วิวรรธน์ นำเรื่องที่พาสุห์โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือไปปรึกษาโอเล่ หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวนัดเจอภิธารในทันทีที่คุยกันเสร็จ ภิธารออกมาเจอตามนัดด้วยคนที่อารมณ์ไม่ค่อยจะปกตินัก สีหน้าและแววตาเด็กหนุ่มบ่งบอกชัดเจนถึงอารมณ์ข้างใน สองคนที่นัดเจอจึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ก่อนเข้าประเด็นที่อยากจะคุย
“ดูท่าทางไม่ดีเลย มีอะไรหรือเปล่าภีม”โอเล่เป็นฝ่ายถามก่อน
“เปล่าจ๊ะ”ภิธารปฎิเสธก่อนจะหลบตาต่ำลงเมื่อเห็นวิวรรธน์มองสบตาคล้ายจับความรู้สึกตน
“มีอะไรก็พูดมาได้นะภีม เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้วนะ”วิรรธน์เอ่ยบอก คนหลบตาจึงยอมเงยหน้าขึ้นแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนอีก
“ไม่มีอะไรจริงๆ ว่าแต่สองคนนัดภีมออกมามีอะไรหรือเปล่า”
“ไอ้มีน่ะมี แต่เห็นภีมเป็นแบบนี้ก็เลยไม่รู้จะเริ่มยังไง”ภิธารเงียบไปและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงควบคุมสีหน้าและแววตาไม่ให้คิดถึงคำพูดบอกเล่าเรื่องราวของพาสุห์จากปากคนที่ไม่เคยรู้จักไม่ได้ คนๆนั้นแนะนำว่าตัวเองชื่อนิพิธตอนที่โทรศัพท์หาตน และยังบอกอีกว่ากำลังคบกับพาสุห์ในฐานะคนรัก ชายหนุ่มถามกลับว่ามีจุดประสงค์อะไรถึงมาแสดงตัวและฐานะให้ตนรับรู้แบบนี้ก็ได้คำตอบที่ทำให้ใจวูบ
“พาสุห์เป็นคนขอให้บอก”
“ผมกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนะครับ”
“จริงเหรอครับ”
“ผมไม่จำเป็นต้องโกหก”
“ผมไม่ได้หมายความว่าคุณโกหก แต่ที่ผมได้ยินมาจากปากพาสุห์มันไม่ใช่แบบนี้”
“คุณจะได้ยินอะไรก็เรื่องของคุณกับเขาเถอะครับ ฝากบอกเขาด้วยละกันว่าขอให้เขากับผมต่างคนต่างอยู่เถอะ ในฐานะที่คุณเป็นคนรักเขา ขอแค่นี้เขาคงฟังคุณนะครับ แค่นี้ครับ”บทสนทนาจบลงไปแค่นั้น ก่อนที่เขาจะพาจิตใจที่พยายามจะไม่คิดอะไรมานั่งอยู่ตรงหน้าคนสองคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ตอนนี้
“ขอโทษนะที่ทำบรรยากาศเสีย พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”เด็กหนุ่มยอมรับออกมากลายๆ เมื่อเห็นสองคนตรงหน้าเริ่มมองหน้ากันคล้ายๆจะใช้ความรู้สึกถามกันว่าควรจะพูดเรื่องที่อยากจะพูดดีหรือไม่ดี
“เรื่องที่คิดเนี่ย คือเรื่อง มัน ใช่มั๊ย”โอเล่เอ่ยขึ้นเมื่อเดาเอาจากสีหน้าคนยอมรับกลายๆ มัน ที่เธอเอ่ยถึง เธอมั่นใจเหลือเกินว่าฝ่ายนั้นจะรู้ว่าเธอหมายถึงใคร
“ก็มีส่วน”ภิธารยอมรับออกมาเสียงเบา เบากว่าเสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งรวมอยู่ด้วยซะอีก
“ว่าแล้ว ภีมยังลืมมันไม่ได้ใช่มั๊ย”วิวรรธน์ถามขึ้นเมื่อถอนหายใจเสียงดังเสร็จ คนถูกถามเงียบอีกตามเคย คราวนี้ฝ่ายหญิงจึงถอนหายใจบ้างแล้วเอ่ยเข้าประเด็นตรงๆ
