบใดที่ณัฐรู้สึกดีกับผม ผมว่ามันก็เป็นก้าวแรกที่ดีเกินความคาดหมายแล้ว

ผมย้ำอีกครั้ง...แค่ตอนนี้เท่านั้นนะที่ผมจะพอใจกับความรู้สึกนั้น... เพราะไม่ว่ายังไงระหว่างเราสองคนก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอีกมากมาย แต่ผมขอแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและเก็บเกี่ยวความสุขไว้ให้มากที่สุด...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.1 ค้างคาใช่มั้ยคะ สรุปจะอะไรยังไงก็ยังไม่รู้แน่ชัด แถมยังปิดท้ายเหมือนจะจบอีกต่างหาก เหอะๆ
แต่ลองคิดดูนะคะ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว (ใช่ป่าวหว่า?) ความสัมพันธ์ของคนเรามันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ หิหิ
** ใจจริงคือไม่อยากให้สุขจนล้นมากนัก เดี๋ยวผิดคอนเซ็ปท์เรื่องความหดหู่ 555+
ปล.2 มีคนไม่ชอบณัฐเหมือนกันแฮะ :-)
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 31-05-2011 17:47:57
เอาใจช่วยฟี่
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 31-05-2011 18:07:40
ลุ้นจนตัวยาวเป็นยีราฟแล้ว
แบบว่าอีกนิดนึง นิดนึงได้มั้ย
ขอความชัดเจนอีกหน่อย
หัวใจจะหยุดเต้นไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 31-05-2011 18:10:38
ลุ้นจนตัวยาวเป็นยีราฟแล้ว
แบบว่าอีกนิดนึง นิดนึงได้มั้ย
ขอความชัดเจนอีกหน่อย
หัวใจจะหยุดเต้นไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย

ชอบค่ะ 55555+

เป็นยีราฟไปเสียแล้ว

งั้นเอาตัวอย่างตอนต่อไปมาเป็นของกำนัล...

ตัวอย่างตอนที่ 15
“ณัฐไปอาบน้ำสิ” ผมปิดประตูห้องพักแล้วก็บอกให้ณัฐไปอาบน้ำก่อน ตัวของเราสองคนมีแต่กลิ่นบาร์บีคิว แถมเท้าก็ยังมีแต่ทรายติด แต่พอผมหันไปมองคนที่ผมไล่ให้ไปอาบน้ำผมก็ผงะ
“ณัฐ! อย่าไปนอนบนที่นอนฟี่แบบนั้นนะ เท้าเปื้อนทรายเต็มไปหมด อี๋ย์” ผมรีบเดินไปดึงณัฐออกมาจากที่นอนของผม ทำไมเขาไม่ไปนอนบนที่ตัวเองละเนี่ยยยยยยยย
“ฟี่แหละไปอาบก่อน ณัฐให้ฟี่อาบก่อน”
“งั้นณัฐก็อย่ามานอนกลิ้งบนที่นอนฟี่ ไปนั่งที่โซฟาเลย อย่ามาเกลือกบนที่นอน เท้ามีแต่ทราย” ผมไล่ณัฐลงจากที่นอนแล้วผมก็ไปหยิบผ้าขนหนูมาพาดไหล่โดยไม่สนใจคนที่เดินปึงปังหน้าหงิกหน้างอไปนั่งบนโซฟา
“ยังไงคืนนี้ก็ต้องนอนด้วยกันอยู่แล้วนี่...” เสียงบ่นพึมพำจากคนที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาทำเอาผมหันควับ
“ห๊ะ? ณัฐว่าอะไรนะเมื่อกี้ ฟี่ฟังไม่ค่อยชัด”
“เปล๊า...ไม่มีอะไรหรอก..ไปอาบน้ำเถอะ”
ผมเอียงคออย่างสงสัย เมื่อกี้ณัฐมันต้องพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ดีแน่ๆเลย แต่ผมดันฟังไม่ทันเสียอย่างนั้น...
แต่เอาเถอะ... คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...



รอติดตามต่อพรุ่งนี้ค่า~~


หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 31-05-2011 18:21:03
อืม หวานแบบเทาๆ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 31-05-2011 20:16:21
อยากให้ฟี่เจอคนดีกว่านี้อ่ะ
ไม่ใช่ว่าณัฐไม่ดีนะ
คือ ดูเหมือนณัฐยังไม่ชัดเจน ไม่แน่นอนเรื่องฟี่เท่าไหร่อ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 31-05-2011 20:40:12
มันยังมีกลิ่นไอของความหดหู่อยู่ยังไงไม่รู้ สงสัยระแวงคนแต่ง 55+
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนท
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 31-05-2011 22:06:52
อยากให้ฟี่มีความสุข
 :m17:แต่ไม่อยากให้เป็นณัฐเลยให้ตายซิ  :เฮ้อ:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 01-06-2011 00:02:32
แวะมา +1 ให้ คุณบีบี แทนคำขอบคุณสำหรับตัวอย่างตอนต่อไป  :o8:
:เฮ้อ: ยิ่งอ่านยิ่งเครียดไม่ได้รู้สึกว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งได้ง่ายๆเลย กลัวๆ
แล้วจะรออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 01-06-2011 09:49:05
+1 คุณบีบี มารอแต่เช้าค่ะ แอบอู้ในที่ทำงาน o19
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 14 (31/5/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 01-06-2011 16:22:27
งง กับณัฐ
ชอบฟี่ตั้งแต่ตอนไหน
ทำไมอาการหนักจัง
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 15
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-06-2011 17:20:44


ผมกับณัฐนั่งเล่นกันอยู่ที่หาดจนเกือบสามทุ่มก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับมาที่รีสอร์ท แขกในรีสอร์ททยอยกันกลับห้องพักไปเกือบหมด คงเพราะว่ามันก็เริ่มดึกแล้ว

ณัฐจอดมอเตอร์ไซค์ให้ผมลงไปยืนรอระหว่างที่ณัฐขับรถไปจอดตรงที่จอดรถ ผมยืนรอสักพักณัฐก็เดินมาโอบไหล่ผมแล้วพาเดินกลับไปที่ห้องพัก ระหว่างที่เดินไปที่ห้องผมก็สำรวจความสวยงามของการตกแต่งรีสอร์ทในยามค่ำคืน โคมไฟติดผนังที่ตกแต่งด้วยเปลือกหอยให้บรรยากาศแบบทะเล๊ทะเล ถ้าผมมีบ้านติดทะเลบ้างก็ดีสินะ... แต่ที่แน่ๆตอนนี้ต้องผ่อนบ้านที่กรุงเทพให้หมดก่อน...

“ณัฐไปอาบน้ำสิ” ผมปิดประตูห้องพักแล้วก็บอกให้ณัฐไปอาบน้ำก่อน ตัวของเราสองคนมีแต่กลิ่นบาร์บีคิว แถมเท้าก็ยังมีแต่ทรายติด แต่พอผมหันไปมองคนที่ผมไล่ให้ไปอาบน้ำผมก็ผงะ
“ณัฐ! อย่าไปนอนบนที่นอนฟี่แบบนั้นนะ เท้าเปื้อนทรายเต็มไปหมด อี๋ย์” ผมรีบเดินไปดึงณัฐออกมาจากที่นอนของผม ทำไมเขาไม่ไปนอนบนที่ตัวเองละเนี่ยยยยยยยย
“ฟี่แหละไปอาบก่อน ณัฐให้ฟี่อาบก่อน”
“งั้นณัฐก็อย่ามานอนกลิ้งบนที่นอนฟี่ ไปนั่งที่โซฟาเลย อย่ามาเกลือกบนที่นอน เท้ามีแต่ทราย” ผมไล่ณัฐลงจากที่นอนแล้วผมก็ไปหยิบผ้าขนหนูมาพาดไหล่โดยไม่สนใจคนที่เดินปึงปังหน้าหงิกหน้างอไปนั่งบนโซฟา
“ยังไงคืนนี้ก็ต้องนอนด้วยกันอยู่แล้วนี่...” เสียงบ่นพึมพำจากคนที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาทำเอาผมหันควับ
“ห๊ะ? ณัฐว่าอะไรนะเมื่อกี้ ฟี่ฟังไม่ค่อยชัด”
“เปล๊า...ไม่มีอะไรหรอก..ไปอาบน้ำเถอะ”
ผมเอียงคออย่างสงสัย เมื่อกี้ณัฐมันต้องพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ดีแน่ๆเลย แต่ผมดันฟังไม่ทันเสียอย่างนั้น...
แต่เอาเถอะ... คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...

ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำที่สร้างด้วยไม้ หน้าต่างระบายอากาศเปิดโล่งให้เห็นดาวบนท้องฟ้า น้ำเย็นๆจากฝักบัวกระจายลงบนใบหน้าผม ลมทะเลพัดเข้ามาทางช่องระบายอากาศทำให้ผมขนลุกซู่ ที่นี่อากาศดีจนไม่ต้องเปิดแอร์เลย ผมเอื้อมมือไปกดสบู่เหลวที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ กลิ่นหอมของผลไม้ตระกูลซีตรัสเตะจมูกผมอย่างจัง ผมชอบใช้พวกสบู่ที่เป็นกลิ่นผลไม้ที่สุด
“ฮืม...หอมสดชื่นดีจัง...” แค่ถูนิดเดียวก็มีฟองเต็มตัวผมไปหมด ยี่ห้ออะไรหว่า...น่าซื้อไปใช้จังเลยนะ ผมฟอกสบู่อย่างสนุกสนาน กลิ่นผลไม้ติดตัวดีชะมัด ผมล้างตัวแล้วก็ลงยกแขนขึ้นมาดมกลิ่นแล้วก็ฟอกสบู่อีก ผมอาบน้ำไปอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก

“ครับ?” ผมขานรับเสียงเคาะที่ดังขึ้น
“ฟี่ เสร็จหรือยัง อาบนานจังเลย” เสียงณัฐถามผมจากหน้าประตู
“อีกแป๊บนะณัฐ” ผมตะโกนตอบกลับไป
“อืม...” ณัฐตอบแล้วก็เงียบไป จนผมคิดว่าณัฐคงจะร้อนแล้วอยากอาบน้ำเร็วๆแน่เลย งั้นผมต้องรีบอาบแล้วละ

ผมปล่อยให้น้ำจากฝักบัวล้างสบู่ออกจากตัวผมจนเกลี้ยงแล้วก็ดึงผ้าขนหนูมาพันรอบเอวกับคลุมไหล่ พอเรียบร้อยดีแล้วก็เปิดประตูออกไป
“เหวอ!” ผมตกใจแทบช็อคแน่ะครับเมื่อเห็นว่ามีร่างสูงทะมึนยืนค้ำอยู่ตรงหน้าประตูพอดี ไอ้ผมก็ไม่ทันตั้งตัวเลยปะทะเข้ากับณัฐไปเต็มแรง
“อาบน้ำนานจัง...” ผมรับรู้ได้ว่าณัฐยกแขนขึ้นมาโอบกอดผมและกระซิบเสียงสั่น..

ทำไมผมจะไม่รู้ว่าณัฐต้องการอะไร...

เพราะในเมื่อผมเองก็ต้องการไม่แพ้กัน...

“อือ เพลินไปนิดน่ะ สบู่มันหอมดี แล้วน้ำก็เย็นดีด้วย...” ผมพยายามหลบออกมาจากอ้อมแขนนั้น อ้อมแขนที่ผมเคยโหยหามาตลอด
“ขอกอดก่อนสิ...”
“อื้อ...อย่าสิ ฟี่จะไปแต่งตัว”
“ก็ได้...” ผมยอมรับว่าแปลกใจนิดๆที่ณัฐยอมปล่อยผม แต่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรมากครับ รีบแต่งตัวก่อนดีกว่า สถานการณ์ไม่ปลอดภัย
“ณัฐเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ให้แต่งตัวแล้วละ”
“อ๊า! ปล่อยนะณัฐ” ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ตัวผมถูกยกลอยขึ้นจากพื้น ณัฐอุ้มผมขึ้นมาแล้วเดินตรงไปบนที่นอน ผมรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกแล้วใจก็เต้นแรงเป็นบ้า ผมควรจะทำยังไงดีเนี่ย!
“ฟี่..ณัฐขอกอดหน่อยได้ไหม” ผมพยักหน้ารัวๆแต่ก็รีบพูดต่อ
“แค่กอดนะณัฐ”
“มากกว่ากอดไม่ได้เหรอ” ณัฐถามเสียงออดอ้อน ผมเองก็ใจอ่อนยวบแต่ก็ต้องฝืนส่ายหัว...

ผมไม่ได้หวงเนื้อหวงตัวหรืออะไรหรอกนะครับ... แต่ผมรู้ว่า..หากผมเลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับณัฐมากไปกว่านี้ คนที่เจ็บ.. คงเป็นผมเองแหละครับ ณ ตอนนี้ที่เรื่องครอบครัวของณัฐมันยังคลุมเครืออยู่ ผมเองก็ไม่อยากจะถลำลึกลงไปอีก เพราะเมื่อวันหนึ่งหากณับเลือกที่จะกลับไปหาครอบครัวของเขา ผมก็จะได้ไม่ต้องช้ำมาก(จริงเหรอ?)

“อืม ณัฐไม่เซ้าซี้แล้วละ” ณัฐยอมถอยออกห่างจากผม เขาจูบผมที่แก้มเบาๆแล้วคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป ผมมองณัฐปิดประตูห้องน้ำแล้วผมก็ถอนใจก่อนจะเดินไปเอาเสื้อผ้ามาสวมให้เรียบร้อย

ผมหยิบน้ำอัดลมจากในตู้เย็นออกมากระป๋องหนึ่งแล้วเดินไปนั่งที่ระเบียง ลมเย็นๆและดวงดาวบนท้องฟ้าช่างสวยเหมือนฝัน ผมกำลังสงสัยว่าหลังจากที่เราทั้งคู่กลับไปกรุงเทพแล้วความสัมพันธ์จะเป็นยังไง มันจะก้าวไปไกลกว่าเดิม มันจะหยุดอยู่กับที่ หรือมันจะแย่ลง

แล้วผมก็นึกถึงเรื่องลูกของณัฐ เรื่องแฟนของณัฐที่ห่างกันแล้ว ณัฐใช้คำว่า ‘ห่างกันแล้ว’ ไม่ได้ใช้คำว่า ‘เลิกกัน’ แสดงว่าหากพวกเขาเคลียร์เรื่องที่ไม่เข้าใจกันได้ก็คงจะกลับไปดีกันสินะ แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ผมก็คงไม่เหลือที่ให้ยืนแล้ว ณัฐเป็นเหมือนที่พักใจของผม เป็นต้นกำเนิดของความสุขในชีวิตผม ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกผูกพันอะไรกับเขามากมายขนาดนี้ บางทีมันอาจเป็นเรื่องแบบที่เขาเรียกว่ากงกรรมกงเกวียนหรือเปล่านะ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงผมก็คงไม่สามารถขัดขืนมันได้ เพราะว่าเมื่อผมมองไปที่ทุกอย่างรอบตัวผม มันก็จะมีแต่เงาของณัฐเต็มไปหมด แล้วผมจะเหลือสายตาไปมองใครได้อีก

“คิดอะไรอยู่” ผมหันไปมองณัฐที่มาหยุดยืนข้างผม เขาดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งแล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมตัวเอง ผมมองมือใหญ่ที่ขยี้เส้นผมเปียกๆของเขาแรงๆ กล้ามเนื้อช่วงบนที่ปราศจากเสื้อผ้าปกปิดกับกางเกงเลขาสามส่วน ณัฐเคยทำให้ผมรู้สึกเหมือนหยุดหายใจได้อย่างไร ตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้น... ผมคงถอนตัวไม่ขึ้นแล้วแหละครับ

“คิดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ..”
“ฟี่บอกว่าคิดไปเรื่อยเปื่อยทีไร ณัฐต้องรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นเสมอเลย...” ผมยิ้มให้ณัฐ เขาช่างรู้ดีจริงๆแฮะ
“เมื่อกี้แม่ณัฐส่งเมสเสจมาบอกว่าจะเลี้ยงฉลองวันเกิดให้น้องพรุ่งนี้ ให้ณัฐรีบกลับบ้าน” ผมฟังที่ณัฐเล่าแล้วก็สะท้อนใจ เราจะได้อยู่กันตามลำพังแค่วันนี้... และพรุ่งนี้ก็จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมแล้วสินะ...
“ฟี่ไปเปล่า หึหึ” ผมรู้ครับ ว่าณัฐชวนผมขำๆ ผมรู้ครับว่าณัฐแค่พูดลอยๆ แต่รู้ไหมครับ ว่าผมเสียใจเหลือเกิน...

ผมรู้ว่าผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเหยียบบ้านของเขาได้...
สถานะของเรามันไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยได้ เพราะไหนจะเรื่องครอบครัวของณัฐ และเรื่องเพศของเรา ผมรู้ว่าบางทีชาตินี้จนผมตายก็คงจะไม่มีวันได้ไปเปิดตัวพูดคุยทำความรู้จักกับพ่อแม่ของเขาได้เหมือนคู่อื่นๆ แต่การที่ณัฐพูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆเหมือนไม่คิดอะไรมันก็ทำให้ผมเจ็บเหลือเกิน...

“ฟี่ขอไปนอนก่อนนะ” ผมรีบลุกมาจากตรงนั้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ผมมันโง่จริงๆครับ ลุกพรวกพราดมาแบบนั้นณัฐก็คงต้องรู้อยู่แล้วว่าผมผิดปรกติ ณัฐต้องรู้แน่ว่าผมเสียใจ
“ฟี่! เป็นอะไร?” ณัฐเดินตามผมมาจริงๆด้วย แต่ผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาสุดๆ สมองผมมันไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมปัดมือณัฐที่จับแขนผม
“เดี๋ยวสิ...ฟี่เป็นอะไร ฟี่ร้องไห้ทำไม...” น้ำเสียงณัฐฟังดูตกใจ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะมาอธิบายอะไรทั้งนั้น ยิ่งณัฐมาเซ้าซี้ผมแบบนี้น้ำตามันก็ยิ่งไหล...ให้ตายเถอะ ผมร้องไห้กี่ครั้งแล้ว ทำไมผมถึงอ่อนไหวแบบนี้นะ
“ฟี่ตอบสิ...” ณัฐเขย่าแขนผมและเฝ้าถามต่อ จนผมทนไม่ไหวจึงถามเขากลับไป
“แล้วณัฐพูดอะไรออกมาล่ะ...ณัฐไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าณัฐพูดอะไรออกมา” ผมถามกลับไป เสียงผมสั่นมากจนฟังแทบไม่ออก แต่จากสีหน้าเศร้าของณัฐก็แปลว่าเขาฟังที่ผมรู้เรื่องทุกคำ
“ณัฐไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น...ณัฐขอโทษ...ณัฐไม่ได้ตอกย้ำฟี่เลยนะ...”
“แต่ฟี่เสียใจ ณัฐนึกว่าฟี่ไม่รู้สึกเหรอ นึกว่าฟี่ไม่เคยคิดเหรอ ฟี่คิดเสมอเลยนะว่าชาตินี้ฟี่ไม่มีทางได้ไปเหยียบบ้านณัฐหรอก เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะว่าฟี่ไม่มีสิทธิ์ไง!” ผมตะโกนใส่เขา เหมือนมันอัดอั้นมานาน พอระเบิดก็เลยเต็มที่น่ะครับ
“ฟี่...ณัฐทำให้ฟี่รู้สึกแบบนั้นเหรอ ณัฐทำให้ฟี่รู้สึกว่าณัฐไม่จริงจังเหรอ...”   
“ก็ณัฐไม่เคยพูดอะไร ไม่บอก ไม่เล่าอะไรสักอย่าง มันเหมือนว่าเราแค่ใช้เวลาร่วมกันไปวันๆแค่นั้น ฟี่ไม่เคยได้รู้เรื่องอะไรของณัฐเลย ตอนนี้ความสัมพันธ์ของณัฐกับเขาเป็นยังไงบ้างฟี่ก็ไม่รู้...ฮึก..” ผมพูดแล้วผมก็สะอื้น น้ำตาผมหยดแหมะจนณัฐต้องดึงกระดาษทิชชู่มาซับให้
“ที่ณัฐไม่บอกกับฟี่ ไม่พูด ไม่เล่า เพราะณัฐรู้ว่าฟี่ก็ต้องเก็บไปคิด...ณัฐรู้ว่าฟี่ต้องคิดมากเรื่องของณัฐ ณัฐไม่อยากให้ฟี่ต้องคิดมากเลย...” ณัฐพยายามอธิบายให้ผมฟัง แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเพราะผมไม่อยากทนรออีกแล้ว
“มันไม่ต่างกันหรอก ณัฐไม่พูดฟี่ก็คิด ณัฐพูดฟี่ก็คิด เพราะงั้นณัฐพูดมาเถอะ ฟี่ไม่อยากจะคิดเองเออเองอีกแล้ว” ผมสูดจมูกแล้วกลั้นสะอื้น

เราทั้งสองคนต่างก็นิ่งเงียบ มีแค่เสียงสะอื้นเบาๆของผมที่ยังดังอยู่ นาฬิกาตรงฝาผนังเหมือนจะส่งเสียงเดินดังเป็นพิเศษในเวลาแบบนี้ เวลาที่มนุษย์นิ่งเงียบ...

“ณัฐก็ไม่รู้ว่าจะทำยังเหมือนกันฟี่... เพราะว่าเรื่องของณัฐกับเขาน่ะ มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีกันมานาน ถึงมันจะระหองระแหง ถึงเราจะเข้ากันไม่ได้และทะเลาะกันประจำ แต่ว่าเรามีลูกด้วยกัน มันจึงตัดกันไม่ขาด ไม่ใช่ว่าณัฐไม่เคยขอเลิกกับเขาหรอกนะ ณัฐเคยขอเลิกแล้วเขาก็บอกว่าให้ตัดขาดกันไปเลย แต่ณัฐยังอยากเจอลูก แล้วสุดท้ายณัฐก็ใจอ่อน จนเรื่องมันก็วนกลับมาที่จุดเดิม มันเป็นแบบนี้มาสองครั้งแล้ว สองครั้งที่ณัฐขอเลิกแล้วก็ใจอ่อนเอง”

“รู้ไหมฟี่...นานเท่าไรแล้วที่ณัฐต้องทนกับความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่มองหน้ากัน คุยกันก็ทะเลาะ แล้วเขาก็ไม่เคยคิดจะพูดคุยปรับความเข้าใจอะไร ฟี่เชื่อไหม ณัฐเคยแอบอ่านไดอารี่ของเขา เพราะณัฐอยากรู้ว่าเขาน่ะคิดอะไร จนณัฐไปอ่านเจอว่าเขาบอกเสียดายที่เลิกกับแฟนเก่าของเขา ณัฐก็เลยโมโหทะเลาะกัน แล้วณัฐก็เผลอไล่ให้เขากลับไปอยู่บ้านเขา”

ผมนั่งมองณัฐที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาเอง เรื่องที่เขาพบเจอในระหว่างที่เราไม่ได้พบกัน ณัฐดูเจ็บปวดผิดไปจากคนแสน
ร่าเริงอารมณ์ดีที่ผมรู้จัก ผมเอามือป้ายน้ำตาตัวเองแล้วตั้งใจฟังที่เขาเล่าให้มากกว่าเดิม...

“ณัฐเสียใจนะ แล้วก็รู้สึกผิดที่ทำรุนแรงกับเขาไปแบบนั้น ณัฐยังมีเรื่องเลวๆที่ฟี่ไม่เคยรู้อีกเยอะ ตอนที่ณัฐรู้ว่าจะมีลูกน่ะ เชื่อไหมว่าณัฐแทบบ้า ณัฐคิดว่าอนาคตของณัฐต้องดับวูบแน่นอน แต่แล้วณัฐก็มาคิดได้ว่าเราจะต้องเดินต่อไป เพราะยังไงตัวณัฐก็เป็นของณัฐ ณัฐจะไม่ให้คนอื่นมาทำให้ชีวิตของณัฐต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลหรอก”

“แต่ถึงณัฐจะยอมรับเป็นพ่อของลูกมันก็ไม่พอชดใช้กับความเลวที่ณัฐเห็นแก่ได้ ถ้าตอนนั้นณัฐรู้จักควบคุมอารมณ์ความต้องการของตัวเอง ถ้าณัฐไม่ชิงสุกก่อนห่าม หรือถ้าณัฐรู้จักป้องกันสักนิด ณัฐก็คงไม่ทำให้เขาต้องมาเป็นแม่คนทั้งที่ยังอายุน้อย แถมณัฐยังไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้อีก”

“เมื่อก่อนเขาเคยถามณัฐ ว่าณัฐรักเขาไหม... ซึ่งณัฐตอบไม่ได้...” ณัฐพูดแล้วก็เงยหน้ามองผม ณัฐทำสีหน้าเหมือนสาแก่ใจ ทำหน้าเหมือนสมน้ำหน้าตัวเอง มันเป็นสีหน้าที่ดูถูกตัวเองที่สุด...ที่ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น

“ครั้งแรกที่เลิกกัน เราก็ห่างกันไปพักหนึ่ง แต่เหมือนว่าพอวันเวลาค่อยๆผ่านไปก็เริ่มกลับมาคุยกันได้ หึ...ณัฐก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะดี แต่พอไม่นาน เราก็กลับมาทะเลาะกันอีก แล้วเราก็เลิกกันอีกเป็นครั้งที่สอง...” ณัฐก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือ ผมเองอยากจะโน้มตัวไปกอดเขาและบอกให้เขาหยุดเล่า แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะผมยังอยากจะรู้เรื่องของเขา แม้ว่ามันจะเป็นเหมือนการระลึกความทรงจำที่เจ็บปวดก็ตามเถอะ หากการที่เขายอมเล่าเรื่องให้ผมฟัง ก็แปลว่าเขาเปิดใจให้ผมไม่ใช่หรือ?

“ถึงตอนนั้นณัฐรู้แล้ว...ว่ามันไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมแล้ว ณัฐทนไม่ไหวแล้วนะฟี่ ความรู้สึกมันไม่กลับไป ณ จุดนั้นแล้ว ต่อให้ณัฐพยายามฝืนอีกเป็นครั้งที่สามก็ตามทีเถอะมันก็คงเป็นไปไม่ได้”

“แต่ณัฐก็บอกกับเขาไว้เรื่องหนึ่ง ว่าถึงจะห่างกันไป แต่ณัฐก็จะไม่มีใคร จะอยู่ไปแบบนี้เพื่อครอบครัวเพื่อลูก ณัฐคิดว่าณัฐคงอยู่ได้ ไม่มีใครให้รักก็ไม่เป็นไร เพราะณัฐอยากจะทำเพื่อลูก เพื่อชดเชยความเลวที่ณัฐทำให้เขาต้องเสียใจ แต่จนวันหนึ่งความคิดนั้นมันก็เปลี่ยนไป ณัฐเริ่มที่จะเปิดใจรับใครอีกคนเข้ามาในหัวใจ วันที่ณัฐได้เจอฟี่อีกครั้ง...อะไรๆมันก็เหมือนว่าจะชัดเจนขึ้น”

“ฟี่รู้ไหม ตั้งแต่เมื่อก่อนตอนที่ทำงานที่ร้านพี่แก๊บ ณัฐชอบเวลาที่เราได้เข้ากะพร้อมกันมากเลยนะ ถึงตอนนั้นความรู้สึกที่ณัฐมีให้ฟี่มันจะไม่ใช่ความรู้สึกชอบแบบคนรัก แต่ณัฐก็รู้สึกดีกับฟี่เสมอ และความรู้สึกมันก็มากขึ้นๆตั้งแต่ได้เจอกันอีก ณัฐต้องขอโทษฟี่อีกครั้งที่เมื่อก่อนณัฐไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของฟี่เลย เอาแต่พูดเรื่องราวทำร้ายจิตใจฟี่เป็นประจำด้วย”

ณัฐสบตากับผม จมูกของณัฐแดงเรื่อ ดวงตาก็มีน้ำตาคลอ ผมแตะปลายนิ้วที่หางตาของณัฐและเกลี่ยน้ำตาออกให้และส่ายหน้าบอกว่าผมไม่โกรธเขาเลย ผมไม่โกรธเขาสักนิด
“ฟี่...ฟี่ทำให้ณัฐรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างนะ ฟี่ทำให้ณัฐรู้ว่าณัฐต้องเดินต่อไป ณัฐต้องตัดสินใจเสียทีว่าจะเลือกความถูกต้อง...หรือจะทำตามหัวใจเรียกร้อง” ผมก้มมองมือของณัฐที่ผมจับเอาไว้ คุณรู้ไหม ในใจของผมบอกให้เขาเลือกทำตามหัวใจ เพราะผมไม่ใช่คนดีพอที่จะบอกให้เขาเลือกครอบครัวแทนผม ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องของความถูกต้องเลยสักนิด การที่เลิกกับแม่ ไม่ได้แปลว่าจะเลิกเป็นพ่อของลูก เหมือนพ่อของผมที่ไม่เคยเลิกเป็นพ่อ พ่อยังคงเป็นพ่อแม้ว่าพ่อจะไม่เลือกแม่ก็ตามที

“ณัฐ...ฟี่จะไม่ช่วยณัฐตัดสินใจหรอกนะ เพราะณัฐเองก็น่าจะรู้ว่าฟี่จะอยากให้ณัฐเลือกทางไหน แต่ฟี่จะบอกให้ณัฐรู้ว่าการที่พ่อแม่เลิกกันมันไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ไม่รักลูก ถึงจะไม่ได้เจอลูก ก็ไม่ได้แปลว่าณัฐจะช่วยเหลือดูแลลูกไม่ได้ พ่อแม่ของฟี่เองก็เลิกกันตั้งแต่ฟี่ยังเด็ก แต่ฟี่ก็ไม่เคยโกรธพ่อหรือแม่เลยนะ” ผมพูดแล้วมองหน้าณัฐอย่างจริงจัง เพราะสิ่งต่อไปนี้ที่ผมจะพูดมันสำคัญยิ่งกว่าอีก
“ฟี่รู้ว่าเรื่องของความรักมันไม่มีเงื่อนไข คนที่ผูกพันกันมานานไม่ได้แปลว่าจะรักมากกว่าคนที่ผูกพันน้อย เพราะงั้นฟี่ก็มั่นใจว่าความรู้สึกของฟี่ที่เก็บมากว่าสี่ปีมันไม่น้อยเลยนะ ความรู้สึกที่ฟี่มีให้ณัฐมันไม่แพ้คนอื่นแน่ๆ” น้ำตาผมมันเหมือนจะไหล คนตรงหน้าผมนี้ไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เขายังมีด้านมืดเหมือนคนอื่นทั่วไป หากเพื่อนคนอื่นของผมรู้ว่าณัฐเป็นผู้ชายที่มีพันธะแล้วก็คงแนะนำให้ผมเลิกยุ่งกับณัฐ แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญ ณัฐไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวในความคิดของผม เพราะถ้าหากณัฐเลวและเห็นแก่ตัวจริง ณัฐคงไม่เก็บความทุกข์ไว้กับตัวเองมาตลอดจนป่านนี้
“ถ้าหากว่าณัฐเลือกที่จะจับมือฟี่ไปแบบนี้ ฟี่จะดูแลณัฐใช่ไหม ฟี่จะทำให้ณัฐมีความสุขหรือเปล่า” ณัฐถามผมซ้ำ เขาทำหน้าเหมือนลูกหมาที่รอเจ้านายมารับ ผมยิ้มแล้วก็ตอบเขาไปชัดเจน
“ณัฐจะสุขล้นจนทนขาดฟี่ไม่ได้เลยละ”
“สัญญานะ” ณัฐชูนิ้วก้อยขึ้นมาให้ผม ผมก็เลยใช้นิ้วก้อยของผมเกี่ยวกับนิ้วของเขา
“กลับไปแล้วณัฐจะบอกกับเขา.. ณัฐจะไปเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง...” ผมฟังที่ณัฐพูดแล้วก็รู้สึกตามันร้อนผ่าว ผมยกหลังมือของณัฐขึ้นมาจูบ
“งั้นวันนั้นฟี่จะรอณัฐอยู่ที่บ้าน จะทำกับข้าวไว้รอณัฐ”
“อืม ณัฐจะรีบกลับมากินนะ” ณัฐดึงตัวผมไปนั่งติดกับเขาแล้วเขาก็กอดผม ณัฐกอดผมไว้แน่น จมูกของณัฐหอมย้ำๆอยู่ที่แก้มและไหล่ของผม ผมหลับตารับสัมผัสของเขา ผมอยากจะรับทุกสิ่งที่เป็นเขามาให้หมด เพราะว่าผมเองเลือกแล้ว ผมเลือกผู้ชายธรรมดาคนนี้ คนที่มีดีเลวปะปนกันไป แต่เพราะว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ผมมีความสุข เขาทำให้ผมรู้จักการคิดถึง ทำให้ผมรู้จักความสุนทรีย์ของการกอด ทำให้ผมรู้ว่าการจูบใครสักคนด้วยความ...

รัก

มันเป็นยังไง...

ผมเลือกแล้วว่าผมรักเขาครับ...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.เฮ้อ ท๊อฟฟี่ก็ตัดสินใจไปแล้วนะคะ ถึงตอนนี้ขอให้คิดว่าท๊อฟฟี่ก็เป็นผู้ใหญ่คนนึงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
เพราะฉะนั้นท๊อฟฟี่ก็คงคิดอะไรถี่ถ้วนแล้วเหมือนกันถึงได้เลือกณัฐ

บีเองก็เชื่อว่าคนเราไม่ได้มีใครดีพร้อมค่ะ บางทีเราอาจเลือกผู้ชายที่ดูเลวในสายตาคนอื่น นั่นก็เพราะว่าเราอาจจะมองเห็นความดีของเขาที่คนอื่นไม่เห็น

เรื่องท๊อฟฟี่กับณัฐก็เหมือนกัน ท๊อฟฟี่เองก็รู้สึกถึงสิ่งดีๆของณัฐ และทั้งท๊อฟฟี่และณัฐก็รู้จักกันมานาน ทำให้ต่างก็รู้นิสัยกำพืดของแต่ละคนมาพอสมควร

เรื่องหัวใจมันเลือกไม่ได้หรอกค่ะว่าเราจะต้องรักคนที่ดีพร้อม และใช้เวลาบ่มเพาะความรักมายาวนาน ความรักมันไม่ต้องการเงื่อนไขหรอกค่ะ
ความรักมันเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ กับใครก็ได้

เหมือนที่ท๊อฟฟี่รู้สึกรักณัฐแหละค่ะ ผูกพันน้อยกว่า ไม่ได้แปลว่ารักน้อยกว่าไปด้วย จริงไหมคะ?
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 01-06-2011 21:24:39
ก็รักเค้าไปหมดใจแล้วนี่เนอะ
ที่เหลือก้อต้องคอยดูกันต่อไป
จำไว้เสมอว่า นี่คือสิ่งที่เราเลือกเอง
โทษใครไม่ได้ แม้แต่โชคชะตา
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-06-2011 23:38:23
ลุ้นแทนฟี่ว่าเหตุการณ์จะเป็นไง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 02-06-2011 00:08:39
ใช่ค่ะ ต่อให้รักคนที่เลวในสายตาคนอื่น แต่ที่เรารัก เพราะเราเห็นความดีที่คนอื่นไม่เห็น
ชอบตอนนี้จัง อะไรๆดูชัดเจนขึ้น
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 02-06-2011 00:14:58
แล้วเมื่อก่อนฟี่รู้สึกยังไงบ้างล่ะ ที่พ่อฟี่ทิ้งแม่ไปมีคนใหม่

ลูกณัฐก็คงรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากฟี่หรอก เฮ้อ

สุดท้ายมันจะลงเอยด้วยความสุขหรือเปล่า ก็รอดูต่อไปแหละนะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 02-06-2011 00:33:19
อ่านแล้วคิดได้ว่า เราไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกที่จะรัก
รักต่างหากที่ทำให้เราต้องเลือก

รันต๊ด T____T
ถึงจะไม่มีอนาคตที่แน่นอนแต่ตอนที่เลือกเค้าแล้วมันก็ต้องทุ่มสุดตัวสินะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-06-2011 21:20:35
ทีนี้ก็เหลือแต่ณัฐแหละว่าจะหนักแน่น แน่วแน่เพียงใด รึพอกลับไปเจอหน้าลูกและผู้หญิงคนนั้นแล้ว จะใจอ่อน ตัดใจไม่ลงอีก
 :เฮ้อ:คนอ่านก็คิดไม่ตกเหมือนกันแหละ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 02-06-2011 21:26:39
จะไหวเหรอฟี่ >"<
บวกให้จ้า รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 03-06-2011 11:46:09
็Happy Happy เถอะนะ หดหู่มานานละ อยากให้จบแบบมีความสุข

จะติดตามต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 15 (01/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 03-06-2011 21:54:51
จะรอดูว่าว่าจะทำได้อย่างปากว่าไหม หึหึ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 16
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 06-06-2011 17:13:55


ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศของออฟฟิศทำให้ผมรู้สึกหนาวจนต้องหยิบเอาเสื้อคลุมมาสวมอีกชั้น เวลาหลังเลิกงานหลงเหลือพนักงานเพียงหยิบมือ ผมเองก็เป็นส่วนน้อยที่ยังนั่งทำงานล่วงเวลาต่อ เพราะผมยังไม่อยากกลับบ้าน ถ้าหากกลับไปตอนนี้ผมคงต้องฟุ้งซ่านแน่ๆ

ผมเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดมาเมื่อเช้า แล้วก็มาทำงานเลย ณัฐบอกว่าเย็นนี้ตอนเขาเลิกงานแล้วเขาจะไปคุยกับทางโน้น ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อนั่งนึกภาพว่าเรื่องราวมันจะลงเอยอย่างไร แม้ณัฐจะรับปากว่าเสร็จเรื่องแล้วจะมาหาผมที่บ้าน ให้ผมทำมื้อเย็นไว้รอเขา เอาเข้าจริงผมก็มานั่งคิดว่าจังหวะนั้นคงไม่มีใครกินอะไรลงหรอก

ตอนนี้คนอื่นๆต่างทะยอยกลับกันไปหมดแล้ว บางคนก็แวะมาถามว่าทำไมผมยังไม่กลับ ผมก็ตอบไปว่าต้องเร่งงาน ทั้งที่ความจริงนั้นงานของผมดำเนินไปได้แค่นิดเดียวเพราะผมไม่มีสมาธิเลย ผมดูนาฬิกาตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว...ณัฐก็ยังไม่โทรมา ผมเลยตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์แล้วกลับบ้านก่อนดีกว่า

TRrrr… TRrrr…

พอผมได้ขึ้นรถโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันที ผมเห็นเบอร์ณัฐโชว์ที่หน้าจอจึงรีบกดรับ ผมรู้สึกว่าหัวใจผมเต้นตึกตักๆแรงเป็นพิเศษ ผมแอบคิดไปแว่บหนึ่งว่าถ้าอยู่กับณัฐมากๆแล้วผมจะมีสิทธิ์หัวใจวายได้ไหม
“ฮัลโหล”
/ฟี่...อยู่ไหนแล้ว/
“เพิ่ง...ขึ้นรถน่ะ” ผมใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง เสียงณัฐยังฟังดูสดใสเหมือนเดิม
/อืม...งั้นณัฐจะไปรอฟี่ที่ปากซอยนะ/
“ได้สิ แล้วเจอกันนะ” ผมวางสายแล้วก็นั่งหลับตานิ่ง เมื่อไรจะถึงบ้านสักทีวะ...

“เป็นไงบ้าง” ผมถามทันทีที่เห็นหน้าณัฐ พอผมลงจากรถได้ก็เดินตรงดิ่งไปหาเขาทันที ณัฐจับมือผมไปกุมไว้แล้วพาเดิน สีหน้าณัฐดูยิ้มๆ แต่มันก็ยังมีแววแบบว่า...หมองๆ
“อืม ก็อย่างที่คิดไว้...เขาบอกว่าถ้าเลิกกันก็ไม่ต้องมาเจอลูก”
“แล้วณัฐบอกเขาไปว่ายังไง”
“ณัฐก็บอกเขาไปตรงๆว่าขอเลิก ณัฐบอกว่าณัฐมีคนอื่น แล้วณัฐก็ขอโทษเขา... ตอนแรกเขาก็เงียบไม่พูดอะไร เขาเป็นแบบนี้เสมอแหละฟี่ ไม่พูดไม่จา จนณัฐก็เริ่มหงุดหงิดเขาก็เลยถามณัฐว่าคนอื่นที่ณัฐไปมีน่ะเป็นใคร เขาถามว่าเขารู้จักหรือเปล่า แต่ณัฐไม่ได้บอกว่าเป็นฟี่หรอกนะ ณัฐบอกไปว่าเขาไม่รู้จักหรอก”
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เขาบอกว่าเขาก็คิดไว้แล้ว เพราะณัฐก็เปลี่ยนไป แล้วยิ่งช่วงนี้ณัฐก็ยิ่งเปลี่ยนไปชัดเจนมากขึ้น แต่เขาก็รอให้ณัฐมาบอกเอง”
“เขาดูโกรธไหม?”
“ณัฐว่าเขาก็คงต้องโกรธแหละ เพียงแต่เขาไม่แสดงออก”
“ณัฐ...เสียใจหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิฟี่ ณัฐรู้สึกโหวงๆนิดหนึ่ง มันเหมือนว่าอะไรบางอย่างหายไป แต่ไม่ได้แปลว่าณัฐเสียใจที่ต้องเลิกกันหรอกนะ”
“มันก็เป็นธรรมดาแหละณัฐ เพราะว่าอยู่กันมานานไง สักวันคงดีขึ้นนะ” ผมฝืนปลอบใจเขา ผมไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้น ผมไม่อยากให้ณัฐพูดเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ผมไม่อยากได้ยินทั้งนั้นว่าเขาให้ความสนใจกับคนอื่นนอกจากผม... ผมมันเห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ...
“ฟี่..” ณัฐหยุดเดินแล้วก็จับไหล่ให้ผมหันไปมองหน้าเขา เหมือนณัฐจับกระแสความเศร้าใจในน้ำเสียงของผมได้
“ณัฐเลือกฟี่แล้วนะ... ไม่ว่าวันนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วณัฐก็เลือกฟี่” ณัฐกอดผมไว้ ในซอยที่มีเพียงเราสองคนและไฟถนน ลมกลางคืนพัดต้นไม้จนเกิดเป็นเสียงซู่ซ่าของใบไม้เสียดสีกัน ผมยกแขนโอบหลังณัฐไว้เหมือนกัน ผมร้องไห้อีกแล้ว น้ำตาผมไหลอีกแล้ว ความรู้สึกตื้นตันมันเอ่อล้นขึ้นมามากมายจนผมกลั้นน้ำตาไม่ไหว
“ฮื้อ ไม่เอานะไม่ร้อง...ช่างร้องจริงๆเลยคนนี้...” ณัฐเอามือเช็ดน้ำตาออกจากหน้าผมเหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบให้เด็กหยุดร้องไห้ ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้รับการดูแล นานแค่ไหนกันนะที่ผมไม่ได้ถูกทนุถนอมแบบนี้ ซึ่งแม้แต่พี่ตังค์เองก็ยังไม่เคยเทคแคร์ผมขนาดนี้ รายนั้นน่ะ ต่อให้ผมนั่งร้องไห้จริงๆก็คงไม่รู้หรอก
“ฟี่จะดูแลณัฐเอง… นะ...ฮึก...”
“ครับๆ แต่ถ้าจะดูแลณัฐจริงๆก็ต้องหยุดร้องเถอะนะ”
“อือ..” ผมสูดน้ำมูกแล้วกลั้นสะอื้น ผมเงยหน้ามองณัฐ คนที่ผมรักมีใบหน้าที่ดูอิดโรยและเหนื่อยล้า ผมไม่รู้ว่าเขาเสียใจที่ต้องเลิกกับเธอคนนั้นอย่างเด็ดขาดหรือเปล่า ถึงปากเขาจะบอกว่าเขาแค่รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่ได้เสียใจที่ต้องเลิกกัน ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก เพราะผมอ่านความคิดใครไม่ได้ แต่เมื่อผมได้เห็นใบหน้าของเขา ได้สบตากับเขาแล้วผมก็เชื่ออย่างไร้เงื่อนไข...

ผมไม่ได้หน้ามืดตามัวเพราะความรัก ผมไม่ได้เชื่อณัฐอย่างไร้เหตุผล
ผมเชื่อณัฐเพราะว่าณัฐไม่ได้เป็นคนช่างโกหก
ณัฐที่ผมรู้จักถึงจะเป็นคนกวนประสาททะลึ่งทะเล้น แต่ณัฐไม่เคยหลอกลวงใคร...

