:: Part II ::
“ฝัน มึงจะเรียนที่ไหน?” ผมตัดสินใจถามคำถามนี้ เพราะจนใกล้จะสอบแล้ว เพื่อนรักยังไม่มีทีท่าเปิดเผย
“กูไม่บอก” มันยักไหล่ ตอบง่ายๆ
“อ้าว ทำไมวะ?” ผมขมวดคิ้วใส่มัน
“ไม่เอา ไม่บอก มึงก็ห้ามบอกกู” มันส่ายหน้า น้ำเสียงเด็ดขาด
“เราโคตรสนิทกัน เดี๋ยวจะเรียนตามกัน มึงก็อย่าบอกไอ้หมอก แล้วก็ห้ามไอ้หมอกบอกมึง เข้าใจไหม”
เหรอ อย่างนั้นเหรอวะ? ผมพยักหน้าหงึกหงัก กูเชื่อคนง่ายไปไหมนี่..
“ตกลงมึงจะเลือกเรียนที่ไหน” ไอ้หมอกถามผมอย่างที่ไอ้ฝันทำนายไว้
“ไอ้ฝันบอกว่าห้ามบอก” ผมส่ายหน้าดิก
“ห๊ะ?” ไอ้หมอกขมวดคิ้วใส่ ผมจึงอธิบาย “ไม่งั้น เดี๋ยวจะเรียนตามๆกันไป”
“จะเรียนตามกันได้ยังไงวะ ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันเล้ย แถมต่อให้เรียนที่เดียวกัน จะได้เจอกันมากแค่ไหนก็ยังไม่รู้..”
“ไอ้ฝันบอกว่าห้ามบอก!” ผมปฏิเสธอย่างดื้อดึง
“กูจะเรียนที่...” ไอ้หมอกอ้าปากจะพูด
ผมรีบขยับเข้าใกล้ เอาฝ่ามือทาบปิดปากมันไว้ “มึงก็ห้ามบอกกู..”
...
ไม่มีอะไรมากครับ สตั๊นทั้งคู่..
ตลอดตั้งแต่เทอมที่แล้วจนถึงเทอมนี้
หลายวัน.. หลายเดือน.. ที่ไม่เคยใกล้ชิดมากขนาดนี้..
ครั้งสุดท้ายคือตอนที่มันโอบเอวผมเข้าหาตัว ก่อนที่เราจะเริ่มติวหนังสือกันอย่างจริงจังเมื่อนานมาแล้ว
ส่วนใหญ่ เราสองคนจะนั่งตรงข้ามกัน มากที่สุดก็คือเดินข้างกันตอนกลับบ้าน จนแทบจะลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว..
ความรู้สึกวาบไหวในอก.. ยามรับรู้ถึงสัมผัสและลมหายใจของอีกฝ่าย..
มือแกร่งของคนตรงหน้ายกขึ้นมาจับมือผมไปเกาะกุมไว้ ยื่นหน้ามาใกล้
“ทำไมไม่บอก..”
“อะ..” ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบ
“อ..ไอ้ฝันบอกว่า ด..เดี๋ยวกูไปเรียนตามมึง จนไม่เลือกที่ที่ต้องการจริงๆ”
ไอ้หมอกพยักหน้ารับรู้ “แล้วตอนนี้มึงตัดสินใจหรือยัง?”
ผมพยักหน้าบ้าง “ตัดสินใจแล้ว”
เรามองหน้ากัน..
ใจหนึ่งผมก็อยากให้เราเรียนที่เดียวกันเพื่อสานต่อความสัมพันธ์นี้ต่อไป
แต่อีกใจ.. ไม่ได้เรียนที่เดียวกันก็ดี จะได้รู้ว่าความรู้สึกนี้มันจะยั่งยืนสักแค่ไหน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมก็ต้องพร้อมรับ..
“ไอดิล..” เสียงเข้มเอ่ยเรียกชื่อ มือข้างหนึ่งแตะหลังคอ โน้มใบหน้าผมลงไปหา
อย่า.. ผมพยายามจะค้าน แต่เสียงก็ไม่หลุดลอดออกจากลำคอเมื่อดวงตาหลับนิ่งอย่างหวั่นไหว
ทว่า..