“คนมันถือดีแบบนั้น ลืมๆมันไปซะเถอะภีม พวกเรายังตัดหางปล่อยวัดมันแล้วเลย อีกอย่างตอนนี้ได้ข่าวว่ามีคนมาจีบๆภีมแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อะ อะไรนะโอเล่”คนถูกถามตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เหนือความคาดหมายว่าจะได้ยิน
“ไปเอาข่าวนี้มาจากไหนกันน่ะ”เด็กหนุ่มถามต่อ มองหน้าสองคนสลับกัน
“อืม ก็มีคนแอบเห็นว่าภีมอยู่กับเขาสองต่อสองแล้วก็ดูสนิทกันดีน่ะ ก็เลยเดาเอา”วิวรรธน์เอ่ยปดด้วยไม่อยากให้คนตรงหน้ารับรู้ว่าข่าวนี้มาจากปากเพื่อนเคยสนิทตัวเอง
“เขาน่ะใคร ไม่มีหรอก ใครเขาจะมาสนใจภีมล่ะ”ภิธารปฎิเสธ ก่อนจะยิ้มหน่อยๆเชิงสมเพชตัวเอง มีคนมาจีบเหรอ มันก็ฟังดูดีหรอก แต่หัวใจตอนนี้ช่างเข็ดเหลือเกินกับคำๆนี้
“ถ้ามีก็บอกพวกเราตรงๆเถอะภีม พวกเราอยากเห็นไอ้พาสุห์มันรู้สึกสูญเสียของมีค่าไปเต็มทนแล้ว”โอเล่บอกต่อ คนนั่งฟังทำหน้าฉงน อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยจับความรู้สึกถูกว่าเจ้าตัวคงงงว่าตัวเองไปมีค่าในสายตาพาสุห์ตอนไหน แต่แทนที่เด็กหนุ่มจะบอกความจริงถึงสิ่งที่พาสุห์มาอ้อนวอนขอร้องให้ตัวเองช่วยกันท่าไม่ให้ใครคนนั้นเข้าใกล้เจ้าตัว เด็กหนุ่มกลีบปัดไปบอกว่า
“พาสุห์มันถือว่าภีมเป็นลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด พวกเราเลยหมั่นไส้มันน่ะ เลยอยากให้ภีมทำให้สำนึกซะบ้างว่ามันน่ะแหละลูกไก่”คำพูดแฝงที่วิวรรธน์เอ่ยบอก แน่นนอนที่สุดว่าคนฟัง ฟังไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทิฐิในตัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาก็ทำหน้าที่ให้ภายในใจกรุ่นขึ้นได้เงียบๆ……พาสุห์ คุณต้องการอะไร อยากให้ยอมถอยออกจากชีวิตคุณผมก็ทำแล้ว แต่ทำไมคุณไม่ยอมให้เราต่างคนต่างอยู่ ……เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจเมื่อจับเรื่องราวที่นิพิธบอกเล่ามาคลุกเคล้ากับถ้อยคำของสองคนตรงหน้า นี่ยังเหลือใครอีกที่พาสุห์จะนำพาเรื่องเขาไปพ่นเป่าน้ำลายสาดใส่ให้ฟังอีก
“เขาชื่อคาวีน่ะ เราเพิ่งรู้จักกัน”คนคิดเคืองในใจตัดสินใจบอก ใช่สินะ เขาจะทนให้พาสุห์ตราหน้าว่าเป็นลูกไก่ในกำมือเพื่ออะไร การกลายร่างเป็นพ่อไก่แม่ไก่ที่พร้อมจะจิกกัดคนที่จ้องแต่คิดจะทำร้ายรังแกมันก็ไม่ผิดอะไรมากมายนี่
“จริงเหรอ เขาเป็นใคร พามาแนะนำบ้างสิ”โอเล่บอกอย่างตื่นเต้น มองเห็นเค้ารางๆถึงภาพการร้อนรนของคนที่เพิ่งจะรู้ใจตัวเองก็เมื่อสายไป พาสุห์ ฉันหนำใจแกนัก!!
“อืม ไว้จะพามาให้รู้จัก”ภิธารบอก แม้จะไม่สบายใจนักที่พูดแบบนั้น แต่ด้วยอารมณ์และทิฐิ เด็กหนุ่มจึงปล่อยเลยตามเลย ปล่อยให้สองคนตรงหน้าจินตนาไปไกลถึงเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยความสาใจเล็กๆ