“ต่อจากนี้ไปมันจะมีแค่เรื่องของเราสองคนนะฟี่ ณัฐต้องขอโทษด้วยที่ปล่อยให้เรื่องราวมันคาราคาซังมานานขนาดนี้” ณัฐจับมือผมอีกครั้งแล้วเดินต่อ ผมส่ายหัวแล้วบีบมือณัฐแน่น
“ตั้งแต่แรกแล้ว ฟี่ไม่ได้หวังอะไรจากณัฐเลยนะ ฟี่แค่รู้ว่าฟี่ชอบณัฐ แต่ฟี่ก็ไม่ได้คาดหวังให้ณัฐจะชอบฟี่กลับ แต่ตอนนี้ที่เราคิดเหมือนกันมันก็มากพอสำหรับฟี่แล้ว”
“เฮ้อ...ยิ่งฟังฟี่พูดแบบนี้แล้วณัฐยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นแฮะ..”
“อ้าว ทำไมละ?”
“ช่างเถอะฟี่ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปณัฐจะดูแลฟี่มากๆเพื่อชดเชยกับที่ผ่านมา” ณัฐสัญญาแล้วก็จับมือผมแน่นขึ้น เขาสอดนิ้วเขามาประกบกับฝ่ามือของผมแนบแน่นขึ้น ตอนนี้ผมมีความสุข แต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำผิด ถ้าผมบอกณัฐว่าผมรู้สึกผิด เขาก็จะต้องพูดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทางที่ดีผมควรหยุดฟุ้งซ่าน และให้ความสำคัญกับคนที่จับมือผมไว้ตอนนี้จะดีกว่าไหม?

Special: Sherry’s scene 

“แล้วสรุปก็คบกันแล้วเหรอ?” ฟี่พยักหน้ารับพลางดูดน้ำอัดลมจากแก้วทรงสูง วันนี้ฟี่แต่งตัวสบายๆมาหาเชอรี่ถึงที่บ้านแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับณัฐให้เชอรี่ฟัง 
“เฮ้อ...กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นะ”  เหนื่อยจังเลยค่ะ ฟังเรื่องที่ฟี่เล่าแล้วก็ลุ้นเหมือนดูบอล แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยดีนี่นะ...
“นั่นสิ... ฟี่ยังคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีวันนี้ได้ รู้ไหมเวลาที่ฟี่นึกถึงเมื่อก่อนที่เราเป็นได้แค่เพื่อนกัน แล้วพอมาดูตอนนี้สิ มันเหมือนฝันเลยนะ” พอฟังที่ฟี่พูดแล้วก็เห็นด้วย เชอรี่เองยังไม่คิดเลยว่าเรื่องราวมันจะมาเป็นแบบนี้ได้...

เชอรี่เองก็รู้จักณัฐมานานพอกับฟี่ แต่เชอรี่ไม่เคยที่จะไปพูดคุยอะไรสนิทสนมเหมือนที่ฟี่คุยกับณัฐ และณัฐก็ไม่เคยพูดเรื่องของเขาให้เชอรี่ฟังเหมือนที่เขาพูดกับฟี่ บางทีเวลาที่สองคนนั้นคุยกัน เชอรี่ก็รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีกันเพียงสองคน

ท่าทีของฟี่นั้นแสดงออกมาแต่แรกแล้วว่าชอบณัฐ ซึ่งเรื่องนั้นเชอรี่ก็รู้เห็นมาตลอด แต่เรื่องที่เชอรี่ไม่รู้คือความรู้สึกของณัฐ เชอรี่ไม่รู้ว่าณัฐคิดยังไงกับฟี่ ไม่รู้ว่าณัฐรู้ความรับรู้สึกของฟี่หรือเปล่า

ถึงอย่างนั้นเชอรี่ว่ามันก็ไม่สำคัญ ความรักบางทีมันก็ไม่ได้เริ่มจากคนสองคนรู้สึกดีให้กันพร้อมๆกัน มันอาจจะเกิดจากคนหนึ่งที่มีความรักอันแรงกล้า และชักนำให้คนที่ไม่ได้คิดอะไรให้ร่วมรู้สึกไปด้วย จนได้มารักกันในตอนสุดท้าย...

เชอรี่เคยแอบสังเกตเวลาที่ณัฐมาทำงานกะเช้า และฟี่มากะเย็น ช่วงเวลาที่คนทั้งสองไม่ได้ทำงานกะเดียวกัน เมื่อเอาบรรยากาศรอบตัวณัฐเวลาที่ไม่มีฟี่ มาเทียบกับเวลาที่ฟี่อยู่ใกล้ณัฐมันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว

เวลาที่ข้างกายณัฐไม่มีฟี่ ณัฐก็ยังร่าเริง... แบบผิวเผิน  ยิ้มแย้มและพูดคุย...เพื่อการบริการ และที่สำคัญ ณัฐจะดูเงียบขรึมอยู่เสมอ

แต่พอฟี่มาอยู่ใกล้ณัฐ ณัฐก็จะเปลี่ยนไปอีกโหมด ณัฐจะชวนฟี่คุยโน่นนี่ หัวเราะเฮฮาจนบรรยากาศในร้านครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจนณัฐลาออกไป เชอรี่เชื่อว่าทั้งสองคนคงไม่ทันสังเกตความแตกต่างในจุดนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ทั้งน้องว่านและพี่แก๊บก็สังเกตได้แต่ไม่มีใครพูดออกมา อาจเป็นเพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปแล้วจะทำลายบรรยากาศดีๆให้พังทลายลง

เชอรี่เองก็ไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องนี้มันจะเป็นอย่างไร แต่ในมุมมองของเชอรี่แล้วสิ่งเดียวที่อยากได้ก็คือให้เพื่อนรักของเชอรี่ได้มีความสุขที่สุดก็เพียงพอแล้ว


“หน้าตาดูสดใสดีนะฟี่” ผมยิ้มให้หญิงสาวที่เอาน้ำหวานเหยือกโตมาวางตรงหน้าผม วันนี้ผมแว่บมาหาอาผึ้งหลังเลิกงานและตั้งใจว่าจะค้างกับแกสักหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้ก็ออกไปทำงานเลย
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“แสดงว่าคุยกันแล้วใช่ไหม หืม?” ผมพยักหน้ารับกับอาผึ้ง อาผึ้งยิ้มหวาน แกคงดีใจไปกับผมด้วย
“ณัฐเขาบอกว่าเขาเลือกฟี่แล้ว นับจากนี้ไปฟี่จะต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี แต่ฟี่ก็จะต้องอดทนนะลูก เพราะว่ามันจะต้องมีเรื่องให้คิดอีกมากมาย” ผมพยักหน้ารับ เพราะอาผึ้งก็อยู่ในฐานะที่ผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วนี่นะ...
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ฟี่จะต้องหนักแน่นเข้าไว้ ถ้าฟี่เลือกที่จะเชื่อใจเขาแล้ว ฟี่ก็ต้องทำให้ได้ อย่าคิดไปเองโดยที่ไม่ถามเขาก่อน มีอะไรในใจก็ต้องพูดคุยกับเขาไปตามตรงนะ ไม่งั้นเราจะไม่สบายใจเอง”
“อาผึ้งพูดเหมือนกับให้โอวาทตอนแต่งงานยังงั้นแหละครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะจนอาผึ้งมองค้อนเข้าให้
“ฟี่ยังไม่รู้หรอก ตอนที่อาตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่กับพ่อของฟี่นะ ช่วงแรกๆอาคิดมาก กังวล เครียดสารพัดเลย แล้วไอ้ที่คิดมากน่ะก็ไร้สาระทั้งนั้น อากังวลไปเองสารพัด กลัวว่าพ่อของฟี่เขาจะทิ้งอากลับไปหาครอบครัว กลัวว่าเขาจะกลับไปคืนดีกับแม่ของฟี่ เอ่อ...อาขอโทษนะลูกที่อาคิดแบบนั้น” เหมือนว่าอาผึ้งเพิ่งจะรู้สึกครับว่าพูดอะไรออกมา แต่ผมก็ไม่โกรธหรอกนะ เพราะผมไม่รู้ว่าจะเคืองทำไม แม่ผมก็ตายไปตั้งนานแล้ว และอาผึ้งก็รักผมขนาดนี้
“ไม่หรอกครับ พอฟังที่อาพูดแล้วฟี่ก็แอบคิดเหมือนกัน ว่าถ้าวันหนึ่งที่เขานึกถึงฟี่น้อยลง ถ้าความรู้สึกที่เขามีให้ฟี่มันจืดจางไป สมมติวันนี้เขาโทรหาฟี่สามรอบ แล้วถ้าวันหน้าเขาโทรหาฟี่รอบเดียวหรือไม่โทรเลย ฟี่คงจะทนไม่ได้แน่ๆเลย”
“จุดนั้นน่ะอาผ่านมาแล้วลูก ฮึฮึ” ผมมองอาผึ้งที่หัวเราะเสียงใส ผมเห็นอาผึ้งในตอนนี้แล้วผมก็อยากจะเป็นให้ได้อย่างแกนะครับ ผมอยากจะก้าวสู่ช่วงอายุของอาได้อย่างสง่างาม ปล่อยวาง และมีความสุขในชีวิต อาผึ้งเป็นไอดอลของผมเลยแหละครับ
“ฟี่จำไว้อย่างเดียวก็พอลูก เชื่อใจเขาให้มากๆ ต่อให้สุดท้ายเขาทำให้เราเสียใจ อย่างน้อยเราก็จะได้คิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว” ผมยังคุยกับอาผึ้งไม่ทันจบโทรศัพท์ผมก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาก่อน

TRrrr… TRrrr…
- 08XXXXXXXX-

/อยู่ไหน/ เบอร์ที่ผมคุ้นเคยโชว์หราอยู่หน้าจอ ผมยิ้มแล้วกดรับ(อ้อ! ผมลืมบอกไปครับว่าผมไม่บันทึกเบอร์ของณัฐ เพราะถ้าผมบันทึกเบอร์แล้วผมจะจำเบอร์เขาไม่ได้ ผมเลยใช้วิธีกดเบอร์เอาเอง) แต่พอได้ยินเสียงขุ่นๆของปลายสายผมก็ต้องขมวดคิ้ว
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นละครับ” ผมส่งสายตาให้อาผึ้งที่มองอยู่ ทำไมณัฐถึงทำเสียงหงุดหงิดแบบนั้นใส่ผมละ
/ณัฐถามฟี่ ตอบมาก่อนสิ/
“อยู่บ้านอาผึ้ง”
/ไปทำไม/
“อ้าว ก็มาหาอาน่ะสิ”
/แล้วทำไมไม่บอกณัฐล่ะ/
“เอ่อ...” ผมพูดไม่ออกเลยครับ ผมก็กะว่าจะโทรนะ แต่โทรตอนจะนอนน่ะ...
/รู้ไหมว่าณัฐเป็นห่วง เอาแต่นั่งคิดตลอดเลยว่าป่านนี้ฟี่จะเลิกงานหรือยัง ขึ้นรถหรือยัง/
“...” ผมยังคงเงียบต่อ อาผึ้งเองก็เริ่มส่งสายตาสงสัยมาให้ผมมากขึ้นแล้วครับ
/ณัฐมันไม่สำคัญใช่ไหม ถึงได้ไม่คิดจะโทรมาบอกกันบ้างเลยว่าจะไปไหน /
“ฟี่...ลืมไปน่ะ..ฟี่ขอโทษนะ...” ผมกระซิบเสียงเบาเพราะไม่อยากให้อาผึ้งคิดว่าเรากำลังจะทะเลาะกันครับ...
/ลืมเหรอ? ฟี่ลืมไปงั้นเหรอ... อืม ไม่เป็นไรหรอก ฟี่ก็แค่ลืมไปนี่นะ...งั้นณัฐไปทำงานต่อก่อนแล้วกัน/ แล้วณัฐก็วางสายไปครับ ผมละอึ้งไปเลย ผมมองโทรศัพท์แล้วก็มองหน้าอาผึ้งสลับกัน
“ทำไมเหรอฟี่ มีอะไรหรือเปล่า”
“เหมือนว่าณัฐเขา...จะรอโทรศัพท์ฟี่น่ะครับ ก็ฟี่เลิกงานแล้วแต่ยังไม่ได้โทรไปหาเขาเลย”
“แล้วทำไมฟี่ไม่โทรละ”
“ปรกติเขาจะโทรหาฟี่เองนี่ครับ...แล้วฟี่ก็ลืมด้วย สงสัยฟี่คงไม่ชิน เพราะเมื่อก่อนที่คบกับพี่ตังค์ ฟี่ไม่เคยต้องทำแบบนี้ และพี่ตังค์ก็ไม่เคยจะถามว่าฟี่อยู่ไหนยังไงเลยสักครั้งนะครับ”
“ไม่ชินที่ถูกเป็นห่วงว่างั้นเถอะ แล้วคนนั้นเขาเคืองฟี่หรือเปล่าละ”
“สุดๆเลยละครับ เสียงขุ่นคลั่กมาเลย เหอะๆ”
“จะเอาไงละลูก ค้างไหม หรือว่าจะกลับ?”
“ค้างแหละครับ ก็ฟี่บอกว่าจะค้างก็ต้องค้างสิครับ”
“งั้นเดี๋ยวอาจะไปเตรียมมื้อเย็นก่อน ฟี่อย่าลืมโทรไปเคลียร์แล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับ แต่ในใจผมน่ะเหรอ..

...สับสนอย่างแรงเลยครับ ผมรู้ว่าผมผิดที่ไม่โทรบอก แต่ทำไมเขาต้องหงุดหงิดด้วย ทั้งๆที่เขาแค่โทรมาถามผมก็พอว่าผมอยู่ไหนอะไรยังไงก็จบแล้ว ณัฐมาเหวี่ยงใส่ผมแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆและพาลไม่อยากโทรหา ผมรู้นะว่าเขาเป็นห่วงผม...

สงสัยสุดท้ายแล้วผมก็คงต้องโทรไปง้อเขาจริงๆแหละครับ ก็ทำไงได้ ผมให้ใจเขาไปทั้งดวงแล้ว... ทำใจงอนเขาไม่ลงหรอกครับ..

แต่ทำไมผมรู้สึกโหวงๆในใจพิกล มันเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกผิดและน้อยใจ...บางทีมันอาจจะเป็นคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวเงียบๆเพื่อรอวันระเบิดตูมก็ได้นะครับ...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.ขอโทษนะคะ หายไปหลายวันเลย พอดีกลับบ้านนอก แล้วไม่มีเน็ต เลยไม่ได้อัพให้  :sad4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 16 (06/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-06-2011 19:15:36
อ้าว..อ้าว..ไหงมีกลิ่นไม่ค่อยดีโชยมาแผ่วๆละคะบีบีจัง
เพิ่งจะให้ใจกันไป ได้ใจกันมาแบบเป็นทางการแป๊บๆเอง
หวังว่าทั้งสองคน คงจะค่อยๆปรับเข้าหากัน ค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกันไป
ไม่ใส่อารมณ์ ไม่มีทิฐิต่อกันนะจ๊ะบีบีจัง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 16 (06/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 06-06-2011 22:33:31
หง่ะ
เค้ากลัว กลัวหลายสิ่งมาก
กลัวณัฐไม่หนักแน่น โลเล
กลัวการใช้ชีวิตของทั้งคู่
นิสัยไม่เหมือนกัน ต่างการเลี้ยงดู

หวังว่าคงใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกันนะ
อ่านเรื่องนี้ทีไร เค้่าบอกตามตรง
ใจหายๆ ใจสั่นๆ ตลอดเวลา
เหมือนไม่มั่นใจอะไรสักอย่างเวลาอ่าน แอร๊
สงสัยจะอินมาก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 16 (06/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 07-06-2011 05:25:35
ฟี่คงต้องมีอีเวนท์เข้าบ่อยๆแหละ
เพราะถ้าหวานเกิน เดี๋ยวมันจะไม่สอดคล้องกับชื่อเรื่อง  :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 16 (06/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 07-06-2011 21:19:24
สรุปยังไม่แฮปปี้เอนดิ้ง?
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 17
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 08-06-2011 17:34:32


ผมนอนลืมตาโพลงบนเตียงในบ้านหลังที่ผมเติบโตมา สมองผมหมุนติ้วตั้งแต่เมื่อเย็นเพราะคนเพียงคนเดียวที่ผมแคร์เขาสุดหัวใจ ตั้งแต่วางโทรศัพท์ไปจนกระทั่งผมกินมื้อเย็นเสร็จแล้วอาบน้ำเข้านอนเขาก็ยังไม่โทรมา และผมก็ไม่คิดจะโทรไป ผมนอนพลิกคว่ำพลิกหงายว่าจะเอายังไงดี จะโทรไปก็รู้สึกเหมือนเสียเปรียบ แต่ถ้าไม่โทรผมก็คงนอนไม่หลับ...

ทั้งที่ผมแคร์ณัฐมากขนาดนี้แท้ๆ...

ตรู๊ด..... ตรู๊ด.....
สุดท้ายผมมาคิดได้ว่าป่านนี้ณัฐน่าจะถึงบ้านแล้วแต่เขาก็ยังไม่โทรมา ผมเลยตัดสินใจโทรไปเองดีกว่า ผมรู้สึกว่าใจมันเต้นตุ๊มๆต่อมๆระหว่างที่ฟังเสียงสัญญาณรอสาย
/ฮัลโหล/ อา...ผมกะแล้ว เสียงณัฐห้วนสุดๆ
“ถึงบ้านหรือยัง?”
/ถึงนานแล้ว/ ถึงนานแล้ว ? แล้วทำไมเขาไม่โทรหาผมเลยละ
“ถึงนานแล้วแต่ไม่เห็นโทรบอกเลยนะ...”
/ต้องโทรบอกอย่างนั้นเหรอ?/ ณัฐลากหางเสียงเหมือนจะว่ากระทบผม ผมรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์จี๊ดขึ้นมาทันที ที่เขาไม่โทรบอกผมก็เพราะต้องการจะเอาคืนที่ผมไม่โทรบอกเขาสินะ
“ก็แล้วแต่ณัฐละกัน ถ้าไม่อยากโทรก็ไม่ต้องโทร ถ้าอยากจะเอาคืนฟี่แบบนี้ก็เอาเถอะ ตามใจณัฐเลย” ให้ตายเถอะ เขาสามารถทำให้ผมปรี๊ดแตกได้ขนาดนี้เลยนะ
/เอาคืนอะไร ณัฐไม่เคยคิดจะเอาคืนฟี่เลยนะ ฟี่ต่างหากที่ไม่เคยจะสนใจณัฐ ณัฐก็ยังไม่ว่าอะไรเลยนะ/ หน็อย... นี่ขนาดมันไม่ว่าผมนะ ยังกวนประสาทผมได้ขนาดนี้..
“ณัฐหาว่าฟี่ไม่สนใจณัฐได้ยังไง ฟี่ก็รอให้ณัฐโทรมาหา ปรกติณัฐจะต้องโทรมาหาฟี่ตลอดนะ”
/แล้วใจคอฟี่ไม่คิดจะโทรหาณัฐเลย ฟี่จะให้ณัฐเป็นฝ่ายโทรหาฟี่ก่อนตลอดเลยงั้นเหรอ/
“...” ผมเงียบ พูดไม่ออก สรุปแล้วผมผิดเองสินะ ผมรู้ว่าผมผิด แต่ผมก็ยังน้อยใจ น้อยใจที่เขาเอาคืนผมกลับแบบนี้ สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเป็นฝ่ายตามเขาเหมือนเมื่อก่อนสินะ..
“อืม...ฟี่ขอโทษนะ วันหลังฟี่จะโทรหาณัฐบ้าง ไปไหนก็จะโทรไปบอกณัฐก่อนดีไหม?” เสียงผมเริ่มจะสั่นแล้ว ผมว่าผมควรจะรีบตัดบทไปตอนนี้..
/ไม่ใช่สิฟี่...ณัฐไม่ได้หมายความแบบ-/

ณัฐยังพูดไม่จบผมก็ตัดสายทิ้ง ผมร้องไห้ ผมน้อยใจ น้ำตาผมไหล ทำไมณัฐใจร้ายกับผมนักนะ... โทรศัพท์ของผมสั่นอีกสามครั้งแล้วผมก็กดปิดเครื่อง ผมไม่อยากรับสาย ไม่อยากคุย...


“โห ฟี่ หน้าไปทำอะไรมาวะ” ไอ้ทัชทักผมเสียงดังทันทีที่เห็นหน้าผมที่โต๊ะทำงาน ผมเบือนหน้าหนีมัน เสียงดังๆของมันทำเอาผมปวดหัวจี๊ดทีเดียว

อ๊ะ! ผมยังไม่เคยบอกคุณนี่นะ ว่าผมทำงานที่เดียวกับไอ้ทัช ส่วนเม้งกับจูนนั้นทำงานอีกบริษัทหนึ่ง

“กูนอนไม่หลับ ตาเลยคล้ำ”
“อย่างนี้กูว่าไม่ใช่แค่นอนไม่หลับแล้วละ แต่เขาเรียกไม่ได้นอน ตาช้ำยังกับคนร้องไห้มาทั้งคืน”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าตาช้ำแบบนี้เหมือนคนร้องไห้มาทั้งคืน มึงเคยเป็นรึไง”
“เปล่าหรอก ก็พี่สาวกูไง อกหัก ร้องไห้สามวันสามคืน เบ้าตาโหลแบบมึงเด๊ะเลย” ผมส่ายหัวอย่างเอือมระอา ไอ้ห่านี่มันรู้ดีเกินกว่าจะเป็นคนแล้วครับ ไปเป็นสุนัขตำรวจดีกว่าไหม?
“กูจะไปหากาแฟกิน ไปห่างๆเลย”
“เฮ้ย ไปด้วยดิ นี่กูเอาชีสเค้กมาเผื่อมึงด้วยนะ” ผมหันไปมองถุงในมือไอ้ทัชแล้วก็พยักหน้า
“โอเค งั้นมึงมาชงกาแฟกับกูได้”
“โห... ถ้ากูไม่มีขนมมา มึงก็คงให้กูไสหัวไปไกลๆสินะ” มันบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็ตามผมมาครับ เป็นอย่างที่มันว่า ผมร้องไห้อย่างหนักจนเผลอหลับไป แล้วก็ตื่นมาด้วยสภาพเบ้าตาที่เขียวช้ำ
“เออ ว่าแต่มึงปิดโทรศัพท์เหรอ เห็นจูนบอกว่าโทรหามึงตั้งแต่เช้าแล้วก็ไม่มีคนรับห”
“เออว่ะ กูลืมไปเลย” พอนึกได้ผมก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเครื่อง ทายสิว่าพอเปิดเครื่องเสร็จก็มีอะไรเกิดขึ้น...

You have 53 Missed calls
You have 16 Messages

‘ป๊าด... ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าใคร’ ผมเปิดดูเบอร์โทรเข้า มีทั้งเบอร์จูน เบอร์อาผึ้ง แล้วก็เบอร์ของณัฐ... พอเปิดอ่านเมสเสจก็เป็นของณัฐทั้งหมด เนื้อหาก็คล้ายๆกัน
‘ฟี่ปิดเครื่องทำไม’
‘ไม่อยากคุยกับณัฐแล้วใช่ไหม เกลียดณัฐแล้วใช่ไหม’
‘ณัฐอยากคุยกับฟี่นะ’
‘ณัฐคิดถึงฟี่นะ..’
ฯลฯ
และอันล่าสุดเพิ่งส่งมาตอนเจ็ดโมงเช้านี่เอง
‘ณัฐรู้ว่าณัฐงี่เง่า แต่ที่ณัฐงี่เง่าก็เพราะณัฐห่วงฟี่ ถ้าเกิดว่าฟี่โกรธณัฐจริงๆณัฐก็ขอโทษที่ทำให้ฟี่เสียใจ ณัฐขอโทษนะ’

อย่างที่รู้กันครับ ว่าไอ้ฟี่มันใจง่าย แค่เมสเสจ แค่มิสคอลก็ทำห้ไอ้ฟี่ใจอ่อนยวบยาบแล้ว ผมไม่ได้โกรธณัฐแต่แรก ผมแค่น้อยใจ แล้วพอเขามาง้อผมแบบนี้มีหรือที่ผมจะไม่ใจอ่อน
“ฮัลโหล ตื่นหรือยังครับ” ไวเท่าความคิด ผมคว้าแก้วกาแฟที่ชงเสร็จแล้วกับชีสเค้กกลับมาที่โต๊ะก่อนจะต่อโทรศัพท์หาณัฐ เสียงคู่สนทนาจากปลายสายของผมฟังดูงึมงำอู้อี้พิกล
/ฟี่.../
“ครับ?”
/ณัฐขอโทษที่งี่เง่านะ...วันหลังอย่าปิดเครื่องหนีณัฐแบบนี้อีกนะ/
“ณัฐจะขอโทษทำไม ณัฐไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ฟี่เองแหละที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร..ช่างมันเถอะนะ”
/อือ แล้วฟี่ไปถึงที่ทำงานแล้วเหรอ/
“อืม กำลังกินกาแฟ ไอ้ทัชเอาชีสเค้กมาฝากด้วย”
/ทัชไหน/
“เพื่อนฟี่สมัยเรียนไง”
/คนที่กวนตีนๆอะเหรอ/
“หึหึ ใช่เลย คนนั้นแหละ”

ผมคุยเรื่อยเปื่อยกันอีกเกือบสิบนาทีก็วางสาย แล้วผมก็เห็นไอ้ทัชมองผมด้วยสายตาเคลือบแคลง
“มึงคุยกับใครวะฟี่”
“อ๋อ...เพื่อนกูน่ะ”
“เพื่อนอะไร กูไม่เคยเห็นมึงคุยกับเพื่อนแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้”
“เสือก” ผมด่ามันสั้นๆแล้วหันมาทำงานต่อ ไอ้ทัชยังคงก่อกวนผมต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจแล้วหันไปทำงานของมันเอง

‘โทษทีนะเพื่อน กูยังไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่ะ’ ผมขอโทษมันในใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอกนะ แต่ผมยังไม่พร้อมจะเล่าต่างหากละ

พอตอนเย็นผมก็รีบเคลียร์งานให้เสร็จก่อนจะดิ่งไปหาณัฐ แต่ขนาดว่าผมรีบแล้วก็ยังออกจากออฟฟิศเลทไปตั้งชั่วโมงหนึ่ง ยิ่งคิดว่าณัฐต้องรอผมนานแค่ไหนผมก็ยิ่งรีบ

TRrrr… TRrrr…
- 08XXXXXXXX –

“ว่าไงครับ?” ผมรับสายด้วยน้ำเสียงร่าเริง ณัฐถามผมว่าผมอยู่ไหน ผมก็เลยบอกว่ากำลังจะไปหาเขา
/รีบมานะ ณัฐคิดถึง/ โอ้วมายก็อดดดด ผมละอยากจะติดจรวดรีบบึ่งไปเลยครับ ทำไมณัฐถึงน่ารักแบบนี้เนี้ยยยยย
“แหม ขึ้นรถไปนะ ไม่ได้บินไปสักหน่อย” ผมต้องรักษาภาพพจน์หน่อยครับ
/หึหึ ถ้าบินได้ก็บินมาสิ แล้วก็พาณัฐบินกลับบ้านไปด้วยนะ/
“คนนะ ไม่ใช่กระหัง”  ผมบ่นเสียงอุบอิบ
/ฮ่าๆ รีบๆมาเหอะ ณัฐจะรอ แค่นี้ก่อนนะ/
“อืม บ๊ายบาย” ผมกดวางสายแล้วก็มานึกได้ว่า ณัฐไม่เคยวางสายก่อนผมเลยสักครั้ง เขามักจะรอให้ผมเป็นคนกดวางก่อนเสมอ...เอ่อ...ผมเขินจังแฮะ นั่งรถเมลล์ไปก็นึกถึงหน้าเขาไปแล้วผมก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดูท่าความรักทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆนะ

แต่จะว่าไปถึงผมจะดูมีความสุขขนาดนี้ แต่บางครั้งผมก็ยังอดคิดมากไม่ได้ เรื่องที่ผมคิดมากก็มักจะเป็นเรื่องของณัฐ ไม่ว่าเวลาที่อยู่กับณัฐ ผมจะมีความสุขแค่ไหน เวลาที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีณัฐ ผมก็จะเป็นทุกข์เท่านั้น ผมคอยจะคิดเสมอว่าณัฐจะโทรหาผู้หญิงคนนั้นบ้างไหม ณัฐจะไปหาลูกเขาบ้างไหม ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะยื่นมือเข้าไปสอดได้ แม้จะถามผมยังไม่กล้า เพราะณัฐเองก็เคยบอกแล้วว่าถ้าจะให้เขาตัดขาดไปเลยก็คงไม่ได้ เพราะว่ายังไงก็ยังต้องเกี่ยวข้องกันอยู่ดี แต่ทั้งที่รู้ผมก็ยังเจ็บแปลบเสมอ...สิ่งเดียวที่ผมสู้เธอคนนั้นไม่ได้คือเรื่องลูก...ผมมีลูกให้ณัฐไม่ได้...

ความรู้สึกเหล่านี้มันยังคงกัดกินในใจผมไม่เลิก ผมสงสัยเหลือเกินว่าตอนนั้นอาผึ้งผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ยังไง ยิ่งผมพยายามไม่คิด มันก็ยิ่งรบกวนใจผมมากขึ้น...

“ฟี่ ดื่มอะไรไหม เดี๋ยวณัฐทำให้” ผมส่ายหัวปฏิเสธ ผมพยายามยิ้มให้ออกเพื่อที่ณัฐจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมผมถึงทำหน้าเครียด
“น้องฟี่ ไม่ดื่มอะไรหน่อยเหรอ” ผมหันไปส่ายหัวให้พี่โอ คนร้านนี้มีน้ำใจจริงแฮะ แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์จะกินอะไรทั้งนั้นแหละ
“รอแป๊บนะฟี่ เดี๋ยวทุ่มครึ่งณัฐก็เลิกงานแล้ว” ณัฐบอกผมแล้วเดินกลับเข้าไปชงกาแฟให้ลูกค้า ผมเริ่มเพลินกับการนั่งมองณัฐโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งพี่โอมาคุยกับผม
“ณัฐทำงานที่ไหนเหรอ”
“แถว XXX ครับ”
“โห แล้วมาที่นี่ยังไงละเนี่ย”
“ก็นั่งรถเมลล์มาแหละครับ” พี่โอพยักหน้ารับรู้แล้วก็เข้าไปช่วยณัฐทำงาน ผมรู้สึกเหมือนว่าถูกซักประวัติเลยแฮะ...

“ฟี่ เบื่อหรือเปล่า” ณัฐเดินมานั่งข้างผมที่กำลังเล่นเกมในไอพอดอย่างเพลิดเพลิน ผมเงยหน้าไปมองเขาแล้วก็ส่ายหัว
“ไม่หรอก ก็เปลี่ยนบรรยากาศนะ”
“อ้าว พี่ติ หวัดดีครับ” ผมหันไปมองทางที่ณัฐยกมือไหว้ ผู้ชายร่างสูงปรี๊ดหน้าตี๋ตาตี่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆผม พี่โอทักคนที่ชื่อติอย่างสนิทสนม ผมก็เลยเดาได้ว่านี่คงเป็นเพื่อนของพี่โอคนนึง
“ใครเนี่ยณัฐ” คนชื่อ ‘พี่ติ’ ถามณัฐด้วยน้ำเสียงและสายตาใคร่รู้ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าณัฐจะตอบว่ายังไง

“อ๋อ เพื่อนณัฐครับพี่ ชื่อฟี่”

อึก...ผมอึ้งไปนิดหนึ่งครับ...

ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกนะครับ แต่มันก็วูบๆไปนิดหนึ่ง...
“เพื่อนจริงเร้อ...ทำไมเทคแคร์ดีจัง” ไอ้พี่ติตัวต้นเรื่องมันยังคงซักไซ้ต่อครับ ณัฐเองก็เอาแต่ยิ้มๆ ผมเลยตอบเองแม่งเลย
“เพื่อนจริงๆครับพี่ หรือพี่เห็นว่าผมกับณัฐน่าจะเป็นอะไรได้มากกว่าเพื่อนอีกละครับ” น้ำเสียงผมห้วนจริงจัง ณัฐเองก็หันมามองผมด้วยสายตาแอบเคือง เหอะ คิดว่าผมจะสนเรอะ ใครละที่แนะนำว่าผมเป็นเพื่อนก่อน
“แหม ดุซะด้วยนะฟี่ ชื่อฟี่นี่มาจากอะไรเหรอ หรือว่าชื่อฟี่เฉยๆ”
“ชื่อท๊อฟฟี่ครับ” ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงผมมันเริ่มจะขุ่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูท่าว่าไอ้พี่ตินี่มันก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าทำให้ผมหงุดหงิด
“ชื่อน่ารักเชียว จะหวานเหมือนชื่อหรือเปล่าเนี่ย” ไอ้พี่ติมันพูดแล้วก็ทำท่าชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ผมยังไม่ทันจะเบี่ยงตัวหลบก็มีมือมาดึงผมหลบไปก่อน
“แหมๆ หวงซะด้วย ไหนว่าแค่เพื่อนไงละณัฐ” พี่ติยิ้มกริ่มกว่าเดิมเมื่อเห็นณัฐดึงตัวผมไปแอบด้านหลังเขา
“ไม่ได้พี่ คนนี้ห้ามเล่น ผมขอคนนึง”
“มึงอย่าไปแกล้งน้องเขาดิวะไอ้ติ” พี่โอส่ายหัวเหมือนเหนื่อยใจแล้วก็เอาแก้วมาวางให้พี่ติ
“เหล้าน่ะ” ณัฐคงจะเห็นผมมองอย่างสงสัยว่าทำไมทุกครั้งที่พวกเพื่อนพี่โอมา พี่โอจะต้องเอาแก้วมาวางไว้ให้เพื่อนทุกครั้ง ที่แท้มันก็คือแก้วเหล้าครับ ช่วงเย็นๆที่ลูกค้าน้อยและพี่เป็ดแฟนพี่โอไม่อยู่ เขาก็จะตั้งวงเหล้ากัน เหอะๆ บำรุงตับกันเข้าไป
“ณัฐกินหรือเปล่า” ผมถามณัฐกลับ แล้วณัฐก็พยักหน้าพลางชูแก้วในมือให้ผมดู
“ดี กินเข้าไป ได้ตายไวๆ”
“อ้าว ทำไมแช่งณัฐงั้นละ ณัฐตายไปจริงๆแล้วฟี่จะไม่เหงาเหรอ~”
“ไม่รู้สิ ณัฐก็ลองตายก่อนแล้วกัน ฟี่จะได้ตอบถูกว่าจะเสียใจดีไหม”
“โห ใจร้ายอะ” แล้วณัฐก็ทำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนน้อยใจผม เหอะ... ไอ้งี่เง่า แล้วที่มันพูดว่าผมเป็นแค่เพื่อนละครับ เออ ใช่สิ ณัฐเขาก็พูดถูกว่าผมมันเป็นแค่เพื่อน เพราะณัฐเองก็ยังไม่เคยบอกเลยสักคำว่าผมเป็นคนรัก หรือเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน...แบบนี้แสดงว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะน้อยใจอะไรเขาสินะ ก็ผมมันเป็นแค่เพื่อนนี่...

พอนึกเจียมตัวไว้แบบนั้นแล้วผมก็เลยหันไปยิ้มให้เขา
“ฟี่ล้อเล่น ณัฐอยากกินก็กินไปเถอะ ฟี่จะไปห้ามณัฐได้ไงละ” ใช่...ผมจะไปห้ามณัฐได้ยังไง ผมเป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่แฟน ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของณัฐหรอก
“ทำไมฟี่จะห้ามไม่ได้ละ แค่ฟี่บอกว่าไม่อยากให้ณัฐกิน ณัฐก็ไม่กินก็ได้นะ” ณัฐทำเสียงตัดพ้อ
“ฟี่ไม่มีสิทธิ์หรอกณัฐ ตัวของณัฐฟี่จะไปห้ามได้ยังไง เราเป็นแค่เพื่อนกันนะ...” ผมห้ามเสียงไม่ให้สั่นไม่ได้ แล้วยิ่งพอมองหน้าณัฐทีทำสีหน้าเจ็บปวด ผมก็ยิ่งเศร้าใจ
“ฟี่...แล้วฟี่จะให้ณัฐพูดยังไง...จะให้ณัฐแนะนำฟี่ว่ายังไงได้ละ...”

เอ่อ...พอเถอะณัฐ ผมว่าผมรู้แล้วแหละว่าปัญหาแรกของเราสองคนคืออะไร
มันคือเรื่องสถานะของตัวผมกับณัฐในสายตาคนอื่นไงละ... 

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.ชีวิตบีเป็นยังไง บีก็แต่งออกมาแบบนั้นละคะ 555+
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 08-06-2011 17:57:25
กรรมเวรจริงๆ คู่นี้
ยังมีอะไรต้องปรับอีกเยอะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 08-06-2011 18:00:14
เฮ้อ

อึดอัดจัง

แต่ชอบจ๊ะ


 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 08-06-2011 18:17:11
จะรอดมั้ย
เฮ้อออ เพราะชีวิตคือชีวิต
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 08-06-2011 21:25:09
ในเมื่อไม่เคลียร์

ก็ไปทำให้มันเคลียร์ซะ o13
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 08-06-2011 23:11:02
ชัดเลย ปัญหา ช ช ครั้งแรก คือสถานะที่บอกใครไม่ได้
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 09-06-2011 00:23:41
ช่องว่างของจริง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจ
เกย์โดยกำเนิด กับ ผู้ชายที่ชอบแค่ผู้ชายคนนี้คนเดียวมันต่างกัน
ข้อแตกต่างนี้ละ คือ "ช่องว่าง" ที่จะคอยบ่มเพาะกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้ง
และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบลงอย่างง่ายได้ ถ้าไม่รู้จักระวัง...
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 09-06-2011 01:40:16
เศร้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 09-06-2011 06:20:39
มีความสุข ไปพร้อมๆกับกังวลใจตลอดเวลา
มันดีมั๊ยเนี่ย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 09-06-2011 23:54:40
ม่ายยยยยย :z3:

ืำทำไมมีเเต่มาม่า ไม่ปลื้มมมม  :sad4:

หนูขอNcได้มั้ย คึคึ ฮ่าๆหื่นไปไหมตู

อิือิรอพี่บีมาต่ออย่างเดียวเลย ณ ตอนนี้



 :pig4:ค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 10-06-2011 13:01:16
เจอกันตอนเย็นนะค้า!!!!!!!!!!!!!!!!!
ว่าแต่จะมีอะไรกิ๊บกิ้วมั้ยยยยย???
ต้องรอดูต่อปายยยยยย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 10-06-2011 14:12:37
อะเครจ้า
ปูเสื่อรอ
หรือต้มน้ำรอดี อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 17 (08/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 10-06-2011 14:38:54
ช่องว่างนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อมต่อกันเลยเหรอคะหนูบี
ทำอย่างไรน้า หาอะไรมาทำให้ช่องว่างมันมาชิดกันเหอะน้องบี
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 18
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 10-06-2011 17:15:03


คุณเคยรอคอยอะไรไหมครับ...
รอโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรออะไรอยู่... รู้เพียงแต่ว่าอยากจะให้สิ่งที่รอนั้นมาถึงเร็วๆ
ตอนนี้ผมเองก็กำลังรอ รอมือที่จะมาช่วยฉุดให้ผมหลุดออกไปจากวังวนความคิดของตัวผมเอง..

“...ฟี่ ฟี่... ไอ้ท๊อฟฟี่!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมอย่างดัง ผมหันไปมองไอ้ทัชที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามแบบเคืองๆ
“จะตะโกนทำไมวะ”
“กูเรียกมึงมาจะร้อยครั้งแล้ว มึงก็ไม่หือไม่อือสักที” ผมเหวอไปนิดหนึ่ง นี่ผมเหม่อถึงขนาดไม่ได้ยินคนเรียกเลยเหรอเนี่ย
“แล้วมีอะไรวะ”
“คุณเมเขาบอกให้มึงส่งเมลล์งานที่เสร็จแล้วไปให้เขาด้วย แม่งถ้าว่างนักทำไมไม่มาช่วยกูเขียนโครงร่างวะ” ประโยคแรกมันบอกสิ่งที่ผมจะต้องทำ ส่วนประโยคหลังที่มันบ่นอุบอิบนั่นคือมันแอบด่าผมครับ
“อืม” ผมรับคำแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เพิ่งจะบ่ายสาม ส่งเมลล์แล้วแว่บไปหากาแฟกินสักแก้วดีกว่า

ผมนั่งละเลียดกาแฟยามบ่ายอย่างใจลอย ทุกครั้งที่ผมดื่มกาแฟ อมลูกอมกาแฟ ได้กลิ่นกาแฟ ผมก็จะคิดถึงคนขายกาแฟของผมเสมอ คนที่มักจะมีกลิ่นกาแฟติดตัว เวลาผมจับมือเขาแล้วลองเอามาดมก็จะได้กลิ่นกาแฟจางๆ
‘เรานี่ท่าจะเป็นเอามาก...’ ผมสลัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปให้หมด ถ้าผมเอาแต่หมกมุ่นเรื่องของณัฐขนาดนี้ มันก็จะเหมือนกับว่าชีวิตผมขาดเขาไม่ได้เลยน่ะสิ

ผมลองนับดูว่ากี่ชั่วโมงแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน เมื่อวานที่ผมไปหาณัฐที่ร้านแล้วก็จบลงด้วยความขุ่นเคืองใจ เมื่อคืนพอผมกลับมาที่บ้านก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าผมต้องการอะไรจากเขา ที่ผ่านมาผมพอใจแค่เพียงการได้มองเขาอยู่ห่างๆ ได้รักเขาเพียงฝ่ายเดียวไม่ใช่หรือ? แล้วดูตอนนี้สิ ผมช่างน่ารังเกียจ ได้คืบจะเอาศอกเหมือนคนไม่รู้จักพอ

ณัฐเคยแต่คบผู้หญิงมาตลอด หากการคบกับเพศเดียวกันอย่างผมคงจะทำให้เขาต้องลำบากใจ ผมก็ควรที่จะทำใจยอมรับและเข้าใจเขาสิ ไม่ใช่เอาแต่น้อยใจที่เขาไม่แนะนำกับคนอื่นว่าผมเป็นแฟน...

ผมมันงี่เง่าสิ้นดี...

ทั้งที่ผมรู้ตัวว่าผมงี่เง่า...แต่ผมก็ยังรู้สึกเศร้าเล็กๆ ในส่วนที่ลึกสุดของหัวใจ...

ผมอยากจะโทรไปหาเขาแล้วถามว่าเย็นนี้ผมจะแวะไปหาเขาได้หรือเปล่า แต่ผมก็คิดว่าบางทีณัฐอาจจะงานยุ่ง ถ้าผมโทรไปแล้วมันจะรบกวนไหม ใจผมอยากจะโทรหา แต่ผมก็กลัวเขาจะรำคาญ หรือถ้าผมไปหาเขาเลยละ ณัฐจะเมินผมไหม เขาจะยิ้มให้ผมหรือเปล่า
TRrrr…

โทรศัพท์มือถือของผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง มันสั่นแค่ครั้งเดียวแสดงว่าเป็นเมสเสจ ผมแอบตื่นเต้นนิดหนึ่งว่าเมสเสจนั้นจะถูกส่งมาจากณัฐหรือเปล่า และเมื่อผมเปิดดูความหวังของผมก็เป็นจริง

-วันนี้จะมารับณัฐไหม?-

ผมรีบพิมพ์เมสเสจแล้วส่งตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว อารมณ์ของผมสดใสขึ้นมาเหมือนเปิดสวิตช์ และไม่นานผมก็ลืมไปว่าผมทุกข์ใจเรื่องอะไรอยู่...

พอตอนเย็นเลิกงานผมก็รีบไปหาเขาทันที ที่ร้านไม่ค่อยมีคน ผมเดินเข้าไปหาณัฐแล้วส่งยิ้มให้เขา ณัฐเองก็ยิ้มตอบกลับมาซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“อะ” ณัฐยื่นแก้วโกโก้มาตรงหน้าผม พอผมส่ายหัวเขาก็ยัดเยียดใส่มาในมือผม ผมแอบวูบวาบนิดหนึ่งตอนที่มือเขาแตะมือผม ตลกจังครับ แค่แตะมือเองนะ ผมก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังทำอะไรที่มากกว่านั้น...