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้หมอกปล่อยผม หันหน้าหนีไปทางอื่น..
“เอ้า มา ติวต่อ!”
“ห๊ะ!?” ผมมองไอ้หมอกค้าง ปากเผยอนิดๆ แต่มือใหญ่กว่ายีหัวผมอย่างหยอกล้อ
“อ่านหนังสือซะ” มันว่าห้วนๆ “แล้วอย่าเข้ามาใกล้แบบนั้นอีก”
โด่ววว.. ผมเบ้หน้างอนๆ
กูก็นึกว่ามึงจะ.. ที่สุด.. รอยยิ้มอ่อนโยนแบบเดิมจึงกลับมาฉาบฉาย นิ้วแกร่งไล้ใบหน้าผม โน้มเข้าไปประทับจูบเบาๆ แต่ลึกซึ้ง..
เพียงชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง..
“เท่านี้ก็พอ.. อย่ามากกว่านี้เลย เดี๋ยวจะเสียสมาธิกันทั้งคู่”
ไอ้หมอกกลืนน้ำลาย เอามือตบหัวผมเบาๆอีกที
“ตั้งใจอ่านหนังสือสอบกันนะ กูไม่อยากให้พ่อหล่อกับพ่อน่ารักผิดหวังว่าทำให้ลูกเขาไขว้เขว..”
ไอ้..หมอก.. ผมได้แต่ยิ้ม.. ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด
ความรู้สึกวาบหวามในใจถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกอบอุ่น.. ปลอบประโลม.. แนะนำ.. ย้ำเตือน..
ผมพยักหน้ารับคำ..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ก่อนจากกัน.. ขอสัญญา
ฝากประทับตรึงตรา.. จนกว่าจะพบกันใหม่
โบกมืออำลา ..สัญญาด้วยหัวใจ
เพราะความรักติดตรึงห่วงใย.. ด้วยใจผูกพันมั่นคง
ตามธรรมเนียมงานปัจฉิมนิเทศ.. เพลง ‘คำสัญญา’ ถูกเปิดให้เข้ากับบรรยากาศ
เสื้อพละและปากกาเป็นอุปกรณ์ที่เราต้องมี..
ผมและเพื่อนๆ ผลัดกันเขียนเสื้อ มีเพียงสองเพื่อนสนิท..ที่ผมยังไม่ได้เขียน
ผมเดินไปหาไอ้ฝันก่อน ผู้ซึ่งเขียนเสื้อให้ไอ้เต้เสร็จเรียบร้อยพอดี..
เพื่อนสาวหันมาหาผม มันกลืนน้ำลาย มือที่ถือปากกาสั่นไหวน้อยๆ
“เขียนให้กูด้วย..”
ผมยืนตรงหน้ามัน แต่แม่งไม่ยักเขียน กลับทิ้งปากกาลงพื้นเสียอย่างนั้น
แขนเรียวคว้าตัวผมไปกอดไว้ ซบหน้าลงกับบ่า น้ำตาไหลเปียกเสื้อ..
ผมได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกอดไหล่มันตอบหนักๆและกระพริบตาไล่หยดน้ำออกไป..
ไอ้ฝันเป็นเพื่อนสนิทคนแรกของผม มิตรภาพของเรานั้นลึกซึ้งเกินจะอธิบายได้
สิบกว่าปีที่เป็นเพื่อนกันมา..
สุข..ทุกข์..ร่วมกัน
หัวเราะ..ร้องไห้..ด้วยกัน
ด่าทอ..และ..ชื่นชม
กวนตีน..และ..ให้กำลังใจ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมสาบานได้เลย มันจะเป็นเพื่อนรักของผมเสมอไป
และเมื่อมันเกิดปัญหา.. เมื่อมันต้องการ.. ไม่ว่าจะมันจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อไปอยู่ที่นั่น..
