ตอนที่ 48 ลมเพชรหึง
เสียงเครื่องรถยนต์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้และจอดสนิททำให้ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ หนูถอนใจแรงหนึ่งครั้งเมื่อตัดสินใจได้ว่าควรหันหน้าเผชิญเข้าหาความจริง แล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินไปหาพี่โต้ง
เจ้าของรถเก๋งถือร่มคันโตเดินเข้ามาหาหนูที่หลบใต้หลังคาของร้าน หนูแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายเลยว่าจะเคียดขึ้งถมึงทึงสักแค่ไหน จวบกระทั่งคนตัวสูงกว่ายื่นร่มมาเบื้องหน้า หนูเงยหน้าขึ้นมองใบหน้านิ่งเรียบไม่ยินดียินดีร้ายนั้นด้วยความรู้สึกเกร็งๆ พี่โต้งขยับมือที่ถือร่มลักษณะเหมือนส่งให้ทำให้เข้าใจว่าอยากให้หนูถือร่มไว้ หนูจึงยกมือขึ้นถือร่มไว้ตามที่เขาสั่ง แม้จะไม่ได้เอ่ยแม้สักคำออกมา
พี่โต้งถอดเสื้อแจ๊กเกตของตัวเองออกแล้วสะบัดมาคลุมร่างหนูเอาไว้ ไม่วายกระชับเสื้อแรงๆ เข้าหาตัวจนไหล่หนูห่อและเซไปข้างหน้า รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจมากๆ เพียงแค่ไม่เอ่ยปากด่าเท่านั้นเอง
ร่มในมือถูกดึงออกไปถือไว้พร้อมกับอ้อมแขนที่วาดมาโอบไหล่รั้งให้เดินไปด้วยกัน
“กลับกันเถอะ” บอกด้วยเสียงปกติซึ่งไม่รู้ว่าพยายามสักเท่าไร คาดว่าพี่เขาอาจจะไม่กล้าดุเพราะตรงนี้คนเยอะและเพิ่งจะดีกันเลยไม่อยากทำให้เสียใจก็ได้ จึงต้องพยายามเก็บกดความเคืองใจเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวค่ะพี่...” หนูขืนตัวและดึงเสื้อพี่โต้งไว้ทำให้อีกฝ่ายหันมาเลิกคิ้ว
“หือ?”
“หนูมากับเพื่อนค่ะ” หนูตอบแล้วหันไปข้างหลัง เดย์เดินมาข้างๆ
“เอ่อ...นี่พี่โต้งวิด-ยาปีสามแฟนเราเอง แล้วนี่เดย์รูมเมทหนูค่ะ” หนูแนะนำ
“สวัสดีครับ” เดย์บอกพลางยกมือไหว้พี่โต้ง ส่วนพี่โต้งยกมือรับไหว้ด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ไม่รู้เมื่อไรฝนจะหยุดตก เดี๋ยวให้พี่โต้งไปส่งเดย์ที่หอในก่อนดีกว่านะ” หนูหันไปบอกกับเดย์โดยไม่ได้ปรึกษาพี่โต้งก่อนแต่อย่างใด
“แล้วรถล่ะว่าไง จะทิ้งไว้นี่เหรอ?” เดย์เป็นฝ่ายถามขึ้นมา เพราะรถคันนี้เป็นรถของหนูค่ะ และเดย์คงไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกเพราะรถของเขาก้ซ่อมเสร็จแล้ว
“เดี๋ยวไว้ฝนหยุดตก เราค่อยมาเอาก็ได้ เดย์ล็อกล้อแล้วใช่ป่ะ?”
“อืม” เดย์พยักหน้า
ระหว่างที่เราขึ้นรถกลับหอ พี่โต้งไม่ได้พูดอะไรอีกเลยค่ะ บรรยากาศเงียบมาก มีแต่เดย์ที่พยายามชวนหนูคุยเรื่องดินฟ้าอากาศเรื่อยเปื่อย แต่หนูเองก็ถามคำตอบคำเพราะไม่สบายใจเรื่องที่ทำให้พี่โต้งไม่ชอบใจเข้าอีกแล้ว
พอถึงหน้าหอแล้วฝนก็ยังไม่หยุดตก หนูหันไปหาพี่โต้งถามอ้อมแอ้มด้วยความเกรงใจว่า
“พี่โต้งมีร่มอีกคันไหมคะ จะให้เดย์ยืมหน่อย”
“มีคันเดียว จะให้เพื่อนยืมก็ได้นะ แล้วเราสองคนค่อยตากฝนเข้าคอนโดกัน” เอ่อ... พูดแบบนี้แล้วใครมันจะกล้าล่ะ?