เราสองคนไม่ได้คุยอะไรต่ออีกหรอกครับ เพราะว่าลูกค้ากลุ่มใหญ่เข้าร้านมาพอดี และณัฐก็ต้องไปทำงาน ผมเองก็ได้แต่นั่งมองเขาอยู่ห่างๆ พอลูกค้าหมดแล้วณัฐว่าง เขาก็ไม่ได้ว่าจะเดินมาคลุกคลีกับผมคนเดียวหรอกครับ เขาก็อยู่คุยกับพี่ๆคนอื่นในร้าน ผมยอมรับว่าณัฐเป็นคนที่วางตัวได้ดีมาก เพราะถึงเขาจะคุยอยู่กับคนอื่น แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ผมนั่งหง่าวเลย
“อ้าวน้องแคนดี้” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก พี่ติคนเดิมครับ วันนี้ใส่เสื้อยืดสีเทากับกางเกงขาเดฟ นี่ขาเขาจะเล็กไปไหนเนี่ย...
“แน่ะ ทักแล้วก็ไม่คุยด้วย” เขาเรียกผม?
“ผมไม่ได้ชื่อแคนดี้นะครับ” พอผมตอบไปอย่างนั้น ไอ้พี่ติก็ทำสีหน้าเหมือนว่าตัวเองเพิ่งทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
“แคนดี้ไหนพี่ เขาชื่อท๊อฟฟี่!” ณัฐเดินเข้ามาแย้งพี่ติ ผมเองก็หันไปมองณัฐเพื่อขอคำอธิบายให้ผมหายงงว่าไอ้ชื่อแคนดี้มันมาจากไหน
“เอ้อ โทษที พี่จำผิด คนที่มาเมื่อกลางวันใช่มะที่ชื่อแคนดี้ วันหลังณัฐก็อย่าจีบคนที่ชื่อคล้ายกันดิวะ พี่จำผิดจำถูกไปหมดละ”
“เฮ้ย ไม่มี๊ คนที่มาเมื่อกลางวันอะไรพี่ติ ไม่มีนะฟี่” ผมเหล่มองณัฐด้วยหางตา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ณัฐพยายามแก้ตัวเป็นพัลวันท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่ติ
“ฟี่ ไม่มีนะ มีฟี่คนเดียวแหละที่มาหาณัฐ”
“แล้วน้องลูกกวาดล่ะวะณัฐ” พี่ติยังถามต่อ แหม ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจหาชื่อแนวๆเดียวกับผมมาหมดเลยนะ
“พี่ติ! พอเลยๆ ไม่ใช่แล้ว ไม่มีสักหน่อยนะฟี่ พี่ติมันหลอกอำ อย่าไปเชื่อนะ”
“ฟี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง” ผมแกล้งทำเป็นเมินหน้าใส่ณัฐ พอเขาเห็นผมเมินใส่แบบนั้นแล้วเขาก็ร้อนรนแก้ตัวใหญ่เลยครับ หึหึ น่ารักจัง

ผมนั่งเล่นอยู่จนทุ่มกว่าๆณัฐก็เลิกงาน เราสองคนบอกลาพวกพี่โอและพี่ติก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เราต้องเดินเป็นแถวเดียวเพราะเวลานั้นมีคนเดินบนฟุตบาทเยอะมาก ณัฐเดินนำอยู่ด้านหน้าผม แล้วสายตาของผมก็มองเห็นณัฐยื่นมือมาด้านหลังของเขาและกระดิกนิ้ว มันเป็นภาษากายที่เราสองคนคุ้นเคยกันดี เมื่อณัฐทำมือลักษณะแบบนั้นก็หมายความว่าเขาต้องการให้ผมยื่นมือไปจับกับมือเขาเอาไว้...
“จับไว้ เดี๋ยวหลงทาง ยิ่งเอ๋อๆอยู่” ณัฐหันมาพูดกับผมในระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน ผมฟังแล้วรู้สึกฉุนๆไงไม่รู้แฮะ...
“วันนี้ฟี่อยากกินอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าจะไปทำกับข้าวที่บ้าน” ปรกติแล้ววันไหนที่ผมกลับพร้อมกับณัฐเรามักจะหาอะไรกินก่อนกลับครับ แต่บางทีถ้าเบื่อร้านอาหารผมก็จะไปทำอะไรกินที่บ้านผมแทน ซึ่งวันนี้ผมก็มีแพลนไว้แล้ว
“ณัฐบอกว่าอยากกินแกงกะหรี่นี่ ฟี่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ” ณัฐหันมาทำสายตาวิบวับให้ผม ผมก็ยิ้มกลับไปให้
“ฟี่น่ารักที่ซู้ดดดด” เขาจับมือผมขึ้นไปหอมดังฟอด ผมใจสั่นไปแว๊บหนึ่งแล้วก็รีบปรับสีหน้าอย่างด่วนเลยครับ กะอีแค่หอมมือผมจะใจสั่นไปทำไมเนี่ย!

วันนี้รถติดนิดหนึ่งครับ เราใช้เวลากันชั่วโมงนิดๆกว่าจะถึงบ้านผม ตั้งแต่วันที่เรากลับจากเกาะล้าน ณัฐก็มาบ้านผมอยู่บ่อยๆ บ่อยขนาดไหนเหรอครับ  เอาเป็นว่าให้นับจำนวนวันที่เขาไม่มายังง่ายกว่าอีกครับ เพราะณัฐมักจะแวะมาทุกวันๆเพื่อกินมื้อเย็นกับผมแล้วเขาถึงจะกลับบ้าน อาจจะมีเพียงสัปดาห์ละหนึ่งวันที่เขาจะไม่แวะมาเพราะมีธุระหรืออะไรก็ตามเท่านั้นเอง
“มีผักดองด้วย!!” ณัฐส่งเสียงดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นเมื่อเห็นว่านอกจากแกงกะหรี่แล้วผมยังมีผักดองแบบญี่ปุ่นไว้อีกต่างหาก ก็อย่างว่าแหละ เวลาผมนอนไม่หลับก็มักจะทำนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนรู้ตัวอีกทีผมก็มีพวกอาหารหมักดองหรือขนม
โฮมเมดเต็มไปหมด
“เนื้อวัวเหรอฟี่” ผมพยักหน้าให้ณัฐพลางตักแกงกะหรี่ราดข้าวสวยญี่ปุ่นที่ผมตั้งเวลาหุงเอาไว้ แกงกะหรี่เนื้อสันใส่มันฝรั่งกับ
แครอทอย่างที่ผมชอบมีรสชาติเผ็ดร้อนและเข้มข้นสมกับที่เคี่ยวมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ผมสูดกลิ่นหอมเครืองเทศด้วยความพอใจในฝีมือระดับห้าดาวของผม (ผมไม่ได้หลงตัวเองนะ!!)
“ชอบฟี่ที่สุดเลย~” เจ้าคนทะเล้นทำเสียงออดอ้อนตอนที่ผมเอาจานไปวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบ ผมแสร้งทำเป็นหรี่ตาให้แบบงอนๆแล้วประชดกลับไปทีหนึ่ง
“เชอะ ณัฐก็ชอบที่ฟี่ทำของโปรดที่ณัฐชอบกินได้น่ะสิ”
“เปล่านะฟี่...มันไม่ใช่แค่นั้น...” ณัฐทำสายตาจริงจังแล้วดึงข้อมมือผมให้เดินไปใกล้เขา ณัฐจับผมให้นั่งลงไปบนตักเขา สัมผัสใกล้ชิดที่เดี๋ยวนี้มันจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆไม่ทำให้ผมเคยชินเสียที ณัฐทำให้ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องอีกแล้ว...

“ณัฐชอบฟี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นฟี่...สิ่งที่ฟี่ทำให้ณัฐแต่ละอย่างมันก็ยิ่งทำให้ณัฐผูกพันกับฟี่มากขึ้นเท่านั้นเอง” ณัฐจะพูดไปเอาจมูกมาดมแก้มผมไปด้วยทำมายยยยย ผมขนลุกไปหมดแล้วนะ พอจะเบี่ยงตัวหลบไอ้วายร้ายนั่นก็ยิ่งล็อกเอวผมไว้แน่นกว่าเดิม
“อือ...ฟี่รู้แล้ว ณัฐปล่อยสิ จะได้กินข้าวกัน” ผมรู้สึกหน้าร้อนๆขึ้นมาจนได้ ผมมันแย่จังครับที่รู้สึกแบบนี้ ไม่ดีเลยที่ผมมีใจอกุศล ผมสูดลมหายใจเข้าให้ลึกและนานเพราะคิดว่ามันจะดับอารมณ์ร้อนๆได้แต่ก็เปล่าประโยชน์...
“ณัฐไม่อยากปล่อยเลยฟี่... ณัฐไม่อยากปล่อยฟี่ไปไหนเลย ณัฐอยากอยู่ใกล้ๆฟี่แบบนี้ไปตลอด..” ณัฐซุกหน้าลงตรงซอกคอผม ผมอยากจะบ้าตาย ตอนนี้อารมณ์ผมปั่นป่วนไปหมดแล้วนะครับ
“บางทีณัฐก็ไม่รู้ว่าฟี่มีเรื่องกังวลอะไร ฟี่เครียดอะไรณัฐก็เดาไม่ถูก แต่ณัฐอยากให้ฟี่บอกณัฐทุกเรื่อง มีอะไรก็ขอให้พูด เพราะณัฐไม่อยากคิดไปเอง ณัฐงี่เง่า ชอบทำให้ฟี่ไม่สบายใจ”
“ฟี่ก็ไม่แพ้กันหรอกณัฐ ฟี่เป็นพวกชอบคิดมาก แล้วบางทีที่ณัฐทำอะไรที่ฟี่ไม่เข้าใจ ฟี่ก็ไม่กล้าถามเพราะฟี่กลัวว่าคำตอบของณัฐมันจะทำให้ฟี่เจ็บปวด จนสุดท้ายฟี่ก็จะคิดเองเออเองว่าสาเหตุมันน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้...แล้วฟี่ก็จะนอยด์เอง..” ผมบอกนิสัยแย่ๆของผมให้ณัฐฟัง เขาขมวดคิ้วแล้วลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมหลับตาซึมซับสัมผัสของณัฐเหมือนผืนดินซึมซับสายน้ำ หากเวลาที่น้ำซึมลงดินแล้วผืนดินชุ่มชื้นแบบไหน ผมก็อบอุ่นใจแบบนั้นเช่นเดียวกัน...

“ฟี่... ณัฐเป็นอะไรของฟี่...เป็นคนอื่นหรือเปล่า หรือเป็นคนที่ใกล้ชิดฟี่...” ณัฐถามผมด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา แต่น่าแปลกที่ผมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ...
“แล้วณัฐอยากเป็นอะไรของฟี่ล่ะ...”
“ณัฐจะไม่คิดเองเออเองหรอกนะ เพราะงั้นณัฐจะถามฟี่ตรงๆ ว่าฟี่จะเป็นแฟนกับณัฐได้ไหม?”

ผมสาบานว่าผมไม่เคยได้ยินถ้อยคำที่หวานหูแบบนี้มาก่อน เพราะอะไรน่ะเหรอ...
หากจะให้ผมนับจำนวนแฟนที่ผมเคยคบมา จากสมัยที่ยังใส่กางเกงนักเรียนขาสั้นอยู่ ก็มีแค่ช่วงวัยรุ่นเท่านั้นที่มีคนเคยขอกับผมแบบนี้ ซึ่งความรู้สึกตื่นเต้นเขินอายในตอนนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกในตอนนี้

ความรู้สึกจากคนที่จ้องมองเข้ามาในตาของผม แววตาจริงจังของเขาทำให้หัวใจของผมสั่นไหว ความรู้สึกปลาบปลื้ม ตื้นตัน อ่อนหวาน ลึกล้ำยิ่งกว่าสิ่งดีใดๆในโลกนี้ที่ผมเคยพบ น้ำตาของผมไหลโดยไม่ทันตั้งตัว น่ากลัวว่าจะเป็นเพราะมันไม่สามารถทนกับความอ่อนโยนของคนๆนี้ได้อีกแล้ว
“ตกลงไหมครับ เป็นแฟนณัฐได้ไหม...” ณัฐกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ผมเองก็เผลอเอาแขนโอบรอบคอเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้...
“ทำไมณัฐถึงขอขึ้นมาล่ะ ฟี่คิดว่าณัฐอยากให้ฟี่เป็นแค่เพื่อนของณัฐเสียอีก” ผมถามเสียงอู้อี้เพราะว่าเอาหน้าซุกบ่าของณัฐอยู่ ณัฐเอามือลูบหลังผมเบาๆแล้วตอบเสียงนุ่ม
“ณัฐไม่อยากแอบอ้างหรือคิดไปเองหรอกนะ ตราบใดที่ณัฐยังไม่ขอกับฟี่อย่างเป็นเรื่องเป็นราว จะให้ณัฐฉวยโอกาสจากความอ่อนโยนของฟี่ได้ยังไง ที่ผ่านมาณัฐเอาแต่คิดไปเองฝ่ายเดียวว่าเราเป็นคนรักกันโดยไม่เคยถามฟี่เลย”

ผมเหมือนปลดเอาความทุกข์ออกจากหลังไปจนหมดเกลี้ยง ความไม่สบายใจ ความกังวลที่รู้สึกเหมือนเป็นคนนอกสำหรับณัฐมันเปลี่ยนไปหมด ผมดีใจที่ได้เป็นคนในหัวใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นแฟน หรือคนรัก จะยังไงก็ตามผมก็รู้สึกเหมือนจะขึ้นสวรรค์.. ผมเชื่อแล้วว่าความสุขมันใช้เงินซื้อไม่ได้ และยิ่งเป็นความสุขที่ได้มายากมันก็ยิ่งหอมหวาน...

“ตกลงครับ...ฟี่จะเป็น ‘คนรัก’ ของณัฐ....คนเดียว...” ผมพูดแล้วก็เขินเอง...บ้าชะมัด
“ฟี่ก็ลองเป็นคนรักของหลายคนดูสิครับ หึหึ” ณัฐทำเสียงเหี้ยมใส่ ผมก็เลยทุบเข้าไปหนึ่งอั้ก

ผมเองก็เพิ่งจะมารู้สึกครับ... ว่าณัฐเป็นคนที่ขี้หึงขี้หวงเอาเรื่อง เวลาผมไปที่ร้านเขาแล้วถ้าพวกพี่ๆแกล้งมาเจ๊าะแจ๊ะใกล้ผม ณัฐก็จะมากันท่าเอาไว้ หรือเวลาที่ผมคุยโทรศัพท์ ณัฐก็จะถามว่าใครโทรมา หรือผมโทรหาใคร หรือผมส่งเมสเสจให้ใคร แม้กระทั่งหน้าเฟซบุ๊คผม ณัฐยังเข้ามาเช็คเรื่อยๆเลยครับ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผมหรอกนะ เพราะผมเองก็เข้าไปเช็คเฟซบุ๊คเขาเหมือนกัน แล้วถ้ามีสาวๆมาโพสอะไรกุ๊กกิ๊กละก็จะโดนไม่ใช่น้อย...  เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่คนรักกันเขาทำกันไม่ใช่เหรอครับ...

คนรักกัน....

อ๊า!! ผมมีความสุขเป็นบ้าเลย~~

“ขอจูบหน่อยสิ” ณัฐพูดแล้วก็แตะปากลงบนริมฝีปากผมโดยที่ผมยังไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธเลยครับ แล้วผมเคยบอกคุณหรือยังว่าผมชอบริมฝีปากของณัฐมากแค่ไหน ณัฐมีขอบปากที่เป็นรูปร่างชัดเจน ริมฝีปากของณัฐนุ่มนิ่มและอุ่นเสมอ ณัฐชอบใช้ริมฝีปากของตัวเองขบเม้มปากของผมเหมือนกำลังแทะเล็มขนมหวาน..
“อื้อ..” ผมประท้วงในลำคอเมื่อณัฐสอดลิ้นเข้ามาแตะกับลิ้นผม ร่างกายของเขากำลังถ่ายทอดความรู้สึกมาให้ผม ความรุนแรงของการจูบเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สมองผมส่งสัญญาณเตือนว่าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกหน่อยจะต้องไม่ดีแน่ๆ แต่แม้ว่าผมจะพยายามขืนตัวออกห่างจากณัฐแค่ไหนเขาก็ยิ่งล็อกผมไว้แน่นขึ้น และยิ่งร่างกายของผมบดเบียดแนบชิดกับเขาแค่ไหน เขาก็ยิ่งจูบร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าจะหายใจไม่ทันเพราะจูบรุกเร้ามากขึ้นๆ
“ฮื้อ! ฟี่หายใจไม่...ทัน ฮึก....” พอผมบอกจบประโยคณัฐก็ปรับระดับการจูบจากร้อนแรงสุดๆมาเป็นจูบไล้บนริมฝีปากของผมเบาๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าปากผมต้องช้ำไปหมดแล้วแน่ๆ..
“ฟี่..หวานจังน้า...ฮื้อ...” ณัฐส้งเสียงแบบที่ผมไม่คุ้นเคย เสียงทุ่มกระเส่าที่ยั่วเย้าให้อารมณ์ผมกระเจิง..
“ณัฐ..อืม..ไม่กินข้าวเหรอ อือ..” เราคุยกันทั้งๆที่ริมฝีปากของเรายังนัวเนียกันอยู่ จังหวะนี้สมองผมลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าว และผมก็คิดว่าแม้แต่ณัฐเองก็คงลืมไปแล้วแน่นอน...ก็มันมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าอยู่ตรงหน้านี่นะ
“โอ๊ะ..ณัฐ เดี๋ยวก่อนสิ!” ผมรีบร้องห้ามคนตรงหน้าที่กำลังถกเสื้อของผมขึ้นและใช้ลิ้นแตะลงบนยอดอกของผม ความรู้สึกทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่ส่วนปลายนั้น ขนบนร่างกายผมลุกชันและมือของผมก็จิกเกร็งอยู่ที่ไหล่ของเขาอย่างแรง
“ฟี่เนี่ย...หอมจังเลยนะ..อืม...ไม่ได้ใช้น้ำหอมใช่ไหม?” ณัฐใช้จมูกสูดดมผิวกายของผมและใช้ปากขบเม้มเนื้อผมเบากับแรงสลับกันไป ผมเหมือนจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ ยิ่งเวลาที่ณัฐกัดเนื้อผมแรงๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกตื่นตัวสุดๆ
“มะ...ไม่ได้ใช้...ฮึก...” ผมว่าริมฝีปากผมต้องห้อเลือดแน่เลยถ้าผมยังกัดปากตัวเองแรงแบบนี้ ก็ถ้าผมไม่กัดปากตัวเองเอาไว้ ผมต้องส่งเสียงน่าอายออกไปแน่ๆ...

“ฟี่...ณัฐว่า...เราสองคนจะไม่ลองทำเรื่องที่คนเป็นแฟนกันเขาทำหน่อยเหรอครับ...”

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล.ใกล้แล้วค่ะ ใกล้แล้ว หึหึ

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 10-06-2011 18:30:46
อ่ะนะเพื่อความชัดเจน...

ส่วนหนึ่งของการเป็นคนรัก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 10-06-2011 18:54:49
5555555555 กรี๊ด น่ารักมาก
ทำไปเลยค่ะ ทำไปเลย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 10-06-2011 21:22:38
ณัฐ
ไฟ(ราคะ)แรงเกิ๊นนนน :laugh: :laugh:

*แต่ถนอมฟี่หน่อยก็ดีนะ  :o8:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 11-06-2011 07:05:12
คนเป็นแฟนทำไรกันหรอ?  :m28:
เค้าจะชวนกันเล่นดอทเอใช่มะนั่น :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 12-06-2011 02:15:52
คนเป็นแฟนทำไรกันหรอ?  :m28:
เค้าจะชวนกันเล่นดอทเอใช่มะนั่น :laugh:

ตามนั้นค่ะ 55
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนท
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-06-2011 05:17:32
^
^
รีบมาอัพเลยนะคะ บีบีซัง อย่ามัวแต่ไปดอทกับฟี่อยู่ล่ะคะ :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 12-06-2011 08:19:31
 :m4:เฮ้อ คิดอยู่ว่าเพราะไม่พูดออกมาตรงๆเรื่องเลยอึมคลึมขนาดนี้
ตอนนี้น้องณัฐพูดออกมาแว้วววว  กรี๊ดๆๆๆๆ แถมอีประโยคสุดท้าย นี่มัน  :-[
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 12-06-2011 08:48:32
มีเสียเลือดแน่
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 18 (10/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 12-06-2011 11:52:14
โอ้ววววว.......รอตอนต่อไป
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 19
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 13-06-2011 17:16:52
ผมเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์รอบตัวได้ง่ายมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้ผมหงุดหงิดได้แค่ไหนก็ตาม ผมมักจะวางตัวได้อย่างแนบเนียนจนคนอื่นเดาไม่ออกว่าผมรู้สึกยังไงกันแน่

แต่มันต้องไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้!!!!

สถานการณ์ที่มีชายหนุ่มซึ่งผมหลงรักมานานกว่าสี่ปีคล่อมอยู่เหนือร่างกายผมและใช้กลิ่นกายกับลมหายใจร้อนๆยั่วยวนผมให้ขาดสติ

ผมหลบเลี่ยงสายตาของตัวเองให้ไปจดจ้องที่จุดอื่นซึ่งไม่ใช่ใบหน้าของณัฐ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่เรื่องชวนให้ผมยับยั้งชั่งใจไม่อยู่ พอผมมองต่ำ ผมก็เห็นบอดี้ใต้เสื้อทีเชิ้ตของเขา หน้าอกและหน้าท้องแน่นๆนั่นช่างน่าฟัดที่สุด บ่ากว้างของณัฐที่ผมชอบฉวยโอกาสแอบซุกตอนซ้อนรถก็เหมือนเชิญชวนให้ผมฝังเขี้ยวลงไปเต็มแรง พอจะเงยหน้ามาก็เห็นแก้มที่ผมชอบหอมกับริมฝีปากน่าจูบลอยอยู่ตรงหน้า

พระเจ้า!!!!!!! ผมกัดปากตัวเองไว้แน่นกะว่าให้เลือดสาดไปเลยจะได้หายคลั่ง

“ถ้าฟี่ไม่อยากให้ณัฐล่วงเกินมากไปกว่านี้ฟี่ก็บอกนะ...ณัฐจะไม่บังคับใจฟี่... แต่ถ้าฟี่ไม่พูดอะไรและเงียบแบบนี้ ณัฐจะหยุดไม่อยู่แล้วนะ...ณัฐจะทนไม่ไหวแล้ว...” เสียงทุ้มนุ่มแกมหอบกระซิบอยู่ข้างหูผม ณัฐพูดไปก็ใช้ริมฝีปากแตะที่ปลายหูผมด้วย ขนลุกซู่เลยครับ ผมจะเอายังไงดี จะปล่อยให้มันเป็นไปหรือจะถ่วงเวลา ถ้าผมยอมผมจะดูใจง่ายไปไหม?

“หูฟี่น่ากินจัง” ณัฐพูดแล้วก็ลงมือทันทีเลยครับ ใบหูน้อยๆของผมเข้าไปอยู่ในปากของณัฐแล้ว ณัฐงับและขบเม้มหูผมอย่างเพลินใจ มิหนำซ้ำยังใช้ลิ้นแหย่เข้าไปอีกต่างหาก ฮือ....ผมไม่ไหวแล้วครับ
“อ๊ะ..ณัฐ...ไม่เอานะ...” โฮ...ผมส่งเสียงอะไรออกปาย~
“ฮืม..ทำเสียงน่ารักจังฟี่ ไหนทำอีกสิ” ณัฐดูจะพออกพอใจกับเสียงของผมมากเลย ผมเองก็ไม่ได้อยากจะมีน้ำเสียงออดอ้อนแบบนี้หรอกนะครับ
“ไม่เอ๊า! อ๊ะ อ๊า...” ก็แล้วจะไม่ให้ผมร้องได้ยังไงครับ พอผมปฏิเสธณัฐก็กัดปลายหูผมเสียแรงเชียว ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับ ไอ้เจ็บๆแบบเนี้ย ผมน่ะมาโซคนนึงเลยแหละ...

“ฟี่เนี่ย...ชอบเจ็บๆสินะ...แต่ณัฐไม่ทำให้ฟี่เจ็บหรอก เดี๋ยวผิวสวยๆเป็นแผลหมด...” ณัฐพูดแล้วก็เอานิ้วแหวกกระดุมเสื้อผมออก มือของเขาเริ่มแตะลงบนผิวของผม แค่ลำพังเขาเอามือแตะผมก็จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่เขาดันเอาจมูกมาสูดและเอาปากจุ๊บเบาๆไปทั่วทั้งตัว ร่างกายผมมันก็ไม่รักดีดันตอบสนองเขาไปเสียอย่างนั้น หลังผมแอ่นขึ้นสูงเพราะความรู้สึกวูบวาบภายในร่างกาย แล้วพอผมแอ่นตัวขึ้นณัฐก็สอดแขนมาใต้หลังผมแล้วยกตัวผมไว้
“ณัฐ... ไม่เอานะ ยะ..อย่า” ที่แท้เขาก็ยกตัวผมขึ้นสูงเพื่อให้เขาสามารถ ‘ชิม’ รสชาติจากร่างกายผมได้เต็มที่ และเป้าหมายของณัฐตอนนี้ก็อยู่ที่ยอดอกของผมนั่นเอง ส่วนปลายสีอ่อนที่กำลังถูกดูดเม้มผลุบโผล่จากริมฝีปากของณัฐ ผมทั้งเขินทั้งรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้อารมณ์ของผมมันเตลิดไปไกลเหลือเกิน...
“อือ...ณัฐ..อะ...อ๊ะ เบาๆหน่อยสิ!” จู่ๆณัฐก็เหมือนจะหมั่นเขี้ยวขึ้นมาครับ เขาขยับขึ้นมาจูบไซร้ตรงซอกคอและหน้าออกผมอย่างแรง เหมือนกะว่าจะฟัดให้แหลกคามือ ณัฐเริ่มใช้ฟันขบไปตามร่างกายผมแรงๆ ส่วนจมูกของเขาก็สูดดมกลิ่นกายของผมอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน

เอ่อ...ผมไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ยว่าเวลาแบบนี้ณัฐจะเป็นคนที่รุนแรงแบบนี้... แต่ผมก็ชอบนะ!!

มือไม้ของผมตอนนี้ก็เกี่ยวจับสะเปะสะปะไปหมด บางทีผมก็ยกแขนโอบกอดณัฐไว้แน่น แต่บางทีผมก็เอามือดันหน้าอกเขาออก ผมชักจะรู้สึกว่าตัวเองทนไม่ไหวแน่ๆแล้วก็เมื่อได้ยินเสียงของณัฐ...
“ณัฐไม่ไหวแล้วนะฟี่...” อา...หน้าผมร้อนฉ่าเลยครับ ทำไมณัฐถึงได้ทำหน้าแสดงความต้องการออกมาได้มากมายขนาดนั้น ณัฐกัดริมฝีปากเหมือนอดกลั้นเต็มที่ แต่สายตาหยาดเยิ้มนั่นมันเหมือนการอ้อนวอนอย่างบอกไม่ถูก ผมก้มหน้างุดไม่พูดอะไร บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองนี่มารยาเยอะเหมือนกันนะ...
“ณัฐขอได้ไหม...” เสียงณัฐออดอ้อนมากเลยครับ แถมยังสั่นๆแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ขะ...ขออะไร..” อ้าวเฮ้ย เสียงผมก็สั่นไม่แพ้กันเลยเว้ย
“ก็ขอ...” ณัฐไม่พูดต่อแต่เอามือมาแยกขาผมออกจากกันแล้วแทรกตัวเขาเข้ามาบดเบียดแนบชิดกับร่างกายผมแทน ผมรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่มันมาดันอยู่ตรงหน้าขาของผม...

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคืออะไร

ฮือ.....ณัฐบ้า... ไอ้เด็กลามกกกกกกก

“ได้ไหม?” ณัฐถามซ้ำอีกรอบ คุณคิดว่าผมจะตอบว่าอะไรดี... เมื่อมองใบหน้าหล่อๆนั่นแล้วคำตอบก็คงเป็นอื่นไปไม่ได้ แต่ครั้นจะให้ผมพูดตกลงไปง่ายๆผมก็อายว่ะครับ... ก็ผมห่างหายจากการใกล้ชิดคนอื่นมานานแสนนาน... มันทำตัวไม่ถูก แล้วเหมือนว่าต่อมความอายก็ดันอยู่ตื้นเสียอีก...

“โอ๊ะ...ทำอะไรน่ะณัฐ อย่าๆ เดี๋ยวก่อน!” ณัฐฉวยโอกาสปลดกางเกงผมออกตอนที่ผมกำลังอึกอักอ้ำอึ้งอยู่ เข็มขัดผมมันหลุดไปจากหูกางเกงเมื่อไรก็ไม่รู้ ณัฐใช้แรงยกตัวผมขึ้นนิดเดียวแล้วก็ดึงกางเกงออกไปทันที
“เฮ้ยยยยย” ผมร้องเสียงหลงเพราะตั้งตัวไม่ทัน ทำไมอะไรๆมันก็เกิดขึ้นไวขนาดนี้ ผมกะว่าจะยื่นมือลงไปปิดด้านล่างของตัวเองที่เหลือเพียงอันเดอร์แวร์แต่ก็ไม่ทัน เพราะไอ้ปิศาจหื่นตรงหน้าผมมันล็อกข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้อย่างแน่นเลยครับ
“ฟี่ละก็...ดิ้นยุกยิกทำไมเนี่ย...เดี๋ยวณัฐจับมัดเสียหรอก หึหึ”
ณัฐกลายเป็นไอ้หื่นไปแล้วครับ T T

ณัฐพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงนิ่มๆแล้วก็ทำหน้ายิ้มใจดี แต่ไอ้ท่าทางของเขาเนี่ยมันไปคนละทางกับวาจาเลย มืออีกข้างของณัฐที่ว่างอยู่กำลังแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตผมอย่างตั้งใจ พอกระดุมเสื้อของผมหลุดออกทุกเม็ดแล้วเขาก็ใช้นิ้วลากยาวจากคอผมลงไปถึงขอบอันเดอร์แวร์
“ฟี่เป็นอะไรเอ่ย... ทำไมดูเกร็งๆจังเลยละครับ” ฮือ...ไอ้บ้าณัฐ จะไม่ให้เกร็งได้ไงละครับ ก็ณัฐเล่นเอานิ้วไปเขี่ยๆตรงขอบอันเดอร์แวร์ แถวนั้นน่ะมันความรู้สึกไวจะตาย ทำแบบนี้กะแกล้งผมให้ตายเลยใช่ไหม..
“ณัฐไม่หิวข้าวเหรอ ไหนบอกว่าอยากกินแกงกะหรี่ไงล่ะ” ผมพยายามเอาน้ำเย็นแก้วแรกเข้าลูบ...
“ตอนนี้ณัฐหิวฟี่มากกว่านี่...” น้ำเย็นแก้วแรกไม่ได้ผลครับ...
“งั้น... งั้นอาบน้ำก่อนดีไหม?” น้ำเย็นแก้วที่สองครับ...
“ไม่เอาหรอก ณัฐว่าตัวฟี่ก็หอมดีอยู่แล้ว...ว่าแต่ฟี่น่ะหาทางบ่ายเบี่ยง ถ้ารังเกียจหรือไม่อยากให้ณัฐยุ่งก็บอกสิ... รังเกียจณัฐเหรอครับ” แก้วที่สองไม่สำเร็จ...แถมโดนตัดพ้อกลับมาอีกต่างหาก
“เปล่า...เปล่านะ... ฟี่ก็แค่ทำตัวไม่ถูก...”
“หืม? ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ถ้าฟี่ทำไม่ถูก เดี๋ยวณัฐทำให้เองก็ได้” อะ...เฮ้ยยย ผมบอกว่าทำตัวไม่ถูกนะครับ ไม่ใช่ทำไม่ถูก แต่พอผมอยากจะแย้งก็หมดโอกาสเสียแล้ว เพราะว่าณัฐเล่นจูบปิดปากผมแบบรุนแรง รุนแรงในที่นี้คือใช้ทั้งปาก ฟัน และลิ้นทำงานประสานกันอย่างเป็นจังหวะนะครับ แถมด้วยการใช้ฟันขบริมฝีปากผมเรื่อยๆด้วย เรียกว่าเจ็บแต่มันก็รู้สึกดีแบบแปลกๆนา...
“อือ...” ผมปล่อยให้เสียงครางเบาๆลอดริมฝีปากยามที่ณัฐเว้นช่วงให้ผมหายใจก่อน ผมกล้าสาบานเลยว่าผมไม่เคยเจอใครที่จูบได้ถึงใจผมขนาดนี้มาก่อน...
“ฮื้อ...ฟี่...” ณัฐกัดฟันเมื่อเข่าของผมไปแตะถูไถเข้ากับจุดยุทธศาสตร์ของเขา ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมตั้งใจ....
“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะโดนนะ” ณัฐเอ็ดผมด้วยเสียงสั่นๆ เมื่อผมเอาเข่าเสียดสีหนักเข้า
“อ๊า!! ณัฐอ้ะ” ผมร้องเสียงหลงเลยครับ ก็ณัฐเล่นดึงอันเดอร์แวร์ผมออกไปแล้ว มือสองข้างก็ถูกรวบไว้ด้วยกัน แล้วผมจะปิดไอ้ตรงนั้นของผมได้ยังไงกันละ แถมไอ้คนข้างบนเนี่ย พอมันเห็นว่าผมปิดป้องไม่ได้มันก็เลยจ้องใหญ่เลย ฮือ...ผมก็อายเป็นนะ
“แหม...น่ารักจัง...หึหึ” อ๊ากกก ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามนะ! ทั้งที่ขนาดของผมมันก็ตามมาตรฐานชายไทยนะครับ
“ปากดีนัก ทำไม ตัวเองใหญ่นักรึไงฮะ!” ผมพูดเสียงเขียว บังอาจมาดูถูกผมได้ยังไง
“บอกไม่ได้... อยากรู้ต้องรอดูเองนะ..” ถ้าให้จัดอันดับคนที่สามารถทำน้ำเสียงอ้อนตรีนได้มากที่สุด ผมให้ณัฐมาวินไปเลยครับ...
“!?!” เฮือกกกกก ผมแทบหยุดหายใจเลยครับ ณัฐปลดกางเกงยีนส์ของเขาออกจากสะโพกแล้ว บ็อกเซอร์ลายสก็อตสีเขียวขี้ม้าที่มีรูปลิงตรงขอบลอยเด่นอยู่ตรงหน้า และยิ่งเมื่อผมเพ่งมองไปที่ไอ้ตรงจุดกึ่งกลางนั้น....

บางอย่างมันกำลังดันนูนๆออกมากครับ โฮกกกกกก

“ไหน...บอกณัฐสิ ว่าท๊อฟฟี่ตัวน้อยชอบให้ทำแบบไหน~” ณัฐทำเสียงเหมือนคุยเล่นกับเด็กน้อยเลยครับ เพียงแต่ว่าไอ้จุดที่ณัฐกำลังคุยด้วยนั้นมันคือตรงฟี่น้อย แล้วดูสิ เขาเรียกของผมว่าท๊อฟฟี่น้อย อ๊ากกก ไอ้หื่นนนนน
“ไม่ชอบ...ไม่เอา อย่านะณัฐ อื๊อ!!!” ไม่อยากจะเชื่อ ไม่คาดคิด ไม่อยากจะรับรู้เลยว่าตอนนี้ณัฐกำลังใช้ปากกับตรงนั้นของผมอยู่ ผมไม่คิดว่าเขาจะทำได้เลยนะ ก็ตรงนั้นน่ะมันสกปรกจะตาย ผมไม่อยากให้เขาเอาปากมาโดนสักนิด แถมตอนนี้ก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลยด้วยละ
“อะ...อือ...ณัฐ...เดี๋ยว....หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” ผมออกแรงเฮือกเดียวดันหัวณัฐให้ถอยออก พอผมได้เห็นหน้าณัฐผมก็เริ่มจะมือไม้อ่อนอีกรอบ ก็ณัฐหน้าแดงก่ำเลย แถมยังหอบเบาๆ ปากก็ดูฉ่ำเยิ้มไปหมด เห็นแล้วมัน... อ๊ะ ปต่ไม่ได้สิ ผมต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน!
“ทำแบบนี้ได้ยังไง มันสกปรกนะ” ผมถามเสียงแข็ง หวังว่าเขาจะกลัวผมบ้างนะ (ตอนหลังผมเพิ่งมานึกได้ว่าณัฐไม่เคยกลัวผมเลย T T)
“ไม่เห็นสกปรกเลย มีแต่กลิ่นฟี่เต็มไปหมด หอมมากเลยนะ..” ณัฐพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่ผมเนี่ย อายแทบจะม้วนแล้วนะครับ!!
“ฟี่ไม่ชอบเหรอ?”
“กะ...ก็ชอบนะ..แต่ว่าณัฐไม่รังเกียจเหรอ..”
“แล้วณัฐจะรังเกียจทำไมละ?”
“ก็ฟี่เป็นผู้ชาย...ไม่ใช่ผู้หญิงนะ...”
“แล้วถ้าเป็นของณัฐ ฟี่จะรังเกียจไหม?”
“...ไม่หรอก...”
“เห็นไหม ฟี่ยังไม่รังเกียจของณัฐเลย...งั้นทำให้ณัฐหน่อยนะ...” ว่าแล้วณัฐก็เอนตัวลงนั่งพิงกับโซฟาเลยครับ บ็อกเซอร์ก็ยังไม่ถอด แต่ผมอะ โป๊หมดแล้วเหลือแต่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว ผมก็มองหน้าณัฐแบบเขินๆแต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งแล้วติดกระดุมเสื้อ แต่ณัฐก็ห้ามไม่ให้ผมติด
“ห้ามติดครับ เอาไว้แบบนี้แหละ ณัฐชอบ” อึ๊กกกกก ผมน้ำตาแทบเล็ด ไม่เคยจะรู้สึกอายขนาดนี้มาก่อนเล้ย

ผมขยับมานั่งตรงหน้าณัฐโดยใช้มือดึงเสื้อเชิ้ตเข้ามาบังๆร่างกายตัวเองไว้ ผมก็อายจะแย่ ณัฐก็เอาแต่จ้องผมอยู่ได้ ไม่เคยเห็นรึไงกันนะ!!
“...”พอผมแตะลงที่ขอบบ็อกเซอร์ของณัฐก็เหมือนว่าทุกอย่างรอบตัวมันเงียบไปหมดเลยครับ จะเอาง่ายๆก็เหมือนว่าจู่ๆผมก็รู้สึกหูหนวกขึ้นมาทันที ผมแหวกบ็อกเซอร์ออกแล้วก็เจออันเดอร์แวร์สีขาวขอบดำ ผมเองไม่ค่อยชอบพวกที่ใส่แต่บ็อกเซอร์แล้วไม่ใส่อันเดอร์แวร์นะ แต่ณัฐใส่ทั้งสองอย่างเลยแฮะ ผมชอบจัง!!
“อุ...แม่เจ้า...” ผมเผลออุทานเมื่อเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ก็สมแล้วละครับที่ณัฐเขาจะดูถูกของผมได้...

“เต็มมือเลย...” ผมครางเบาๆขณะที่จับของณัฐเอาไว้ มันทั้งอุ่นร้อนและพองจนเต็มมือผม ขนาดที่เกินกว่ามาตรฐานไปนั้นไม่ได้ใหญ่โตจนโอเวอร์ แต่มันก็ใหญ่มากพอสำหรับผมแล้วกัน
“อึก...ฟี่..” ณัฐจิกหัวผมไว้แน่นตอนที่ผมเอาลิ้นแตะลงไปตรงส่วนปลายแล้วเขี่ยให้หนังมันเปิดออก ผมได้กลิ่นกายของณัฐอย่างเต็มที่ กลิ่นโรลออนเจือกลิ่นกาแฟหน่อยๆ กับกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่ม ผมค่อยๆใช้ริมฝีปากครอบลงไปจากด้านบนช้าๆ ณัฐผวาเฮือกทันทีที่ของเขาเข้ามาอยู่ในปากผม ผมพยายามจะครอบลงไปให้ถึงโคนแต่มันก็ไม่ไหว เพราะแค่ครึ่งเดียวก็ดันถึงคอหอยผมแล้ว

“ท๊อฟฟี่ครับ...อืม...” เสียงของณัฐเริ่มกระเส่ามากขึ้นเมื่อผมขยับปากเข้าออกช้าๆ ผมเองก็อารมณ์กระเจิงจนอยากจะทำให้รุนแรงอีกนะครับ แต่ว่าขนาดของณัฐที่มันขยายเต็มปากผมเนี่ย ไม่เอื้ออำนวยให้ทำรุนแรงเลย เพราะว่ามันจะทิ่มคอผมซะเองน่ะสิ...
“อึ๊ก...แค่กๆ” ผมผละตัวออกแล้วสำลัก ก็ณัฐน่ะสิ มีน้ำออกมาเยอะเสียเหลือเกิน ผมเลยสำลักน้ำจนได้
“เป็นอะไรหรือเปล่าฟี่” ณัฐยันตัวขึ้นมานั่งลูบแก้มลูบหลังให้ผม การที่ผู้ชายสองคนนั่งใกล้ชิดกันขนาดนี้ในสภาพที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ...
“อื้อ!” ผมก็โดนรุกน่ะสิ! ณัฐบดจูบที่ริมฝีปากผมอีกรอบ เขาดูหมั่นเขี้ยวผมมากสุดๆ ณัฐจูบและกัดริมฝีปากผมจนผมรู้สึกช้ำไปหมดแล้ว
“ฟี่...ทำกันเถอะ...” แอร๊ยยยยยยย ณัฐดันผมให้เอนหลังลงไปบนโซฟาทันทีเลยครับ บนโซฟาเนี่ยนะ จะฮาร์ดคอร์ไปมั้ยยย
“ณัฐ...อะ...เดี๋ยว...” ผม ’พยายาม’ ห้ามและดันขาลงในขณะที่ณัฐดันขาผมขึ้น แต่แล้วชายหนุ่มร่างเล็กอ้อนแอ้นอย่างผมจะเอาชนะชายหนุ่มร่างถึกแบบณัฐได้ยังไง ณัฐจัดการดันขาดของผมให้งอไปชิดกับหน้าอกจนได้ ช่องทางด้านหลังของผมมันก็เห็นทางเข้าได้ชัดเจนเลยน่ะสิ!!
“อื๊อ...” น้ำหล่อลื่นของณัฐมีมากเสียจนไม่ต้องพึ่งเจลเลยครับ ณัฐจับของตัวเองมาเขี่ยๆตรงด้านหลังของผมแล้วมันก็ลื่นไปหมดจากนั้นผมก็รู้สึกว่าณัฐค่อยๆเอานิ้วสอดเข้ามาทีละนิด
“อึก...ณัฐ...อะ...” สงสัยว่าผมจะไม่ได้ทำมานาน อะไรๆมันก็เลยแน่นไปหมด ขนาดมีน้ำหล่อลื่นขนาดนี้แล้วมันก็ยังแน่นจนสอดนิ้วแทบไม่เข้า ผมเองก็เริ่มรู้สึกเจ็บจนต้องเขยิบสะโพกหนี
“เจ็บเหรอฟี่...” ผมพยักหน้าน้ำตาคลอ ณัฐก้มลงมาจูบที่หน้าผากผมอย่างอ่อนโยน
“ก็แน่นขนาดนั้นนี่นะ...” ณัฐพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าสะพายของเขาเพื่อค้นหาของบางอย่าง ผมปงกหัวขึ้นมาดูแล้วก็กระจ่างใจจนณัฐเดินกลับมา
“!?!”