“พวกมึงแต่งงานกันเถอะ” ไอ้เต้เย้ายิ้มๆ
เพื่อนร่วมชั้นหัวเราะอย่างให้กำลังใจ ด้วยรู้ดีว่าผมกับไอ้ฝันผูกพันกันขนาดไหน
“แต่งไม่ได้ไอ้เต้” ไอ้แชมป์เหล่ไปทางร่างสูงที่นั่งเขียนเสื้อให้เพื่อนอีกคน
“เดี๋ยวคนบางคนแม่งช้ำใจตาย มันยิ่งรักของมันอยู่”
ผมกับไอ้ฝันผละจากกัน ทั้งขำทั้งซึ้ง เพื่อนสาวสูดน้ำมูก
“มึงสองคนก็อย่าทำเมินกันอยู่เลย มีอะไรจะพูดกันก็พูดไป”
ผมกลืนน้ำลาย มองแผ่นหลังไอ้หมอก ผู้ที่มือชะงักปากกาไว้ ก่อนจะเขียนให้เสร็จและส่งเสื้อคืนเจ้าของ
ร่างสูงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันหน้ามามองผม ผมเองก็มองมัน
“กูไม่รู้เลย ..ว่าจะพูดอะไร”
ผมพยักหน้าน้อยๆ.. “กูก็เหมือนกัน”
มันเดินมาหาผม.. ผมก็เดินไปหามัน..
แขนแข็งแรงโอบผมเข้าสู่อ้อมกอด ผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน
ไม่พูดอะไรเหมือนเคย แต่พยายามส่งผ่านความรู้สึกไปให้มากที่สุดท่ามกลางพยานหลายสิบชีวิตที่พร้อมใจกันทำท่าไม่รู้ไม่ชี้..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
การสอบเสร็จสิ้นลง.. เรารอผลกันอย่างอกสั่นขวัญแขวน และที่สุด..
เมื่อยามสายหลังจากประกาศผลสอบ ก็มีรอยยิ้มน้อยๆ ฉาบฉายอยู่บนใบหน้าผม
“ตกลงมึงจะบอกกูได้หรือยังว่าเรียนที่ไหน”
ไอ้ฝันมาที่บ้าน ผมจึงถามมันเสียเลย ทว่า เพื่อนสาวยังคงส่ายหน้าอยู่
“เออ.. ไม่เป็นไร” ผมเสมองไปทางอื่น ค่อยๆเอ่ยแต่ละคำออกมา
“อีกไม่กี่วัน.. กูจะไปแล้วนะ พ่อหล่อจะขับรถไปส่ง”
ไอ้ฝันได้แต่ก้มหน้าลงพื้น ผมจึงเอ่ยต่อ
“แล้ว.. แล้วมึงต้องรายงานตัววันไหน จองหอพักอะไรหรือยัง แล้วเดินทางไปยังไง ที่..ที่ไหนก็ตามที่มึงจะไป”
“เรียบร้อยหมดแล้วล่ะ ที่จริง.. กูติดตั้งแต่สอบตรงแล้ว แม่พาไปสอบตอนเดือนมกราฯ”
“แล้วมึงไม่บอกกูเลยเนี่ยนะ!” ผมเพ่งมองหน้าม้าพองฟูของมัน
“ตอนนี้กูก็สอบได้แล้ว เลือกไว้อันดับหนึ่ง เพราะงั้น.. ต่อให้มึงเรียนที่ไหน กูก็จะเรียนที่ที่กูเลือกไว้แน่ๆ ไม่เปลี่ยนใจ มึงจะบอกกูได้หรือยัง อย่างน้อย กูจะได้ไปส่ง ไปเป็นเพื่อน..”
“กูไม่บอก”
คำยืนยันนั้นทำให้ผมโมโห
“เออ ตามใจ!” ผมว่าห้วนๆ
ไอ้ฝันพยักหน้าน้อยๆ หันหลังจะลากลับ
“พ่อๆคะ ฝันกลับบ้านก่อนนะ” มือเรียวยกขึ้นไหว้สองพ่อ
“เอ้อ พ่อหล่อคะ.. พ่อหล่อไปวันไหน แวะรับหนูด้วยนะคะ หนูบอกแม่แล้วว่าจะไปพร้อมพ่อหล่อ ให้แม่ไม่ต้องห่วง..”