“ไม่เป็นไรหรอกฐา สองก้าวก็ถึงแล้ว ไม่ทันเปียกหรอก” เดย์ตอบกลับมา “ว่าแต่ฐาจะไม่เข้าไปข้างใน ไปกินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ” นั่นสิเนอะ กำลังหิวเลยล่ะ
หนูหันไปมองหน้ามุ่ยๆ ของพี่โต้งแล้วก็เสียวๆ จะชวนพี่โต้งไปกินด้วยก็แปลกๆ ค่ะ เพราะพี่เขาก็ไม่สนิทกับรูมเมทหนูนี่เนอะ แต่จะเข้าไปคนเดียวพี่โต้งก็รออยู่ ใจหนึ่งก็อยากกลับเข้าหอในเพราะอยากหนีบรรยากาศมาคุ แต่ถ้าหนีแล้วก็ต้องหนีไปเรื่อยๆ ถ้าพี่แกไม่มาง้อล่ะซวยหมาแน่ๆ เลยต้องตัดสินใจหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้เดย์ที่เบาะหลัง
“ขอโทษทีนะเดย์ คงไม่เข้าไปแล้วล่ะ ฝากขอโทษเอกด้วยนะ” หนูตอบด้วยเสียงแสดงความเสียใจ
“เสียดายจัง อุตส่าห์ซื้อกับข้าวที่ฐาชอบทั้งนั้นเลย ฐาไม่ได้กินเลย” เดย์ตอบกลับมา ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ จนหนูเองก็รู้สึกผิดทั้งที่รับปากไว้แล้วว่าจะกินข้าวร่วมกันสามคนแต่ก็ผิดคำพูด
“พี่ว่า...น้องเข้าหอไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงเพื่อนนักหรอก แฟนคนเดียวพี่ไม่ปล่อยให้อดตายหรอกครับ เนอะน้องฐา เดี๋ยวเราค่อยหาของดีๆ แพงๆ อร่อยๆ อย่างอื่นกินแทนก็ได้เนอะ” ตอนแรกก็บอกเดย์ค่ะตอนท้ายกันมาแสร้งทำเสียงหวานใส่หนูเฉย
โอ...มาย...ก๊อด.... พี่โต้งคะ ทำไมเป็นคนแบบนี้???
คำพูดของพี่น่าหมั่นไส้มากค่ะ อวดรวยซะไม่มีล่ะ
หนูหน้าเหวอหันไปทำหน้าเสียใจใส่เดย์ที่โดนกัดแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรแบบนั้น
แต่ใครมันจะไปนึกว่า.....