ใช่ครับ...เจลในมือณัฐทำให้ผมตกใจ นี่เขาเตรียมพร้อมมาขนาดนี้แล้วหรือนี่...
ณัฐถือเจลเดินยิ้มหวานเข้ามาหาผม แต่ผมกลับไม่รู้สึกปลอดภัยกับรอยยิ้มนั่นสักนิด
ผมคงไม่รอดสินะ...
บางทีช่องว่างของเราคงได้เติมเต็มก็วันนี้ละครับ...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล. ช่วยเช็คคำผิดด้วยนะค้า เพิ่งเขียนเสร็จสดๆร้อนๆเลยค่า :monkeysad:


หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-06-2011 18:21:50
ฮิ้วววววววว..ช่องว่างจะถูกเติมเต็มแล้ว
รอตอนต่อไป ต้องเป็นตอน ช่องว่างที่ถูกเติมเต็ม ใช่ปะคะ คนเขียน
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 13-06-2011 18:34:46
เป็นพรีเอ็นซีที่อ่านแล้วสำนึกได้ว่า
ณัฐโคตรเชี่ยวเลย -/////-
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 13-06-2011 18:42:42
เติมให้เต็มที่เลยครับ :กอด1:

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 13-06-2011 18:54:52
เป็นพรีเอ็นซีที่อ่านแล้วสำนึกได้ว่า
ณัฐโคตรเชี่ยวเลย -/////-


บวกให้เลยค่ะ เมนท์ได้โดนใจอย่างแรว๊งงงง

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: natty _lovelove ที่ 13-06-2011 19:30:05
อู้วววววว

ตามติดขอบเตียง

รู้สึกเหมือนกระต่ายท๊อฟฟี่ตัวน้อยกำลังจะถูกหมาป่าขย้ำ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 13-06-2011 20:27:46
ค้างมากกกกกกกกกกกกกกก
ไม่รอดแล้วละค้า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 13-06-2011 22:04:43

กรี๊ดดดดดดด ตัดฉับๆๆๆ เลยคะ T[]T
โอ้ววว ท๊อฟฟี่กำลังถูกกิน ค้างอย่างแรง
ชอบบบคะ นั่งลุ้นแทบตาย กว่าจะลงเอยกันได้

รออ่านตอนต่อไปคะ หุหุ ณัฐช่างร้อนแรงง
+1 จ้า จุ๊บบบบบ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-06-2011 23:20:20
+1 จัดไปเลยจ้าสำหรับตอนนี้โดนใจอย่างแรง ////////
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 14-06-2011 02:52:57
อย่าเติมให้เต็มเลยสิ
เดี๋ยวต่อไปไม่ได้เติมอีกนะ :o8:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-06-2011 06:55:55
โถ ทอฟฟี่น้อย >//<
บวกเป็นกำลังใจให้นะ 55+
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 14-06-2011 09:35:42
โอ้โห ช่องว่างขนาดไหน น้องณัฐก็อุดได้ ด้วยไซค์พิเศษ :m25:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 14-06-2011 12:19:37
ช่องว่างยังไม่เต็มค่ะ มาต่อให้เต็มก่อน อย่างเพิ่งตัดฉับน่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 14-06-2011 15:02:35
เค้ากำลังจะดวลวินนิ่งกันแล้ว
แอร๊ยยยยส์
รอชมถ่ายทอดสด ฮี่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 19 (13/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-06-2011 17:25:57
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่านครับ  ผ่านตาไปได้อย่างไร????
เล่นเอาไล่อ่านจนทันเลยครับ
ชอบเรื่องมากๆๆๆๆๆ
ขอเป็นแฟนคลับด้วยคนนะครับ
หัวข้อ: ช่องว่าง ตอนที่ 20 Part I
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 14-06-2011 17:30:46
ผมเกลียดพวกที่ชอบตัดสินคนอื่นจากภายนอก มันเป็นเหมือนการไม่ให้โอกาสเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะถ้าเรายังไม่รู้จักเขาดี เราก็ไม่ควรตัดสินคนอื่นแบบนั้นแบบนี้

แต่กลับกัน...คนบางคน...ก็หลอกคนอื่นให้เชื่อใจโดยใช้รูปกายและลักษณะภายนอกได้อย่างแนบเนียน...

บางคนตรงหน้าผม.... คนที่ยืนเปลือยกายทั้งตัวโดยมีไอ้ตรงนั้นชี้หน้าผมอยู่ ไอ้หนูที่มีไซส์ชวนให้ตะลึง และบอดี้แน่นเปรี๊ยะตามประสาชายหนุ่มที่ดูแลตัวเองอย่างดี มือหนึ่งถือเจลหล่อลื่นเดินย่างสามขุมมาใกล้ผม ผมพยายามขยับร่างกายหนี แต่มือใหญ่ๆนั้นก็คว้าข้อเท้าผมไว้และกระชากให้ผมเข้าไปใกล้

“ฟี่จะหนีทำไมครับ มาใกล้ๆณัฐสิ” ณัฐหยดคำหวานขณะที่เอาขาของเขาล็อกผมไว้แน่น ผมมองมือณัฐเทเจลใส่มือและไปชโลทที่ตรงส่วนนั้นซึ่งดูเหมือนว่ามันจะยิ่งขยายใหญ่โตมากขึ้นจนชุ่มโชก พอณัฐทาเสร็จแล้วเขาก็โน้มตัวลงมาหาผม
“ณัฐไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน...ถ้าเกิดว่ามันเจ็บ หรือมันไม่ดี หรือฟี่ไม่ชอบ ฟี่ต้องบอกณัฐนะครับ...” ฮือ... ทำไมถึงมาพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยนะ...
“...” ผมทำอะไรม่ถูกแล้วครับ ทำไมณัฐถึงได้ดู... แบบว่า... เอ่อ... ร้อนแรง ดิบเถื่อน อะไรขนาดนี้นะ ขัดกับท่าทางขี้เล่นภายนอกเป็นบ้าเลย
“โอะ..” ผมสะดุ้งโหยงเลยครับ กำลังคิดอะไรเพลินๆ(ในเวลาแบบนี้!) ณัฐก็เอาของเขามาจ่อตรงปากทางแล้วใช้นิ้วช่วยนำ ไอ้บ้านั่นมันเอานิ้วสอดเข้ามาจนสุดแล้วก็ชักออก ก่อนจะเอาของจริงดันเข้ามาแทน
“งือ...ณัฐ...” ผมจิกแขนณัฐเต็มแรงเพื่อระบายความเกร็ง มองหน้าณัฐแล้วเขาก็คงเจ็บไม่แพ้กัน เพราะว่าช่องทางของผมมันแน่นเสียเหลือเกิน
“อะ..อา..ฟี่...ทนหน่อยนะ...” ณัฐพูดกัดฟันแล้วก็ค่อยๆขยับเอวทีละน้อย มือแข็งแรงทั้งสองข้างของณัฐล็อกเอวผมไว้แน่น ขณะที่สะโพกของเขาก็พยายามเดินหน้าเข้ามา ทั้งที่มันเจ็บแทบตายแต่ก็เข้ามาได้แค่ส่วนปลาย ถ้าณัฐเอาเข้ามาทั้งหมดผมต้องตายแน่เลย
“เจ็บจังเลยอะณัฐ...ฮึก...” ผมกัดปากกลั้นน้ำตา ใจจริงอยากจะกรี๊ดด้วยซ้ำ
“นิดนึงนะ...ณัฐจะค่อยๆทำ” ณัฐพยายามพร่ำปลอบผมทั้งที่เขาเองก็คงทรมานเหมือนกัน ผมรับรู้ได้ถึงความตึงแน่นจากด้านล่างที่มากขึ้นๆ จนเหมือนมันกำลังจะฉีกออก แต่เพราะว่ามีความลื่นจากเจลมาช่วย ผมจึงเพียงแค่รู้สึกถึงความแน่นตึงแต่ไม่ได้รู้สึกแสบหรือฝืดอะไร...

แต่ไอ้ความเจ็บที่เหมือนร่างกายจะฉีกออกจากกันนี่สิ!!!

ผมไม่ใช่หนุ่มจิ้นนะเว้ยยยยยย

เอ่อ...แต่ก็นะ...อย่างที่บอก... สำหรับขนาดของณัฐนั้นมันก็ถือว่ามากกว่าที่ผมเคยเจอมามากโขเลยละ...

“...” ผมลืมตาจ้องมองใบหน้าของณัฐ สายตาของณัฐจ้องมาที่ผมแบบนิ่งๆ เหงื่อเม็ดโตไหลลงข้างแก้มของณัฐ สิ่งที่ทำให้ผมทนได้นั้นคือความรู้สึกที่ว่าตอนนี้มีเพียงเราสองคน ณัฐกำลังจ้องมองผม ในสายตาของณัฐมีแต่ผม ผมจึงทนได้ เพราะว่าตอนนี้มันเป็นเวลาของเราสองคน ผมเป็นของเขา และเขาก็เป็นของผม...
ผมยอมเพราะว่าผมรักเขาเหลือเกิน...

“อ๊า!!” แล้วในที่สุดผมก็ได้กรีดร้องจริงๆเมื่อความพยายามของณัฐสำเร็จ ณัฐเข้ามาอยู่ในร่างกายผมได้ทั้งหมด เขาแช่กายคาไว้นิ่งเพราะกลัวว่าถ้าขยับนิดเดียวก็อาจจะทำให้ผมฉีกขาดได้
“หึหึ...แล้วจะทำไงละครับฟี่ ณัฐไม่กล้า...อึก...ขยับเลยนะ...แค่นี้ก็จะเสร็จแล้วน่ะ...” อ๋า!! คนบ้า จะพูดทำไมเนี่ยยยย
“มะ...ไม่รู้...อึก...อือ...อย่าสิ” ผมดันสะโพกณัฐไว้เมื่อเขาแกล้งส่ายเอวเบาๆ ข้างในมันแน่น มันจุก มันร้อนไปหมด ผมยกเขาเกี่ยวกระหวัดไว้รอบเอวณัฐแล้วยกแขนโอบเขาไว้
“จูบฟี่หน่อยสิ...” ผมร้องขออะไรที่น่าอายไปหรือเปล่าครับ...แต่ดูเหมือนว่าเขาก็เต็มใจนะ เพราะณัฐเองก็จูบผมอย่างดูดดื่มสุดๆ
“ตอนนี้ณัฐอยู่ในตัวฟี่แล้วนะ...” เขาพูดโดยใช้สายตาวิบวับและส่ายเอวยั่วเย้า ฮือ...คนลามก ทะลึ่ง หื่น บ้ากาม... ครบเลย... ผมถอยกลับไม่ทันแล้วนะครับ
“ณัฐอย่าลามกนะ ไอ้บ้า.. โอ๊ะ!!” ณัฐถอยหลังออกและเริ่มซอยเข้ามาช้าๆ ร่างกายของผมกำลังปรับตัวให้เข้ากับร่างกายของณัฐ จังหวะการขยับตัวและการหายใจของเราเริ่มสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
“อะ...ฟี่..ดีจัง..โอย..” ผมยกมือมาปิดตาตัวเองเพราะรู้สึกเขินพิลึก แต่ณัฐก็จับมือผมออกและบังคับให้ผมมองหน้าเขาไว้
“มองหน้าณัฐสิ ทำกับณัฐก็ต้องนึกถึงณัฐ ห้ามปิดตาแล้วนึกถึงคนอื่นรู้มั้ย...” ผมได้แต่พยักหน้ารับเพราะไม่มีกำลังจะเปล่งเสียงออกมาให้เป็นคำพูดแล้ว ณัฐเอาเจลบีบลงตรงปากทางอีกครั้งแล้วก็เริ่มขยับเข้าออกเร็วขึ้น
“อือ..ณัฐ...ฟี่... ” ผมยื่นมือไปสัมผัสของตัวเองก็รู้สึกว่ามันเริ่มจะแข็งอีกครั้งจากที่ตอนแรกหดไปเพราะมันเจ๊บบบบเจ็บ ผมรูดรั้งร่างกายของตัวเองด้วยอารมณ์ที่เริ่มเตลิด พอณัฐเห็นอย่างนั้นก็ปัดมือผมออกและทำให้ผมแทน
“เดี๋ยวณัฐทำให้เอง บอกสิ...อะ...อา..” มือใหญ่ที่รูดรั้งร่างกายผมเร็วๆกับสะโพกที่กระแทกถามโถมมาทำให้ผมเริ่มจะหวิวๆ เหมือนสมองผมมันเบลอไปหมดและแทบจะไม่รับรู้อะไรนอกจากสัมผัสที่ได้รับจากคนตรงหน้านี้
“ณัฐ...ฟี่จะ...จะ..”
“’จะ’ อะไรครับ บอกณัฐสิ ว่า ‘จะ’ อะไร… อะ..อือ..” ณัฐขมวดคิ้วหน้านิ่ว สะโพกของณัฐทำงานเป็นอย่างดี มันกระแทกเข้าออกร่างกายของผมได้อย่างแรง ผมรู้สึกเจ็บแปลบแต่มันก็ดีเหลือเกิน ทุกอณูของร่างกายผมตื่นตัวถึงขีดสุดเมื่อได้มองเห็นใบหน้าแสนเซ็กซี่ของณัฐ ณัฐในภาพที่ผมคนเดียวจะได้เห็น ณัฐที่เป็นของผม...
“ฟี่ไม่ไหวแล้ว...อื๊อ!”
“เอาเลยครับ...ฟี่เอาเลย เอาให้เต็มที่...ณัฐก็จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน...” ณัฐกระแทกเข้ามาเร็วและแรงขึ้น ผมรู้สึกเหมือนร่างกายจะระเบิดออกจากกัน เลือดในกายผมมันพุ่งจนถึงขีดสุดแล้วผมก็ปล่อยทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น ณัฐกระแทกสวนเข้ามาอีกห้าหกครั้งซึ่งทำให้ผมยิ่งแทบขาดใจ คุณคงเดาได้ใช่ไหมครับ ว่าถ้าเราเสร็จแล้ว และยังถูกใส่เข้ามาย้ำๆเนี่ย มันจะเสียวจนแทบขาดใจเลย แล้วพอณัฐเสร็จ ผมก็นอนแผ่สลบเหมือดเลยทีเดียว
“อือ...ฟี่...” ณัฐกระซิบเรียกชื่อผมเบาๆที่ข้างหู ผมรู้สึกได้ถึงของณัฐที่มันเต้นตุบๆอยู่ภายในตัวผม ณัฐนอนทาบทับบนตัวผมอย่างหมดแรงไม่แพ้กัน
“ลุก...ไม่ไหว... หึหึหึ” ณัฐพูดแล้วเราก็หัวเราะพร้อมกันครับ ทำไมมันหมดแรงขนาดนี้นะ นี่เป็นเซ็กส์ที่ผมรู้สึกว่ามันกินพลังงานสุดๆเลย
“โหย...น้ำเต็มเลยอะฟี่.. ณัฐนึกว่าจะเลือดไหลเสียอีก..” ณัฐขยับตัวออก ผมรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันกำลังไหลลงระหว่างง่ามขาของผม แล้วไอ้บ้านั่นก็ยังไปนั่งจ้องอยู่อีก!
“ณัฐ! จะมาจ้องทำไมเนี่ย มีไม่เหมือนกันหรือไง” ผมเอามือปิดไว้ไม่ให้ณัฐเห็น ไอ้น้ำรักของณัฐมันก็ช่างเยอะแยะมากมายจนลอดง่ามนิ้วผมออกมาหมด
“ไม่เหมือนนะ ณัฐว่าของฟี่น่ารักกว่าตั้งเยอะ” อร๊ายยยย มาทำหน้าแป้นแร้นใส่ผมได้ยังไงเนี่ย ผมอายชิบเป๋งเลย ไม่น่ายอมมันเลยให้ตาย T T
“อีกรอบได้ไหมฟี่”
“ห๊ะ?”
“ณัฐขออีกรอบได้ไหม ณัฐชอบจัง มันรู้สึกดีมากๆเลยนะ...” หะ...ผมว่าผมฟังไม่ผิด ขออีกรอบ...อีกรอบ...อีกรอบ
“เอ่อ... ณัฐไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวก่อนดีไหม เพิ่งเลิกงานมาเหนื่อยๆนะ”
“ไม่เอาอะฟี่ ขออีกครั้งนึงก่อนนะ นะนะ” ณัฐโน้มตัวลงมาคล่อมผมเอาไว้และจัดแจงจับขาผมให้เกาะเอวเขาเอาไว้แล้วแทรกตัวลงมาอีกครั้ง
“โอ๊ะ...อ๊า...ณัฐ..อะ อย่า..” ไม่ทันเสียแล้วครับ เพราะว่าเพิ่งกิจกรรมเข้าจังหวะไปหมาดๆ คราวนี้มันจึงไม่ยากลำบากเท่าครั้งแรก ผมเองก็ใจง่ายที่รู้สึกวาบหวิวไปเพียงแค่เขาถูกตัว ดูท่างานนี้ผมคงไม่ได้กินข้าวเย็นแล้วแหละครับ...

ผมนั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องที่ปิดไฟจนมืดสนิท มีเพียงแสงจากไฟถนนที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามารำไร เสี้ยวหน้าของคนที่ผมรักปรากฎวับแวมเพราะแสงไฟจากด้านนอก ผมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงคืนอย่างใจลอย หากถามว่าตอนนี้ผมมีความสุขไหม ผมขอบอกว่าผมมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เวลาที่ได้อยู่กับณัฐมันช่างมีค่ามากจนผมไม่อยากสูญเสียมันไปเปล่าๆ สู้เอาเวลานอน มามองหน้าณัฐให้หายอยากดีกว่าไหม?

“ไม่หลับเหรอ..” ผมหันไปมองคนที่ถามผมด้วยเสียงงัวเงียแล้วยิ้มให้
“ตัวเองเถอะ หลับไปแล้วตื่นมาทำไม”
“ก็ควานหาคนข้างๆเพราะอยากจะกอด แต่ก็หาไม่เจอ เลยลืมตามาดูว่าหายไปไหน” ณัฐยันกายขึ้นมานั่งขัดสมาธิแล้วขยี้ตางัวเงีย ผมขยับเข้าไปนั่งใกล้เขาแล้วหอมแก้มนุ่มเบาๆ ผมชอบกลิ่นกายของเขาชะมัด..
“แล้วทำไมท๊อฟฟี่ไม่นอนครับ”
“ไม่อยากนอน อยากนั่งมองหน้าณัฐมากกว่า”
“ฮื้อ พิลึกจริง นอนดีกว่ามา ณัฐอยากกอด”
 “อือ..” แล้วณัฐก็ดึงผมลงไปนอนกอดจริงๆ ผมนอนหันหลังให้ณัฐ แล้วณัฐสวมกอดผมจากข้างหลัง เขาใช้จมูกซุกไซ้และหอมตรงซอกคอของผม มันจั๊กจี้นิดๆผมก็เลยหลุดหัวเราะออกไป
“ณัฐชอบเวลาฟี่หัวเราะที่สุดเลย ฟี่หัวเราะแล้วณัฐก็สดใสไปด้วย”
“...” ผมได้ยินที่ณัฐพูดแล้วก็เงียบ... ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากหัวเราะ แต่อย่างที่บอก ชีวิตของผมมันเจอเรื่องเศร้าๆมามาก และผมก็กลัว กลัวที่จะต้องเจ็บและเศร้าซ้ำอีก ผมจึงพยายามที่จะคิดอะไรในแง่ร้ายเผื่อไว้เสมอ เพราะว่าถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยเราก็ยังได้ทำใจไว้แล้ว...

อย่างเช่นตอนนี้...ผมก็คิดเสมอว่าผมมีณัฐอยู่ข้างๆ แต่ในอนาคตมันอาจจะไม่เป็นแบบนั้น...

“อยู่กับณัฐแล้วมีความสุขมั้ย...”
“อือ”
“งั้นฟี่ต้องยิ้มมากๆนะครับ”
“ครับ...” ผมขยับตัวเพื่อให้สามารถซุกกายเข้ากับร่างกายของณัฐได้มากขึ้น ผมชอบที่ได้นัวเนียและดมกลิ่นหอมๆจากร่างกายของณัฐเสมอ อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่เคยมีคำว่าเบื่อในหัวสักครั้ง
“ณัฐ.... ฟี่-” ผมอ้าปากจะพูด แต่แล้วก็รีบหุบปากแทบไม่ทัน โชคดีว่าพอหันไปมองณัฐก็เห็นว่าเขาเคลิ้มหลับไปแล้ว ผมเกือบจะเผลอไปแล้วสิ...

ผมเกือบจะเผลอบอกเขาไปว่า ‘รัก’ แล้ว

ผมจะพูดมันออกไปได้ยังไง ผมจะบอกกับเขาไปเพื่ออะไร
เพราะผมเองยังไม่ได้ฟังจากปากเขาเลย ณัฐกอดผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เขาไม่หลุดปากพูดคำนั้นออกมาสักนิด...
ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ยังไงผมก็ยังคาดหวัง คาดหวังทั้งที่รู้ว่ามันจะทำให้เป็นทุกข์

บางที... ถ้าผมพูดออกไปอาจทำให้เขาอึดอัด
ณัฐทำเหมือนรักผมมากมาย จับมือ โอบกอด ลูบไล้ และร่วมรัก
แต่ไม่เคยบอกรัก บางทีคำว่ารักสำหรับเขามันอาจไม่สำคัญ... หรือคำพูดอาจไม่สำคัญเท่าการกระทำ
เฮ้อ...จะยังไงผมก็อยากฟังนี่นา...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล1.สั้นนิดนึง รอดราม่าและการตามง้อบนเตียงใน Part II นะค้า!!!!
ปล2.เขียนไปแล้วก็มานึกๆดู ฟี่เนี่ย เหมือนเป็นคนที่สุขไม่เคยสุดสักที อาจเป็นเพราะว่าเขาชอบคิดไปเอง
      เป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยนะคะ ฟี่ไม่กล้าถาม ณัฐก็ไม่เอะใจ
      บางทีตอนต่อไปอาจจะมาในมุมมองของณัฐค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ทั้งผู้อ่านใหม่และเก่า รักทุกคนเยย แหะแหะ (เริ่มติงต๊อง)

ปล.สุดท้าย จะตามบวกคืนให้ทุกคนเลยนะคะ

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-06-2011 18:07:26
ฟี่นี่เป็นคนที่คิดมากจริงๆครับ
อยู่กับปัจจุบันแล้วมีความสุขกับมันให้มากที่สุดดีกว่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 14-06-2011 18:12:23
น่ารักจัง ได้ซะที 5555 บางทีบอกรักมันก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 14-06-2011 19:32:27
อ่า..

ฟี่เข้าใจณัฐหน่อยย
เด็กกำลังโต
แรงเยอะเป็นธรรมดา :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 14-06-2011 20:35:21
ว่าแล้ว..ว่าณัฐต้องเติม(จัด)เต็มแน่ๆ อิ อิ
ปล2.เขียนไปแล้วก็มานึกๆดู ฟี่เนี่ย เหมือนเป็นคนที่สุขไม่เคยสุดสักที อาจเป็นเพราะว่าเขาชอบคิดไปเอง
คิดว่าแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ส่วนมากเด็ก หรือคนที่ได้รับบบาดแผลมาจากครอบครัวนี่
มักเป็นพวกคิดมาก ชอบคิดเองเออเองแบบนี้แหละค่ะ
ณัฐ..น่ะเคยมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตคู่มาแล้ว น่าจะฉุกใจคิดได้บ้างนะว่า อีกฝ่าย(ที่เป็นภรรยา)น่ะ
ต้องการอะไร รึว่าณัฐยังเด็กไปเลยไม่ละเอียดอ่อน
 :กอด1:เป็นกำลังใจให้น้องฟี่ และอีก :กอด1:ให้บีบีจังค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 15-06-2011 01:15:13
สุขไม่สุดอ่ะดีนะคะ
เพราะถ้ามันสุดจนเกินพอแล้ว  มันก็จะไม่มีอะไรให้สุขอีกนะ  :กอด1:

แวะมา นอนตายหน้าคอม โฮกกกกกก   :m25: :m25: :m25:
smนะนี่คู่นี้  :z1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 15-06-2011 01:37:23
อ่านแล้วเบรคเอี๊ยด
ฮือออออออออออ ความสัมพันธ์ทางกายไม่ใช่คำตอบ
อยากให้ฟี่กล้าที่จะเป็นเจ้าของกับเค้าบ้างจัง

การลงทุนมีความเสี่ยงก็จริง แต่อยากรักก็ต้องเสี่ยงล่ะนะ
เค้ายืนรอซับน้ำตาฟี่เสมอนะ  สู้ๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 15-06-2011 20:02:46
เพิ่งตามอ่านจนถึงตอนปัจจุบัน
ตอนแรกมันนัวร์ๆ ยังไงไม่รู้
ตอนนี้เริ่มมีสีสันขึ้นมาแล้ว
ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบเศร้าหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 16-06-2011 13:32:34
อยากให้ฟี่มีความสุขอ่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 16-06-2011 15:15:41
อ่านตอนฟี่มีความสุขที่ไร
ใจเค้ากลัวตลอดเลยอ่ะ บอกไม่ถูก
เหมือนจะมีเรื่องตามมาหรือเปล่า อยู่แบบนี้
คิดตลอดเลย แอร๊ยยส์
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-06-2011 18:04:23
ขอโทษถ้าทำให้คนอ่านต้องคอยหวั่นใจนะคะ
ก็คิดซะว่าชีวิตคนมันสุขทุกข์คละเคล้ากันไป
สามวันดีสี่วันงอนไงคะ XD
ปอลิง.พรุ่งนี้จะมาอัพ part II นะคะ
สองวันนี้งานยุ่งมาก แต่งต่อได้จิ๊ดเดียวเอง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-06-2011 18:08:30
เพิ่งตามอ่านจนถึงตอนปัจจุบัน
ตอนแรกมันนัวร์ๆ ยังไงไม่รู้
ตอนนี้เริ่มมีสีสันขึ้นมาแล้ว
ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบเศร้าหรือเปล่า

ไม่เศร้าค่า~  :impress2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (14/06/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: Ticha ที่ 17-06-2011 01:46:20
I LOVE YOU  o18
หัวข้อ: ช่องว่าง ตอนที่ 20 Part II
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 17-06-2011 12:11:10


ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยความรู้สึกหนึบๆ ขาผมมันไม่ค่อยจะมีแรงเลยแฮะตั้งแต่ณัฐมาค้างด้วย หรือจะบอกตามตรงว่าตั้งแต่เซ็กส์ครั้งแรกของผมกับณัฐเมื่อคืนทำเอาผมเดินเป๋ไปทีเดียว พอย่างเท้าเข้ามาในร้านผมก็เห็นจูนโบกไม้โบกมืออยู่ไหวๆ ผมต้องบังคับตัวเองให้เดินตรงทางเพราะไม่งั้นโดนแซวแน่นอน
“แหม.... กว่าจะนัดมากินข้าวได้สักทีนะยะพ่ออาร์ทฯขายดี” ผมยิ้มให้หญิงสาวที่สะบัดผมสั้นระดับบ่าเป็นลอนสวยงามให้อย่างแสนงอน แล้วเดินไปนั่งข้างๆเธอ
“จูนก็รู้ว่าเรางานยุ่ง” ผมยิ้มให้เธอ จูนสวยขึ้นมาก จากที่ตอนเรียนไม่ค่อยแต่งหน้าเท่าไรนัก แต่พอทำงานเธอก็ดูจัดจ้านขึ้นเยอะ
“แล้วไอ้ทัชละเม้ง” ผมหันไปถามคนที่นั่งเงียบไม่พูดจา ไอ้ทัชเป็นคนมาชวนผมแท้ๆ แต่ดันยังมาไม่ถึงอีก
“กำลังมา” ครับ...สั้นและง่ายฉบับเม้ง ผมเลยหันไปสนใจเมนูอาหารกับจูนสองคน เม้งสั่งแค่ของที่ตัวเองชอบอย่างเดียวแล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมกับจูนสั่งอาหารกันอย่างเมามัน พอพวกผมสั่งอาหารเสร็จไอ้ทัชก็มาพอดีครับ

“ไม่มาตอนกินเสร็จเลยละยะ” จูนประชดเสียงเขียว ไอ้ทัชสะดุ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มแหยๆ
“โทษทีเว้ย รถติดว่ะ”
“กูไม่เชื่อ” เม้งพูดขัด ไอ้ทัชหันหน้าขวับไปปิดปากเม้งทันที เท่านั้นแหละครับ ด้วยท่าทางน่าสงสัยของไอ้ทัชนั่นเองทำให้จูนรีบเค้นหาความจริงทันที
“ทำไม แกโกหกใช่มั้ยทัช ทำไมมาช้ายะ บอกมาซะดีๆ!” จูนถามไอ้ทัชแต่มันก็ไม่ยอมตอบ จูนเลยหันมาเอาความจริงกับผมแทน
“เฮ้ย เราไม่รู้อะไรนะ” ผมไม่รู้จริงๆครับแม้ว่าผมจะทำงานที่เดียวกับไอ้ทัชก็เถอะ
“อะไรกัน ทำงานที่เดียวกันแต่ไม่รู้อะไรเลย”
“มึงก็บอกจูนไปสิว่ามึงไปติดสาวมา”
“เฮ้ย แกไปติดสาวที่ไหนฮะทัช ไม่บอกไม่เล่าให้เพื่อนฝูงฟังเลยนะยะ!” จูนแหวเสียงดัง ผมฟังคำพูดจากเม้งแล้วก็ขำ งานนี้เม้งทำให้ทัชงานเข้าจริงๆครับ

“เฮ้อ สุดท้ายแล้วเราต่างก็ต้องมีคนรักสินะ” จูนถอนหายใจแล้วจิ้มปลาหมึกผัดกระเทียมเข้าปาก ท่าทางจูนเหมือนคนที่ปลงตกในชีวิตไม่มีผิด
“จูนก็หาสักคนสิ แฟนน่ะ”
“ชั้นก็อยากจะหานะ แต่ไอ้คนที่เราชอบ เขาก็ไม่ชอบเรา เศร้าชะมัด ใครจะไปโชคดีเหมือนเธอละยะฟี่ ชั้นรู้น้า~” ผมขนลุกซู่เลยครับ น้ำเสียงจูนทำเอาผมกลืนข้าวไม่ลงเลย
“รู้อะไรเหรอจูน” ผมยังแกล้งทำเสียงนิ่งๆอยู่ครับ แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าทั้งไอ้ทัชและไอ้เม้งเริ่มหันมาสนใจที่จูนเกริ่นแล้ว
“ก็เรื่องหนุ่มณัฐนั่นไงละจ๊า” ผมกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ ฝีมือเชอรี่แน่เลย ยัยตัวแสบ...
“ใครวะณัฐ?” ไอ้ทัชถามอย่างสงสัย เม้งเองก็มองผมเหมือนต้องการคำตอบ
“ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” ผมตอบไปแค่นั้นจูนก็ตบโต๊ะดังปัง แขกโต๊ะอื่นเลยหันมามองกันเป็นตาเดียว
“ไม่น่าสนใจได้ไงยะ เธอทำให้ความฝันชั้นเป็นจริงแล้วไม่เล่าให้ฟังได้ยังไง ไหนบอกมาเลยนะว่าไปคบไปชอบพอไปรู้จักกันตอนไหน” สีหน้าจูนคาดคั้นเหมือนกำลังสอบปากคำผู้ต้องหาเลยครับ นี่ผมทำให้ความฝันของสาวจูนเป็นจริงไปซะแล้วเหรอเนี่ย ไอ้นิสัยจิ้นวายนี่มันไม่มีทางหมดไปจากสมองเธอเลยใช่ไหม?
“ก็ดี” ผมพยายามสงวนวาจา เพราะผมไม่รู้ว่าเพื่อนผู้ชายอีกสองคนในกลุ่มเขาจะคิดยังไง จูนน่ะผมไม่ห่วง เพราะเธอเป็นคนที่ใจกว้างมากแล้วก็ชอบเรื่องแบบนี้ที่สุด ผมห่วงก็แต่ทัชกับเม้งว่าจะรับได้หรือเปล่า
“มึงเล่ามาให้ละเอียดๆเลยนะ กูอยากรู้มาก หน็อย...เจอกันทุกวันไม่คิดจะเล่า ยังเห็นกูเป็นเพื่อนมั้ยเนี่ย” ไอ้ทัชพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง ไม่นึกว่ามันจะคิดอะไรละเอียดอ่อนแบบนี้ด้วย ผมถอนหายใจแล้วก็ตัดสินใจเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่ผมเจอณัฐ ตอนที่ทำงานด้วยกัน ตอนที่ไม่เจอกันไปพักหนึ่ง แล้วก็กลับมาเจอกันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจคบกัน ผมเล่าทุกอย่างยกเว้นเรื่องที่ณัฐเคยมีลูกแล้ว ระหว่างที่ผมเล่าจูนก็ตั้งใจฟังจนไม่ยอมแตะข้าวในจาน สายตาเธอดูเป็นประกายสุขล้นเสียจนผมสงสัยว่านี่มันเรื่องของผมหรือเรื่องของจูนกันแน่
“โห...แม่งโคตรอมตะ” ทัชพูดแบบทึ่งๆหลังจากที่ได้ฟังว่าผมรู้จักและแอบชอบณัฐมานานแค่ไหนกว่าจะได้คบกัน
“แน่ละย่ะ ถ้าเป็นนายละ รอได้ไหม ตั้งสี่ปีเลยนะกว่าต่างคนจะโสด แล้วถึงได้มาคบกัน”
“เราน่ะโสดอยู่แล้วจูน ณัฐต่างหากที่ไม่โสด” ผมอธิบายต่อ
“แสดงว่ามึงก็รอจนเขาเลิกกับแฟนเลยเหรอวะ ถ้าเป็นกูจะไปราวีให้มันเลิกไวๆ ฮ่าฮ่า” ไอ้ทัชเสนอความเห็นอย่างชั่วร้าย ใจหนึ่งผมรู้สึกรังเกียจนิดๆที่มีคนอย่างมันเป็นเพื่อน แต่ผมก็ดีใจที่เพื่อนเข้าใจผม
“อ้าวเม้ง ทำไมนั่งเงียบละ” พอจูนทักขึ้นมาผมก็เลยนึกได้ว่าเพื่อนผมอีกคนนั่งเงียบแล้วก็ไม่ไถ่ถามอะไรเลยมาพักใหญ่ แม้ว่าแต่เดิมเม้งจะไม่ค่อยพูด แต่ตอนนี้เม้งไม้พูดเลยสักคำ
“ปวดขี้เหรอมึง” ไอ้ทัชกระเซ้าแต่เม้งก็ไม่นำพา เม้งยังคงกินข้าวไปเงียบๆจนพวกผมเองก็จนใจจะถาม
“สงสัยเม้งจะหิว ชั้นว่าเราก็มากินกันต่อเถอะ มัวแต่เมาท์” จูนตัดบทแล้วก็ลงมือกินต่อ ผมกับทัชก็เลยได้แต่ตามน้ำไปทั้งที่ใจยังสงสัยเรื่องเม้งอยู่


“ชั้นเอารถมา แกละทัช” พวกเรากำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านกันครับ ฟาดฟันมื้อเย็นกันจนอิ่มแปร้แล้วก็ทยอยกันกลับ จูนกับทัชแล้วก็เม้งมีรถกันทุกคน ต่างคนต่างก็ขับรถกลับเอง มีแต่ผมคนเดียวที่ไม่มีรถ
“เอามาเหมือนกัน ทำไมมึงไม่ซื้อรถฮะฟี่” ทัชหันมาถามผมแล้วผมก็ส่ายหัว
“กูไม่ชอบขับรถ จะซื้อก็ต้องไปเรียนขับรถอีก วุ่นวาย แท็กซี่ก็มี”
“เดี๋ยวเราไปส่งเอง” เม้งพูดขึ้นมานิ่งๆ พวกผมหันไปมองที่เม้งแล้วจูนก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก
“เออ ใช่สิ บ้านเม้งกับบ้านเธอไปทางเดียวกันนี่ฟี่ กลับกับเม้งเลยก็ดีเหมือนกัน” ผมเองก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันจะได้ประหยัดค่ารถ เอ่อ...ผมไม่ได้งกนะครับ

“เปิดเพลงได้มั้ยเม้ง” ผมหันไปถามคนขับที่พยักหน้าให้ผมโดยไม่พูดอะไรตามเคย ผมชอบนั่งรถเม้งชะมัด เพราะมันเป็นรถยุโรปที่คันกว้างขวางและแอร์เย็นเจี๊ยบ ผมเลือกหาคลื่นวิทยุที่ผมชอบฟังแล้วก็เพิ่มเสียงอีกระดับ เพลงที่ดีเจเปิดเป็นเพลงที่ผมชอบพอดีผมเลยฮัมเพลงตาม
-เธอรู้ไหม ทำไมฉันจึงรักเขา เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเธอเองก็ห่างเกิน...- ฟังเพลงนี้ทีไรผมนึกถึงพี่ตังค์ทุกที... ไอ้พวกทำตัวเองแล้วยังมาโทษคนอื่น...
“ฟี่ เรามีเรื่องอยากจะบอก” ระหว่างที่ผมกำลังฮัมเพลงเพลินๆเม้งก็พูดขัดจังหวะ ผมหันไปมองเม้ง เขามีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย?
“อะไรเหรอเม้ง?”

TRrrr… TRrrr…

ยังไม่ทันจะได้คุยกับเม้ง โทรศัพท์ผมก็ดังพอดี ผมหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นณัฐโทรเข้ามา
“ขอรับโทรศัพท์แป๊บนะเม้ง ฮัลโหล” ผมกระซิบกับเม้งแล้วก็กดรับโทรศัพท์ แค่ได้ยินเสียงเขามาตามสายผมก็เผลอยิ้มเสียแล้ว
/กลับหรือยังครับฟี่/
“กำลังกลับเนี่ย แล้วตัวเองเลิกงานแล้วเหรอ”
/อืม กำลังนั่งรถกลับเหมือนกัน/ ผมคุยไปก็ยิ้มไป นี่แหละครับ คนกำลังมีความรัก... แค่ได้ยินเสียง แค่ได้คุยก็มีความสุข
แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังลิ้มรสชาติของความสุขนั้นก็มีบางสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจขึ้นมา..
“ฟี่ เรามีเรื่องจะบอก” เม้งพูดเสียงดัง เข้ม และชัดเจน  ผิดจากเสียงปรกติที่แทบจะไม่ได้ยิน ผมหันไปมองเพื่อนอย่างแปลกใจทั้งที่ยังคุยโทรศัพท์คาอยู่
“มีอะไรเหรอเม้ง” ผมถามกลับแล้วเม้งก็เลี้ยวรถเข้าข้างทาง เม้งนิ่ง ผมก็นิ่ง เสียงณัฐถามมาตามสายด้วยความแปลกใจ
/มีอะไรเหรอฟี่ เกิดอะไรขึ้น/ เสียงณัฐถามผม แต่ผมก็ไม่ได้ตอบกลับ ผมกำลังอัศจรรย์กับปฏิกิริยาใหม่ของเม้งครับ

เพื่อนร่วมรุ่นของผมที่เรียน เล่น และเที่ยวด้วยกันมากว่าสี่ปีหันมามองผมช้าๆ นัยตาของเม้งดูลึกล้ำสื่อความหมาย มีบางอย่างบอกผมว่าให้อุดหู หรือหาเรื่องคุยเรื่องอื่นไปซะ

บางอย่างบอกผมว่าผมไม่สมควรจะได้ยินสิ่งที่เม้งกำลังจะพูดต่อไปนี้...

“เราชอบฟี่นะ...”
/อะไรนะ!!/ เสียงในรถมันเงียบครับ...ไม่แปลกถ้าคนในโทรศัพท์จะได้ยินไปด้วย เสียงณัฐฟังดูห้วนและเดือดดาล ผมเองตอนนี้ใบ้รับประทานไปแล้วครับ สติสตังลอยหายไปกับเสียงเพลงในรถจนหมด เม้งยื่นมือมาจับมือผมไว้
“ตั้งแต่เมื่อไรเม้ง...ที่รู้สึกกับเราแบบนี้...” ผมเค้นเสียงอย่างยากลำบาก สมองก็คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดี
“เราก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ามันชัดเจนขึ้นก็วันนี้...”
“แต่เรามีแฟนแล้วนะเม้ง เรามีคนที่คบอยู่แล้ว”
“เรารู้ แต่เราก็มัวแต่เก็บงำจนมันสายเกินไป...จนเราเสียฟี่ไป...”
“....” ผมนิ่งไปเลย และคนในโทรศัพท์ก็นิ่งไปเหมือนกัน ผมได้ยินแต่เสียงหายใจเบาๆของณัฐ ผมลดมือลงแต่ยังไม่ได้กดวางโทรศัพท์
“ถ้าหากฟี่บอกว่าฟี่แอบชอบผู้ชายคนนั้นมาหลายปีกว่าจะได้คบกัน แล้วเราละฟี่ เราก็ชอบฟี่มานานไม่แพ้กัน ฟี่จะให้โอกาสเราได้หรือเปล่า?” เม้งพูดเสียงดังและจริงจังเหมือนกับว่าจะให้ณัฐได้ยินด้วย ตอนนี้ผมนึกภาพออกเลยว่าณัฐคงต้องกำลังกัดฟันกรอดแน่นอน
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นนะเม้ง จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก” ผมไม่รู้จะพูดยังไง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ มือของเม้งบีบมือผมแน่นขึ้น เพื่อนรักของผมมีสีหน้าบรรยายไม่ถูก มันก้ำกึ่งระหว่างความเจ็บปวดและริษยา
“เราอิจฉาไอ้หมอนั่นจริง ที่ได้รับความรักจากฟี่ ทั้งที่มันไม่ได้ทำอะไรให้ควรค่าเลยแม้แต่น้อย”
“เม้ง อย่าพูดแบบนั้นนะ เม้งไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ” ผมโกรธครับ ผมไม่ได้โกรธที่เม้งว่าณัฐ ผมไม่ได้หน้ามืดตามัวถึงขนาดว่าให้ใครแตะณัฐไม่ได้ แต่ผมโกรธที่เม้งพูดออกมาทั้งที่ไม่รู้อะไรสักนิด
“ใช่สิ...เราไม่รู้ เพราะถ้าเรารู้เราคงบอกฟี่ไปนานแล้วว่าเรารู้สึกยังไง ไม่ปล่อยมาจนป่านนี้หรอก เราคงทำให้ฟี่เป็นของเราไปนานแล้ว” เม้งพูดจบแล้วก็ดึงผมไปใกล้เขาพร้อมกับโน้มตัวเขามาใกล้ผม
“เม้ง! จะทำอะไรเนี่ย!”
/ฟี่ ท๊อฟฟี่ มันทำอะไร เป็นอะ-/ โทรศัพท์ของผมถูกเม้งดึงไปแล้วกดปิดเครื่อง เม้งยื่นหน้ามาใกล้ผมจนผมมองเห็นทุกส่วนบนใบหน้าเขา ทั้งผิวขาวที่มีรอยกระจางๆบนแก้ม ไฝสีน้ำตาลเม็ดเล็กตรงหางตา และปากบางสีสด
“อึก!” ผมพยายามดันเขาออก เม้งกดจูบผมรุนแรง ฟันของเขากระแทกเข้ากับริมฝีปากของผม ผมหลับตาปี๋และพยายามหลบหลีก ในหัวผมมีแต่ภาพของเพื่อนเม้งผู้แสนเยือกเย็น เขาคนนี้ไม่ใช่เม้งที่ผมรู้จักอีกต่อไป
“ฟี่...เราขอโทษ...” เม้งคงรู้สึกได้ถึงน้ำตาของผมและเสียงสะอื้น เขาผละออกแล้วรีบเช็ดน้ำตาให้ผมแต่ผมก็ส่ายหน้าหนี ผมยกหลังมือมาปาดน้ำตาออกลวกๆ ยังไงผมก็เป็นผู้ชายนะ เสียน้ำตาง่ายแบบนี้แล้วน่าอายเป็นบ้า
“เม้งจะไปส่งเราไหม ถ้าไม่ไปเราก็จะเรียกแท็กซี่ต่อไปเอง”
“ทำไมฟี่พูดแบบนั้นล่ะ เราต้องไปส่งฟี่สิ”
“งั้นก็ไปสิ” ผมเบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ผมไม่รู้ว่าเม้งทำหน้ายังไง แต่สักพักเขาก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไป เราสองคนนั่งกันไปเงียบๆจนถึงหน้าปากซอยผม ผมเห็นแต่ไกลว่าคนที่ผมคุ้นเคยยืนรออยู่ ผมแทบจะกระโดดออกนอกหน้าต่างรถไปหาณัฐตอนนี้เลย แต่ผมก็ต้องรอจนเม้งจอดรถสนิทก่อน ณัฐขมวดคิ้วหน้าเครียด พอเขาเห็นผมก็เดินปรี่เข้ามาหาพร้อมกับที่ผมรีบเดินเข้าไปหาเขา ณัฐโอบกอดผมไว้แน่นอย่างหวงแหนแล้วตวัดสายตาไปมองคนที่เดินตามหลังผมมา
“ทำอะไรฟี่” ณัฐถามเม้งเสียงเข้ม
“ทำเรื่องที่อยากทำ” เม้งเองก็ตอบไปแบบนิ่งไม่แพ้กัน ผมพยายามกอดณัฐไว้แน่น เหตุผลหนึ่งคือผมต้องรั้งเขาไว้ไม่เข้าไปทำอะไรเม้ง และอีกเหตุผลคือตอนนี้ผมอยากกอดเขามากที่สุด
“แล้วมันสมควรที่จะทำไหม ฟี่เขามีเจ้าของแล้วโว้ย!” ณัฐพูดเสียงเดือด
“ฟี่เป็นคน จะมีเจ้าของได้ยังไง” ทั้งสองคนจ้องกันแบบไม่ลดละสายตาเหมือนว่าจะฆ่ากันให้ได้ แต่ณัฐก็เลิกจ้องหน้าเม้งแล้วมาประคองแก้มผมเพื่อสำรวจความเสียหายแทน
“มึง!” พอเห็นคราบน้ำตาและรอยช้ำที่ริมฝีปากของผมณัฐก็คำรามเสียงต่ำ ผมกอดเอวณัฐไว้แน่นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าผมจะโกรธที่เม้งทำแบบนั้นกับผม แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้ณัฐใช้กำลังกับเม้ง เพราะเม้งก็เป็นเพื่อนรักของผมเช่นกัน
“เม้ง กลับไปก่อนเถอะ...” ผมหันไปพูดกับเม้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เรื่องนี้ผมจะต้องจัดการเอง
“ฟี่...” เม้งทำสีหน้าเจ็บปวดสุดๆ แต่ผมก็ต้องทำให้ได้...
“เราขอบใจนะที่เม้งรู้สึกดีกับเรา แต่ตอนนี้เรามีคนที่รักแล้ว เราต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ตอบรับความรู้สึกเม้งไม่ได้” ผมมองเม้งที่เม้มปากแน่น ณัฐกอดเอวผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป
“โอเค เรายอมรับการตัดสินใจของฟี่ แต่เราขอฝากคำถามไว้กับฟี่เรื่องหนึ่ง ว่าถ้าฟี่ยังไม่ได้คบกับผู้ชายคนนี้ ฟี่จะคบกับเราไหม”
“ไม่” ผมตอบได้แบบไม่ต้องคิด ผมยิ้มแล้วก็ตอบเม้งไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ เม้งเพียงแต่ถอนหายใจแล้วถอยหลังกลับ แต่ก่อนที่เม้งจะเดินกลับไปที่รถ เขาหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง
“เรายังเป็นเพื่อนกันใช่ไหมฟี่”
“อืม” ผมจะยื่นมือไปให้เช็คแฮนด์กับเม้ง แต่ไอ้แสบด้านหลังมันก็ดึงมือผมกลับจนผมต้องหันไปปรามด้วยสายตา
“เดี๋ยวเถอะณัฐ” พอเห็นผมทำตาขวางเขาก็จ๋อยไป แล้วผมก็ได้สัมผัสมือกับเม้ง ผมรู้สึกได้ว่าเม้งจับมือผมอย่างอ่อนโยนที่สุด เขาบีบมือผมเบาๆแล้วยิ้มเศร้า
“ถ้าเลิกกันเมื่อไรบอกเม้งนะ”
“!?!” ผมเหวอ และณัฐก็อ้าปากค้าง เม้งเดินยิ้มกลับไปที่รถแบบโคตรเท่เหมือนพระเอกในหนังฝรั่งไม่ผิดเพี้ยน...