จากที่เม้มอยู่ ปากผมอ้าค้างน้อยๆ ตามองไอ้ฝัน
“เจอแม่เราเมื่อวานที่ร้านค้า แม่เราบอกพ่อแล้วล่ะ” พ่อหล่อพยักหน้ายิ้มๆ
“แม่เราได้พาไปสอบ ไปเห็นที่เรียนแล้ว เขาก็เลยสบายใจ บอกว่าไว้ค่อยหาโอกาสไปเยี่ยมเราอีกทีน่ะ”
เฮ้ย!
ผมจ้องหน้าพ่อหล่อ ส่วนพ่อน่ารักมองผมอย่างขำๆ พลางพยักหน้ายืนยันว่าความเข้าใจของผมนั้นถูกต้อง
“ไอ้ฝัน!” ผมว้ากเพื่อนสนิท
“เหี้ย แล้วมึงไม่บอกกูเลยเนี่ยนะ! มึงไม่รู้เหรอว่ากูก็จะเรียนที่..”
“กูรู้..” มันบอกปนหัวเราะ รอยยิ้มแย้มแต่งริมฝีปาก
“เฮ้ย! แล้วตอนวันปัจฉิมฯ มึงจะร่ำลากูซะซึ้งขนาดนั้นทำเพื่อ!?”
“กูไม่รู้ว่ะ” ไอ้ฝันโคลงศีรษะ “เพลงมา บรรยากาศพาไป กูก็เลยตามเลย..”
“ไอ้เกรียน!” ผมก้าวยาวๆ ไปดึงตัวมันมากอดไว้หนักๆ
เราหัวเราะกันลั่น จนกระทั่งไอ้ฝันผละออกและเอ่ยค่อยๆ..
“กูอยากไปหาพี่หมอ”
“อืม..” ผมพยักหน้า “ไปกัน”
เราเดินออกมาจากบ้าน สายตาผมเหลือบไปมองบ้านข้างๆอย่างช่วยไม่ได้
ไอ้ฝันกำลังจะไปหาพี่หมอ แล้วผมล่ะ..
เราไม่ได้พูดกันมาหลายวันแล้ว.. “หมอก!” ไอ้ฝันตะโกนเข้าไปในรั้ว แม่งไวกว่ากูอีก..
ทว่า เป็นคุณนายแม่หมอกที่เดินออกมา
ผมมองตาเธอ เธอก็มองผม แล้วผมก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ผมยกมือไหว้..
“หมอกอยู่บ้านไหมครับ”
เธอนิ่งไปแป๊ปหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า..
“เฮ้” ไอ้หมอกเดินยิ้มน้อยๆ ออกมาหาในไม่กี่อึดใจ
สายตาจริงใจ ริมฝีปากระบายรอยยิ้มน้อยๆ ก็นี่ล่ะ ใบหน้าประจำของมัน..
“ไปเที่ยวตลาดป่ะ” ไอ้ฝันชวน
ร่างสูงผงกศีรษะ ยิงคำถาม “จักรยาน มอเตอร์ไซค์หรือตีน?”
ฮ่ะๆ แม้แต่ผมก็หลุดหัวเราะ ขณะไอ้ฝันตอบสิ่งที่ผมเดาได้ “ตีน!”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ที่มึงกำลังทำ เรียกว่ามาหาตู้จดหมายว่ะ ไม่ใช่มาหาพี่หมอ” ผมกับไอ้หมอกกลอกตาไปมา เมื่อการมาหาของมัน คือการมาเขียนกระดาษโน้ตแล้วทำท่าจะหย่อนลงตู้จดหมายเหมือนเดิม ในขณะที่ผมคาดว่ามันจะเดินเข้าไปหาในคลินิกให้เป็นเรื่องเป็นราว
“ไอ้ดิ้ล มึงนี่..” ไอ้ฝันเม้มปาก
“กูไม่ใช่คนไข้ ไม่ใช่เพื่อน ไม่มีธุระ จะให้เข้าไปหาในฐานะอะไรวะ”
มือเรียวกำลังจะหย่อนกระดาษโน้ตลงในตู้จดหมาย..