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ เห็นพี่หน้าบึ้งตลอดเวลา ไม่รู้จะพาฐาไปฆ่าไปแกงที่ไหนหรือเปล่า อีกอย่าง ถ้าดูแลกันดีจริง เค้าคงไม่หนีกลับมาดึกๆ ดื่นๆ หรอก และแฟนที่ดีก็ไม่คงทำให้แฟนตัวเองร้องให้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนั้นด้วย”
อร๊ายยยยยย เดย์!! ทำไมไปต่อปากต่อคำพี่แกขนาดนั้นล่ะ รู้หรอกนะว่าห่วงเพื่อน แต่ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ไม่เคยได้ยินหรือไงว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องผัวเมียเวลาทะเลาะกัน เพราะพอเขาดีกันเราก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่าน่ะ
แต่หนูว่าเดย์น่ะคงไม่เน่าหรอก คนที่เน่าแน่ๆ น่ะ
มันหนูต่างหาก!!! เพราะพี่โต้งแกเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว และแค่แป๊บเดียวก็แปรเป็นยิ้มเหยียดพลางหันไปต่อคำ
“พูดแบบนี้แสดงว่าน้องคงไม่เคยมีแฟน เลยไม่รู้ว่าจะไปเอาแน่เอานอนกับอารมณ์ผู้หญิง...และกะเทยไม่ได้” แค่ก ๆ แทบสำลัก ผู้หญิงก็พอมั้งคะไม่ต้องต่อจนเต็มขนาดนั้นก็ได้ย่ะ
“ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ ซึ้งใจก็ร้องไห้ เพราะฉะนั้นผู้ชายที่ทำให้แฟนร้องไห้ไม่ได้แปลว่าเป็นแฟนที่ไม่ดีอย่างเดียวซะหน่อย แต่มันแปลว่าเป็นแฟนที่เธอให้ความสำคัญและรักมากต่างหาก” พี่โต้งหันไปอธิบายให้เดย์ฟังด้วยใบหน้าที่มั่นใจว่าตัวเองชนะ ส่วนเดย์ก็จ้องตาอีกฝ่ายกลับไม่ยอมหลบ
“เหรอครับ ผมจะจำไว้ เพราะมันเป็นข้อแก้ตัวที่เข้าท่ามากเลย แต่ถ้าผมมีแฟน ผมคงไม่ทำให้เขาร้องไห้หรอก” เดย์ตอบพี่โต้งกลับไปนิ่มๆ พี่โต้งแสยะยิ้มเหมือนไม่เชื่อ
“พี่ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แล้วฐาล่ะเชื่อเดย์ไหม?” พ่อเดย์หันมาส่งสายตาคาดคั้นจะเอาคำตอบ พี่โต้งเองก็ยังหันมาหาหนู จนหนูพูดไม่ออก
เอ๋า...คุยกันแค่สองคนก็ดีอยู่แล้วจะลากหนูเข้าไปทำประเทศราชอะไรละคะคุณ
ปวดประสาท....
“ไม่รู้สิ เอาไว้เดย์มีแฟนเมื่อไร เราจะคอยดูแล้วกันว่าจริงหรือเปล่า?” หนูตอบเลี่ยงๆ ไป เหมือนตัวเองตอบคำถามบนเวทีประกวดนางนพมาศ คาดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะ
“อืม...ถ้าเรามีแฟนจริงๆ ฐาคงได้เห็นคนแรกเลยล่ะ” เดย์ตอบด้วยสายตามีความหมายที่หนูเข้าใจมันเลยสักนิดเดียว ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ส่งไป.. “อ้อ...นี่กุญแจรถนะฐา มีพลขับแล้วนี่ ก็หาเวลาแวะกลับไปเอาเองแล้วกันนะ ขอบใจที่ให้รถเรายืมตั้งหลายวัน ฐาเป็นเพื่อนที่ใจดีมากๆ เลยล่ะ”
.............................................................
หลังจากเดย์ลงรถไปแล้วพี่โต้งก็กระชากรถออกโดยไว ยังดีที่ฝนตกอยู่ พี่เขาก็เลยไม่ได้ขับเร็วมากนักคงเพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุเพราะถนนลื่น เมื่อรถจอดที่โรงจอดรถของคอนโดที่ไม่มีทางเชื่อมไปสู่อาคารยังต้องโดนฝนเป็นช่วงสั้นๆ พี่โต้งหยิบร่มยัดใส่มือหนูแล้วเปิดประตูรถก้าวออกจากรถไปยืนข้างนอก หลังจากหนูปิดประตูรถเรียบร้อยและกำลังกางร่มพี่โต้งก็ล็อกรถแล้ววิ่งฝ่าฝนเข้าไปในตัวตึกไม่รอหนูเลย
ดีนะที่ตัวสูง.... ขายาวระดับหนึ่ง แม้จะห่างจากพี่โต้งสิบกว่าเซ็นก็ยังพอเดินไวอยู่ ไม่งั้นคงต้องกลิ้งร้อยเมตรตามไปเป็นแน่ หลังจากพ้นประตูที่ต้องเปิดด้วยคีย์การ์ดแล้วพี่แกก็เดินตามควายที่หายไปจนมาถึงห้องทีเดียว ยังดีหน่อยที่พี่แกยังระลึกได้ว่าหนูมาด้วยเมื่อเปิดห้องเข้ไปแล้ว เขายังเปิดประตูค้างไว้ให้หนูเดินเข้าไป
ปัง!! เสียงประตูห้องปิดปึง ระหว่างที่หนูหุบร่มจนต้องสะดุ้งหันไปมอง เห็นใบหน้าที่ทั้งโกรธทั้งผิดหวังระคนกันไปหมด
“พี่จะทำยังไงกับเราดีเนี่ย” พี่โต้งถามออกมาด้วยเสียงที่แสดงว่าโมโหจัดแถมกำมือแน่นจนหนูหน้าซีด...