เราสองคนกลับมาถึงบ้านผมเรียบร้อยแล้วครับ ผมกำลังทำกับข้าวให้ณัฐอยู่ในครัวแล้วเขาก็เดินมากอดเอวผมจากด้านหลัง
“ฟี่...”
“หืม?”
“ฟี่คิดแบบนั้นจริงๆเหรอ”
“คิดอะไรครับ?”
“ที่ว่า...ต่อให้ไม่ได้คบกับณัฐ...ก็คงจะไม่คบกับไอ้หมอนั่นหรอก...”
“จริงสิ” ผมตอบไปยิ้มๆ นี่ณัฐเขาเก็บไปคิดด้วยเหรอเนี่ย...
“ทำไมล่ะ ก็ถ้าฟี่ไม่ได้คบใคร ทำไมไม่ลองคบเขาดู” ผมรู้นะครับ ถึงณัฐจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็รู้ว่าใจจริงเขาไม่ได้ต้องการอย่างที่พูดหรอก ผมวางมีดหั่นผักลงบนเขียงแล้วหันไปมองหน้าณัฐ
“ไม่ได้หรอกณัฐ ฟี่ไม่ได้เป็นคนที่โลเล และความรู้สึกของฟี่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปง่ายดายขนาดนั้น ฟี่ไม่มีทางหวั่นไหวแค่เพราะมีคนมาชอบหรอกนะ ความรู้สึกของฟี่ที่มีให้ณัฐมันสะสมมานานแค่ไหน แล้วจะให้ฟี่เปลี่ยนใจไปแค่เพียงเพราะว่ามีคนมาชอบฟี่เหรอ” ผมตอบไปตามความจริง ณัฐเองพอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มได้สักที เขากอดเอวผมไว้แล้วซุกหน้าลงหอมที่ซอกคอผม
“ฟี่...แต่ฟี่ก็อย่าลืมนะ ว่าความรู้สึกที่ไอ้หมอนั่นมีให้ฟี่มันก็เก็บมานานแล้วเหมือนกัน” ผมพยักหน้ารับรู้ที่ณัฐพูด
“แต่ณัฐก็ต้องอย่าลืมสิ ว่าเราไม่สามารถตอบรับความรักให้กับคนทุกคนได้หรอกนะ หัวใจคนเรามีแค่ดวงเดียว เมื่อรักใครก็จะรักแค่คนเดียว...” ผมพูดไม่จบก็นึกได้...ผมพูดคำต้องห้ามออกไปเสียแล้ว...ผมกะว่าจะไม่พูดถึงไอ้เรื่องรักๆนี่ แต่ก็หลุดปากจนได้
“รักได้แค่คนเดียวเหรอ?” ณัฐทวนคำพูดผม ผมเงยหน้าสบตาเขาโดยไม่พูดอะไร ผมอยากจะรู้เหลือเกินว่าเขาจะรับรู้ได้ไหม ว่าผมรู้สึกยังไง...ว่าผมคิดกับเขายังไง...ว่าเขาจะรู้ไหมว่าความรู้สึกของผมมันมากมายเกินกว่าคำว่าชอบ...
“ณัฐก็เหมือนกัน...เวลาณัฐรักใคร ณัฐก็ ‘รัก’ ได้แค่คนเดียว” ผมรู้ว่าณัฐแค่พูดออกมาแบบไม่ได้เจาะจงว่าบอกกับผม เขาอาจจะแค่พูดอธิบายหรือบอกนิสัยของเขาเฉยๆ แต่ด้วยสายตาของเขาที่มองผมกลับ และกระแสะความอบอุ่นในคำว่า ‘รัก’ ของเขา มันกลับทำให้ผมน้ำตารื้นขึ้นมาทันที

ผมรู้แล้วว่าความหอมหวานของการรอคอยมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
บางทีสิ่งที่เรารอคอยมันก็มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว แล้วมันก็มามากกว่าที่เราคาดคิดไว้เสียอีก...
ผมมีคนให้รักอีกคนแล้วครับ...แล้วเขาก็รักผมด้วย...พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งผมสักนิด... แม้จะมีคนต้องเจ็บปวด แต่ความรักมันก็เป็นแบบนี้เสมอไม่ใช่เหรอ? ความรักสำหรับผมบางทีมันก็เหมือนใบไม้ครับ วันหนึ่งต้องมีการร่วงหล่น แต่เมื่อฤดูกาลผ่านไป มันก็จะผลิดอกได้อีกครั้งเอง...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 17-06-2011 13:00:25
เง้อ เจ็บใจ สงสารเม้ง
ฮาา เพราะเราอคติกับณัฐมากไปมั้ง
เลยไม่รู้สึกดีใจเท่าไร ที่ฟี่กับณัฐรักกัน
อ๊ากก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 17-06-2011 14:21:12
อืม เบลล์เองอ่านมาก็แบบนะ จากมุมมองภายนอก อาจไม่เห็นด้วยเท่าไหร่กับการที่ฟี่และณัฐรักกันทั้งจากหลายๆ อย่าง หลายๆ เรื่องที่เป็นองค์ประกอบ คงเพราะเรื่องแบบนี้มันอ่อนไหวเกินไปละมั้ง

แต่ก็อย่างว่า ชีวิตใครชีวิตมันเราไม่มีสิทธิไปตัดสินชีวิตคนอื่น เพราะคนที่รู้สึกนะไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นนัฐกันพี่ตังหาก จะทุกข์ จะสุขก็เป็นเรื่องของเค้าสองคน ได้แต่มองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ต่อไป  :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 17-06-2011 16:50:25
สงสารเม้ง!!!!!!
แต่....อะนะ  รักมันออกแบบไม่ได้
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 17-06-2011 16:57:54
หวังว่าจะผลิแบบนี้ตลอดไปนะฟี่
อย่าเพิ่งรีบร่วงลงมาละกัน :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 17-06-2011 18:48:05
รักได้แค่คนเดียวจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-06-2011 19:55:39
ก็สงสารเม้งนะ เม้งเอ๊ย...อยากบอกเม้งว่า บางครั้งช้าๆก็ไม่ได้พร้าเล่มงามเสมอไป
ขอเอาใจช่วยให้ณัฐกับฟี่รักกันมากๆ รักกันไปนานๆตลอดไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 17-06-2011 21:06:17
เวลาไม่คอยใคร
คู่แล้วไม่แคล้วกัน
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 17-06-2011 22:13:56
โถๆๆๆ  เม้งน่าสงสารจัดหาคู่ให้ซักคนสิคะ
ณัฐรักกับฟี่ก็ดีแล้ว ดูๆไปก็สมกันเน๊อะ งี่เง่าดี รักกันก็ไม่พูดตรงๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 25-06-2011 03:09:17
คุณบีไปไหนแว้วววว :sad4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 25-06-2011 09:37:47
เม้งมารักเราก็ได้นะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 27-06-2011 01:45:37
หายไปไหนแล้วอ่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 20 (17/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 27-06-2011 17:32:27


ขอโทษจริงๆค่ะ T T
ช่วงนี้งานยุ่งมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยงๆจะเอามาลงให้นะคะ
   :sad4:

หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 21
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 28-06-2011 12:12:58


“อื้อ! ณัฐ อย่าสิ เดี๋ยวก่อน” ผมพยายามดันเจ้าคนที่เริ่มนัวเนียผมมาตั้งแต่เข้ารั้วบ้านให้ออกไปห่าง แต่เขากลับกอดรัดผมแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“ฟี่...” ณัฐเรียกผมด้วยเสียงทุ้มต่ำข้างหู ผมขาอ่อนยวบเมื่อเขางับที่ติ่งหูของผมเบาๆ ผมล็อกประตูบ้านอย่างเร็วก่อนที่ผมจะไม่มีแรงยืนมากไปกว่านี้
“ณัฐ...อะไรเนี่ย ใจเย็นๆสิ” ผมยกแขนเกาะที่บ่าของณัฐไว้ ปากผมก็ร้องห้ามแต่ว่าใจของผมคล้อยตามเขาไปครึ่งทางเสียแล้ว ก็ทั้งสัมผัสของณัฐและกลิ่นกายของเขาทำให้อารมณ์ของผมเตลิดได้เสมอเลย ยิ่งตอนนี้ณัฐรุกเร้าผมรุนแรงแบบนี้ผมก็ยิ่งชอบ...

“ฟี่เป็นของณัฐนะ...” หืม? หมายความว่ายังไง ทำไมเขาต้องทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ด้วยละ
”ณัฐเป็นอะไร ณัฐคิดมากเรื่องเม้งเหรอ” ผมลูบหัวเขาเบาๆ เราสองคนยังยืนพิงกันอยู่ตรงประตูบ้านเลยครับ ณัฐเอาหน้าซุกซอกคอผมและดันผมติดประตูบ้านไว้แน่น
“มันไม่เห็นจะจริงเลยนี่ฟี่...”
“อะไรไม่จริงครับ หืม?”
“ก็ที่เขาบอกว่าความรักมันจะต้องไม่ใช่การหึงหวง แต่มันไม่เห็นจะจริงเลย ก็ฟี่ดูสิ ณัฐหวงฟี่ขนาดนี้... ณัฐไม่อยากให้ใครมาใกล้ฟี่สักนิด ไม่อยากให้ใครมาพูดคุยกับฟี่ ไม่อยากให้ใครมามองฟี่ ณัฐหวงฟี่จนแทบบ้า”
ผมประหลาดใจกับเรื่องที่ณัฐเพิ่งพูดออกมาแบบสุดๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกแบบนี้ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าณัฐหึงหวงผมขนาดนี้ มันเทียบไม่ได้กับท่าทีภายนอกที่เขาแสดงออกมาเลย ผมไม่สมควรจะดีใจใช่ไหมที่ณัฐเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมดีใจสุดๆ ผมดีใจที่เขาหวงผมโคตรๆ

“ณัฐ...น่ารักจัง..” ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำนี้ จะให้ผมบอกเขาว่าอย่าห่วงหรือหวงผมเลยมันก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่อาจไปบังคับความรู้สึกใครได้นี่นะ ผมประคองแก้มของณัฐให้เขาหันมองผม แก้มของณัฐนิ่มและเด้งดึ๋ง(จริงๆนะครับ!)น่าจุ๊บเป็นที่สุด ผมหอมแก้มเขาเบาๆ เสียงณัฐร้อง ‘อื๊อ’ ในลำคอแบบที่เขาชอบทำเวลาจะอ้อนผม ผมกดจมูกหอมแก้มอีกข้างของณัฐแบบ ‘ลึกๆ’ กลิ่นหอมของผิวณัฐเป็นอะไรที่ผมคลั่งไคล้มาก
“อะไรอะฟี่...”
“ก็ณัฐน่ารักนี่”
“ณัฐงี่เง่าจะตาย” ณัฐพูดแล้วทำปากยื่น โฮกกกกก จะทำตัวน่ารักไปไหน ผมเลยจัดการจุ๊บที่ริมฝีปากยื่นๆนั่นเสียหนึ่งที เวลาณัฐทำตัวน่ารักแบบนี้ผมละใจอ่อนตลอดเลย
“ณัฐงี่เง่าก็เพราะความรู้สึกที่มีให้ฟี่นี่นา”
“ห้ามเบื่อณัฐนะ ถ้าณัฐงี่เง่ามากๆ งอแงมากๆ หวงฟี่มากๆก็ห้ามรำคาญณัฐนะ” ผมพยักหน้ารับ สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องที่น่ารำคาญสักนิด ผมคิดว่ามุมที่ณัฐงี่เง่าและงอแง มันคือด้านที่ผมได้รับอภิสิทธิ์ให้ได้เห็นเพียงคนเดียว มันเป็นสิทธิพิเศษของคนเป็นแฟนนี่นา...
“โอ๊ะ!” ผมเผลออุทานเมื่อณัฐออกแรงอุ้มผมพาดบ่าแล้วตรงไปที่โซฟา เขาวางผมลงอย่างเบามือและตามลงมานั่งกอดผมเอาไว้ ณัฐนัวเนียคลอเคลียผมไม่ยอมห่างเลยสักนิด
“ฟี่ตัวหอมจังนะ” ผมย่นคอเมื่อถูกริมฝีปากนุ่มจูบไปตามลำคอและหัวไหล่ นี่อย่าบอกนะว่าณัฐอยากจะออกกำลังกายก่อนกินข้าว!!!


Special: Nath’s scene

สวัสดีครับ ผมณัฐครับ
ใช่ครับ....ณัฐคนเดียวกับที่แฟนๆของฟี่บางคนคิดว่าผมไม่เหมาะสมกับฟี่เท่าไรนัก...

แต่ผมไม่โกรธหรอกครับ เพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด การที่ผมจะเป็นที่ยอมรับได้ ก็คงต้องใช้เวลาฉันนั้น ผมรู้ตัวว่าผมอาจจะมีอดีตที่ไม่น่าพิสมัย และอนาคตของผมก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ผมไม่มีความเหมาะสมกับฟี่เลยสักนิด ฟี่มีทั้งหน้าที่การงาน มีบ้านของตัวเอง มีความสามารถซึ่งจะนำไปสู่อนาคตที่สดใส

ผมมีแค่ความรัก... ความรักที่มันกินไม่ได้ ความรักที่คงไม่ทำให้ฟี่มีความสุขไปได้ตลอด แต่ว่าผมก็รักเขาเข้าไปแล้ว ผมรักฟี่ ท๊อฟฟี่คนที่เมื่อผมเห็นครั้งแรกก็ไม่อาจละสายตาไปได้ มันไม่ใช่ความรู้สึกสเน่หาเหมือนเวลาที่ผู้ชายปิ๊งผู้หญิง ถึงแม้ว่าฟี่จะผิวใสหน้าตาน่ารักก็เถอะนะ ผมรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นผมคิดแต่เพียงว่าผมอยากทำให้คนยิ้มน้อยคนนี้เป็นคนที่ยิ้มได้มากๆ แค่นั้นเอง

และผมก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าจากความรู้สึกที่ผมแค่อยากทำให้เขายิ้ม มันกลายมาเป็น ‘ผมอยากเห็’

ตอนที่ผมลาออกจากที่ทำงานนั้น ผมก็กังวลเหมือนกันว่าคงจะไม่ได้เจอกันอีก แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น หลังจากนั้นไม่นานฟี่ก็ออกจากงานเหมือนกัน ผมไปถามพวกพี่แก๊บ เขาก็บอกว่าฟี่ต้องไปฝึกงานและทำโปรเจคท์จบ นานๆครั้งที่เราจะได้เจอกันโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือ แค่นั้นผมก็ลิงโลดเหลือเกินแล้ว

วันนั้นที่ผมบังเอิญเจอฟี่ในเฟซบุ๊คก็เหมือนกัน ผมขอเป็นเพื่อนไปโดยไม่ลังเล พอได้คุย ได้แช็ท ผมก็รู้สึกเหมือนคืนวันเก่าๆคืนมาอีกครั้ง ผมอยากเจอฟี่มากขึ้นเรื่อยๆ อยากเห็นตัวจริง อยากพูดคุย อยากสัมผัส อยากฟังเสียงหัวเราะของฟี่ รู้ตัวอีกทีผมก็ถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว และยิ่งเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกของฟี่ ผมก็ปฏิเสธไม่ออก ผมจึงบอกกับตัวเองว่าแทนที่ผมจะผลักไสให้ฟี่ไปกับคนอื่นที่ดีกว่าผม สู้ผมทำตัวให้ดีพอจะเคียงข้างฟี่ดีกว่าไหม?

ผมไม่อยากปล่อยฟี่ไป ผมไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นเด็ดขาด

เพราะอย่างนั้นผมจึงหึงหวงเหลือเกิน ผมแทบคลั่งกับริมฝีปากของฟี่ที่ช้ำเพราะฝีมือไอ้เวรนั่น ผมอยากจะซัดกับมันให้รู้เรื่องไปเลย แต่ฟี่ก็ขอร้องผมและผมก็เห็นแก่ฟี่ ยังไงมันก็เป็นเพื่อนรักของฟี่ แต่ปากของไอ้หมอนั่นมันก็ไม่น่ายกโทษให้ เพราะก่อนจะไปมันยังมีหน้ามาแช่งให้ผมเลิกกับฟี่อีกต่างหาก

ผมคงไม่สามารถหักห้ามความรู้สึกหึงหวงไปได้หรอกครับ ผมเชื่อใจฟี่ที่สุด แต่ผมไม่เชื่อใจคนอื่น เพราะว่าฟี่เป็นคนที่น่ารัก พูดจาเพราะ แถมใจดีกับคนอื่น จึงไม่แปลกถ้าจะมีใครต่อใครมาหลงรักเขา ฟี่ไม่มีทางไปยุ่งกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่ไอ้คนอื่นที่มาชอบฟี่นี่สิ

ผมกลัวว่าสักวันหนึ่ง ถ้ามีคนที่ดีกว่าผมมาชอบฟี่ คนที่ให้ฟี่ได้ทุกอย่าง แล้วฟี่จะยังเลือกผมอยู่ไหม เพราะงั้นผมถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ฟี่เบื่อผม ผมรู้ว่าฟี่ชอบเวลาที่ผมเปลือยท่อนบน ผมก็จะใส่เสื้อติดตัวไว้ตลอดแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ชอบถอดเสื้อก็ตาม เพราะผมกลัวว่าถ้าฟี่เห็นบ่อยๆแล้วฟี่จะเบื่อผม หรือแม้กระทั่งคำว่า ‘รัก’ ที่ผมไม่อยากพูดออกมา เพราะผมกลัวว่าถ้าฟี่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงแล้ว เขาก็จะหมดความสนใจในตัวผม...

ผมเอาแต่คิดเรื่องของฟี่อยู่ตลอด คิด คิด คิด คิดอยากจะให้ฟี่มีความสุข คิดอยากจะให้ฟี่รักผมนานๆ คิดอยากจะให้ฟี่ยิ้มได้ อยากให้ฟี่กินข้าวเยอะๆ

ผมขอโทษนะครับที่ผมรักฟี่มากมายขนาดนี้...
และเพราะผมรักฟี่มาก ผมถึงไม่เคยเบื่อที่จะนัวเนียฟี่ หอมฟี่ ฟัดฟี่ และ...

“ณัฐ อย่าสิ ไม่เอา กินข้าวกันก่อนนะ” ผมทำเมินกับเสียงประท้วงของคนที่โดนผมกดไว้กับโซฟา ก็กลิ่นหอมเสียขนาดนี้ ผมหักห้ามใจไม่อยู่หรอกครับ พอได้ฟัดทีนึง มันก็ลามไปเรื่อย จนตอนนี้ผมถอดเสื้อเชิ้ตของฟี่ได้สำเร็จแล้ว
“อะ..อ๊ะ!” เสียงใสของฟี่ร้องเบาๆเมื่อถูกผมงับเข้าที่ยอดอกสีอ่อน ผมรู้ว่าฟี่ชอบให้ผมกัดแรงๆตามตัว แต่มันจะทำให้ผิวขาวเนียนของฟี่เป็นรอยช้ำเขียวเต็มไปหมด พอผมถอดเสื้อของฟี่ออกจนหมดไอ้รอยช้ำพวกนั้นก็ปรากฎเด่นชัดแก่สายตาผม ผมเองไม่อยากจะกัดฟี่เลยสักนิด แต่พอถึงเวลาจริงที่อารมณ์ของผมกระเจิดกระเจิง ผมก็คอยจะกัดเนื้อตัวของฟี่เพราะความหมั่นเขี้ยวเป็นประจำ
“ฮื้อ!” ผมมองร่างบางบิดกายเร่าเมื่อถูกผมลากลิ้นยาวไปตามสีข้างสลับกับการใช้ฟันขบเม้ม รอยแดงเกิดขึ้นตามเส้นทางที่ผมใช้ปากสัมผัสผิวกายของฟี่ ผมเลื่อนตัวขึ้นไปสบตากับคนด้านล่างและก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นสภาพของเขา
“หน้าแดงทำไมครับ หืม?” ผมถามด้วยเสียงยั่วเย้าข้างใบหูนุ่มนิ่ม นั่นยิ่งทำให้หน้าขาวแดงซ่านขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกได้จากการที่ทาบทับตัวฟี่แบบนี้ว่าหัวใจของฟี่กำลังเต้นระรัวมากขึ้น ยิ่งผมเห็นไอ้ตัวเล็กของผมสั่นมากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากแกล้งมากเท่านั้น
“ณัฐอะ...กินข้าว...” ผมกลั้นยิ้มเมื่อเห็นฟี่ยังยืนยันคำเดิม ทั้งที่เห็นอะไรต่อมิอะไร ทำอะไรต่อมิอะไรมาจนหมดแล้วฟี่ก็ยังอาย หากเป็นผู้หญิงบางคนผมจะคิดว่ามันเป็นมารยาของพวกเธอเสียด้วยซ้ำ แต่พอเป็นฟี่ ผมกลับคิดว่ามันน่ารักเหลือเกิน...

เปล่านะครับ ผมไมได้หลงฟี่จนหน้ามืดตามัว
ก็ฟี่น่ารักจริงๆนี่นา...
เพราะว่าฟี่น่ารัก ผมจึง ‘รัก’ ฟี่ไม่เคยพอสักที

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 28-06-2011 13:34:44
รักฟี่มาก  ก็พยายามเข้า
เขียนตอนนี้ออกมาแล้ว อยากเอาใจช่วยณัฐให้รักกับฟี่นานๆ เลย

แล้วก็ทำให้คิดได้ว่า รักไม่ได้ขึ้นกับความเหมาะสม แต่พยายามจนเหมาะสม
ณัฐเท่มาก 
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 28-06-2011 13:47:24
น่ารักจังเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-06-2011 14:06:52
งงเล็กน้อย ก็ฟี่เพิ่งไปทานข้าวกับเพื่อนๆมาไม่ใช่เหรอ ไงจะกินข้าวกันอีกล่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 28-06-2011 14:46:41
^
^
รีบนอ่านผิดตอนรึป่าวคะ?  ตอนใหม่อยู่รีล่างๆนา  :laugh:


ส่วนคู่นี้ก็หวานกันจิ๊งงงงงงงงงงงง  :z1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 28-06-2011 15:11:39
ถ้าคิดจะพยายามทำตัวให้ดี ให้เหมาะสม
ก็พยายามให้มากๆ ละกัน ชดเชยในสิ่งที่ตัวเองเคยทำให้ฟี่เสียใจ
คนรักฟี่ ไม่ได้มีแค่ณัฐแค่คนเดียวนี่เนอะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 28-06-2011 16:32:30
กรี๊ดดดด  กะตอนล่าสุด ถอยกลับไปดูหัวเรื่องแทบไม่ทัน
นึกว่าอ่านผิดเรื่อง ไอ้เราก็เคยเจอแต่อารมณ์หม่นหมองของฟี่
มาเจอณัฐสารภาพ อร๊ายยยย :-[ แกคิกอย่างงี้แต่แรกทำไมไม่บอก
ปล่อยให้ฟี่นอยด์ คิดเองเออเองอยู่หลายปี ดีนะว่าฟี่เป็นผู้ชาย
ถ้าเป็นผู้หญิง คงเหนียงยาน + ตีนกา กว่าอิณัฐจะหวานได้ :z3:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 28-06-2011 17:16:28
โฮกกกกกกกก หวานโฮกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 28-06-2011 18:17:27

อุ๊ยตายแล้ว ทำให้คนอ่านกิ๊บกิ้วได้แล้วววววววววววววววววว

รอตอนต่อไปนะคะ
o18
   

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 28-06-2011 18:40:05
กว่าจะมารักกันได้ก็ว่ายากแล้ว
จะรักกันได้ตลอดรอดฝั่งไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 28-06-2011 23:04:14
ขออนุญาตข้าม แหะๆ หดหู่สุดใจ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 28-06-2011 23:25:21
 :-[ :-[ :z1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 28-06-2011 23:30:20
ชอบตอนณัฐเล่า ค่อยรู้สึกว่าน่ารักหน่อยคู่นี้ ไม่งั้นมีแต่ความหมองหม่นของฟี่ หุๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 30-06-2011 18:36:57
ตอนนี้ อ่านแล้วซาบซ่าน !!!!!!
5555+
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 30-06-2011 19:45:59
ณัฐ การบอกรักบ่อยๆ พร้อมด้วยการแสดงออกในทางอื่น ให้รู้ว่าเรารักเขาน่ะ
รู้ไหมว่า คนที่ได้รับน่ะเค้าปลื้มนะ เหมือนต้นไม้แหละ
ปลูกแล้วก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยดิ ถึงจะงอกงามอยู่ตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-07-2011 14:28:56
 o18

ติดตามจนถึงตอนปัจจุบัน
นิยายเรื่องนี้ อึมครึมได้ทั้งเรื่องจิงๆ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ

อยากให้สองคนนี้ปรับเข้าหากันด้วยดี

รู้ว่าอนาคตมีมาม่าแน่นอน  แต่อยากหนักนะ บีบี
ติดตามนิยายของบีบีบทุกเรื่อง ส่วนใหญ่มันต้อง โรแมนติกปนหื่นไม่ใช่หรอ   :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 21 (28/06/2011) แอบมาตอนเที่ยงค่ะ > <
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 01-07-2011 17:35:49
ตามมารักฟี่ด้วยคน o13
หัวข้อ: ช่องว่าง ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-07-2011 17:49:50
เขาบอกว่าเวลาที่คนเรามีความทุกข์ มักจะชอบหาที่พึ่งทางใจมาช่วยทำให้ใจสงบ คนที่นับถือศาสนาพุทธก็คงเลือกที่จะเข้าวัดทำบุญสินะ แต่ในเมื่อผมเป็นคริสต์ งั้นผมก็ต้องเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์เพื่อให้พระเจ้าช่วยชำระล้างจิตใจผมสิ

แต่มันไม่ได้ผลหรอก...ผมเคยลองมาแล้ว

ตอนที่ผมเลิกกับพี่ตังค์ใหม่ๆ ผมฟุ้งซ่าน จิตตก รู้สึกผิดบาปเป็นที่สุด การเข้าโบสถ์ไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจผมดีขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนกิเลสหนาเกินไปนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในที่สุดแล้วสิ่งที่ช่วยกอบกู้จิตใจผมได้ ก็คือระยะเวลา... ระยะเวลาที่ช่วยทำให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ผมเกริ่นมาเสียยืดยาวจนคุณอาจจะสงสัยว่าผมอยากจะพูดอะไรกันแน่.. ให้คุณลองย้อนกลับไปอ่านข้างบนนะครับ ว่าผมพูดถึงอะไรไปบ้าง แต่หากคุณยังไม่เข้าใจ ผมก็จะอธิบายให้ฟัง

ผมพูดถึงเวลาที่ผมมีปัญหา ผมทุกข์ใจ ผมนอยด์(แดก)

และผมพูดถึงเรื่องในอดีต เรื่องของผมกับคนรักเก่าของผม...

ใช่ครับ วันนี้ผมกำลังเครียด เครียดเรื่องอดีต แต่ไม่ใช่อดีตของผมหรอก

แต่เป็นอดีตของณัฐ...

ผมกำลังสงสัยว่า ผมเองต้องใช้เวลาที่นานมากในการลืมความรักครั้งเก่า ถึงแม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายที่เลือกปล่อยมือแล้วเดินจากมาเอง ผมก็ยังคงนึกถึงมันอยู่ดี สงสัยคงเพราะผมเป็นคนเลือดกรุ๊ปโอ เขาว่ากันว่าคนเลือดกรุ๊ปโอมักจะชอบนึกถึงเรื่องในอดีต และด้วยสันดานของคนเป็นมนุษย์ ที่มักจะชอบคิดว่าถ้าตัวเองเป็นแบบนี้ คนอื่นก็จะต้องเป็นเหมือนตัวเองไปด้วย

ผมคิดว่าณัฐเคยนึกถึงเรื่องราวในอดีตไหม? ผมสงสัยว่าณัฐเคยติดต่อไปหาคนเก่าของเขาบ้างไหม? ผมอยากรู้ว่าณัฐเคยไปหาหรือไปเยี่ยมลูกเขาบ้างไหม?

ครับ... ผมยอมรับ...ตอนนี้ผมกำลังน้อยใจ...

น้อยใจกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่อวาน...
....
...
..
.
.

“อะ...อื๊อ! ณัฐ เบาๆสิ..” ผมจิกเล็บลงที่ไหล่ของคนที่กำลังขยับร่างกายอยู่บนตัวผมตอนนี้ จังหวะการสอดประสานของเรารุนแรงและเร่งเร้าจนผมแทบจะทนไม่ไหวและต้องระบายอารมณ์ไปที่ร่างกายของณัฐ
“ฮื้อ!!” และณัฐก็แกล้งผมโดยการถอยออกห่างและกระแทกกลับมาจนสุด ผมกัดริมฝีปากแล้วจ้องณัฐเขม็ง ในใจแอบเคืองที่เขาคอยจะเอาแต่เป็นฝ่ายคุมเกมส์และกลั่นแกล้งผม พอผมจะขอเป็นฝ่ายทำให้เขาบ้างก็ไม่ค่อยจะยอม เพราะกลัวโดนผมเอาคืนน่ะสิ ไอ้คนบ้า!
“ฟี่ครับ..กอดณัฐหน่อย..” ผมยกแขนโอบรอบคอเขาไว้แน่น ณัฐขอมาแบบนี้ผมก็ต้องทำให้สิ หยดเหงื่อจากแก้มณัฐแปะลงมาตรงปลายจมูกผม ผมชอบเวลาที่ณัฐอยู่ข้างบนจัง เพราะมันจะทำให้ผมเห็นร่างกายของเขาได้ชัดทุกส่วน ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกคลั่งไคล้ที่ผมมีให้กับเขาว่ายังไงดี เพราะมันคงไม่มีคำไหนบอกความรู้สึกของผมได้หมดหรอก

ผมมักจะลมหายใจขาดห้วงเสมอเวลาที่เห็นณัฐ
และยิ่งหายใจไม่ค่อยออกเวลาที่เห็นณัฐเปลือยกายโชว์บอดี้ฟิตๆของเขา
แน่นอนว่าผมยิ่งแทบขาดใจไปเลยเมื่อบอดี้ที่ผมคลั่งไคล้นั้นกำลังนัวเนียกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับผมแบบตอนนี้!

“ณัฐ อื๊อ อะ...อ๊ะ!” ผมรู้สึกได้ถึงจังหวะการขยับที่เร็วและแรงมากขึ้นของณัฐ ข้างในของผมมันรู้สึกถึงสัมผัสของณัฐมากมายเหลือเกิน

TRrrr… TRrrr…

แม่ง....ใครโทรมาครับเนี่ย... โทรศัพท์ผมนี่หว่า แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวผมโทรกลับก็ได้

TRrrr… TRrrr…

มันยังไม่ยอมวาง!

TRrrr… TRrrr…

“รับก่อนไหมฟี่?” ณัฐหยุดการกระทำแล้วพักถามผม ผมจึงพยักหน้ารับและเตรียมคำด่าไอ้คนที่โทรมาไว้ในใจ ณัฐถอนกายออกจากตัวผมแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มาให้ ผมนอนมองก้นแน่นๆนั้นขยับไปมาตามจังหวะเดินอย่างเพลินใจแป๊บเดียวโทรศัพท์ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผมแล้ว

‘พี่ตังค์โทรมาทำไม??’ ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพอเห็นเบอร์โทรเข้า
“รับสิฟี่ ถามว่าเขาโทรมาทำไม” โอ้ว...เสียงเข้มเป็นกาแฟอเมริกาโน่เลยครับ ไม่ใส่น้ำตาลมาสักนิด
“งือ... ไม่อยากรับเลย” ผมลังเลจัง เขาไม่โทรมาหาผมหรอกถ้าไม่มีเรื่องจะรบกวน
“รับสาย แล้วบอกว่าอยู่กับแฟน ไม่ว่างคุย” ผมแอบอึ้งนิดนึง ณัฐเอาจริงเหรอ?
“....” ยังไงดีหว่า ถ้าทำอย่างที่ณัฐพูด มันก็จะโหดร้ายไปไหม? แต่ถ้าผมไม่รับเขาก็คงโทรมาอีก..
“จะรับไหมฟี่ ถ้าไม่รับ ณัฐจะรับเองนะ” พอณัฐว่างั้นผมก็เลยรีบรับสายเลยครับ ไอ้พี่ตังค์เฮงซวย ทำไมโทรมาตอนนี้วะ
“ครับ”
/ฟี่...ทำอะไรอยู่...กว่าจะรับสายได้../
“เอ่อ คือ...ฟี่อยู่กับแฟนครับ ไม่สะดวกคุย”
/อ้าว..ยังงั้นเหรอ..งั้น...พี่ขอโทษนะ...แค่นี้แหละ/
ครับ...แค่นั้นเอง แล้วเขาก็วางสายไป ผมว่างานนี้เขาคงไม่โทรมาอีกแล้วแหละครับ...ผมสงสารพี่เขาขึ้นมาแวบหนึ่งในใจ แต่แล้วก็สลัดความคิดเพ้อเจ้อนั่นออกไป เวลานี้ผมอยู่กับณัฐ จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาคิดถึงคนอื่น

“ฟี่...” ณัฐเรียกชื่อผมเบาๆแล้วขยับเข้ามากอดผม ผมชอบซุกหน้าไว้กับอกของณัฐแล้วดมกลิ่นของณัฐ จากนั้นเราสองคนก็ดำเนินเรื่องราวกันต่อจากตอนแรก และพอดึกหน่อยณัฐก็กลับบ้านไป...

แล้วผมก็อยู่คนเดียว...

ถามว่าทำไมณัฐต้องกลับบ้านเหรอครับ ทำไมณัฐไม่ค้างเหรอครับ...

ก็แม่ณัฐเขาอยู่คนเดียว พ่อณัฐเขาไปทำงานกะกลางคืน...ณัฐจึงต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เขาไง

ผมก็เลยต้องนอนคนเดียว

รู้ไหมครับว่าการที่ต้องนอนอยู่ท่ามกลางกลิ่นกายของคนรักที่หลงเหลืออยู่บนที่นอนนั้นมันช่างทรมาน ผมได้กลิ่นเขา ผมรู้สึกถึงไออุ่นของเขา แต่ผมไม่อาจสัมผัสเขาได้

ผมช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ ทั้งที่ผมเองก็ได้รับความรักจากเขามามากแล้ว แต่ผมก็ยังไม่พอ ผมอยากจะเหนี่ยวรั้งณัฐให้อยู่กับผมไปตลอด... ก็ผมเหงานี่นะ...

เวลาที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีเขา ผมมักจะคิดฟุ้งซ่าน คิดโน่นนี่ไร้สาระ คิดอะไรที่มันบั่นทอนจิตใจของผม บางครั้งผมก็พยายามที่จะไม่คิด แต่ด้วยนิสัยเดิมของผมที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรทำให้ผมห้ามความคิดไม่ได้ และสุดท้ายมันก็มาบั่นทอนจนจิตใจผมเจ็บปวด

ผมอยากจะรู้... ว่าเวลาที่ณัฐอยู่บ้าน หรือเวลาที่ไม่ได้อยู่กับผม...
เขาทำอะไร...
ณัฐได้รับรู้ในทุกเสี้ยวชีวิตของผม ได้รู้จักกับทุกคนในชีวิตผม แต่ผมไม่รู้ ไม่เคยได้รับรู้ชีวิตในเสี้ยวนั้นของเขา ไม่เคยไปบ้านเขา ไม่เคยได้สัมผัสชีวิตในด้านนั้นของเขาเลยแม้สักครั้ง

ผมช่างต่างจากที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับรู้...

ผมคิดอิจฉาหล่อน ที่ได้เคยร่วมใช้ชีวิตกับเขา ได้ตื่นนอนพร้อมเขาทุกเช้า ได้เห็นหน้าเขาก่อนนอนทุกคืน...

แล้วคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน รู้จักกันมาตั้งนาน เขาจะติดต่อหากันไหม เขาจะคิดถึงกันไหม?

ณัฐจะโทรไปหาเขาเวลาลับหลังผมบ้างไหม?

แค่ผมคิดน้ำตาก็ไหลแล้วครับ ผมไม่ชอบร้องไห้เลย มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น แต่ผมก็ห้ามน้ำตาไมได้ ผมกำลังเสียใจ เสียใจกับเรื่องที่ตัวเองนึกขึ้นมาเอง แล้วมันก็มาทำร้ายจิตใจผมเอง ผมรู้ว่าผมไม่เควรคิดเองเออเองโดยไม่ถามเขา

แต่คุณนึกออกไหม ตามนิสัยของณัฐ เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาคงไม่มีทางเมินเฉยไม่ใส่ใจเรื่องลูกของเขาได้หรอก ผมจึงเชื่อว่าเขาต้องติดต่อไปหากันบ้างอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือทำไมเขาไม่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างเลย ทั้งที่เขาบอกว่ามีอะไรก็จะเล่าให้ผมฟัง แต่เขาไม่เคยพูดถึงมันเลย

ผมเคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ในเรื่องมีคู่สามีภรรยาที่สมกันทุกด้าน ภรรยาแสนสวยและสามีรูปหล่อ ภรรยาทำทุกอย่างเพื่อให้สามีพึงพอใจและรักเธอมากๆ แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่รบกวนจิตใจของคนที่เป็นภรรยามาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ได้อยู่ร่วมกัน

มันคือเรื่องคนรักเก่าของสามี ผู้หญิงที่เป็นคนแรกของสามีเธอ และเป็นเซ็กส์ครั้งแรกของสามี...

ภรรยารู้ดีว่าสามีเลิกกับผู้หญิงคนนั้นมานานแล้ว แต่เธอก็ยังครุ่นคิดเสมอ ว่าสามีของเธอเคยคิดถึงคนรักเก่าบ้างไหม และแล้วความกังวลของภรรยาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อคนรักเก่าของสามีย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองนี้ เมืองเดียวกันกับที่เธอและสามีอาศัยอยู่

ภรรยาเห็นคนรักเก่าของสามีแล้วก็นึกลำพองใจ ผู้หญิงคนนั้นสวยสู้เธอไม่ได้ มีดีสู้เธอไม่ได้ แต่ประสาผู้หญิงก็คิดมากไม่เปลี่ยน ถึงภรรยาจะสวยแค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เคยเป็นคนที่สามีเธอเคยคบมา และยิ่งตอนนี้สามีของเธอก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องคนรักเก่า นั่นยิ่งทำให้เธอกังวล เพราะเธอไม่รู้ว่าสามีคิดอะไรอยู่ในใจ...

ผมอ่านแล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าคนที่เป็นภรรยาจะคิดมากอะไรนักหนา คนเขาเลิกกันไปตั้งนานแล้วก็คงลืมกันไปบ้างแหละ ผมคิดแบบนั้นจนผมมาเจอกับตัวเองนี่แหละครับ ผมถึงได้เข้าใจความรู้สึกของภรรยาแสนสวย แม้ว่าเธอจะมีดีทุกอย่าง เธอสวย เธอเป็นแม่ของลูกเขา เธอรักเขามาก แต่เธอก็ยังกังวลว่าสามีจะกลับไปหาคนรักเก่า

คนที่ไม่เคยเจอเองกับตัว จะไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ...

ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่ผมแค่หวงและหึง ผมแค่กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะอยากเอาณัฐกลับไปเป็นของเธอ เหมือนกับที่ภรรยากลัวว่าคนรักเก่าจะมาทวงสามีของเธอไป

ผมคิด...คิดซ้ำไปซ้ำมา... คิดแล้วร้องไห้ ร้องไห้จนผมหมดแรงแล้วก็หลับไป...