ทว่า ในทันใด บุคคลที่ควรจะเป็นผู้รับก็ปรากฏกายขึ้น ยื่นมือมาและพยักหน้าทำนองว่า ‘ส่งมานี่เลย’
แต่ไอ้ฝันไม่ส่ง..
เพื่อนผมยืนอึ้งตะลึงงัน ผมเองก็อึ้ง แต่มีสติมากกว่า จึงสังเกตว่าพี่หมอเดินมาจากบริเวณข้างตู้ไปรษณีย์หน้าคลินิก..
“เอ่อ..” ไอ้ฝันกลืนน้ำลาย พยายามจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกจากปาก
“ส่งมานี่ เดี๋ยวพี่ก็มาเปิดหยิบไปอยู่ดี”
“ส่งไปซี” ผมกระแทกไหล่เพื่อนเบาๆ มือสั่นๆนั้นจึงส่งกระดาษให้พี่หมอรับไป
‘ดูแลตัวเองด้วยนะคะ จะคิดถึง..’
บนแผ่นกระดาษประดับไปด้วยถ้อยคำเหล่านั้น
“คุณ..กำลังจะไปเรียนต่อแล้วใช่ไหม” พี่หมอก้มลงอ่าน แล้วเอ่ยถามเบาๆ
จากท่าที เขาเหมือนคาดเดาไว้อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นฤดูเรียนต่อ ใครๆก็ทราบดี
“อื้อ..” ไอ้ฝันพยักหน้าแล้วตอบรับแผ่วๆ คำตอบรับที่ทำให้มันน่ารักขึ้นเป็นสิบเท่า
“ค่ะ..”
พี่หมอพยักหน้าบ้าง ยื่นกระดาษให้มันแผ่นหนึ่ง
ไอ้ฝันเลิกคิ้วรับมา ผมชะโงกไปมอง มันเป็นตัวเลขสิบตัว..
“ถ้าคุณไม่สบายหรือว่ามีปัญหาก็..”
พี่หมอเอ่ย สายตาที่มองมายังเพื่อนผมนั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาดี
“โทร..ได้ตลอดเวลานะ”
ไอ้ฝันมองตา พี่หมอเองก็มองกลับมา ก่อนที่มือเรียวจะตบไหล่ไอ้ฝันเบาๆอย่างให้กำลังใจ แล้วพยักหน้าให้พวกผม และเดินเข้าคลินิกไป
ผมมองตามหลัง..
ไม่อยากจะคิดว่าพี่เขามายืนรอ แต่ว่าเขาไม่ได้เดินมาจากถนนสายอื่นเลย เหมือนเขายืน..ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
ไอ้ฝันก้มมองตัวเลขสิบตัวนั้นอีกครั้งและเงยมองกลับเข้าไปในคลินิก
“ขอบคุณค่ะ..”
ผมกับไอ้หมอกมองหน้ากัน หลุดเสียงหัวเราะ
แม่ง คำขอบคุณมึงดีเลย์เกิ๊น!ทว่า จากที่หัวเราะกันอยู่ดีๆ ไม่กี่วินาทีต่อมา เราก็นิ่งไป..
ร่างสูงกว่าที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกอยากเดินเข้าไปกอดเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่ผมทำก็เพียงเอ่ยถาม..
“สอบได้อย่างที่ตั้งใจใช่ไหม..”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ผมจึงยิ้มยินดี “ดีใจด้วย กูกับไอ้ฝันก็เหมือนกันนะ”
ไอ้หมอกยิ้มตอบเหมือนเคย..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไอดิล เก็บของเรียบร้อยแล้วนะลูก” หลายวันต่อมา.. ในคืนที่พ่อหล่อยกบรรดากระเป๋าขึ้นรถเพื่อพร้อมออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น พ่อน่ารักก็ถามย้ำกับผม ผมจึงพยักหน้า หลักๆก็.. เรียบร้อยแล้ว..
ขาก้าวช้าๆ ขึ้นบันได เปิดประตูห้องนอนตัวเองที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้ภายหลังเก็บของแล้ว เพราะที่ผมเอาไปก็มีเพียงเสื้อผ้า หนังสือนิดหน่อยและ ของใช้ส่วนตัวไม่กี่อย่างเท่านั้น ของส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในห้องนี้..