“อะไร? หนูทำอะไรล่ะ?” หนูถามออกไปอย่างสับสน จับต้นชนหลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าพี่เขาจะโกรธอะไรกันนักหนา น้องฐาไม่เข้าใจเลย....
“จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง? บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าแต่งตัวแบบนี้ เคยฟังพี่บ้างไหม” พี่โต้งตะคอกกลับมาจนหนูหน้าหดเหลือสองเซ็น
“ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าฝนจะตก ก็คิดว่าออกมาแป๊บเดียวเลยขี้เกียจเปลี่ยนชุดแค่นั้นเอง”
“ขี้เกียจ? งั้นแสดงว่าที่หอใน เราแต่งตัวแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”
“ก็แหม....มันร้อนนี่นา หอในมันติดแอร์เย็นเจี๊ยบแบบที่นี่ซะเมื่อไรล่ะ”
“เหรอ? ก็เลยต้องนุ่งสั้นโชว์ขาอ่อนยั่วยวนไอ้หนุ่มนั่นตอนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง”
“บ้าแล้วพี่...ยั่วอะไรอ่ะ เพื่อนกัน” หนูรีบปฏิเสธทันควัน
“น้องฐาเห็นมันเป็นเพื่อน แล้วเคยเคยถามมันไหมว่ามันเห็นเราเป็นแบบนั้นรึเปล่า ถ้าพี่ไม่เจอเองก็คงไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร แล้วเรื่องรถอีกให้เขายืมทำไม?” นั่นสิ แล้วอะไรมันเป็นอะไรล่ะ ถ้ารู้ก็บอกหน่อยเถอะ หนูไม่เห็นจะเก็ทเลยอ่ะว่าพี่โต้งรู้อะไร...
“ก็...เดย์เขารถเสีย หนูไม่ค่อยได้ใช้รถเพราะพี่โต้งมารับหนูทุกวันอยู่แล้ว ก็เลยให้เดย์ยืมใช้แค่ระหว่างรอซ่อม ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ไม่เป็น? ทำไมถึงคิดน้อยแบบนี้ รู้ไหมว่ารถน่ะถ้าไม่ไว้ใจกันจริงๆ น่ะเขาไม่มีใครให้ยืมหันหรอกนะ ถ้าโดนปั๊มกุญแจไปแล้วมาขโมยไปขายขึ้นมาตอนหลังจะทำไง หรือไม่ถ้าคนขับโดนคดียาเสพติด ปัญหามันก็ตามมาถึงเจ้าของรถวันยังค่ำ ทีนี้ยาวเลย... ไม่ต้องทำหน้าบอกว่าพี่คิดมากหรอกเพราะพี่แค่สมมุติ เพื่อนน้องเขาคงไม่ขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องอุบัติเหตุขับรถไปเฉี่ยวชนก็เกิดขึ้นได้ใช่ไหม? แต่ช่างมันเถอะ ยังไงเขาก็คืนของมาแล้วคงไม่ต้องห่วงอีก แต่สิ่งที่ทวงคืนมาไม่ได้คือความรู้สึก ตอนมันคืนกุญแจมันทำเสียงอวดๆ ใส่ ว่าน้องฐาไว้วางใจมันขนาดให้มันยืมสำคัญเอาไว้ใช้ ป่านนี้มันจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
เสียงยังไง? ก็ธรรมดานะ หนูว่าพี่โต้งพี่โต้งขี้หึงเกินเหตุไปแล้วอ่ะ
“เดย์มันจะไปคิดอะไร มันก็รู้อยู่ว่าหนูก็มีแฟนแล้ว หนูว่าพี่อ่ะคิดมากไปเองมากกว่า”