นั่นแหละครับ...เรื่องเมื่อวาน เมฆฝนในใจผมมันตั้งเค้าทะมึนยาวนานมาจนวันนี้ แถมตอนเช้าพอผมมาทำงานก็เจอคนปากมอมเป็นคนแรกเลย
“ฟี่ หน้ามึง...โทรมมาก” ผมใช้หางตาเหล่มองคนที่ทักผมด้วยความหงุดหงิด มันไม่รู้บ้างหรือไงว่าเรื่องอะไรควรพูด เรื่องอะไรไม่ควรพูด
“ใครเขาจะเหมือนมึงละทัช หน้าเหียกมาทำงานได้ทุกวัน” ผมพูดไปงั้นแหละครับ ไอ้ทัชมันก็ไมได้ขี้เหร่อะไร แต่ไม่หล่อเท่าณัฐของผมแค่นั้นเอง หึหึ
“วาจาแรงมาก...เอางานมึงไป กูไม่กวนใจมึงละ” ไอ้ทัชวางเอกสารประกอบงานชิ้นใหม่ไว้ที่โต๊ะผมแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม ผมหยิบเอกสารมาพลิกๆดูก็เห็นว่า ไม่ใช่งานเร่งอะไรนัก ผมเลยเลือกงานชิ้นที่ดูน่าสนใจมาทำก่อน

ผมรู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่ทัชมาสะกิดผมให้ไปกินข้าวเที่ยง ผมทำงานเพลินจนไม่ได้มองนาฬิกาอีกแล้ว
“ไปกินข้าวกัน ทำงานไม่รู้เวล่ำเวลานะมึงอะ” มันว่าผมอีกครับ
“จะกินอะไร” ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะกินอะไรดี ลองถามมันดู เผื่อว่าไอ้ทัชจะมีไอเดียดีๆ
“กูอยากกินตามสั่ง จะกินกะเพราไข่เยี่ยวม้า” มันพูดแล้วก็เดินนำเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำของมัน 
“เออ ความคิดดี งั้นกูเอาเหมือนมึงนะทัช” เราสองคนนั่งคุยโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนอาหารมาเสิร์ฟ พอผมจะตักข้าวเข้าปาก ไอ้ทัชก็ถามผมเสียงเรียบ
“มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่าฟี่”
“หือ?”
“กูรู้สึกนะ มึงเงียบๆ ชิ้นงานมึงก็ดูทึมๆ ถ้ามึงไม่ได้เป็นอะไรมึงไม่มีทางแสดงออกแบบนี้หรอก” ไอ้ทัชถามผมด้วยท่าทางที่เหมือนถามเรื่องดินฟ้าอากาศ มันถามเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ผมรู้ว่ามันก็อยากรู้ว่าผมเป็นอะไร
“...กูแค่คิดมากนิดหน่อย...”
“แล้วมึงคิดมากเรื่องเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“เรื่อง...ณัฐ..” ผมตอบแล้วทอดสายตาลงมองจานข้าว หวังว่าการนับเม็ดข้าวจะกลั้นไม่ให้น้ำตาผมหยดลงมาได้
“อืม...มึงเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร มีอะไรไม่เข้าใจกันทำไมไม่คุยไม่บอก”
“...” ผมยังคงนิ่ง...วันนี้ไอ้ทัชดูพึ่งพาได้
“ขนาดเรื่องมึงกับไอ้เม้ง มึงยังไม่เล่าเลยนะ” ผมเงยหน้าสบตาไอ้ทัชด้วยความแปลกใจ นี่มันรู้?
“เม้งบอกเหรอ?”
“อืม มันมาเล่าให้กูฟัง กูก็ตกใจนิดนึงอะนะ แต่กูเข้าใจมัน ก็มึงน่ารักจะตาย เชื่อมั้ย แรกๆที่รู้จักกันกูไม่อยากจะคิดเลยนะว่ามึงเป็นผู้ชาย ดูหน้ามึงสิ หวานซะขนาดนี้”
“กูจะบอกณัฐ” ผมหรี่ตามองไอ้ทัชอย่างระแวง หวังว่ามันคงไม่คิดชั่วกับผม...
“เฮ้ยอย่า แฟนมึงขี้หึงสัด! และกูไม่ได้คิดอะไรกับเพศเดียวกันด้วยเว้ย ไม่ใช่แนวกู” ไอ้ทัชโบกมือห้ามเป็นพัลวันเลยครับ แล้วมันก็กำชับว่าห้ามบอกณัฐเรื่องที่มันชมว่าผมน่ารักอีกหลายรอบ
“มึงอย่าเก็บเรื่องไว้กับตัว มีอะไรก็ต้องถามต้องเล่าบ้าง มึงไม่ได้ตัวคนเดียวนะฟี่”
“อืม...” ผมซึ้งใจขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเพื่อนห่วงผมแค่ไหน แต่แล้วผมก็เปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของไอ้ทัช...
“ถ้าไม่มีมึง กูก็อู้งานไม่ได้ ถ้ามึงเครียดจนป่วยต้องลางาน กูก็ต้องทำงานแทนมึงน่ะสิ” ไอ้เพื่อนเหี้ย...

“เออฟี่ มึงรู้เรื่องจูนยัง” ผมหันหน้าไปมองไอ้ทัชอย่างสงสัย เรื่องจูน? หมายความว่ายังไง?
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องจูนกับคิงเพื่อนมึงอะ”
“หา?? ทำไมวะ ไอ้คิงมีอะไรกับจูน”
“เห็นว่ากำลังดูๆกัน”
“อ้าว ไหงไปถึงขั้นนั้นได้อะ” ผมถามเสียงสูงด้วยความแปลกใจ นี่ผมมัวแต่คิดมากเรื่องตัวเองจนไม่เป็นอันเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงเลยเหรอ
“ไม่รู้เหมือนกัน กูเองก็บังเอิญไปเจอสองคนนั้นที่เจเจ พอตอนกลางคืนกูเลยโทรไปถามจูนมา มันก็บอกว่าลองคบๆดู เพราะเห็นว่าคิงมั่นคงมาตลอด เคยชอบมันยังไง ก็ยังชอบมันยังงั้น” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ในที่สุดความพยายามของไอ้คิงก็สำเร็จสินะ

ในเวลาหลังเลิกงานที่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ผมมานั่งคิดทบทวนถึงเรื่องเพื่อนสองคนที่ผมได้ฟังจากปากไอ้ทัช ผมเองดีใจที่เพื่อนสนิทของผมจะได้มาลงเอยกัน จูนเป็นคนดี และคิงก็เป็นคนดี

ความมั่นคงยังงั้นเหรอ?

จูนลองให้โอกาสคิงแม้ว่าเธอจะไม่เคยรู้สึกชอบคิงเลย แต่เพราะว่าคิงมั่นคงกับเธอยังงั้นเหรอ?

ผมคิดว่าบางทีการที่เราจะคบกับใครสักคน เหตุผลมันก็ไม่ได้เริ่มมาจากความรัก มันอาจจะเป็นการคบกันเพราะเห็นแก่ความดี คบเพราะสงสาร คบเพราะเห็นใจ ฯลฯ

แล้วณัฐคบผมเพราะอะไร??

TRrrr… TRrrr…

“ว่าไงครับ” ผมรับสายอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าใจเราจะสื่อถึงกันนะครับ หรือมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญผมก็ไม่รู้ แต่ว่าเวลาที่ผมกำลังคิดถึงเขา หรือเขากำลังคิดถึงผม ใจเราสองคนมักจะตรงกันเสมอ บางทีผมกำลังจะพิมพ์เมสเสจไปหาเขา เขาก็จะโทรมาหาผมพอดี
/ยังไม่กลับบ้านเหรอครับ?/
”กำลังจะกลับแล้ว”
/แล้วจะไปไหนหรือเปล่า?/
“ไม่หรอก ว่าจะกลับบ้านเลย” ผมรู้ว่าณัฐอยากให้ผมไปหา แต่ในสภาพอารมณ์แบบนี้ ผมไม่อยากจะไปเจอผู้คนเยอะๆ ผมกลัวตัวเองจะไปทำตัวมืดมนจนคนอื่นหดหู่ตามเปล่าๆครับ
/เหรอ.../
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฟี่กลับบ้านก่อน”
/อืม/

ผมว่าณัฐเขาต้องรู้สึกได้ครับ ว่าผมแปลกไป พนันได้เลยว่าคืนนี้ณัฐต้องมากดออดบ้านผมไวกว่าปกติแน่นอน...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล1. รู้สึกว่าตอนนี้แต่งออกมาเองก็มึนเอง ถ้าคุณผู้อ่านคิดว่าติดขัดตรงไหนก็บอกได้เลยนะคะ บีจะได้นำไปปรับแก้
ปล2. เรื่องนี้ตอนหลังต้องแฮปปี้แน่ค่ะ เรื่องหื่นก็แน่นอนค่ะ เพราะคาแรคเตอร์ของณัฐเป็นคนที่ขยันทำการบ้านอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ขอหื่นทีละนิด เพราะมาม่ามันมากกว่านิ > <


หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 01-07-2011 18:17:07
อ่าาา สู้เค้านะณัฐ
ตอนนี้มันมืดมนจริงๆ
อ่านแล้วจะอินตาม
คิดมาก คิดเยอะ ปวดหัว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 01-07-2011 18:35:42
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-07-2011 19:09:33
มาต่อเร็วๆเน้อ :กอด1:
ไม่มึนนะคะ สำนวนอย่างงี้คิดว่ายังเป็นสไตล์คุณบีอยู่
ถ้าเคยอ่านนิยายคุณบีมาก่อน จะไม่มึนแน่นอนค่ะ :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 01-07-2011 22:12:42
เค้าถึงว่าไม่มีใครมาทำร้ายตัวเราได้มากเท่าความคิดของเราเอง
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 02-07-2011 15:51:29
^^
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 02-07-2011 21:47:12
ฟี่เนี่ยเป็นคนคิดมากจังน่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-07-2011 22:24:48
ถ้าฟี่มีตัวตนจริง และถ้าดิฉันเป็นเพื่อนกับฟี่ ดิฉันคงพูดกับฟี่ว่า
"ฟี่กับผู้หญิงในนิยายที่ฟี่อ่านน่ะ ประสาท"
ถ้าใครที่คิดแบบฟี่คงหาความสุขในชีวิตไม่ได้หรอก
ฟี่เหมือนคนมองไม่เห็นความเป็นจริงของโลก ฟี่เหมือนคนไม่รู้เท่าทันโลก
เพราะฟี่อายุยังน้อย หรือเพราะพื้นฐานรอบครัวของฟี่กันน้า ที่ทำให้ฟี่มีความคิดแบบนี้
ดิฉันสงสารฟี่จัง ทำยังไงน้า ฟี่ถึงจะปรับเปลี่ยนความคิดที่เป็นบ่อนทำลายความสุขของตัวเอง แล้วมาคิดแบบเพิ่มสุขให้ตัวเองน่ะ
แต่..หนูบีเก่งจัง ที่ทำให้คนอ่านเห็นภาพฟี่ได้ชัดเจนและเข้าอกเข้าใจฟี่ซะ
จนเหมือนฟี่มีตัวตนจริงๆเลยน่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 03-07-2011 16:07:28
บรรยากาศมันหม่นเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 07-07-2011 22:56:37
ณัฐต้องเป็นห่วงแน่นอน
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 29-07-2011 22:07:58
หายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 23
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-08-2011 17:29:12

เสียงกดออดหน้าบ้านปลุกให้ผมโงหัวขึ้นมาจากหมอนอิงบนโซฟา ผมกระพริบตามองรอบตัวด้วยอารมณ์มึนๆ ข้างนอกมืดแล้ว น่าจะประมาณสองทุ่ม เสียงกดออดดังซ้ำอีกครั้งราวกับจะเร่งให้ผมลุกไปเปิดประตู ณ บัดนาว แต่สำหรับคนที่เพิ่งตื่นและปวดหัวตึ้บจะปรับสภาพร่างกายได้ดีแค่ไหนกันเชียวนะ

ผมลุกขึ้นยืนและเดินออกไปตรงประตูหน้า ผมจ้องมองลอดตาแมวและก็เห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย ณัฐมีสีหน้านิ่งๆแบบที่ผมเดาไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปรับเขา ณัฐก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมเหมือนเคย ความหงุดหงิดในใจของผมมันแทบจะสลายไปทันทีที่เห็นเขายิ้ม แต่ผมก็ย้ำกับตัวเองเอาไว้ให้หนักแน่นมากๆ

ผมยอมรับว่าผมอาจจะน่ารำคาญ ผมอาจจะเป็นคนที่คิดมากเกินไป แต่ที่ผมคิดมันก็เป็นเพราะว่าผมใส่ใจไม่ใช่เหรอ ถ้าหากผมไม่ได้คิดอะไรกับเขา ผมจะเก็บเอาเรื่องบ้าบอมาใส่ใจหรือเปล่า? ก็คงไม่

“เพิ่งตื่นเหรอ” ผมพยักหน้าแทนคำพูด ณัฐยังคงมีน้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนเคย เขาวางกระเป๋าไว้บนตู้รองเท้าแล้วเดินเข้ามากอดผม
“หน้ามึนเชียว” ผมยิ้มกับคำพูดของณัฐ เขาจูบผมเบาๆตรงหน้าผากและแก้ม
“งือ... ปวดหัวตึ้บๆ” ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะอ้อนเขากลับ ใครกันละที่จะไม่หวั่นไหวไปกับความอ่อนโยนแบบนี้
“ไม่สบายเหรอครับ งานยุ่งเหรอวันนี้”
“ไม่ยุ่งหรอก...คิดเรื่องอื่นมากกว่า” ผมเริ่มพูดแทนการพยักหน้าได้แล้วครับ สมองผมเริ่มทำงานแล้ว
“ไหนบอกณัฐสิ ว่าฟี่คิดมากเรื่องอะไร”
“...” ผมไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหนดี เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเล็กๆ กลัวว่าถามออกไปแล้วณัฐจะหาว่าผมงี่เง่า คิดมาก
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกณัฐ ฟี่แค่เหนื่อยๆ เดี๋ยวฟี่ก็หายเอง ไม่ต้องห่วงหรอก” สุดท้ายความพยายามของผมก็สูญเปล่า ผมไม่กล้าถามเขาเหมือนเดิม...
“ฟี่... ทำไมกัน มีปัญหาอะไรฟี่พูดกับณัฐไม่ได้เลยเหรอ” ผมส่ายหัวงุด มันไม่ใช่อย่างที่ณัฐคิด แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง
“ไม่ ฟี่ไม่ได้เป็นอะไร ณัฐอย่าสนใจเลย” ผมหันหน้าหนีเขา ถ้ายังขืนจ้องหน้ากันแบบนี้คงได้ทะเลาะกันแน่
“ณัฐไม่ได้ตายด้านนะ ถึงจะได้ไม่รับรู้ว่าฟี่แปลกไป”
“แต่ฟี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ฟี่แค่เหนื่อย” ผมขึ้นเสียงตัดบทกับเขา ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้นะ
“ฟี่เห็นณัฐเป็นคนอื่นใช่ไหม?” ณัฐทำเสียงตัดพ้อ สายตาเศร้า ผมเห็นแล้วก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมานิดหนึ่ง เรื่องของผมเนี่ยอยากจะรู้หนักหนา ต้องรู้ให้ได้ ต้องเค้นผมให้ได้ แต่พอเรื่องของเขาละไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยถ้าไม่ขอ
“ถ้าณัฐจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจเถอะ อยากจะเห็นฟี่เป็นคนอื่นนักก็ได้” ผมหันหลังเดินหนี แต่ณัฐก็คว้าแขนผมไว้แล้วกอดผมจากด้านหลัง
“ไม่ใช่สิฟี่ ณัฐไม่ได้คิดแบบนั้น ณัฐแค่ไม่อยากให้ฟี่คิดอะไรคนเดียว กังวลอะไรคนเดียว”
“...” ผมรู้สึกร้อนๆที่ขอบตา เหมือนน้ำตามันจะไหล
“ไม่มีอะไรหรอก ฟี่ก็แค่นึกถึง...เรื่องของณัฐ...ไม่เห็นณัฐพูดอะไรให้ฟังบ้างเลย...”
“เรื่องของณัฐ? เรื่องอะไรล่ะ ณัฐก็อยู่กับฟี่นี่ไง ไม่อยู่กับฟี่ก็อยู่บ้าน แล้วฟี่อยากรู้อะไร” ผมส่ายหัว ไม่ได้หมายถึงเรื่องแบบนั้น...
“ฟี่หมายถึง...เรื่องคนนั้น...ณัฐได้ติดต่อกับเขาบ้างหรือเปล่า ไม่เห็นณัฐพูดถึงบ้างเลย...” ก็ณัฐบอกผมเอาไว้ว่ามีอะไรก็จะเล่าให้ฟังนี่นา...
“ก็มันไม่มีอะไรนี่ แล้วจะให้ณัฐเล่าอะไร”
“แล้วณัฐไม่ได้โทรไปหาเขาบ้างเหรอ ณัฐบอกไว้เองนี่ว่ายังไงก็ยังต้องติดต่อกันอยู่...เพราะเรื่องลูก...”
“ณัฐโทรไป เพราะวันนั้นลูกไม่สบาย แล้วณัฐเป็นห่วงลูก แต่เขาก็ไม่รับสาย จะให้ณัฐไปหาที่บ้านก็ไม่กล้าหรอก ก็ณัฐทำเขาเสียใจไว้นี่ จะมีหน้าไปพบเขาได้ยังไง” ไม่รู้ทำไมกันนะ พอผมได้ยินคำว่าลูก ผมก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที...
“ถ้าณัฐห่วงลูกนัก แต่ไม่กล้าไปหาเพราะทำเขาเสียใจ ณัฐก็กลับไปดีกับเขาสิ คืนดีกับเขาซะ จะได้เจอลูกไง” ไม่ไหวแล้ว สุดท้ายผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่...
“อะไรกันฟี่ ก็ณัฐเคยบอกแล้วไงว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว ต่อให้เลิกกับฟี่ ณัฐก็ไม่มีทางกลับไปดีกับเขาหรอก”
“ก็แล้วณัฐเป็นห่วงลูกณัฐไม่ใช่หรือไงล่ะ นี่ก็เป็นทางเดียวไม่ใช่เหรอที่จะทำให้ได้เจอลูก”
“ทำไมฟี่ต้องเอาเรื่องที่ณัฐเป็นห่วงลูกมาต่อรองกันแบบนี้ ณัฐไม่มีสิทธิ์จะห่วงลูกเลยหรือไง ฟี่จะให้ณัฐเป็นคนใจดำที่ไม่เหลียวแลรับผิดชอบเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเลยเหรอ”
“แล้วจะให้ฟี่ทำใจได้ยังไง ณัฐรู้ไหมว่าไอ้คำว่า ‘ลูก’ มันแสลงใจฟี่แค่ไหน”
“....” ณัฐไม่ได้พูดอะไรกลับมา เขาขยับมาใกล้ผมและยกแขนจะสวมกอด แต่ผมก็เบี่ยงตัวออก
“ฟี่มีลูกไม่ได้นี่ ฟี่มีลูกให้ณัฐไม่ได้เหมือนผู้หญิงคนนั้นนี่...” น้ำตาผมไหลอาบแก้ม ผมรู้สึกขึ้นมาวูบหนึ่งว่าผมช่างทำตัวน่ารำคาญเหลือเกิน สักวันณัฐก็คงหมดใจให้ผมเพราะผมเป็นคนแบบนี้...
“ทำไมฟี่ถึงคิดว่าเรื่องนั้นมันถึงจะผูกมัดณัฐไว้ละ มันไม่จำเป็นเลยนะ ถ้าณัฐจะรักฟี่ ก็รักที่ตัวของฟี่ ไม่ได้รักเพราะฟี่มีลูก ไม่ได้เลือกฟี่เพราะความจำเป็นที่มันบังคับ...”
“...” พอณัฐเห็นผมเริ่มนิ่ง เขาก็สอดแขนรอบตัวผมและดึงผมไปนั่งบนตักเขา
“ณัฐยังไม่ทันได้รู้สึกอะไรกับเขาด้วยซ้ำ มันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของณัฐเอง พอมีลูกแล้ว ณัฐถึงได้เริ่มรู้สึกว่าว่าเข้ากันไม่ได้ ยังไม่ทันได้ศึกษากันและกันก็ต้องมามีลูกแล้ว”
“ไม่ร้องนะครับฟี่”
“อือ...” ผมขยับตัวหันไปซุกตรงซอกคอของณัฐ ผมชอบกลิ่นของเขา อุณหภูมิของณัฐที่ผมรู้สึกได้บ่งบอกว่าเขาอยู่กับผมในตอนนี้
“เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้วนะฟี่ ณัฐพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ตอนนี้ณัฐอยู่กับฟี่ หัวใจณัฐก็อยู่กับฟี่ ฟี่ไม่ต้องคิดเรื่องของคนอื่นอีก” ผมพยักหน้ารับ แต่แล้วก็นึกได้...
“แล้วทำไมณัฐไม่เห็นเล่าให้ฟี่ฟังเลยว่าโทรไปหาแล้วเขาไม่รับ” บอกจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องไงวะ...
“มันตั้งนานแล้วนะฟี่ ณัฐไม่ได้สนใจจำด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมไม่เล่าตั้งแต่ตอนนั้น”
“ก็มันไม่ได้อยู่ในสมองสักนิดนี่นา”

เรื่องหลังจากนั้นคงไม่ต้องพูดต่อหรอกนะครับ เอาเป็นว่าความสงสัยของผมมันก็จางหายไปแล้วละ และหลังจากการปรับความเข้าใจของเราสองคนแล้วผมกับณัฐจะทำอะไรกันต่อก็คงรู้นะครับ หึหึ...


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.1 ยังไม่ลืมกันใช่มั้ยคะ... :impress:
ปล.2 คือว่าที่หายไปนานไม่ใช่ว่าขี้เกียจหรือจะดองหรอกนะคะ สมองครีเอทตอนใหม่ได้มากมายแต่ไม่มีเวลาจะเขียน
เพราะว่าช่วงเดือนกค.มีโปรเจคใหม่เข้ามาแบบเร่งด่วน เลยไม่มีเวลาแต่งนิยายเลย
ปล.3 กำลังปั่นตอนที่ 24 นะคะ รับรองว่าสมกับที่รอคอยค่ะ  :m1:



หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-08-2011 20:15:28
อุกรี๊ดดดดดดด  :m3: :m3: :m3:
คุณบีมาต่อแล้ว  :mc4:

ดีใจ เหมือนถูกหวย  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 01-08-2011 20:40:33
 :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 01-08-2011 20:50:32
เซอร์ไพร์ส ชุดใหญ่
แต่แบบฟี่ บางครั้งก็น่ารำคาญจริงๆด้วย
แต่ก็มีคนนิสัยแบบนี้ไม่น้อย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-08-2011 20:53:50
น้องบีมาแล้วๆๆ
ยังไม่ลืมหรอก รออ่านเหมือนเดิมแหละ
อืม..นะ บางทีฟี่ก็ดูเหมือนงี่เง่าจริงๆแหละ(แรงไปไหมเนี่ย)
ลูกทั้งคน จะไม่ให้ณัฐรักและห่วงได้ไงเนาะ
ทีเราก็ยังรักยังห่วงคนตั้งหลายคน แต่มันรักคนละแบบ ห่วงคนละแบบไงฟี่
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 01-08-2011 21:49:51
^^
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 02-08-2011 01:22:07
เอาใจช่วยนะค่า อยากให้ต่อจนจบ สงสารปมในใจของฟี่
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 02-08-2011 02:38:30
อ่านแล้วนึกได้เลยว่า
ความรักทำให้คนงี่เง่า เป็นนิยามสำหรับ ฟี่มากๆ (-_____-" )
เพราะเป็นคนคิดมาก คิดลบ และมองโลกในแง่มืดมน
ไม่ค่อยมีจุดหมายอะไรชัดเจน พอมีแฟนเลยเอาทุกสิ่งไปไว้ทีแฟน แล้วกังวลไปล้านแปดเรื่อง
แล้วดันไม่กล้าถาม เพราะคิดคำตอบในแง่ร้ายรอไว้ก่อน

ถ้าบังเอิญมีคนที่กังวลแบบนี้กับแฟนตัวเอง
หายใจลึกๆ ถอดความคิดถึงแฟนออกมาซักสามสิบเปอร์เซนต์
เอาเวลาไปหางานอดิเรกทำ หาที่ของตัวเองจะได้ไม่เครียดมาก
แล้วก็มองรักในด้านดีบ้าง  อย่าคิดแต่ว่าจะเลิกกัน
และเลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ชีวิตรักจะแฮปปี้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 02-08-2011 06:53:54
ฟี่นี่...เป็นคนขี้เหงาเนอะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 02-08-2011 13:10:57
ฟี่ขี้เหงา งี่เง่าด้วย
คิดมาก คิดเยอะ เกิดขึ้นได้กับทุกคน
แต่ณัฐเค้ามีลูกอ่ะ ถ้าณัฐจะห่วงทางโน้นมากกว่าฟี่
มันก้อคือสิ่งที่ฟี่ต้องยอมรับ
เพราะณัฐร่วมกันสร้างเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้ว ต้องรับผิดชอบ ต้องดูแล ไปจนวันตายแหละ
ฟี่ใจเย็นๆ นะ ณัฐเองก้ทุกข์ไม่ใช่น้อย
ที่จะพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นทุกๆฝ่าย
เฮ้ออ มืดมน :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 02-08-2011 14:58:14
ฟี่เยอะไปนะ :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ถ้าไม่เป็นณัฐนี่  ใครจะรับได้ละเนี่ยย :serius2:

แต่ดีแล้วที่ณัฐเข้าใจฟี่มากๆ o13
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 03-08-2011 07:57:43
ฟี่ ก็ง้องแง้งเสมอต้น เสมอปลายดีเน๊อะ
แต่แบบนี้เราก็เคยเป็นอ่ะ รำคาญตัวเองเหมือนกัน
คิดเองป่วยเอง แก้ไม่ได้ซ๊ะที  :เฮ้อ:
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 24
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 04-08-2011 17:27:10

“ขยายสาขา?” ผมทวนประโยคของณัฐซ้ำอีกรอบเพราะคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป หลังจากที่ณัฐเพิ่งจะพูดอะไรเกี่ยวกับร้านกาแฟ ขยายสาขา และย้ายไปอยู่สาขาใหม่
“อืม พี่โอเขาไปดูที่มาแล้ว ตอนนี้ก็กำลังทำร้านอยู่”
“แล้วเขาจะให้ณัฐไปประจำสาขานั้น?”
“ไม่ใช่ๆ เขาจะให้ผลัดกันไปน่ะ”
“แล้วมันไกลขึ้นนี่”
“อืม ไม่ดีเลยอะ ณัฐไม่อยากไปเลย”
“...” ผมนิ่งคิด อะไรบางอย่างในความรู้สึกผมมันกำลังก่อตัวทีละน้อย มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก แต่ผมก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกยังไงกันแน่
“ฟี่ เป็นอะไร ทำไมทำหน้ามุ่ยละ” ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อณัฐแตะแก้มผม สงสัยผมคงจะเผลอแสดงออกทางสีหน้าไปชัดเจนเลยสินะ
“ไม่รู้สิณัฐ ฟี่ไม่ค่อยอยากให้ณัฐไปสาขาใหม่เลย ไกลก็ไกล แถมฟี่ยังไปหาลำบากด้วย” ผมไปเอานิสัยงี่เง่าแบบนี้มาจากไหนกันนะ...
“ณัฐก็ไม่อยากไป แต่มันเป็นงานนะฟี่”
“งือ” ผมถอนใจแล้วพยักหน้า ก็ณัฐพูดกับผมอ่อนโยนเหลือเกิน จิตใจที่ว้าวุ่นมันก็ค่อยสงบลง ผมหลับตาเพื่อซึมซับสัมผัสที่ณัฐลูบแก้มผม ผมจับมือณัฐไว้แล้วจูบลงไปที่ฝ่ามือ เรื่อยไปตามท่อนแขนและหัวไหล่ ผิวกายเปล่าเปลือยของณัฐทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง...
“อะไรกัน” ณัฐถามเสียงแผ่วเมื่อปลายลิ้นของผมไล้เลียไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าของเขา ผมชอบกลิ่นของณัฐเหลือเกิน ชอบเวลาที่กลิ่นกายของณัฐติดอยู่ตามผ้าห่ม หมอน ที่นอนของผม ผมชอบที่ได้เห็นเสื้อผ้าของณัฐแขวนอยู่ในตู้ของผม...

ชอบเวลาที่ตื่นมาในตอนเช้าและเห็นเขานอนอยู่ข้างผม...

“ฟี่ อือ...” ฝ่ามือของณัฐกดหัวของผมและขยุ้มเส้นผมอย่างทรมานเมื่อผมเคลื่อนตัวลงต่ำและใช้ริมฝีปากงับเจ้าสิ่งที่อ่นนุ่มนั้นเข้ามาในปากของผม ผมชอบเวลาที่มันอ่อนปวกเปียก ชอบเวลาที่ผมได้ทำให้มันตื่นขึ้นมาในปากของผม
“อะ...อา..” เสียงของณัฐกระตุ้นอารมณ์ผมให้โหมกระพือขึ้นไปอีก ผมแทบจะงัดทุกกระบวนท่าออกมาเพื่อให้ณัฐพอใจ แต่ทว่าคืนนี้ยังคงอีกยาวนาน ผมค่อยๆทำไปจะดีกว่า
“อ๊ะ!” ผมพลาดเสียแล้วเมื่อปล่อยให้มือใหญ่ของณัฐเอื้อมมากอบกุมกับน้องหนูของผมได้ นิ้วทั้งห้าของณัฐทำหน้าที่กระตุ้นเร้าอย่างชำนาญจนน้องหนูผมเริ่มแข็งขึง ผมเสียวจนละริมฝีปากออกจากแก่นกายตื่นตัวของณัฐและก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกกดอยู่เบื้องล่างแทน เสื้อยืดของผมถูกณัฐถอดออกอย่างรวดเร็วเหลือแต่เพียงแผ่นอกเปลือยที่หอบเหมือนจะขาดใจ
“อื้อ ณัฐ...อะไรกัน ขี้โกงอะ ตัวเองแรงเยอะกว่านะ...” ผมพยายามประท้วงแต่ก็ดูท่าว่าณัฐจะไม่สนใจเลย แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกาย ผมผวาเฮือกก่อนจะถูกณัฐจุบกดไว้แน่น อา...นี่เองที่เรียกว่าการถูกจับกด...
“อะ อ๊า!” ปลายนิ้วของณัฐเร่งความเร็วจนแผ่นหลังผมไม่ติดที่นอน
“ชอบไหม...ชอบให้ณัฐทำให้แบบนี้หรือเปล่า?” อึก! ไอ้คนบ้า ถามอะไรตรงๆแบบนั้นกันเล่า ผมเขินเป็นนะโว้ย
“หืม...ไม่พูดไม่ทำต่อนะครับ...” เสียงเซ็กซี่ยั่วเย้าล่อลวงให้ผมตกหลุมพราง เรื่องอะไรผมจะยอมทำตัวออดอ้อนน่าอายแบบนั้นละ
“ฮึก...ชอบ..” แต่ปากผมมันไม่ฟังคำสั่งจากสมองเลยครับ
“น่ารักจริง หึหึ..” ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ทำไมผมถึงไม่เคยต่อต้านเขาได้สำเร็จเลยนะ แล้วจู่ๆนิ้วที่ควานลึกอยู่ภายในก็เพิ่มจำนวนจากหนึ่งเป็นสอง ผมรู้สึกอึดอัดเบื้องล่างขึ้นมาทันที แก่นกายของณัฐบดเบียดเข้ากับต้นขาของผม ผมรู้สึกได้ถึงความเหนอะหนะจากส่วนปลายที่แข็งขึงนั้น ใจอยากจะโผเข้าไปหาและกลืนกินทุกอย่างของณัฐเข้าไปให้หมด แต่ติดที่มือใหญ่ล็อกเอวผมเอาไว้นี่สิ แถมยังไอ้นิ้วยาวๆที่ทำหน้าที่อยู่ตรงส่วนล่างของผมไม่เอื้อให้ผมคิดอย่างอื่นนอกจากส่งเสียงรัญจวนเพื่อให้ณัฐพอใจ...
“อยากได้เหรอ...อยากได้เหรอครับ?” น้ำเสียงอ่อนโยนใจดีขัดกับสายตาชั่วร้าย แต่ผมก็ยังพยักหน้าอ้อนวอนเพื่อให้ณัฐมอบในสิ่งที่ผมอยากได้
“อ๊ะ!!” ผมอุทานเมื่อรู้สึกว่าถูกยกตัวขึ้นสูงพร้อมกับลิ้นอุ่นหนาจาบจ้วงไปยังด้านหลังที่มีนิ้วนำทางอยู่ ผมพยายามดิ้นหนีเพราะไม่ชอบที่ณัฐจะมาใช้ลิ้นกับตรงจุดนั้น มันไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่ามันสกปรกก็เท่านั้น
 “ไม่ชอบเหรอ” อา...มาแล้วครับ เจ้าเสียงเศร้าสร้อยออดอ้อน ณัฐช้อนสายตามองผมเหมือนลูกหมาน้อย ช่างน่าสงสารจนผมใจอ่อนอีกแล้ว
“ชอบสิ แต่มันสก-”
“ไม่ต้องพูดเลยนะฟี่ ณัฐชอบของณัฐ ณัฐรักของณัฐ มันไม่สกปรกเลยนะ ทีฟี่ทำให้ณัฐละ” ณัฐพูดอย่างเด็ดขาดเสียจนผมเถียงไม่ออก ความรู้สึกค่อยๆไต่ระดับจนถึงจุดสูงสุด และผมก็ปลดปล่อยทั้งหมดออกมาจนเกลี้ยง ใบหน้าของณัฐมีหยาดหยดเกาะอยู่เป็นจุดๆ ผมรู้สึกหน้าร้อนวาบ นี่มันน่าอายจริงๆนะ...
“วันนี้หวานนะฟี่ สงสัยเป็นเพราะกินขนมหวานไปตอนมื้อเย็น” เสียงณัฐยั่วเย้าจนผมอยากจะมุดหน้าเข้าไปในผ้านวม แต่เจ้ากรรม...ณัฐคงไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ
“จะเสร็จคนเดียวได้ไงละหืม?” ณัฐยืดตัวขึ้นสูง และใช้อุ้งมือทั้งสองกำรอบข้อเท้าผมแน่น ก่อนจะจับแยกออกกว้างแล้วดันขึ้นแนบหน้าอกข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งยกขึ้นพาดบ่าของเขาไว้ เผยส่วนน่าอายให้เชยชมเต็มที่จนผมต้องเบือนหน้าหนี และพยายามเอื้อมมือลงล่างเพื่อปกปิดส่วนลับไม่ให้เขามอง แต่ก็กลับโดนมือยึดแน่นไว้ทั้งคู่
“ณัฐอะ อย่าทำแบบนี้นะ มันน่าอายจะตายไป”
“อายแหละดีแล้ว เวลาฟี่อายแล้วน่ากินที่สุด” แหงะ...ไอ้คนลามก
“อ๋า!” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกได้ถึงแรงดันที่ปากทางอย่างช้าๆ จากปลายไล่ลึกเข้ามาทีละนิ้วๆ จนสุดความยาว ผมสูดหายใจยาวยืด เอกลักษณ์ของณัฐคือความรุนแรงที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ณัฐไม่เคยหยุดชะงักแม้ว่าปลายทางจะแน่นแค่ไหน แต่ณัฐจะใช้วิธีขยับเข้ามาทีละน้อยๆ เนิ่นนาน แต่ลึกล้ำ
“ของฟี่คอยจะดูดของณัฐเข้าไปเรื่อยเลย...” เสียงณัฐสั่นเครือ สะโพกแกร่งขยับเข้าออกหลังจากที่รอให้ผมปรับตัวชั่วเวลาหนึ่ง ส่วนปลายของณัฐครูดกับผนังภายในจนผมต้องร้องครางออกมา เสียงหอบหายใจของเราสองคนรุนแรงสอดประสานเข้ากับจังหวะการขยับกายสม่ำเสมอ ผมยกมือลูบแก้มของณัฐด้วยความรู้สึกที่โหยหา แม้จะได้ใกล้ชิดกันสักเท่าไรผมก็ไม่เคยจะรู้สึกว่ามันเพียงพอ...
“อือ...” ผมหลับตารับจูบจากณัฐ เขาดันสะโพกเร็วขึ้นพร้อมกับสอดลิ้นชิมรสชาติในปากผมอย่างช่ำชอง ผมดันไหล่ณัฐออกและสูดอากาศเฮือกใหญ่เข้าปดก่อนที่จะถูกณัฐจู่โจมจูบอีกครั้ง
“อ๊ะ...อา..ณัฐ...ณัฐ...” แม้ว่าผมจะหลับตา แต่ว่าทุกสัมผัสที่รุกเร้าผมอยู่ตอนนี้ก็ช่างคุ้นเคย ผมเรียกชื่อของคนที่โผล่เข้ามาในห้วงความคิดของผม ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองส่งเสียงไม่เป็นภาษา แรงกระแทกจากด้านบนหนักหน่วงตามอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ผมกรีดร้องหนักขึ้นเมื่อมือของณัฐกอบกุมน้องหนูของผมและรูดรั้งให้ความเสียวทวีขึ้นไปอีก
“ครับ...เรียกชื่อณัฐอีกสิฟี่” ณัฐพูดไปหอบไป จากความคุ้นเคยผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
“อะอื๊อ! ณัฐ!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อสะโพกหนายันเข้าสุดก่อนถอยออกอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงการเกร็งกระตุกจากส่วนล่างของผม ณัฐตัวสั่นเทิ้ม ปากหอบหาอากาศหายใจ เสียงทุ้มครางต่ำอยู่ข้างหูผมก่อนปลดปล่อยความร้อนออกมาจนสุดตัว แรงรัดของช่องทางด้านหลังมากขึ้นผมคิดว่าตัวเองกำลังจะแตกสลาย ริมฝีปากอุ่นของณัฐจูบที่แก้มผมและพร่ำกระซิบถ้อยคำที่ทำให้ผมหลับสบายได้ทุกคืน...
“รักฟี่นะ...”

ผมนอนมองชายผ้าม่านแสนรักที่อาผึ้งเย็บให้ผมกำลังปลิวไหวเพราะลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ผมชอบนอนมองผ้าม่านปลิวเพราะลมพัด มันรู้สึกสบายตาอย่างบอกไม่ถูก
“อือ...” เสียงทุ้มครางอย่างงัวเงียกับแรงกอดรัดจากด้านหลังเรียกให้ผมหันไปสนใจ คนที่ยังคงหลับตาพริ้มดึงผมเข้าไปหาตัวแล้วกอดไว้แน่นเหมือนเด็กหวงของ ผมอดยิ้มไม่ได้...น่ารัก...
“ตื่นได้แล้วมั้ง...” ผมกระซิบข้างหูคนขี้เซา ณัฐยิ้มน้อยๆและกอดผมแน่นขึ้น แก้มใสซุกเข้ากับสีข้างของผม ณัฐไซ้จมูกกับผิวเนื้อของผมจนพอใจแล้วจึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ
“กี่โมงแล้ว”
“เจ็ดโมงครึ่ง”
“ฟี่ตื่นเช้าจัง”
“นอนเต็มอิ่มน่ะ ก็เลยตื่นเช้า ณัฐต้องไปทำงานนี่นะ อยากกินอะไรมั้ย”
“อือ...กินฟี่...”
“กินฟี่ไม่ได้ อยากกินอะไรครับ บอกเร็ว เดี๋ยวฟี่จะลงไปทำให้” ผมประคองแก้มนุ่มให้หันมาคุยกับผม เวลาเช้าๆเขามักจะงัวเงียเสมอ
“ไม่อาว จะกินฟี่” ไม่รู้ว่าไอ้ท่าทีกรุ้มกริ่มร้ายกาจอย่างเมื่อคืนไปไหน กลางคืนเป็นอย่างหนึ่ง พอเช้ามาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เวลางัวเงียณัฐจะช่างอ้อนเสียจริง แล้วแบบนี้ผมจะไม่หลงได้ยังไง...
“อ๋า...อะไรกัน” ณัฐทำเสียงเหมือนแปลกใจเมื่อผมเอื้อมมือลงไปจับส่วนล่างที่ยังคงหลับใหล ทำไมผมจะไม่รู้กันว่าเขาแอ๊บ
“อย่านะฟี่...” ณัฐบีบไหล่ผมแน่นเมื่อผมใช้มือลูบคลำหนักขึ้น ส่วนนั้นจากที่เคยอ่อนปวกเปียกเริ่มพองตัวขึ้นในมือผม
“ฮึ่ย~ รับผิดชอบเลยนะฟี่”
“ไม่อ๊าว!” ผมรีบกระโดดลงจากเตียงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะถูกตะครุบ ณัฐทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนผมรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นการออกไปให้พ้นจากระยะของเตียงนอนจะปลอดภัยที่สุด
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ตัวแสบ” เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังผมมา เรียกเสียงหัวเราะอย่างสะใจให้ผมได้เป็นอย่างดี


เวลาบ่ายกว่าๆเป็นช่วงที่เรามักจะง่วงนอน แต่สำหรับผมที่หลับมาตั้งแต่ตอนณัฐออกไปทำงานจนป่านนี้คงไม่มีทางง่วงแน่นอน หลังจากที่ผมนอนบิดขี้เกียจได้สองสามครั้ง โทรศัพท์มือถือตรงหัวเตียงผมก็ดังขึ้น
- เชอรี่ –
น่าแปลกที่เชอรี่โทรมาในวันหยุดแบบนี้ เพราะปรกติเธอมักจะยังคงหลับอยู่จนบ่ายสามโน่น ผมเองจะเป็นฝ่ายโทรไปปลุกเธอเสียด้วยซ้ำ
“ว่าไงครับเชอรี่”
/ฟี่~ ตื่นแล้วเหรอ/
“อื้อ เพิ่งจะตื่นเมื่อกี้เอง แปลกจังที่เชอรี่โทรมาช่วงนี้”
/ฮิฮิ วันนี้เชอรี่เอาของออกมาให้เจ้าส้มที่มหา’ลัยน่ะ/
“เจ้าส้มลืมของอีกแล้วเหรอ” ผมนึกขำๆ เจ้าส้ม หรือส้ม คือน้องชายของเชอรี่ที่อายุห่างกันประมาณห้าปี เจ้าส้มเพิ่งเข้าปีหนึ่ง แต่รูปร่างหน้าตาล้ำไปเหมือนเด็กปีห้า อ๋อ เจ้าส้มเรียนเภสัชครับ เลยเรียนห้าปี
/อาทิตย์นี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะฟี่ สองครั้งแรกเป็นวันทำงาน ม๊าเลยเอาไปให้ แต่วันนี้เป็นวันเสาร์ เลยใช้เชอรี่ออกมา/
“หึหึ ก็ดีแล้ว จะได้ตื่นเช้าๆไง”
/นั่นสิ เชอรี่ก็เลยได้เจออะไรดีๆแหละฟี่/
“อะไรเหรอ”
/ก็ช่วงนี้เขากำลังรับสมัครนักศึกษาปริญญาโทน่ะสิฟี่/
“เชอรี่จะสมัครเหรอ”
/ใช่ แล้วก็จะชวนฟี่มาสมัครด้วย/ เฮ้ย เชอรี่กับผมเรียนกันคนละสาขามานะ
/อย่าเพิ่งตกใจนะฟี่ เชอรี่จะเรียนสาขานิเทศน่ะ แต่ที่เชอรี่โทรมาเนี่ยก็เพราะว่าเขารับสมัครนักศึกษาทุนสาขามัลติด้วย/ อืม...ฟังดูน่าสนใจ
“แล้วเงื่อนไขของผู้ได้รับทุนละเชอรี่”
/เอ่อ...เดี๋ยวนะ... จะต้องมีเกรดเฉลี่ยระดับป.ตรี 3.50 ขึ้นไป และต้องรักษาเกรดเฉลี่ยระดับป.โทให้ได้ 3.50 ขึ้นทุกเทอม ต้องมีผลงานนำเสนอคณะกรรมการทุกเทอม และเมื่อจบแล้วต้องไปทำงานใช้ทุนในบริษัท XXX ที่เป็นบริษัทในเครือของผู้ให้ทุน/
“โห...เงื่อนไขเยอะมากเลยอะ แล้วฟี่จะไหวมั้ยเนี่ย”
/เชอรี่ว่าอย่างน้อยเกรดเฉลี่ยป.ตรีของฟี่ก็ผ่านแล้วแหละ ฮิฮิ/ ผมนึกถึงเกรดเฉลี่ยผมที่ผ่านเงื่อนไขแบบฉิวเฉียดคือ 3.54 เฮ้อ...สงสัยคงต้องลองสักตั้ง
“งั้นเชอรี่ช่วยเอารายละเอียดมาให้ฟี่ได้มั้ย”
/ได้สิ งั้นเชอรี่เอาไปให้ที่บ้านฟี่เลยนะจ๊ะ/
“โอเค แล้วเจอกันครับ” ความคิดของผมพันกันอีรุงตุงนังหลังจากวางสาย ผมคิดมานานแล้วแหละเรื่องเรียนต่อน่ะ เพียงแต่ว่าช่วงนั้นมันมีเรื่องอะไรให้คิดมากมาย ก็เลยพักโครงการไป แถมยังเก็บเงินค่าเทอมไม่ได้ด้วย ต่อให้สอบได้ก็คงไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แต่ที่เชอรี่บอกมามันเป็นทุนนี่นะ...

ตอนนี้เหลือปัญหาเดียว...

คือณัฐจะยอมให้ผมเรียนหรือเปล่า...

พ่อทูนหัวของผมน่ะ งี่เง่าน้อยเสียเมื่อไรละครับ...