หน้าต่างที่เปิดอยู่ทำให้เห็นคนอีกฝั่ง..
ร่างสูงนั่งอยู่ปลายเตียง แขนแกร่งโอบกีต้าร์แนบลำตัว นิ้วเรียวดีดไปบนเส้นลวด เสียงดนตรี..ที่ผมคุ้นเคย
หมอกเล่นกีต้าร์ทุกวัน.. ผมเองก็เป่าขลุ่ยทุกวัน..
บางวัน.. เราไม่ได้พูดกันเลย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเราสื่อสารกันทุกวันอยู่ดี และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน..
เราสบตากันแป๊ปหนึ่ง แล้วผมจึงเดินกลับเข้ามาหยิบขลุ่ยที่โต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาจรดริมฝีปาก เป่าออกไปเป็นท่วงทำนองเพลง ‘แสงจันทร์’ ที่อีกฝ่ายก็รู้จักดี..
ทว่า.. เดินออกมาอีกครั้ง คนที่หน้าต่างก็หายตัวไปแล้ว..
ก๊อก ก็อก!เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นในความเงียบทำให้สะดุ้ง
ผมขมวดคิ้ว เพ่งมองหน้าต่างบ้านตรงข้ามอีกที ให้แน่ใจว่าไอ้หมอกไม่ได้อยู่ในนั้น
ก๊อก ก๊อก..
เมื่อเสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงเดินไป ค่อยๆ ดึงประตูเปิดออก..
ไม่ใช่พ่อหล่อ.. และไม่ใช่พ่อน่ารัก..“อะ..” ผมอ้าปากค้างไว้
คนนอกประตูถือวิสาสะเดินสวนเข้ามาและผลักประตูปิด ก่อนที่มือแกร่งสองข้าง
จะจับไหล่ผมไว้ ดันไปชิดประตู ไม่ได้เตรียมตัว.. ไม่ได้ตั้งใจ.. และไม่ทันห้ามปราม
ริมฝีปากที่จำได้ก็โน้มลงมาประทับจูบบนเรียวปากผม
“อ๊ะ..”
ผมสะดุ้งตกใจ มือสองข้างห้อยตกแนบอยู่ข้างลำตัว ขณะที่ไหล่ถูกกดไว้ชิดประตู และภายในโพลงปากก็กำลังถูกรุกรานอย่างนุ่มนวล.. เชื่องช้า..
“อื้อ..”
ผมครางเบาๆ เผลอยกมือขึ้นเกาะเอวร่างตรงหน้าเอาไว้ ริมฝีปากจูบตอบ สนองอย่างโหยหาแทบจะพอๆกัน..
“ม..หมอก ..อื้อ”
ผมทั้งครางทั้งเรียก พยายามดันตัวมันออก เมื่อรู้สึกว่าใกล้ขาดอากาศหายใจ
“อืม..” หน้าคมผละออกนิดหนึ่ง ผมจึงสูดลมหายใจเข้าปอดและรีบถาม
“มึงมาได้ยังไง”
“ก็พ่อมึงบอกเอง..” เสียงเข้มกระซิบ “ว่าถ้าจะมาหาลูกเขา ให้ขอเข้าทางประตู”
“อะ..” ผมหน้าแดง “ก็ใช่ แต่..”
แต่พ่อไม่น่าจะอนุญาตให้ขึ้นมานี่นา สิ่งที่ท่านน่าจะทำคือขึ้นมาเรียกผมลงไปข้าง ล่างมากกว่า ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความงุนงง..
“พ่อหล่ออนุญาตให้กูขึ้นมา” มันตอบสายตาแห่งคำถามของผม
“แต่พ่อน่ารัก..”
ไม่มีทางยอมแน่..ไอ้หมอกหัวเราะน้อยๆ พลางจ้องผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบที่เห็นไม่บ่อยนัก
“ท่านก็ไม่ค่อยแฮปปี้หรอก แต่พอดี.. ตอนที่กูเข้ามา พ่อหล่อกำลังทำกับพ่อน่ารักแบบเดียวกับที่กูทำมึงเมื่อกี๊อยู่ เลยเหมือนไม่ค่อยมีแรงห้าม..”