“ไม่รู้ล่ะ เก็บข้าวของออกมาเลย ไม่ต้องกลับไปอยู่มันแล้วหอในอ่ะ พี่ไม่ไว้ใจมันหรือใครทั้งนั้นแหละ”
“พี่คะ!! ไปกันใหญ่แล้วอ่ะ มันไม่ขนาดนั้นหรอก ที่ผ่านมาไม่เห็นมีอะไรเลย” หนูพยายามปฏิเสธเห็นว่าสิ่งที่พี่โต้งกังวลเป็นเรื่องตลก พี่แกขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแล้วเนี่ย
“เคยได้ยินสำนวนวัวหายล้อมคอกหรือเปล่า? มัวแต่คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก ต้องรอให้มีก่อนเหรอถึงจะระวังตัวช่ไหม ต้องโดนข่มขืนก่อนใช่ป่ะถึงจะคิดได้อ่ะ หรือที่จริงแล้วชอบ อ๋อ...ลืมไป เราก็เคยบอกแล้วนี่นาว่าจะแก้ผ้าแล้วอ้าขากว้างๆ อ่ะ” พี่โต้งยกคำพูดที่หนูเคยประชดออกมาพูดใหม่ ริมฝีปากยิ้มเหยียด...
หัวใจหนูกระตุกวาบสะทกไหว ปวดหนึบที่หัวตาขึ้นมาทันที
“จนป่านนี้แล้ว ถ้ายังแยกไม่ออกว่าอะไรหนูพูดจริง อะไรหนูประชดก็อย่าคุยกันเลยดีกว่า มีแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ” หนูตอบอย่างน้อยอกน้อยใจ พยายามกลั้นก้อนสะอื้น รั้งน้ำตาที่คลอคลองมิให้ไหล ทั้งที่มันยากเต็มที
“นั่นสิ พูดกับคนดื้อด้านแบบเราไปก็เท่านั้นแหละ ป่วยการเปล่า” พี่โต้งตอบกลับมาแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง
ปัง!! เสียงประตูห้องปิดอีกครั้งทำให้ร่างของหนูสะดุ้งไหว ไม่สามารถสะกดน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป สะอื้นฮัก ปล่อยโฮสุดชีวิต พยายามสูดจมูก ปาดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็หยุดร้องไห้ไม่สำเร็จ พาลเกิดอาการเจ็บหน้าอกและหายใจไม่ทันจนต้องเอามือกดที่หน้าอกตัวเองแล้วทรุดกายลงนั่งพิงกำแพงห้อง พยายามผ่อนลมหายใจให้เลิกหอบ แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่หาย
บางครั้งยามที่หัวใจเราอ่อนแอและเจ็บปวดจนทนไม่ไหว....
การหายใจก็ทำให้รู้สึกทรมาน...
..........................................................................
เลี้ยวหักมุมเฉยเลย... ตอนนี้โกรธพี่โต้งกันไหม? แล้วเดย์ล่ะ? แล้วน้องฐาล่ะ
ปล่อยพี่โต้งไปสงบอารมณ์สักพักนะ เดี๋ยวแกก็กลับมา มันก็ลมเพชรหึงอ่ะไม่นานก็พัดผ่านไปเอง....
เรื่องอื่นก็ไม่เท่าไร พี่โต้งแกเป็นผู้ใหญ่ไม่งี่เง่า ยกเว้นเรื่องความขี้หึงนี่ล่ะจัดเต็มตลอด....
ปล. ช่วงนี้เขาฮิตมีแฟนเพจกัน นิก็เลยเอากะเขามั่ง ฮ่าๆ แต่ไม่ค่อยมีอะไรหรอกค่ะ
fan page
ฝากไปกดไลค์กันนะ แล้วก็ใครที่ไม่มียูสในเล้าเป็ดก็ไปทักทายกันที่นั่นแล้วกันนะคะ
คนอ่านที่น่ารักทุกๆ คน