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.รักทุกคนค่ะ  :-[


หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 24 (04/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 04-08-2011 18:08:46
อัยยะ ฟี่นัฐมาแล้ว

อ่านตอนนี้รู้สึกว่าจะแอบนอยด์ๆ

แต่ชอบประโยคสุดท้ายอ่ะ พ่อทูนหัวของผมงี่เง่าน้อยเสียเมื่อไหร่ เอาไปเลย +1 อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 24 (04/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 04-08-2011 18:35:42
อ่านตอนนี้ แล้วรู้สึกว่า nc ตอนนี้มันแปลกๆไป
เหมือนพยายามบรรยายแบบนิยายญี่ปุ่นอ่ะค่ะ   อ่านแล้วสะดุดกึ้กมากเลย
ชอบการบรรยายของคุณบีแบบเก่ามากกว่านะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 24 (04/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 04-08-2011 19:18:18
ณัฐย้ายสาขา
ฟี่เรียนต่อโท
เหอเหอเหอ ถ้าไม่เชื่อใจกัน
ทะเลาะกันบ่อยแน่ๆ
หัวข้อ: ช่องว่างหมายเลข 25
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 11-08-2011 19:10:17
Special: Nath’s scene

ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าที่แท้จริงแล้วผมรู้สึกอย่างไร
หวง? ก็ไม่ใช่
หึง? ก็ไม่ใช่
กลัวว่าฟี่จะห่างไกลจากผมมากขึ้น? ก็ไม่ใช่
กลัวว่าจะมีคนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะกับฟี่? อืม...อันนี้ก็มีส่วน ผมไว้ใจฟี่ แต่ผมไม่ไว้ใจคนอื่น
กลัวว่าเราสองคนจะมีเวลาให้กันน้อยลง? อืม... พอจะเข้าเค้าแล้วครับ...

สำหรับผมและฟี่ ‘เวลา’ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก วันหยุดของผมที่ทั้งอาทิตย์มีเพียงวันเดียว แล้วผมยังจะต้องไปเรียนอีก นานๆครั้งที่ผมจะลาหยุดให้ตรงกับวันเสาร์ หรือมีวันหยุดพิเศษ เราจึงจะได้ใช้เวลาร่วมกัน...

ถ้าฟี่จะไปเรียนต่อโท วันเสาร์อาทิตย์ของฟี่ก็ต้องใช้เวลาไปกับการเรียน ไหนจะทำรายงาน ทำโปรเจคท์สารพัด...

แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อเสียเดียวที่ผมจะนึกออกเมื่อฟี่เรียนต่อโท

นอกเหนือจากนั้นก็ล้วนเป็นผลดีกับตัวฟี่ทั้งหมด

แล้วจะมีสาเหตุอะไรที่ผมจะถ่วงความเจริญของฟี่เอาไว้ละครับ...

“ณัฐ ลูกค้าสั่งแก้วเดียว ทำมาทำไมสองแก้วเนี่ย” เสียงพี่เป็ดทำให้ผมรู้สึกตัว มอคค่าแก้วที่ลูกค้าสั่งอยู่ตรงเคาเตอร์ อีกแก้วหนึ่งเป็นลาเต้...ลาเต้ที่ฟี่ชอบดื่มเสมอ... ผมคิดถึงฟี่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบๆเหม่อๆนะ” พี่เป็ดถามผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมนั่งลงบนสตูลแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเล่าเรื่องในใจผมให้พี่เป็ดฟัง สีหน้าของแกดูครุ่นคิดตามผมไปด้วย พอผมเล่าจบ พี่เป็ดก็จับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ
“ณัฐมีความสุขมากใช่มั้ย?” ผมพยักหน้ากับคำถามแปลกๆของแก
“ถึงพี่จะไม่เคยพูด แต่พี่ก็รับรู้ได้ว่าณัฐมีความสุข มันเหมือนกับว่าณัฐมีจุดมุ่งหมายในชีวิตมากขึ้น ณัฐรู้ตัวว่าณัฐจะทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร หรือเพื่อใคร” ผมก้มหน้าเมื่อฟังถึงตรงหน้า มันเป็นเรื่องจริงที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่ผมตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจทำงานมากขึ้น กินเหล้ากินเบียร์น้อยลง มันชัดเจนขนาดนั้นเลยใช่ไหมครับว่าผมทำเพื่อใคร...

“แต่ความสุขมันมากเกินไปจนณัฐรู้สึกกลัวสินะ...” ผมเงยหน้ามองพี่เป็ด ไม่ยักรู้เลยว่าความสุขนั้นมันน่ากลัว...

กลัว...ความสุข...งั้นเหรอ

ผมมีความสุขเวลาที่ได้กุมมือฟี่ มือเล็ก บอบบาง ผมเต็มใจที่จะดูแลฟี่
ผมชอบที่ได้กินอาหารฝีมือฟี่
ผมรักที่ได้ตื่นมาและเห็นหน้าฟี่เป็นคนแรก
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ฟี่ส่งมาให้ผมผ่านดวงตาสีอ่อนคู่นั้น
ผมรู้ว่าผมควรจะดีใจที่มีฟี่...
แต่ลึกๆแล้ว.... ผมกังวลเสมอมา...ยิ่งรักมาก ยิ่งห่วงมาก...ยิ่งคิดถึง...ก็ยิ่งกลัว
หากว่าความห่างที่มากขึ้น ทำให้เราสองคนเปลี่ยนไป ทำให้เราต้องห่างกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้ามีความสุขมากมายแต่รักษามันไว้ไม่ได้
บางทีผมนอนที่บ้าน...ข้างตัวผมไม่มีฟี่... เมื่อตื่นมาก็ใจหายทุกครั้งที่ไม่เห็นร่างอุ่นๆนั้นซุกตัวอยู่ข้างผม จนนึกออกว่าผมอยู่ที่บ้านของผมเอง...

“พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ณัฐหายกลัวนะ ใจคนมันก็แบบนี้แหละ แต่รู้ไหม สิ่งดีๆมักจะเกิดจากช่วงเวลาที่เราคิดว่ายากลำบากที่สุด เมื่อเราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ สิ่งที่ตอบแทนกลับมามักจะมีค่ามากเสมอ” พี่เป็ดพูดยิ้มๆแล้วก็คว้าแก้วลาเต้แก้วนั้นไปดื่ม เพียงอึกเดียวพี่เป็ดก็สำลักทันที
“แค่กๆ ทำไมมันหวานจังละณัฐ” ผมหัวเราะเบาๆ พี่เป็ดไม่กินหวานครับ
“ณัฐคิดถึงฟี่ ก็เลยเผลอชงไปครับ ฟี่ชอบกินหวานๆ” ผมยิ้มเมื่อคิดถึงคนที่ผมแสนรัก ความสุขที่ไม่มีที่มาเอ่อล้นขึ้นมาในใจของผม วินาทีนั้นผมคิดขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง
‘การคิดถึงใครสักคน ควรจะต้องคิดถึงแล้วมีพลัง ไม่ใช่คิดถึงแล้วเป็นทุกข์ แบบนั้นมันไม่เรียกว่าการคิดถึงหรอก’
สู้เอาเวลากังวล มาเอาใจช่วยให้ฟี่สอบได้ดีกว่านะ...จริงไหมครับ

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ผมนั่งพลิกอ่านเอกสารที่เชอรี่เอามากองไว้ให้ผม รายละเอียดเกี่ยวกับการสอบบอกเอาไว้อย่างครบถ้วน ผมเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อลองเซิร์ชหาแนวข้อสอบของปีก่อนๆ รายละเอียดมีไม่ค่อยมากนักแต่ผมก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นครับ...

พอคิดว่าสิ่งที่ผมเคยคิดไว้เริ่มมีความเป็นไปได้ ผมก็รู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันระอุ เอ่อ...ผมไม่ได้ได้จะไปชกมวยนะครับ..

ผมชอบเรียน อยากเรียนเยอะๆ เคยคิดไว้ว่าอยากจะเอาถึงปริญญาเอก แต่ชีวิตจริงมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น... การงาน ความรัก ทำให้ชีวิตจริงของผมเบี่ยงเบนจากความฝันไปมากขึ้นๆ แต่ตอนนี้ ความฝันของผมมันกำลังกลับมาหา...

แต่มันจะทำให้ผมและณัฐมีเวลาให้กันน้อยลงนะ... ความคิดเสี้ยวหนึ่งมันแว่บขึ้นมาแบบนั้น...

ผมอายุยี่สิบสี่ พ้นจากวัยเรียนมาแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่ง ผมไม่ใช่วัยรุ่นคลั่งรัก ที่จะทำทุกอย่างเพื่อความรักและบูชาความรักมากกว่าการให้ความสำคัญกับตัวเอง ผมเคยผ่านจุดที่ทำได้แค่เฝ้ามองคนที่ผมรักมาแล้ว ความทรมานที่ไม่ได้รับรักตอบมันย่ำแย่แค่ไหนผมรู้ดี แต่ตอนนี้ณัฐรักผม และเรารักกัน แค่เพียงความห่างที่อาจจะมากขึ้นไม่สามารถทำลายความรู้สึกที่ผมเก็บมานานได้หรอกครับ

ความสัมพันธ์ในครั้งนี้สอนให้ผมได้รู้คุณค่าของความรัก การสูญเสียคนที่รักและการพลัดพรากมากมายทำให้ผมเรียนรู้ที่จะถนอมความรักที่มีอยู่ให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทุ่มเทให้ความรักจนผมสูญเสียความเป็นตัวผมเอง และณัฐก็คงไม่ดีใจแน่ๆถ้าผมทำทุกอย่างเพื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนทิ้งสิ่งสำคัญอื่นๆไป

ณ ตอนนี้ความสัมพันธ์แบบคนรักของเราสองคนมันเพิ่งจะเริ่มเองครับ ยังมีเวลาอีกมากมายที่เราจะได้ใช้ร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่ผมจะเชื่อก็คือความรู้สึกนี้จะยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแม้ว่าจะมีตัวแปรอื่นๆเข้ามาในชีวิตของเราสองคนมากมาย

ให้มันรู้ไปสิครับ...ว่าแค่การที่มีเวลาให้กันน้อยลง จะทำให้ผมรักเขาน้อยลง...

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

สอง-สามเดือนผ่านไป...
ซองจดหมายสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าผม ผมเงยหน้ามองณัฐแบบงงๆ แต่พอเห็นตรามหาวิทยาลัยผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของณัฐจึงดูเหมือนตื่นเต้นนัก
“ณัฐเปิดสิ”
“จะเอางั้นเหรอ” ณัฐถามกลับ และผมก็พยักหน้า ผมมองมือของณัฐแกะซองจดหมายออก หัวใจผมเต้นตึกตักๆแรงขึ้นทุกที ณัฐอ่านจดหมายแบบไม่ออกเสียง ผมมองหน้าณัฐสลับกับจดหมายในมือไปมา ผ่านไปเกือบนาที ณัฐก็วางจดหมายลง
“ฟี่” อ้อมกอดอบอุ่นที่กอดผมอยู่ทุกวันมาแบบรุนแรงและรวดเร็ว ณัฐกอดผมแน่น แน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผมทำตัวไม่ถูก อยากจะเอื้อมมือไปคว้าจดหมายมาอ่าน แต่ณัฐก็กอดผมจนขยับไม่ได้
“ณัฐ ผลเป็นยังไง ในจดหมายว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงผมเริ่มร้อนรน ผมอยากรู้ผลใจจะขาดอยู่แล้ว
“ฟี่...ต้องสัญญาว่าจะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งรอบตัวนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาในชิวตของเราสองคนเท่าไร เราก็จะยังมั่นคงต่อกันและกันใช่ไหม?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นซี่~~ ว่าแต่ณัฐบอกฟี่สักทีเถอะ ฟี่อยากรู้ผลแล้วนะ”
“อะไรกัน ณัฐพูดขนาดนี้แล้วฟี่ยังไม่รู้อีกเหรอ” ณัฐทำหน้ายิ้มแบบกรุ้มกริ่ม ผมเบิกตากว้างทันที
“นี่อย่าบอกนะว่า...”
“อื้อ ฟี่ได้เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่น่าหม่ำที่สุดในโลกแล้วนะ” ณัฐหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“เฮ้ย จริงดิ นี่ฟี่สอบติดแล้วจริงๆเหรอ อยากจะกรี๊ด!!”
“หึหึ ฟี่ของณัฐเก่งที่สุดเลยครับ” ตอนนั้นผมไม่รู้แล้วครับว่าณัฐหอมแก้มผมไปกี่ครั้ง กอดผมไปกี่หน ผมได้แต่นิ่งอึ้งเป็นตุ๊กตาให้ณัฐกอดรัดฟัดเหวี่ยงไปจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขากดผมนอนลงบนโซฟานั่นแหละ...
“มัดจำไว้ก่อนเยอะๆ เผื่อฟี่เรียนยุ่ง แล้วไม่มีเวลาทำการบ้านให้ณัฐ” นั่นละเหตุผลของเขา...



----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล. บีคิดไว้แล้วนะคะ ว่าตอนหน้าจะเป็นตอนจบ บีขออธิบายไว้ตอนนี้เลยว่าเรื่องนี้มันคงสุดได้แค่เท่านี้ เพราะว่าพื้นเพของเรื่องมันก็เกิดจากเอาเรื่องของคนรอบๆตัวมาเก็บเล็กผสมน้อยแล้วปั้นเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา โดยบีเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องเมื่อสมัยอดีต จน ณ ตอนนี้เรื่องมันก็ดำเนินมาถึงเรื่องจริงในปัจจุบัน และก็เป็นจุดที่อิ่มตัวที่สุดแล้วค่ะ ถ้ายังดันทุรังเขียนต่อ ก็มีแต่จะกลายเป็นนิยายหลอกตัวเองไป เพราะงั้นเลยขอยุติไว้แค่ตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 11-08-2011 20:16:03
ขอบคุณสำหรับตอนต่อครับ
แต่...ไม่อยากอ่านตอนหน้าเลย  มันหวิวๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-08-2011 06:35:32
จะรออ่านตอนหน้าต่อนะคะคุณบี :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 12-08-2011 14:03:00
ถ้าตอนหน้าจบ ขอตอนพิเศษด้วยนะค้า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 12-08-2011 14:39:42
ฟี่มีแนวโน้มว่า จะเป็นผู้ใหญ่ใหญ่ขึ้น ยั้งๆการคิดทำอะไรตามใจตามอารมณ์ลง
คิดถึงความมั่นคงในอนาคตมากขึ้น ก็ดีใจไปกับฟี่ด้วย
อิ อิ ณัฐจะมีแฟนเป็นนักศึกษาป.โทที่น่ากินที่สุด อิจฉาวุ้ย
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ตอนหน้าก็คือตอนจบ งั้นปูเสื่อรอตอนหน้าดีกว่า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 12-08-2011 16:02:58
รอตอนหน้าจ้า
อ่านแล้วนึกถึงตัวเองจริงๆ เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: Akamei ที่ 12-08-2011 16:32:37
ณัฐน่ารักอ่ะ
คู่นี้ พอลองเข้าใจกันแล้ว ก้น่ารักมากๆเลยอ่ะ
55555555555
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 12-08-2011 17:06:31
น่ารัก ปน หวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-08-2011 18:45:18
ไม่เป็นไรค่ะ
แล้วแต่คนเขียน
เป็นเรื่องที่ชอบอีกเรื่องหนึ่งเลย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: Akamei ที่ 12-08-2011 21:32:44
สองคนนี้เวลาจู๋จี๋กันน่ารักมากมายอ่ะ
5555555555
นิสัยตัวละครมันดูเป็นจริงในสังคมมากอ่ะ
เราชอบๆ แต่ขอหวานๆสักตอน คิคิ

+1 ค่ะ :D
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 15-08-2011 15:41:59
เข้ามารอตอนจบครับ
คนแต่งก็สู้ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 16-08-2011 05:06:33
กรี๊ดดดด พึ่งเข้ามาอ่านก็ จะจบเรื่องซะเเล้ว

ไล่อ่านทีเดียวจบเลยค่ะ ตึดหนึบตั้งเเต่ตอนเเรก

น้ำตาซึมสองบทเเรก

บทที่สามถึงตอนล่าสุด ไหลหยดเเหมะๆ เอาซะหิวน้ำเลยต้องยกซดไปขวดหนึ่ง

ชอบมากเลยค่ะ เเอร๊ยยยย
หัวข้อ: ช่องว่าง ตอนที่ 26 [จบสักที -..-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 31-08-2011 17:31:08
สิ่งที่คุณปรารถนาจะได้รับจากคนรักของคุณที่สุดคืออะไร?
ของขวัญ เงินทอง
อ้อมกอด สัมผัส ความรัก ความห่วงใย ฯลฯ
สำหรับผมมีแค่สองสิ่งที่ผมต้องการ
คือความมั่นคงและความเสมอต้นเสมอปลาย
คนที่จะรู้สึกเหมือนเดิมกับผม แม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม คนที่จะไม่เปลี่ยนไปไม่ว่าต้องเจอกับอะไรก็ตาม คนที่จะกุมมือผมไว้เหมือนวันแรกที่เราได้สัมผัสกัน คนที่จะบอกรักผมทุกวันเหมือนที่เคยทำ คนที่จะกอดผมไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนวันแรกที่เราคบกัน
คนที่ไม่ผันเปลี่ยนไปตามวันเวลา...
สำหรับคนอย่างผม ที่ไม่เคยได้รู้จักกับความรักที่มั่นคง การที่มีเขาก้าวเข้ามาในชีวิตเป็นเหมือนสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ความรู้สึกที่ผมไม่สามารถหาซื้อได้ ความรู้สึกเวลาที่ได้มองหน้าเขามันยังคงเดิมแม้เวลาจะผ่านมาเก้าปี...
นับจากวันนั้น...


เก้าปีก่อน
“ฟี่ แต่งตัวเสร็จหรือยัง ออกมาให้อาดูหน่อย” เสียงหวานของผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักสุดหัวใจเรียกให้ผมยอมละจากหน้ากระจกแล้วเดินไปหาเธอ ผมยังรู้สึกไม่มั่นใจนิดหน่อย ผมไม่ค่อยได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีแบบนี้เท่าไรนัก เลยรู้สึกว่าไม่เคยชิน
“ว้าว น่ารักที่สุด ดูดีมากเลยลูก” เสียงชมที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแทนที่จะยิ้มรับ ก็เล่นชมว่าผมน่ารัก ทำไมมันไม่เป็นคำว่าหล่อละ...
“ทำไมอาผึ้งไม่บอกว่าหล่อละครับ” พอผมพูดแค่นั้น อาของผมก็หัวเราะก๊าก
“ก็ฟี่น่ารักมากกว่าหล่อนี่ลูก ลองส่องกระจกแล้วบอกอาสิ ว่ามุมไหนที่มันจะดูหล่อได้” ผมหันไปมองกระจกตามที่อาผึ้งพูด ผิวขาว ปากนิด จมูกหน่อย เอ่อ...ห่างจากคำว่าหล่อไปไกลโข อ๊ะ...นั่นไง ไอ้ตัวหล่อของจริงเดินมาโน่นแล้ว
“ณัฐ หล่อเชียวลูก เห็นมั้ยอาบอกแล้วว่าเราน่ะเหมาะกับเสื้อสีขาว” คุณอาสุดรักจากที่ยืนชมผมอยู่แหม็บๆ พอเห็นหล่อของจริงเดินเข้ามาก็ปรี่เข้าไปหาทันที... มันน่าน้อยใจนัก...
“ไม่รู้สิครับ ปรกติเวลาขายกาแฟผมก็ใส่แต่เสื้อสีเข้มตลอด จนพาลคิดไปว่าตัวเองไม่เหมาะกับเสื้อขาวซะแล้ว” ผมมองคนที่พูดแล้วทำสีหน้ายิ้มน้อยๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดผิดตาไปจากที่ผมเคยชินใส่คู่กับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าคัทชูหนังสีดำ อื้อหือ...แฟนผมน่ากินชิบเป๋ง
“ฟี่” ณัฐเดินเข้ามาหาผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวในระยะแนบชิดจนผมเผลออายไปแว้บหนึ่ง
“อะ..อะไรเหรอ” วันนี้ณัฐมันหล่อจริงๆนะครับ ผมชักจะหายใจไม่ค่อยทั่วท้องแล้วสิ..
“น่ารักจัง” ผึง! เหมือนถูกธนูปักลงกลางหน้าผากเลยครับ ผมร้อนฉ่าที่หน้าขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้ ถ้าคุณถูกผู้ชายที่หล่อสุดๆมาพูดแบบนี้กับคุณตรงหน้า โดยที่เขาดึงตัวของคุณให้ไปแนบชิดกับตัวเขาด้วย แถมยังทำตาเล็กตาน้อยตอนพูดอีก
เป็นคุณจะทนได้ไหมครับ?
“ฮื้อ พูดแบบนี้อีกละ อาผึ้งก็คนนึงแล้ว” ผมพูดแล้วจะหันไปค้อนใส่อาผึ้ง แต่ก็หาไม่เจอครับ นี่อาผมอันตรธานหายไปตอนไหนละเนี่ย
“ก็น่ารักจริงๆนะครับ ฟี่เหมาะกับสีอ่อนๆหวานๆแบบนี้ที่สุดเลย”
“อือ รู้แล้วแหละ ออกไปกันได้หรือยัง” ผมรีบตัดบทก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกว่านี้ครับ เพราะณัฐยิ่งเป็นพวกเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายเสียด้วย...
“หึหึ ไปก็ไป”
ณัฐจูงมือผมเดินออกไปจากบ้านพักชายทะเล ผมยังอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ รีสอร์ทนี้สวยมากเสียจนผมอยากจะติดเกาะไปสักสามปี แน่นอนว่าอภินันทนาการนี้มาจากอาผึ้งของผมที่ให้เหตุผลว่างานแต่งของหลานฉันจะต้องดีที่สุด

ใช่ครับ...งานแต่งงานของผม...กับณัฐ

มันไม่ใช่งานที่จะมีพิธีและการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยหรอกนะครับ ก็แค่การทำพิธีกับบาทหลวง(ที่สนิทกับครอบครัวของอาผึ้งมาเป็นสิบปี เป็นคุณลุงบาทหลวงหน้าตาใจดีเชียวครับ) และงานเลี้ยงภายในหมู่คนสนิทนิดหน่อย ซึ่งอาผึ้งเลือกจองสถานที่ของรีสอร์ทนี้ไว้ ผมพยายามจะถามอาว่าค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่อาก็บอกกับผมว่า ‘ถ้าฟี่จะช่วยจ่าย คงต้องทำงานใช้หนี้อาไปอีกสิบปีแหละ’ เพียงเท่านั้นผมก็เลยคิดว่าไม่ต้องรู้จะดีกว่า

ผมรู้สึกเขินนิดหนึ่งตอนที่ณัฐเดินจูงมือผมออกไปเจอกับผู้คน บรรดาเพื่อนของผมและเพื่อนของเขาจ้องมองมาที่เราเป็นตาเดียว ผมเห็นเชอรี่นั่งอยู่คู่กับอาผึ้ง ผมได้สบตากับเม้งที่มองมายิ้มๆ แล้วผมก็โดนณัฐหยิกมือครับ...ไอ้ขี้หึงเอ๊ย..

เราสองคนตกลงกันว่าจะเดินคู่กันไปหาบาทหลวง จะไม่มีฝ่ายใดที่จะยืนรออีกฝ่ายหนึ่งที่ปลายทาง ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะต้องมาเคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียม เราสองคนแค่อยากจะเดินเคียงข้างกันไปก็เท่านั้น
หัวสมองของผมอื้ออึงไปหมด บาทหลวงถามอะไรมาผมก็ไม่ได้ยิน ได้แต่ตอบอืออาไปตามเรื่อง จวบจนตอนที่ณัฐกำลังจะสวมแหวนให้ผมนั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำตาของผมร่วงเผาะๆเสียแล้ว
“ผมจะรักคุณไปจนชั่วชีวิต...ของเราทั้งคู่นะครับ” คำสาบานที่หวานที่สุดที่ผมเคยได้ยินพร้อมกับแหวนทองคำขาวที่ไม่มีอะไรประดับนอกจากตัวเรือนสีขาวบริสุทธิ์ถูกสวมเข้าที่นิ้วนางของผมช้าๆ พอณัฐสวมเสร็จ ผมก็หยิบแหวนมาสวมให้ณัฐบ้าง แหวนทองคำขาวที่เหมือนกันเป๊ะยกเว้นขนาดจะเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเป็นของกันและกัน ณัฐใช้นิ้วเช็ดน้ำตาของผมเบาๆ น่าแปลกที่พอได้สวมแหวนแล้ว จิตใจของผมก็สงบนิ่งขึ้นมาก
”จูบคู่ชีวิตของคุณได้เลยครับ” ผมจับใจความประโยคสุดท้ายที่บาทหลวงพูดได้เพียงเท่านั้น เพราะสิ่งสุดท้ายที่ติดตรึงใจผมที่สุดคือสัมผัสอ่อนโยนจากริมฝีปากของณัฐกำลังถ่ายทอดมาสู่ผม ผมได้ยินเสียงกิ๊วก๊าวเบาๆ เสียงสะอื้นที่น่าจะเป็นของอาผึ้ง และเสียงปรบมือเปาะแปะ

เสร็จจากพิธีผมเดินไปหาพ่อแม่ของณัฐ แม่กับพ่อมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ผมรู้นักว่าเรื่องของเราคงไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะปรับใจได้ในเร็ววัน แต่ผมก็ยังคิดว่ามีสิ่งที่ผมควรจะทำ
“แม่ครับ ผมจะรักณัฐให้มากที่สุด และจะดูแลเขาให้ดี สมกับที่เขาเป็นลูกชายที่แม่และพ่อรักมากนะครับ” พอผมพูดจบผมก็ก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อและแม่ ผมรับรู้ได้ว่ารอบตัวมีเสียงฮือฮา มือของณัฐที่แตะมาที่ไหล่ผม และอีกมือหนึ่งที่ลูบหัวผมเบาๆก่อนจะจับให้ผมเงยหน้าขึ้น
“ดูแลกันให้ดีนะลูก” ประโยคเดียวที่แม่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนปนคราบน้ำตา พ่อยิ้มให้ผมเรียบๆและไม่ได้พูดอะไร แต่แค่นั้นก็มากเพียงพอที่คนอย่างผมจะได้รับแล้ว


“ฟี่ ขอบคุณมากนะ” ณัฐพูดกับผมในคืนนั้น คืน...เอ่อ...ส่งตัว....
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องพ่อกับแม่ไง”
“หือ? ต้องขอบคุณทำไมกัน มันเป็นเรื่องที่ต้องทำนี่นะ...” ผมพูดเขินๆ มันก็น่าเขินหรอกนะ เพราะปรกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอะไรแบบนั้นสักเท่าไร
“ณัฐขอบคุณที่ฟี่ยอมทำเพื่อณัฐ ทำทุกอย่างเพื่อณัฐ ณัฐสัญญานะฟี่ ว่าจะทำตัวให้สมกับความรักที่ฟี่มีให้ กว่าที่เราจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นับจากนี้จะมีแค่เราสองคน จะเป็นเรื่องของเราสองคนนับจากนี้และตลอดไป ณัฐจะไม่มีทางลืมความรู้สึกในวันแรกที่เราคบกัน จะไม่มีทางลืมว่าณัฐรักฟี่แค่ไหน และจะจำเอาไว้ว่าหัวใจของณัฐมีไว้เพื่อใคร”
ผมชอบจังเลย...ที่ณัฐบอกว่านับจากนี้ไปจะเป็นเรื่องของ ‘เราสองคน’ ในที่สุดผมก็ได้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาจริงๆสักที ถ้าหากว่าการที่ได้รักใครสักคนอย่างสุดหัวใจแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าชีวิตมีคุณค่า ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญของใครสักคน ผมคงจะรักตัวเองให้มากกว่านี้ แต่ในเมื่อวันเวลาไม่สามารถย้อนคืนมาได้ ณัฐไม่สามารถแก้ไขอดีตของเขาได้ ผมไม่สามารถแก้ไขอดีตของผมได้ เราสองคนจึงเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปและทำวันปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ...
 

กลับมา ณ ปัจจุบัน
ทั้งที่เมื่อกี้ผมกำลังคิดเรื่องหวานๆของผมและณัฐตอนวันแต่งงานอยู่ดีๆ และวันนี้ก็ครบรอบที่เราแต่งงานกันมาเก้าปีแล้ว แต่ไอ้ภาพตรงหน้านี่สิ ทำให้ผมหงุดหงิดเสียเหลือเกิน...
“พี่ณัฐใช่ไหมคะ พวกหนูเป็นแฟนคลับของที่ร้านพี่เลยนะ หนูอ่ะ ไปซื้อกาแฟร้านพี่ทุกอาทิตย์เลยนะคะ” เสียงชะนีสาวนับได้หลายตนกำลังเจื้อยแจ้วอยู่รอบๆตัวชายหนุ่มที่สั่งให้ผมนั่งรอเขาที่โต๊ะ
สำหรับ ‘ณัฐ’ ในวัย 35 ปีคงจะต้องนิยามว่าเป็นชายวัยทำงานที่กำลังน่ากินเป็นที่สุด เค้าโครงหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ และร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ กอปรกับการที่ออกมาเปิดร้านกาแฟของตัวเองอย่างเป็นเรื่องราวและมีชื่อเสียงพอสมควรในเรื่องของรสชาติและคนขายรูปหล่อ ก็คงจะเพียงพอให้ผู้หญิงหลายๆคนมาโปรยขนมจีบเป็นประจำ

แต่สำหรับผม คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ชีวิตของเขามาเก้าปี คนที่ตอนนี้มาฉลองครบรอบแต่งงานบนเกาะเดิมที่เราเคยจัดงานแต่งงานเมื่อคราวนั้น คนที่รู้จักมักคุ้นกับพนักงานหน้าเก่าๆของรีสอร์ทนี้หลายคน คนที่กำลังนั่งเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าจะจัดการชะนีเด็กพวกนั้นยังไงดี...
“เอ่อ...คุณฟี่คะ ผู้จัดการให้นำของหวานมาเสิร์ฟค่ะ” ผมหันไปมองพนักงานประจำร้านอาหารชื่อคุณไพลินที่เคยคุ้นกันประจำแบบงงๆ
“ผมไม่ได้สั่งนะครับ”
“ค่ะ...แต่ว่าผู้จัดการบอกว่าคุณฟี่ชอบช็อกโกแลตมูส...บางทีถ้าทานแล้วอาจจะอารมณ์ดีขึ้น...” ผมเกือบจะหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินคำอธิบายอึกอักจากปากคุณไพลิน อะไรกัน นี่ผมดูเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ขนาดนั้น? ผมหันไปมองณัฐที่สองมือยังถือจานอาหารจากไลน์บุฟเฟต์และรอบกายมีผู้หญิงพวกนั้นห้อมล้อมจนเดินไปไหนไม่ได้...
“งั้นก็ฝากไปขอบคุณผู้จัดการด้วยนะครับ ผมขอไปจัดการธุระก่อน แล้วถึงจะกลับมาทาน” ผมยิ้มให้พนักงานคนนั้นแล้วเดินตรงรี่ไปหาสุดที่รักของผม พอเจ้าตัวดีเห็นผมเดินไปหาก็ทำหน้าเศร้าสร้อยกระดิกหางดิ๊กๆเหมือนหมารอเจ้าของ
“ขอโทษนะครับน้อง” ผมพูดเสียงดังระดับที่จะได้ยินแค่ผม ณัฐ และผู้หญิงพวกนั้น เจ้าหล่อนทั้งหลายหันมามองหน้าผมอย่างแปลกใจแต่ภายในยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์ประมาณว่า ‘แกเป็นใครยะ?’
“ช่วยหลีกทางให้กับผู้ชายคนนี้ได้ไหมครับ? ไม่ต้องทำหน้างง สุดหล่อคนที่น้องกำลังเอาหน้าอกไปถูแขนเขานั่นแหละ” ผมพูดไปพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อ(?)
“ไม่ทราบว่าคุณจะเข้ามายุ่งอะไรด้วยคะ พวกชั้นก็ไม่ได้ไปคุยกับเขาบนหัวคุณนี่” ชะนีเด็กคนที่เอานมถูแขนณัฐของผมหันมาถามเสียงจิก ผมรู้สึกได้ว่าเส้นความอดทนของผมเริ่มน้อยลงเป็นจำนวนแปรผกผันกับอารมณ์ของผมที่เริ่มพุ่งทะยานทะลุจุดเดือด
“ต้องยุ่งสิครับ เพราะผมอยากจะเตือนคุณด้วยความหวังดี เพราะไม่ว่าคุณจะยั่วยวนเขายังไง เขาก็ไม่มีทางรู้สึกอะไรกับเด็กอย่างคุณคุณหรอก”
“อ๊ะ แกอวดดีมาจากไหนเนี่ย รู้มั้ยว่าชั้นลูกใคร!” เสียงชะนีเด็กเริ่มแหลมมากขึ้น แต่เหมือนกับว่าเพื่อนคนอื่นๆของเด็กนี้จะเริ่มอายจึงไม่กล้าเถียงอะไรกลับได้แต่ยืนเป็นลูกคู่เฉยๆ
“ผมไม่รู้หรอกครับว่าน้องลูกใคร แต่ที่แน่ๆถ้าพ่อแม่น้องรู้ว่าน้องทำตัวต่ำทรามมายุ่งกับคนรักของคนอื่นแบบนี้เขาต้องไม่ปลื้มแน่เลย” ผมพูดหน้าตาเฉยและรอดูฟีดแบ็กจากชะนีเด็ก ได้ผลครับ หล่อนเริ่มทำหน้าตาตกใจและหันไปมองณัฐที่ยักไหล่ยียวน
“อ๊ะ นี่...นี่ๆๆๆๆๆ คุณเป็นเกย์งั้นเหรอ! ชั้นจะเอาไปแฉ ชั้นจะเอาไปป่าวประกาศให้ทั่วเลยว่าเจ้าของร้านกาแฟมีชื่อเป็นเก๊ย์!!” ท้ายประโยคเจ้าหล่อนเร่งเสียงเสียสูงปรี๊ดจนผมกลัวว่าณัฐของผมจะหูหนวก
“เหอะ เขารู้กันหมดแล้วครับน้อง ผมก็เพิ่งจะเห็นชะนีอย่างน้องเนี่ยแหละเป็นคนแรกที่กล้าเข้ามาอ่อยแฟนผมได้ขนาดนี้ ขอโทษนะครับ อย่างน้องคงไม่มีปัญญาทำให้เขารู้สึกอะไรได้หรอก คนที่จะทำให้เขารู้สึกอะไรได้น่ะมันมีแต่ผมเท่านั้น เพราะฉะนั้นช่วยเอานมของน้องไปอ่อยแฟนคนอื่นเถอะ” ผมเริ่มของขึ้นและด่าชะนีเด็กไปเป็นชุด ไม่น่าเชื่อว่าเด็กนี่จะทำผมเลือดขึ้นหน้าได้ขนาดนี้ ที่ผ่านมาผมไม่เคยแสดงอาการแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนเลยนะครับ เพราะผมเองก็ชอบผู้หญิงสวยๆ ใครกันละจะไม่ชอบของสวยๆงามๆ แต่กับคนที่นิสัยต่ำแบบนี้ผมไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆครับ
“ฮึ้ยยย อีตุ๊ด! หน้าด้านน่ารังเกียจ แก๊!” ชะนีเด็กคงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพ่นคำผรุสวาทออกมาใส่ผม เพราะตอนนี้คุณสุวิทย์ผู้จัดการรีสอร์ทก็ได้เข้ามาจัดการสงบศึกพร้อมกับเตือนสาวๆเหล่านั้นว่าถ้าไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้ก็ให้ย้ายไปพักที่อื่น

“ฮึ้ย! ไม่ต้องมาโดน” ผมยื่นแขนไปผลักไอ้คนที่เดินตามนัวเนียผมมาด้านหลัง พ่อตัวแสบที่ทำสีหน้าระรื่นเหมือนได้ดูละครฉากใหญ่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความหงุดหงิดของผมสักนิด
“ฟี่น่ารักจัง” เหมือนว่าจะยังไม่สำนึก ยังยื่นหน้ามาหอมซอกคอผมโดยไม่อายสายตาผู้คนที่เขามองมาแบบยิ้มๆ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่มันอยากจะทำให้ผมหึง มันอยากให้ผมอาละวาด ไอ้ปิศาจร้าย...
“อ๊ะ...อย่าเพิ่งมากวน คุณพีร์โทรมา” ผมดันณัฐออกห่างแล้วแสร้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อจะกดรับ
“มันโทรมาทำไม” จากเสียงออดอ้อนเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินไม้เด็ดของผม คุณพีร์ผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่ของผมและเป็นคนที่มักจะเวียนมาขายขนมจีบให้ผมเวลาที่ณัฐเผลอ
“ไม่รู้สิ ขอไปคุยด้านนอกแล้วกัน” ผมทำเป็นไม่สนใจครับ หมั่นไส้มัน แกล้งผมดีนัก
“ไม่ต้อง ไม่ให้คุย เอาโทรศัพท์มา นี่เรามาฮันนีมูนกันนะที่รัก จะมัวไปคุยโทรศัพท์กับคนอื่นได้ยังไงกัน” สองประโยคสุดท้ายไอ้บ้านี่มันพูดออกมาอย่างดังเลยครับ แขกคนอื่นๆรวมทั้งพนักหงานหันมามองกันหมดเลย ผมละแทบอยากจะมุดดินหนี ทำไมนะ ผมถึงสู้ณัฐไม่ได้สักที
“ไอ้บ้า! ไป กลับห้องเลย ไม่ต้องกินแล้วข้าวน่ะ” ผมกระซิบด่าแล้วรีบเดินหนีกลับห้อง ได้ยินแค่เสียงณัฐหันไปสั่งมื้อเช้าเป็นรูมเซอร์วิสแล้วก็รีบดิ่งกลับห้องเลย อายจนหน้าชาแล้วครับ


“ฟี่ครับ~” เสียงสดใสดังขึ้นหลังจากเสียงปิดประตู ผมเร่งเสียงเพลงในไอพอดให้ดังขึ้นอีกแล้วนั่งกระดิกเท้าอย่างเพลิดเพลิน ที่นี่มันสวยจริงๆนะครับ อย่างกับอยู่บนสวรรค์แน่ะ
“โกรธณัฐเหรอ หือ?  เร่งเสียงเพลงซะดังอีกแล้ว ไม่เอานะเดี๋ยวหูหนวก” จู่ๆณัฐก็กระชากหูฟังออกไปจากหูผมครับ และแทนที่หูฟังก็เป็นลิ้นอุ่นๆที่แตะเลียลงมาแทน
“อ๊า! ไอ้บ้านี่ ทำอะไรกลางวันแสกๆ” ผมดีดตัวหนีแล้วลุกมายืนกุมหูหอบแฮ่กห่างจากณัฐไปสองเมตร
“อ้าว ยังจะมาถามอีก ตรงดิ่งกลับห้องมาแบบนี้ไม่ได้แปลว่าอยากจะทำอะไรงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่เฟ้ย คิดอะไรก็เป็นเรื่องบนเตียงไปหมดเลยนะ”
“ถ้าฟี่ไม่ชอบบนเตียงงั้นก็ไปลองในอ่างจากุซซี่ก็ได้นะ”
“อ๊ากกก ไอ้บ้า!!!”
ผมคงได้ตะโกนด่าณัฐอีกไม่กี่คำหรอกครับ เพราะพอรูมเซอร์วิสมาส่ง ณัฐก็หันมาสนใจผมเต็มที่ ก่อนจะกระซิบข้างหูผมด้วยประโยคที่ทำให้ผมใจอ่อนจนได้

“ก็ณัฐรักฟี่นี่นา อยู่ใกล้ฟี่เท่าไร ใกล้ชิดเท่าไรก็ไม่พอสักที ณัฐอยากกินฟี่ไปจนแก่ตายเลยนะ”

อา...แล้วผมก็พลาดอีกแล้วครับ เรียบร้อยโรงเรียนณัฐ....

--------------------- The End ---------------------

ปล.แวะมาแก้คำผิดและปรับเปลี่ยนบางจุดค่ะ
ปล2.และก็จะยอกว่ากำลังคิดตอนพิเศษอยู่นะคะ
ปล3.ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรก และทุกคนที่เพิ่งจะมาติดตามอ่านทีหลัง ขอบคุณสำหรับทุกคำติชมและกำลังใจนะคะ ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่ะ -/\-

หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 31-08-2011 19:29:04
จิ้มตอนจบครับ รอตอนพิเศษนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 31-08-2011 20:59:59
+1+เป็ด ให้กับงานแต่งที่ใครๆก็ฝันถึง
อยากบวกให้มากกว่านี้กับเก้าปีที่มีกันและกันอยู่
เป็นตอนจบที่น่ารักมากคะ :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 31-08-2011 21:30:02
เก้าปี จะว่านานก็นาน จะว่าไม่นานก็ไม่นาน
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 31-08-2011 21:42:11
ถูกใจให้เป็ดไป
จบแบบมีความสุขและยินดีไปกับฟี่-ณัฐ :L2:
แต่งงานและอยู่กันมาแล้วเก้าปี หวังว่าทั้งคู่จะต้องอยู่ด้วยกันอีกตลอดๆไป
 :กอด1:น้องบีพร้อมกับคำว่าขอบคุณ สำหรับความเพลิดเพลินที่มีให้มาโดยตลอด
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 31-08-2011 22:47:38
อายแทนค่ะ  :-[
จบหวานนนนนนมาก เกินหน้าเกินตาอ่ะ  อิจฉาๆๆๆๆๆ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: Forget_Me_Not ที่ 31-08-2011 23:20:18
 :-[  จบแบบหวานมากจร้า

 :3123: ขอบคุณคนเขียนมากๆเลยจร้า
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 31-08-2011 23:32:29
 :L2: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 01-09-2011 00:35:49
น่ารัักไม่เสื่อมคลาย ชอบบบบบบบบบ ฟี่ก็แรงเป็นนะ 55

ขอตอนพิเศษษษษษษษษษษษษ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: Akamei ที่ 01-09-2011 09:34:23
5555555555555555

อ้างถึง
“ก็ณัฐรักฟี่นี่นา อยู่ใกล้ฟี่เท่าไร ใกล้ชิดเท่าไรก็ไม่พอสักที ณัฐอยากกินฟี่ไปจนแก่ตายเลยนะ”

ถ้ากินฟี่ทุกวันอาจจะไม่ได้แก่ตายนะณัฐ???
>/////////<

+1 สำหรับตอนจบน่ารัก น่าเอ็นดู ของฟี่ค่ะ
ยิ้มแก้มปริเลย  ย ย

รอตอนพิเศษค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 01-09-2011 09:52:03
เค้าก้อรอตอนพิเศษอีกคน
แห่ะๆๆ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 01-09-2011 11:04:00
^^
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (31/08/2011) จบจ้า~
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-09-2011 12:14:19


ตอนพิเศษกำลังเขียนค่ะ บีจัดมาแบบเต็มที่เลย o13
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (01/09) ตอนจบ แต่แวะมาแก้นิดหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 01-09-2011 13:05:46
รักกันหวานมาเก้าปี เค้าขอดูความหวานนั่นบ้างสิ
โฮวววววววววว อยากอ่านอ่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 26 (01/09) ตอนจบ แต่แวะมาแก้นิดหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-09-2011 17:13:33
ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักครับ
อย่าลืมคนอ่านนะ
หัวข้อ: ช่องว่าง [Special]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-09-2011 17:43:26
:: คำเตือน ::

ทำใจก่อนอ่านค่ะ ไม่ใช่ NC หรอกนะคะบอกไว้ก่อน = ='


*********************************************************************************************



ผมเกลียดหน้าฝน...
เกลียดเวลาที่ฝนพรำ
เกลียดเวลาที่เห็นน้ำฝนไหลลงมาตามหน้าต่าง
เกลียดฟ้าที่ขมุกขมัว
เกลียดเวลาที่ฝนตกแล้วทำให้ความเหงาทวีอานุภาพมากขึ้น...

การที่ต้องอยู่คนเดียวในวันฝนตกแบบนี้ช่างเป็นอะไรที่ทรมานสุดๆ ซักผ้าก็แล้ว ทำกับข้าวก็แล้ว ทำความสะอาดบ้านก็แล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่างเกินไปอยู่ดี...
คิดถึงณัฐจังเลย...
ฮึก...น้ำตามันจะเล็ด แต่ผมไม่ร้องไห้หรอก เพราะการคิดถึงจะต้องทำให้เรามีพลัง ไม่ใช่ทำให้เราเศร้า...

คุณเคยเป็นไหม บางครั้งที่สภาพดินฟ้าอากาศจะส่งผลกับสภาพจิตใจของคุณ อากาศดี คุณก็อารมณ์ดี อากาศหม่นหมอง คุณก็ซึมเศร้า การที่ฝนตกเหมือนฟ้ารั่วตลอดวันเสาร์อาทิตย์นี้ทำให้ผมหดหู่ขั้นติดลบ เมื่อวานวันเสาร์ วันนี้วันอาทิตย์ ผมไม่ได้ไปไหนเลย แถมณัฐก็ไม่ได้มาหาเพราะว่าติดเรียน ณ ตอนนี้ผมจึงมีเพื่อนอยู่เพียงหนึ่งเดียว...