ไอ้.. แม่ง.. ผมทุบอกมันเบาๆอย่างเขินๆ มึงเลยฉวยโอกาสเลยว่างั้น?
“กูเห็นพ่อหล่อเช็ครถ เอากระเป๋าขึ้น.. มึงจะไปพรุ่งนี้เหรอ”
มือแกร่งปล่อยไหล่ผมเปลี่ยนเป็นโอบรอบเอวด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างไล้แก้มขึ้นลงเบาๆ
“อือ..” ผมพยักหน้า
ไปไหนก็ยังไม่เคยพูดกัน
เรียนที่ไหนก็ยังไม่ได้บอกให้ชัดเจนและมันเองก็ไม่ถาม..
“ขอ
จูบอีกทีนะ..”
เสียงเข้มประซิบ โน้มจมูกลงมาแนบชิด
ผมหน้าแดงก่ำ แต่ลำคอก็พยักน้อยๆ “อือ..”
เปลือกตาปิดลงอีกครั้งอย่างยินยอม มือสองข้างขยุ้มเสื้อยืดอีกฝ่ายไว้แน่น
หวั่นไหวในใจจนคล้ายว่าน้ำตาจะหยดลงมา..
“หมอก..” ผมผละริมฝีปากออกนิดหนึ่ง มองตาอีกฝ่าย “กู..”
ไม่เคยพูด.. ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่ว่า.. ก็อยากจะพูด.. อยากจะบอก..
ถ้าหากเราจะไม่ได้พบกันทุกๆวันแบบนี้อีกแล้ว ผมก็อยากให้ผู้ชายตรงหน้ารับรู้ว่า..
“กูรั..”
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาแนบแก้ม นิ้วโป้งกดปิดเรียวปากเบาๆ ชะงักคำพูดผมเอาไว้
มืออีกข้างลูบศีรษะเบาๆอย่างปลอบโยน
“เดินทางปลอดภัยนะครับ..”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วแน่ๆนะไอดิล” พ่อน่ารักถามย้ำมาจากชั้นล่าง ขณะที่ผมขึ้นห้องมารอบสุดท้ายเพื่อหยิบของ
“มีอีกสองอย่างครับ..”
ผมหยิบขลุ่ยขึ้นมากำไว้แนบอก มองผ่านหน้าต่างออกไปที่ห้องไอ้หมอก ก่อนที่จะดึงมันปิด แล้วก้าวออกนอกประตูห้องตัวเองและยืนนิ่งมองแผ่นกระดาษที่แปะอยู่บนนั้น..
คือ.. บทกวีแห่งศักดิ์ศรี
คือ.. ดนตรีที่แจ่มชัด
คือ.. ภาพเขียนเจิดจรัส
คือ.. ทิวทัศน์อันงดงาม
ผมค่อยๆแกะแผ่นกระดาษออกมาอย่างเบามือ.. ทะนุถนอม..
เกรงว่ามันจะขาดหรือชำรุดเสียหาย เพราะมันก็แปะอยู่ตรงนี้มายาวนานสิบกว่าปีแล้ว
และถ้าผมจะไปนอนที่ห้องอื่น.. ผมก็คงต้องเอามันไปด้วย..
“ไอดิล ลืมอะ-” พ่อน่ารักเดินขึ้นบันไดมาดูเมื่อผมเงียบไปนาน
ทว่า คำถามกลับชะงักอยู่ที่ริมฝีปากเมื่อเห็นว่าผมดึงแผ่นกระดาษนั้นออกมาสอดไว้ในสมุดบันทึกอย่างช้าๆ
“ผมทนไม่ได้ถ้าจะนอนในห้องที่ไม่มีกระดาษใบนี้แปะอยู่” ผมอธิบาย
“ผมขอเอาไปด้วยนะครับ”
พ่อน่ารักมีสีหน้าที่ยากจะอธิบาย.. มือเรียวดึงผมเข้าสู่อ้อมแขน
ผมเอ่ยบอกกับอกท่านเบาๆ “ผมรัก.. ผมรักพ่อ”
TBC