ก็คือโลกไซเบอร์...

ขอบคุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ทำให้ผมมีเฟซบุ๊คเอาไว้เล่นในยามที่ไม่มีอะไรจะทำ การได้เห็นเพื่อนอัพเดทสถานะก็ทำให้เราได้รู้ความเป็นไปของเพื่อนได้ไม่น้อย อ้อ! ลืมบอกไป ตอนนี้ผมกับณัฐใช้เฟซบุ๊คอันเดียวกันแล้วนะครับ เป็นความคิดของณัฐนั่นแหละ

แต่การเล่นเฟซบุ๊คมันก็เป็นเหมือนดาบสองคม และยิ่งเป็นคนที่มีนิสัยพื้นฐานอยู่บนความวิตกจริตแบบผมด้วยแล้ว... ก็มักจะชอบสอดรู้สอดเห็นจนทำให้ตัวเองเสียใจเล่นๆ...

ผมก็แค่เข้าไปเปิดดูเฟซบุ๊คของแฟนเก่าณัฐ... หรือคนที่เป็นแม่ของลูกเขาแหละครับ...

ไหนลองบอกผมสิว่ามีใครบ้างที่สนิทกับแฟนเก่าของแฟนเรา มันก็คงจะมีบ้างสินะ แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน... บางทีผมก็รู้สึกรังเกียจความคิดของผมที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนว่าเธอทำอะไรผมก็รู้สึกว่ามันไม่เข้าตาไปเสียหมด แต่ถ้าเราจะปล่อยให้ตัวเองตกเป็นทาสของอารมณ์...มันก็คงไม่ดีใช่ไหมครับ..เราต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้...

ผมไม่ได้เป็น Friend list ของเธอคนนั้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ตั้งค่า Privacy เอาไว้แน่นหนานัก ผมจึงสามารถเข้าไปดู Wall และ Photo ของเธอได้ สถานะของเธอไม่ค่อยได้อัพเดทนัก เดือนหนึ่งอัพเดทสักสอง-สามครั้งเท่านั้นเอง ผมเกือบจะคลิกออกไปจากหน้าโพรไฟล์ของเธอแล้ว แต่เหมือนมีมือลึกลับดึงมือผมให้ไปคลิกดูอัลบั้มรูปของเธอซะอย่างนั้น...

สำหรับคนที่มีอัลบั้มรูปในเฟซบุ๊คไม่เยอะ มีการอัพเดทสถานะน้อย เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือมีการอัพเดทก็จะสังเกตได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ตอนนี้สายตาของผมไปสะดุดกับอัลบั้มรูปที่เธอเพิ่งอัพขึ้นไปใหม่...

ชื่ออัลบั้มคือ ดรีมเวิล์ด 3/7/2011

เหอะ...ขนาดคำว่าดรีมเวิลด์ยังสะกดผิดเลยแม่คุณ แต่ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาใส่ใจ รูปโชว์เป็นหน้าอัลบั้มต่างหากที่ดึงดูดใจผมมากกว่า ในรูปที่ถ่ายเอียงๆมีคนสองคนอยู่ในรูปนั้น คนหนึ่งคือเธอ และอีกคนหนึ่งที่ตกขอบรูปไปครึ่งตัว คนที่ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าครึ่งเดียวก็จำได้ทันที คนที่เมื่อวันก่อนยังกอดผมและกระซิบคำว่ารักข้างหูผม...

ทำไมณัฐถึงไปถ่ายรูปกับหล่อนได้...

ผมเลื่อนไปดูรูปอื่นๆ บางรูปก็เป็นรูปณัฐกับลูก บางรูปก็เป็นรูปหล่อนกับลูก บางรูปก็เป็นของทั้งสามคน มือผมเริ่มสั่นเทาขึ้นทีละน้อย อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว สมองผมอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก ไปเที่ยวดรีมเวิลด์กันสามคนพ่อแม่ลูกงั้นเหรอ? พ่อแม่ลูกเนี่ยนะ... มันดีมากใช่ไหม? มันดูเป็นครอบครัวมากเลยสินะ... ผมกลับไปที่รูปแรกอีกครั้ง มีสองรูปที่ทิ่มแทงใจผมที่สุด คือรูปที่ณัฐถ่ายคู่กับหล่อน และรูปที่ถ่ายกันสามคน ผมรู้ได้ทันทีว่ารูปที่ณัฐคู่กับหล่อนคงเป็นฝีมือลูกชาย ถ้าไม่ติดว่านั่นคือเด็กที่อายุเพียงห้าขวบ ผมคงจะตบกะโหลกให้ทิ่ม (ณ จุดนี้ผมจะไม่ขอรักษาภาพพจน์อีกแล้วนะครับ...)

ผมเริ่มคิดทบทวน บางทีมันอาจเป็นรูปที่ถ่ายมานานแล้วแต่หล่อนคงเพิ่งจะอัพรูป วันที่ในชื่ออัลบั้มก็บอกว่า 3/7/2011   ถ้าหากเป็นการเขียนวันที่แบบอังกฤษ ก็จะเรียงแบบ วัน/เดือน/ปี ซึ่งก็จะหมายความว่ามันคือวันที่ 3 เดือน 7 ปี 2554 แต่ถ้าหากว่าเป็นการเขียนวันที่แบบอเมริกัน คือ เดือน/วัน/ปี ก็จะหมายถึง วันที่ 7 เดือน 3 ปี 2554 แต่ผมคิดว่าอย่างหล่อนคงไม่รู้จักการเรียงวันที่แบบอังกฤษหรืออเมริกันหรอก เพราะงั้นมันน่าจะเป็นแบบ วัน/เดือน/ปี ตามที่คนไทยคุ้นเคยแน่นอน(ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะครับถ้าวาจาของผมจะเหมือนกับการดูถูกเธอ...)

ในขณะที่ผมกำลังหาข้อสรุปให้ตัวเองเรื่องวันที่นั้น ผมก็เหลือบเห็นกางเกงตัวที่ณัฐใส่ในรูป ผมจำได้ว่าณัฐซื้อกางเกงตัวนั้นเมื่อเดือนห้าหรือเดือนหกนี่เอง เพราะฉะนั้น กางเกงตัวที่ซื้อในเดือนห้าหรือเดือนหก ไม่มีทางไปอยู่ในรูปภาพที่ถ่ายในเดือนสามแน่นอน มันคือวันที่ 3 เดือน 7 ปี 2554 แน่นอนครับ...

ตอนนี้เดือนแปด...เหตุการณ์นั้นผ่านมาได้เดือนนึง ซึ่งผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ยังไงและเมื่อไร ผมคิดหัวแทบแตกว่าวันนั้นคือวันอะไร ปฏิทินถูกผมเปิดแรงจนแทบจะขาด วันที่ 3/7/2011 คือวันอาทิตย์... วันที่ณัฐต้องมีเรียน แต่วันนั้น...มันเป็นวันอะไรนะ...วัน...ผมนึกออกแล้ว...มันคือวันเลือกตั้ง ณัฐไม่มีเรียน และเป็นวันหยุดที่ผมรอคอยตั้งนานที่จะได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งวัน...

ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ 1/7/2011 วันนั้นคือวันศุกร์ วันที่ณัฐมาบอกผมหน้าเศร้าว่าแม่เขาให้ไปช่วยอาย้ายบ้าน ผมใจหายไปแว่บหนึ่งแล้วเขาก็พูดต่อ
“แม่มาถามว่าวันอาทิตย์ณัฐว่างไหม ณัฐก็ไม่ได้คิดอะไรเลยตอบไปว่าว่าง” พอฟังแล้วผมก็จี๊ด... วันที่เราวางแผนว่าจะไปเที่ยวกัน เขากลับบอกแม่เขาว่า ‘ว่าง’ ทั้งที่ผมรอคอยวันนี้มานาน เขากลับทำเหมือนว่ามันไม่สำคัญ...
“ทำไมณัฐถึงพูดแบบนั้น” ผมถามเขาแบบนั้น แล้วผมก็โมโห เราทะเลาะกัน... หรือจะบอกให้ถูกว่าผมโวยวายใส่เขา ณัฐเองก็ขอโทษและอธิบายผมสารพัด จนสุดท้ายผมก็ยอม...ยอมทั้งที่เสียความรู้สึกเหลือเกิน แต่ยังไงก็เป็นเพราะแม่เขาขอร้องนี่นะ...

พอวันอาทิตย์ที่ 3/7/2011 ผมก็นอนตื่นสายๆ เพราะว่าไม่อยากจะใช้เวลาอยู่คนเดียวในวันหยุดแบบนี้ จนผมตื่นมาตอนเที่ยง เขาก็โทรมาหาผม บอกว่ายังไม่ได้ออกไปเลย รอแม่อยู่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้โทรหาเขาสักครั้งเพราะคิดว่าเขาต้องกำลังยุ่ง ไม่อยากโทรไปรบกวน บ่ายสองก็แล้ว บ่ายสามก็แล้ว จนบ่ายสี่โมงเย็นเขาก็โผล่หน้ามาหาผมและกอดผมพร้อมกับบ่นว่าคิดถึงไม่ขาดปาก ผมเองก็ดีใจที่เขามาจนลืมเรื่องความโกรธไปจนหมด...


จนวันนี้...
ตอนที่ผมนั่งตัวชาบนเก้าอี้คนเดียว มือเลื่อนดูรูปซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมดูรูปหนึ่ง ก็เหมือนเอาตะปูตอกบนหัวใจผมอันหนึ่ง ใจของผมคงจะพรุนไปหมดแล้ว ทำไมกันนะ นี่ผมโดนหลอกงั้นเหรอ? ผมถูกผู้ชายคนที่ผมแสนเชื่อใจโกหกงั้นเหรอ วันเวลาที่ผ่านมาหลังจากวันนั้นเขาอยู่มาได้ยังไงโดยที่มีเรื่องปิดผมอยู่แบบนี้ ผมเองไม่เคยจะมีอะไรปิดบังเขา แต่เขากลับบอกรักผม กอดผม จูบผม ทั้งๆที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

ผมเคยไว้ใจณัฐที่สุด
ผมเคยมั่นใจที่สุดว่าณัฐไม่มีทางนอกใจผม
ผมเคยภูมิใจว่าณัฐไม่มีทางโกหกผมแน่นอน
ผมคิดว่าเขารักผมที่สุด...
แต่นี่...เขากำลังเลือกที่จะไปจากผมงั้นเหรอ...

“ฮึก... ทำไมถึงทำแบบนี้กับฟี่...” ผมนั่งยกขึ้นมาและซุกหน้ากับเข่าตัวเอง น้ำตาไหลออกมาแบบห้ามไม่อยู่ ผมอยากจะถามเขาเสียตอนนี้ อยากจะขอคำอธิบาย แต่เพราะผมไม่อยากรบกวนเขา ผมทำทุกอย่างก็คิดถึงเขาเสมอ ไม่เคยอยากให้เขามาลำบากเพราะผม ผมรักเขาจนสุดหัวใจ แต่นี่คือสิ่งที่เขาตอบแทนกับผมใช่ไหม?

โดยที่สติผมขาดๆเกินๆ ผมก็โพสสเตตัสบนเฟซบุ๊คของเราว่า ‘ดรีมเวิลด์ 3/7/2011 สนุกไหม?’ ถ้าณัฐเห็นแบบนี้แล้ว จะทำยังไงนะ...

ผมลุกจากเก้าอี้และไปซุกอยู่ที่โซฟา ผมพยายามจะหยุดร้องไห้ พยายามจะไม่สะอื้น แต่มันก็ยากเหมือนกับห้ามไม่ให้ฝนตก ความเสียใจของผมมันคงมากเกินไป หากผมไม่เคยคาดหวัง หากผมเผื่อใจไว้ ผมก็คงจะไม่ต้องเสียใจแบบนี้ หากผมไม่โง่ หากผมหัดโทรตามจิกเขา มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้... แล้วจะให้ผมทำยังไงได้ ผมรักเขาจนเชื่อใจเขาเสียขนาดนี้...

ผมน่าจะขาดใจตายไปเลย จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องอะไรอีก...


TRrrr… TRrrr…
เสียงโทรศัพท์ปลุกผมจากฝันร้าย ผมลืมตาขึ้นและรับรู้ได้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ผมยังอยู่ ยังไม่ตาย และเบอร์ที่โทรเข้ามาก็คือเบอร์ของคนที่ทำผมเจ็บสุดหัวใจ...
“ฮัลโหล”
/ฟี่ ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยังครับ/ เสียงณัฐสดใส... ผมรับรู้ทันทีว่าเขาคงยังไม่เห็นสเตตัสของผม...
“กินแล้วสิ” ผมพยายามทำเสียงให้เหมือนปรกติ หากเขาจะหลอกผม ผมก็จะให้ความร่วมมือกับเขาให้ถึงที่สุด อยากทำอะไรกับผมก็เอาเถอะ...ที่รัก...
/ฮื้อ...ทำไมเสียงเหนื่อยๆ ไม่สบายหรือเปล่าฟี่/
“เปล่า...” ไม่ใช่หรอกณัฐ ฟี่ไม่ได้ป่วย แต่กำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว..
/ไม่จริงหรอก ปรกติฟี่ไม่มีน้ำเสียงแบบนี้/
“...งือ...ฟี่ปวดหัวนิดหน่อย...แต่เดี๋ยวก็หาย”
/ไม่สบายมากหรือเปล่า ทำไมไม่โทรหาณัฐละ/
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก จะต้องโทรไปกวนณัฐทำไมละ”
/อย่าพูดแบบนั้นสิฟี่ ณัฐไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ/
ในใจผมตอนนี้มันมีแต่คำว่า ‘ไม่อยากฟัง’ ผมไม่อยากฟังอะไรจากปากเขาอีก อะไรจริง อะไรไม่จริง ผมหมดสติสัมปชัญญะที่จะมาทบทวนแล้ว
“ณัฐ ฟี่อยากนอน ขอวางสายก่อนนะ ตั้งใจเรียนด้วยละ...” ผมคิดว่าผมควรจะวางก่อนที่ผมจะกลั้นร้องไห้ไม่ไหว ผมไม่รอณัฐพูดตอบกลับแล้วชิงวางสายทันที น้ำตาผมไหลอีกแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมหยุดคิด หยุดเศร้า วิธีที่ผมใช้เสมอก็คือการหลับ... เพราะผมจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก...


TRrrr… TRrrr…

โทรศัพท์ผมดังอีกครั้ง ผมดูนาฬิกา บ่ายสามโมง ณัฐโทรมาอีกแล้ว เพิ่งจะวางสายได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ... สัญชาตญาณของผมรับรู้ได้ว่าการที่ณัฐโทรมาคราวนี้ บางที... เขาอาจจะเห็นสเตตัสที่ผมโพสแล้วก็เป็นได้...
“...” ผมรับสาย แต่ไม่ได้พูดอะไร
/...ฮัลโหล...ฟี่../
“อือ...”
/เป็นอะไร... มีอะไรหรือเปล่า/ ชัวร์เลยครับ ณัฐเห็นแล้วแน่ๆ และก็คงรู้ด้วยว่าผมหมายถึงอะไร แต่ทำไมเขาถึงไม่พูดออกมาตรงๆ เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจงั้นเหรอ เผื่อว่าถ้าผมไม่ได้คิดเรื่องเดียวกับเขา เขาก็คงจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเปิดเผยออกมาสินะ..
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เหนื่อยๆ เพลียๆ”
/...แล้วที่โพสในเฟซบุ๊คน่ะ หมายความว่ายังไง/ เหอะ ผมรู้สึกจี๊ดเลยครับ ยังกล้ามาถามผมกลับใช่ไหม ไม่คิดจะบอกออกมาเองเลยใช่ไหม
“ณัฐลองถามตัวเองเถอะ น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจนะ” ผมไม่สามารถที่จะคุมน้ำเสียงตัวเองให้คงที่ได้แล้วครับ จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อารมณ์ร้อนค่อนข้างมาก แต่เพราะตามปรกติไม่ค่อยที่จะมีใครมาทำให้ผมโมโห ผมจึงไม่ค่อยได้ระเบิดอารมณ์สักเท่าไร 
/ฟี่ไปเห็นอะไรมา ไปเจออะไรมาใช่มั้ย/ น้ำเสียงของณัฐเริ่มร้อนรนขึ้นทุกทีครับ แต่ผมกลับรู้สึกสะใจที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นได้
“ก็แล้วณัฐไปทำอะไรมาล่ะ บอกแล้วไงให้ถามตัวเองดู ทำอะไรมาอย่าคิดว่าฟี่ไม่รู้นะ!” ผมคิดว่าตั้งแต่ที่เราคบกันมาเกือบปี นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมตวาดและขึ้นเสียงใส่ณัฐ ก็ดีแล้ว ผมอยากจะให้เขารับรู้ได้เหมือนกันว่าการยอมของผมมันมีลิมิต
/ฟี่... ฟังณัฐก่อนได้ไหม ให้ณัฐอธิบายก่อนนะ/ ผมหูอื้อไปหมดแล้วครับ คำอธิบง-อธิบายอะไรผมไม่อยากฟังทั้งนั้น
“ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกณัฐ ณัฐอยากจะทำอะไรก็ทำไป อยากจะไปไหนกับใครก็ไป ไม่ต้องมานึกถึงความรู้สึกฟี่หรอก!”
/ฟี่..จะให้ณัฐไม่แคร์ฟี่ได้ยังไง ขอร้องเถอะ ฟังณัฐหน่อยนะ/
“ถ้าณัฐแคร์ฟี่จริง ห่วงความรู้สึกฟี่จริง ทำไมณัฐไม่คิดก่อนทำ ทำไมณัฐไม่คิดก่อนที่จะปิดบังอะไรฟี่ ไม่ต้องแล้วแหละณัฐ ไม่ต้องมายุ่งกับฟี่! ถ้าณัฐอยากจะไปนักก็ไปเถอะ ปล่อยฟี่ไว้อย่างนี้แหละ” ฮึก... ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว บุญเท่าไรแล้วที่ผมไม่ฟูมฟายออกมา...
/ฟี่ เดี๋ยวณัฐไปหานะ รอณัฐก่อนนะ/ สุดท้ายเขาก็ตัดบทผมเอาดื้อๆ ไม่เอาด้วยหรอก ผมไม่อยากเจอเขา ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากฟังคำที่เขาจะพูดกับผม ไม่อยากรู้ว่าเขาจะบอกอะไร
ผมกลัวว่าสิ่งที่เขาจะบอกกับผมคือขอเลิก
กลัวเขาจะมาบอกผมว่าเขาจะกลับไปหาครอบครัว
กลัวว่าผมจะต้องทนอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีณัฐ...
ผมไม่มีทางทนได้แน่นอน..

“ถ้าณัฐมา ฟี่ก็จะไป...”
/โธ่ฟี่..ขอร้องละ ณัฐกำลังไป รอนะฟี่ รอนะ/ ผมเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงณัฐเหมือนสะอื้น ผมทำณัฐร้องไห้ ทำณัฐเสียใจ แล้วยังทำให้เขาต้องทิ้งการเรียนมาหาผม ทำไมผมถึงได้เฮงซวยแบบนี้นะ ตัวเองเสียใจคนเดียวก็พอแล้วจะต้องดึงคนอื่นมาอีกทำไม
/ฟี่ ตอบณัฐสิ รอณัฐนะ รอก่อน อย่าไปไหนนะ/
ผมไม่ได้ตอบณัฐไปหรอกครับ ผมกดสายทิ้งแล้วก็นั่งน้ำตาไหลอยู่คนเดียว สมองผมมันย้ำอยู่แต่เรื่องแย่ๆทำนองว่า...

ณัฐจะต้องมาบอกเลิกผม
เขาจะต้องทิ้งผมไป
ทำไมเขาถึงโกหกผม
ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตต่อมาจากวันนั้นได้หน้าตาเฉยทั้งที่มีเรื่องปิดบังผม
ทำไม ’เธอคนนั้น’ ถึงต้องอัพรูปเซ็ตนั้นขึ้น อัพเพื่ออะไร เพื่อจะป่าวประกาศว่าหล่อนไปเที่ยวกับลูกและสามีงั้นเหรอ ถ้าหากมีคนอื่นถามถึงณัฐ หล่อนคงจะบอกว่าเขาเป็นพ่อของลูกสินะ คงจะอ้างได้หน้าตาเฉยสินะ
ทำไม... ผมถึงต้องถูกทำแบบนี้ด้วย... ผมรักณัฐขนาดนี้ แต่ทำไมณัฐถึงเลือกทำสิ่งที่จะทำให้ผมเสียใจ...


ผมลุกจากโซฟาแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอน ผมขนเสื้อผ้าของณัฐออกมาจากตู้ หากว่าเขามาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา เขาจะได้เอาเสื้อผ้าไปได้เลย
ผมเก็บรูปของเขาออกจากทุกๆที่ในบ้าน ผมเก็บหนังสือการ์ตูนของเขา ข้าวของๆเขาใส่ถุงให้
ผมเก็บรูปที่เราถ่ายคู่กันมาแล้วฉีกทิ้ง รูปคู่กันที่ณัฐบอกว่าอยากได้ใบเล็กมาใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ผมก็ไปอัดมาให้ แต่ตอนนี้เขาคงไม่ต้องการอีกแล้ว โน้ตลายมือณัฐที่แปะไว้หน้าตู้เย็นคงจะทำให้ผมแสลงใจในภายหลัง แต่เขาอุตส่าห์เขียนให้ผม เพราะงั้นผมก็จะเอามันคืนให้ณัฐไป
อย่าได้เหลืออะไรให้นึกถึงกันอีกเลย...


ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมก็ได้ยินเสียงคนไขประตูบ้านผมแล้วปิดเสียงดังมาก เสียงณัฐเรียกชื่อผมมาจากชั้นล่าง ผมหิ้วของของเขาแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ณัฐเปียกซ่กเพราะฝนตก หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงรีบเอาผ้าขนหนูแห้งๆมาเช็ดผมให้เขา แต่แค่มองหน้าเขาผมก็จะสติแตกอยู่แล้ว ครั้งนี้มันเจ็บยิ่งกว่าครั้งไหน ผมรู้แล้วว่าทำไมเวลาคนที่เรารักทำให้เราเสียใจ มันถึงเจ็บเจียนตาย...

ก็เพราะว่าเรารักเขามากน่ะสิ การที่เรารักใครมาก คาดหวังมาก เวลาผิดหวังมันก็จะมากทวีคูณไปด้วย

ณัฐโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเดินดิ่งมาหาผม เพียงชั่วแวบเดียวผมก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วถูกอุ้มลงมาจากบันไดเรียบร้อย ผมดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของเขา ความรู้สึกของผมคือไม่อยากให้เขามาถูกตัวผมสักนิด แต่ณัฐก็กอดผมเอาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“ฟี่ ฟังณัฐก่อน ให้ณัฐพูดก่อนเถอะนะ”
“ไม่ต้องหรอกณัฐ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“ทำไมละฟี่ จะให้โอกาสณัฐสักครั้งได้ไหม ขอให้ณัฐได้อธิบายสักนิดได้ไหม” ณัฐพูดไปตาก็แดงก่ำ ผมที่เจ็บปวดใจอยู่แล้ว พอมาเห็นเขาร้องไห้ก็ยิ่งปวดร้าวมากขึ้น... ทำไมผมถึงมีจิตใจอ่อนแอแบบนี้นะ...
“ไม่...” ผมส่ายหัวและดันเขาออก น้ำตาผมก็ไหล น้ำตาเขาก็ไหล ณัฐสะอื้นเบาๆ ผมรับรู้ได้เพราะเขากอดผมไว้แน่นและซุกหน้ากับซอกคอของผม ณัฐจูบที่ซอกคอของผมเหมือนพยายามที่จะปลอบประโลม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการสักนิด
“ณัฐ...อยากจะไปจากฟี่ก็ไปเถอะนะ ฟี่อยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงฟี่หรอก”
“ไม่ใช่นะฟี่ ไม่ใช่เลย ณัฐมีเหตุผล ณัฐมีคำอธิบาย ได้โปรดเถอะฟี่ อย่าผลักไสณัฐไปจากฟี่เลย”
“แล้วทำไมณัฐถึงทำแบบนั้น ถ้าไม่อยากไปจากฟี่แล้วโกหกฟี่ทำไม ณัฐรู้ไหมว่าฟี่ยังจำวันนั้นได้ดี ณัฐบอกฟี่ว่าจะไปไหน ณัฐใส่ชุดอะไร ณัฐกลับมาแล้วมากอดฟี่ทันทีที่เห็นหน้าฟี่ก็จำได้ ณัฐหลอกฟี่ไปแล้วยังกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง!!”
“ฟี่..ณัฐก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ ณัฐเจ็บเหมือนกันที่มีเรื่องปิดบังฟี่ ไม่ใช่ว่าณัฐไม่คิดจะบอก ณัฐอยากจะบอกฟี่ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เพราะว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันมันมีความสุขมาก และณัฐก็รู้ว่าฟี่จะเจ็บปวดแค่ไหนถ้าได้รู้ ณัฐถึงได้พูดไม่ออกสักที”
“แล้วฟี่มารู้ทีหลังแบบนี้มันเจ็บน้อยกว่ากันมั้ยยยย!!” ผมตะโกนจนแสบคอไปหมดแล้ว แต่นั่นมันก็ยังไม่สาแก่ใจในการระบายอารมณ์ ถ้าผมไม่ตะโกน และนั่งทำท่านิ่งๆ ผมคงอกแตกตาย
“ไม่...” ณัฐพูดเสียงเศร้าแล้วก้มหน้าไป ผมก็เริ่มรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายซะ เครียดจะเป็นบ้าแล้วร่างกายยังจะมาป่วยอีก
“ฟี่จะกลับบ้าน” พอผมพูดแบบนั้น ณัฐก็เงยหน้ามามองผมเขม็งแล้วส่ายหัว
“บ้านฟี่อยู่นี่ไง”
“จะกลับบ้านอาผึ้ง ไม่อยากอยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่แหละ”
“บอกว่าไม่อยากอยู่ เข้าใจไหมว่าไม่อยากอยู่เลยสักวินาทีเดียว!” ผมตวาดใส่ณัฐ เขาทำหน้าตกใจจนผมรู้สึกผิด แต่อารมณ์โกรธที่เข้ามาครอบงำก็ทำให้ผมไม่สนอะไรทั้งสิ้น
“งั้นฟี่ก็ไปเถอะ... ณัฐคงรั้งฟี่ไว้ไม่ได้หรอก ณัฐคงไม่มีสิทธิ์จะรั้งฟี่แล้วสินะ...แต่ขอให้ฟี่จำไว้อย่างหนึ่ง ต่อให้ณัฐไม่มีฟี่ ไม่มีใครเลย... ณัฐก็ไม่มีทางกลับไปหาเขาอีก” พอณัฐพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมที่กำลังจะหันหลังกลับไปเก็บเสื้อผ้าต้องชะงักไปแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเท่านั้นผมก็เดินต่อไป ผมเดินขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งทางก็...
“ฟี่...” น้ำเสียงเศร้าสร้อยพร้อมกับแรงกอดจากด้านหลัง นี่มันกะจะให้ตกบันไดตายทั้งคู่เลยใช่ไหม...
“...”
“ฟังณัฐก่อนนะ ขอแค่ฟังณัฐก่อน ถ้าฟี่คิดว่าคำอธิบายของณัฐมันยังไม่ดีพอแล้วฟี่ยืนยันที่จะไป ณัฐก็จะไม่รั้งไว้” ผมหันไปมองหน้าณัฐ สมองประมวลผลว่าควรจะทำอย่างไรดี ผมคิดว่าตอนนี้ผมรู้สึกใจเย็นขึ้นมาก เหมือนว่าพอได้ตะโกนแล้วมันก็โล่งขึ้นมากกว่าตอนแรกที่รู้เรื่องใหม่ๆ สมองผมเองก็พร้อมที่จะรับฟังมากขึ้น บวกกับพอเห็นหน้าณัฐ... ผมเชื่อใจเขามาตลอด รู้จักเขามาก็นาน ณัฐเองก็บอกว่าเขามีคำอธิบาย แล้วทำไมผมถึงได้ปล่อยให้อารมณ์โมโหมาครอบงำขนาดนี้นะ ผมถามตัวเองว่าต้องการแน่เหรอที่จะเลิกกัน ผมยอมแน่เหรอที่จะอยู่โดยไม่มีณัฐ ที่ผมไม่อยากฟังณัฐพูด ก็เพราะกลัวว่าเขาจะมาขอเลิกนี่นา แต่ตามจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เขาแสดงออกว่าเขารักผมมาก...ขนาดนั้น...

“ก็พูดมาสิ...” ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ณัฐเองก็แทบจะดึงผมไปนั่งตักอยู่แล้ว ผมจึงต้องถลึงตาใส่เขาเพื่อจะได้รู้ว่าผมรับฟังแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้หรอกนะ...
“แม่ของเขาโทรมาหาแม่ณัฐ” จู่ๆพ่อคุณก็เปิดประเด็นมาแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยครับ
“โทรหาแม่ณัฐ โทรมาทำไม?” ผมขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรที่ได้ยินเรื่องแม่ของผู้หญิงคนนั้น ช่างเป็นแม่ที่ยุ่มย่ามวุ่นวายไม่สิ้นสุดเลยแหละครับ
“โทรมาถาม ว่าทำไมณัฐไม่ไปหาลูกบ้าง” จี๊ดดดดดดดดดดดดด.....พุ่งปรี๊ดเลยครับ ผมหงุดหงิดกับคุณแม่ท่านนี้มานานแล้ว ใจคอนี่จะปิดหูปิดตาไม่รับรู้บ้างหรือไรว่าลูกเขาเลิกกันนานแล้ว
“พอแม่เขาโทรมาอย่างนั้น แม่ณัฐก็เลยตกปากรับคำไป ณัฐเองก็ปฏิเสธไม่ออก เพราะว่าแม่ณัฐสัญญาไปแล้ว” ถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงรูปเซ็ตนั้นครับ อารมณ์ผมเริ่มมาคุอีก ผมเลยสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่ภาพพวกนั้นออกไปก่อนที่ผมจะสติแตกอีกรอบ
“ณัฐไปแค่สองชั่วโมงเองนะฟี่... รีบไปแล้วก็รีบกลับ”
“วันนั้นคุยอะไรกันบ้าง” ผมถามเสียงต่ำ ไม่ได้จะหาเรื่องหรืออะไร แต่ก็แค่อยากรู้...
“ก็แค่ถามเรื่องยายเขา เห็นว่ายายเขาไม่สบาย ส่วนมากไม่ค่อยได้คุยกันหรอก”
ผมฟังแล้วก็เงียบ คุณคิดว่าในเวลาแค่สองชั่วโมงนั้นมันนานไหม? สำหรับคนรักกัน เวลาสองชั่วโมงเหมือนจะแสนสั้น แต่หากต้องอยู่กับคนที่เราไม่ได้รัก สองชั่วโมงนั้นก็ดูเหมือนจะยาวนาน... ผมยังมีสิ่งที่อยากถามเต็มไปหมด...
“อยากกลับไปอยู่กับลูกไหม” คำถามที่ผมถามเองเรียกน้ำตาให้มาคลอได้เป็นอย่างดี สักพักมันก็ไหลเอ่อออกมา ณัฐแตะปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วพูดเสียงเบา
“ฟี่จะให้ณัฐกลับไปเพื่ออะไร ทุกอย่างมันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม ตรงนั้นมันไม่มีที่สำหรับณัฐอีกแล้ว ที่ของณัฐอยู่ตรงนี้” เขาเอานิ้วจิ้มมาที่อกข้างซ้ายของผม ผมหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ณัฐไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังฟี่แล้วใช่ไหม? ”
“ไม่มีแล้ว แต่ถ้าฟี่จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
ณัฐพูดอย่างนั้น.. แต่..
ผมเชื่อ...
ผมยังคงเชื่อมั่นว่าณัฐไม่ใช่คนชอบโกหก แต่ถึงแม้คำโกหกของณัฐจะเป็น White lies มันก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยเมื่อรู้ความจริง แม้ตอนนี้ผมจะไม่โวยวาย ไม่อาละวาด ไม่ฉุนเฉียว แต่ความรู้สึกของผมมันก็ไม่ได้จะกลับมาดีเหมือนเดิม ผมยังจำความเจ็บปวดตอนที่เห็นรูปพวกนั้นได้ไม่ลืม และคนที่สร้างปัญหานี้ขึ้นก็สมควรที่จะต้องชดใช้

“ณัฐรู้ใช่ไหมว่าความรู้สึกของฟี่จะไม่มีทางเหมือนเดิม ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไรฟี่ก็จะยังจำได้ว่าณัฐเคยโกหกฟี่ไว้ ฟี่ไม่โกรธที่ณัฐไป แต่ฟี่โกรธที่ณัฐปิดบัง ฟี่รู้สึกเหมือนว่าเป็นไอ้โง่ให้ณัฐหลอก เพราะฉะนั้นฟี่คงไม่สามารถที่จะปรับความรู้สึกกลับมาได้เหมือนเดิมทันที ทีนี้ก็จะเป็นปัญหาของณัฐที่จะต้องเยียวยาความรู้สึกของฟี่ด้วยตัวณัฐเอง”
“อืม” เขาพยักหน้าแล้วก็สวมกอดผม
“ฟี่กอดณัฐหน่อยได้ไหม”
ผมลังเลใจเมื่อได้ยินคำขอนั้น ผมยังรู้สึกตึงๆ ความเสียใจมันมีมากเหลือเกิน แต่บางสิ่งที่เรียกว่าโหยหาก็มากไม่แพ้กัน ความเคยชินที่ได้สัมผัสกันมันยังฝังแน่นในสมองของผม ผมยกแขนขึ้นแล้วโอบรอบแผ่นหลังของณัฐ
“จำไว้นะณัฐ จำความเสียใจของฟี่เอาไว้ จำไว้ว่าฟี่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของณัฐแค่ไหน ความไม่มั่นใจของณัฐ ความลังเลของณัฐมันทำให้ฟี่เจ็บ มันทำให้คนที่ณัฐบอกว่ารักมากต้องเสียใจ หากว่ามันต้องมีครั้งต่อไป เราจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีก” ผมขอภาวนาว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกเลย...
“ถ้าสถานการณ์ของเราสองคนสลับกัน ถ้าณัฐต้องตกอยู่ในสถานการณ์ของฟี่ ณัฐก็คงเสียใจไม่แพ้กัน ถ้าเป็นณัฐก็คงไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ ณัฐขอโทษนะ ณัฐขอร้องฟี่ว่าอย่าจำเรื่องนี้ได้ไหม ลืมมันไปได้ไหม ขอโอกาสให้ณัฐ...”
“ฟี่ไม่ลืมหรอกณัฐ ไม่มีทางลืม แต่ฟี่จะไม่ยอมปล่อยให้มันมาทำร้ายจิตใจฟี่อีก”
“แค่นั้นก็ยังดี” ณัฐยิ้มเศร้า มันยังคงต้องใช้เวลาที่จะปรับความรู้สึกให้คงที่ ผมคิดว่าผมยังคงต้องเศร้าสร้อยไปพักหนึ่ง แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันมันจะต้องดีขึ้น เพราะว่าการที่ผมได้กอดเขาแบบนี้ การที่เราสองคนได้ใกล้ชิดกัน มันเป็นเหมือนยาที่ค่อยสมานแผลใจ และต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญว่าเรารักกันมากแค่ไหน อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำลายความรักลงไป...เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าเราเชื่อใจกัน ก็จะต้องผ่านปัญหาไปได้แน่นอน...

ปล.ตอนนี้ผมเกลียดมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่สุดเลยครับ...

------------------------ The End ------------------------

แจ้งค่ะ :: เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเหตุการณ์ตอนที่เขาคบกันใหม่ๆนะคะ ไม่ได้เกิดหลังจากแต่งงานแล้ว  :L1:

ปล.เชื่อไหมคะ ว่านั่งพิมพ์ตอนนี้ไป บีก็เหมือนใจจะขาดไปด้วย ตอนพิเศษตอนนี้เป็นตอนเดียวที่กินพลังใจบีมากที่สุด ยิ่งเขียนก็ยิ่งหดหู่ สงสารฟี่ค่ะ สงสารมาก แต่เพราะความที่อยากจะให้ทุกคนได้รับรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามเสมอไป หากคุณเป็นคนที่มีความสุขมาก มันก็ต้องมีคนที่เจอแต่เรื่องให้ช้ำใจเสมอ ณัฐอาจจะทำผิด แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ฟี่อาจจะอ่อนแอ แต่ในความอ่อนแอนั้นก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง

ทั้งนี้ทั้งนั้น บีแค่อยากจะนำเสนอความรักในแง่มุมที่หลากหลายค่ะ เพื่อที่จะได้เป็นภูมิต้านทานให้หัวใจของเรามากขึ้น  :L2:



หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 01-09-2011 18:06:05
มาจิ้มๆ ตอนพิเศษครับ ^^
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 01-09-2011 18:29:46
9ปี ที่ไม่ธรรมดา

ณัฐ บางทีนายก็น่ากระทืบนะ
ในสังคมไม่ได้อยู่กันสองคน  แต่คนที่สำคัญที่สุด ก็ต้องได้รับการปฏิบัติที่ดีที่สุด
รักแต่ไม่เชื่อใจเจ็บทั้งสองฝ่ายนะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-09-2011 22:44:12
เข้าใจนะว่า ธรรมชาติของฟี่ คือเป็นคนชอบคิดมาก คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว  :เฮ้อ:

แต่เวลาคบกับใคร ก็อยากให้เชื่อใจกันบ้าง ปล่อยวางบ้างอะไรบ้าง

ณัฐก็คงรู้ไง ว่าฟี่มันชอบคิดมาก เลยไม่ได้บอกออกไป
แต่ก็จริงอีกแหละ รู้ทีหลัง มันมักจะเจ็บกว่าเดิม  เลยกลายเป็นทำร้ายเพราะหวังดีไปซะงั้น  :z3:
คุยกัน ปรับความเข้าใจกัน แล้วผ่านมันไปให้ได้  ชีวิตรักจะแน่นแฟ้นกว่าเดิมค่ะ  :กอด1:

จะรออ่านผลงานต่อๆไปนะคะคุณบี   :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 01-09-2011 23:00:58
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษ
รอตอนพิเศษ 2
+1
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 01-09-2011 23:02:42
สมกับตอนพิเศษจริงๆค่ะ อ่านแล้วจี๊ด จับใจเลย
ความเชื่อใจสร้างขึ้นใหม่ได้อยากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 01-09-2011 23:40:45
รู้สึกพลาดอย่างรุนแรงที่มาอ่านเรื่องนี้เอาตอนที่จบแล้ว :z3:
แนวนี้ล่ะชอบ ชีวิตรันทด บีบจิตสุดๆ เพราะคนอ่านเป็นมาโซ :laugh:
บางทีก็คิดว่าฟี่ทำไมมันคิดเยอะอย่างนี้ แต่คนแบบนี้มันก็มีอ่ะ คิดไปหมดซะทุกอย่าง คิดเองเจ็บเอง -_-||
ชีวิตคู่มีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ อยู่ด้วยกันจนแก่ใกล้ตายก็ยังมีเรื่องที่ยังไม่รู้ของอีกฝ่ายนะเค้าว่า จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึงนี่นา
แต่ก็แฮปปี้นะคะที่สุดท้ายสองคนนี้ก็มีความสุขกัน :กอด1:
+1 ขอบคุณค่ะ มีอีกไหมน้อตอนพิเศษ :z1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 02-09-2011 06:45:31
^^
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: Forget_Me_Not ที่ 02-09-2011 09:55:53
 :mc4:  ตอนพิเศษมาแล้ว
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 02-09-2011 16:28:15
รักคุณบีจัง  :กอด1:
อ่านกี่ทีมันก็จี๊ดดดดขึ้นมา อินไปว่าเราเป็นฟี่
เกลี่ยดฟี่ ที่งี่เง่า เจ้าอารมณ์ แต่ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเอง คงงี่เง่าได้มากกว่า
กับณัฐเอง ในฐานะของพ่อคน เราว่ามันน้อยไป ที่พ่อคนนึงจะให้ลูก
แต่จะให้เข้าไปหาลูกก็ห่วงอารมณ์คนรักตัวเอง ว่าจะรับไม่ได้
อึดอัดน่าดู อ่านจบก็กัดปาก หมั่นเขี้ยวคนเขียน เขียนมาได้ไงเนี่ย มันจี๊ดดดดจริงๆ :z3:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 02-09-2011 18:00:32
มุมนี้ของณัฐ ช่างร้ายกาจ
ไม่ปลื้มเอาเสียเลย
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 02-09-2011 18:52:33
ฟี่คิดมาก ขี้น้อยใจ :กอด1:

ถ้าไม่ใช่ณัฐนี่ใครจะทนได้ล่ะนั่น    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนพิเศษค่ะ <3
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 02-09-2011 19:46:26
เขียนดีมากค่ะ ชอบมากเลย อารมณ์ของเรื่องก็หดหู่ได้ใจค่ะ และจบได้ happy ดีค่ะ ชอบ
อ่านรวดเลยค่ะ ขอตามไปอ่านผลงานในเรื่องอื่น ๆ นะค๊ะ
ขอบคุณกับเรื่องดี ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 18-09-2011 13:19:09
เขียนเก่งจัง สนุกมากๆเลยค่ะ

อ่านแรกๆฟี่มืดมนมาก แต่พอณัฐเริ่มเข้ามาก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง ว่าแต่ทำไมตอนแรกฟี่ดูมืดมนจัง ครอบครัวก็ดูรักฟี่ดีออก หรือเพราะตังค์?งงๆแฮะ

ชอบตอนพิเศษที่สุด!
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 18-09-2011 17:10:36
เขียนเก่งจัง สนุกมากๆเลยค่ะ

อ่านแรกๆฟี่มืดมนมาก แต่พอณัฐเริ่มเข้ามาก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง ว่าแต่ทำไมตอนแรกฟี่ดูมืดมนจัง ครอบครัวก็ดูรักฟี่ดีออก หรือเพราะตังค์?งงๆแฮะ

ชอบตอนพิเศษที่สุด!


ที่ฟี่มืดมน เพราะว่าฟี่ทำตัวเองค่ะ เขาทำตัวของเขาเอง  :teach:


หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 22-09-2011 20:09:42
พออ่านจบ ทำให้เราคิดได้ว่า การสองคนที่ต่างพ่อแม่ ต่างการเลี้ยงดู มาอยุ่ด้วยกัน มาเป็นแฟนกันมีอะไรเราควรบอก ควรถามกัน ว่าชอบ ไม่ชอบที่ทำแบบนี้นะ ค่อยๆเรียนรู้กันไป

คุณบีบีจัง ถ่ายทองอารมร์ตัวละครออกมาได้ดีมากๆๆ จนบางครั้งเรารู้สึกลำคาญนายเอกเลย

ขอบคุณนะครับ สำหรับนิยายดีๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาให้พวกเราได้อ่านกัน ขอบคุณคับ

เเล้วจะตามไปอ่านเรืองอืนของคุณบีบีจัง  นะคับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 24-09-2011 01:51:31
หลังจากที่ตามอ่านมาในช่วงแรกๆ แล้วก็หายไปเลย เพิ่งกลับมาอ่านใหม่รวดเดียวหลังจากที่สถานะเรื่องนี้กลายเป็นจบแล้ว เพราะกลัวว่าจะเศร้าไปตามตัวละคร นับว่าเป็นเรื่องที่ฉีกไปจากเมื่อหนุ่มซึนมาหลงรักมากเลยค่ะ

ยังไงก็จะรอติดตามผลงานของคุณบีบีต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wasawath ที่ 19-05-2012 17:46:31
พึ่งเข้ามาอ่าน (ช้าไปมั้ย)
ชอบเรื่องนี้มว๊ากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: praseat ที่ 21-10-2012 20:33:19
ประทับใจแบบอึมครึม...อิอิ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 22-10-2012 23:33:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 24-07-2014 15:34:27
 :mew1:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 16-01-2016 03:23:30
ชอบ
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mu_mam555 ที่ 12-08-2017 13:39:16
 :sad4: :sad4: :sad4:
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: N-T ที่ 24-09-2018 17:15:35
 o13 ขอบคุณผู้เขียนจ้าชอบเลย