ช่วงที่ 16
หลังจากที่ผมไปคุยกับโค้ชเรื่องค่าอุปกรณ์ที่เกินงบไม่สำเร็จ ผมก็ไม่ได้เข้าไปที่กองอีกเลยครับ ช่วงนั้นผมรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ ผิดที่ผมไม่สามารถทำตามคำร้องขอที่ผู้ใหญ่ร้องขอมาได้สำเร็จ แถมยังรู้สึกละอายที่โค้ชผมทำแบบนี้ เวลานั้นความรู้สึกของผมกรุ่นไปด้วยความวิตกเล็กๆว่าอาจารย์อิฐกับพี่ต้อมจะมองว่าผมกับโค้ชรู้เห็นเป็นใจกันหรือเปล่า อีกอย่างที่กองเองก็ไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาเหมือนกัน ผมเลยได้แค่ถามอาจารย์ที่เป็นผู้จัดการทีมท่านอื่นๆถึงความคืบหน้ารวมถึงกำหนดการประชุมแทน อีกอย่างผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ห่างๆกับพวกน้องๆที่จะลงแข่งคาราเต้ด้วย แต่เนื่องจากผมไม่มีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมผมเลยไม่อยากไปถามอะไรมากมายในเรื่องรายละเอียดเชิงลึก อย่างมากก็ได้แค่ถามน้องๆนักกีฬาเวลาเจอกันที่มหาวิทยาลัยแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น
มาถึงช่วงนี้การเรียนของผมลดลงมากเนื่องจากอาจารย์ป้อนงานให้ไปทำซะมากกว่าซึ้งแต่ละงานก็หินๆทั้งนั้น อย่างที่เคยบอกไว้ตั้งแต่ช่วงต้นๆล่ะครับ ว่างานกลุ่มผมทำคนเดียวซะเป็นส่วนใหญ่เลยเป็นอะไรที่หนักหน่อย แต่เพื่อให้ได้คะแนนสูงๆแบบไม่เสี่ยงแล้วผมยอมเหนื่อย เพราะบทเรียนก่อนหน้านี้ที่เชื่อใจเพื่อนทำเอาผมเกือบได้ B จากวิชาที่ผมควรจะได้ A แบบนอนมาด้วยซ้ำ กระนั้น...ถึงงานผมจะหนักช่วงนี้แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้งเลยครับที่ได้เจอว่านได้คุยกับว่านหรือกระทั่งได้แค่อยู่ใกล้ๆ แล้ว...ในขณะที่ผมนั่งปั่นงานอยู่ที่ตึกสาธารณสุขเงียบๆกับเพื่อนๆอีกสามสี่คนโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา
“ว่าน Calling”“ว่า”“พี่เอ...ว่างเปล่า”“คุยได้ มีอะไรด่วนหรือเปล่า”“คือ....ตอนนี้ผมอยู่ยิมคนเดียว” ว่านตอบเสียงอ่อยๆเหมือนไม่ค่อยกล้าที่จะพูด
“อ่าว.....นี่มันเพิ่งจะเที่ยงเอง ทำไมไปอยู่ที่ยิมเร็วจัง” ผมถามกลับไป
“อาจารย์ไปประชุมครับ ตอนบ่ายไม่มีเรียนเค้าเลยปล่อยก่อน”“แล้ว”“คือ.....พี่มาที่ยิมตอนนี้หน่อยได้ไหมครับ”“ได้ซิ งั้นเดี๋ยวพี่ไปนะ”“ครับๆๆ” ว่านตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดีใจสุดๆ
“ทานข้าวหรือยัง”“ทานแล้วครับ”“แล้วหิวอะไรอีกไหม เดี๋ยวพี่ซื้อไปฝาก”“แล้วแต่พี่ครับ”“ได้ๆงั้นเดี๋ยวเจอกัน” พอพูดจบผมก็กดวางสาย
“แฟนเหรอ” ม่อนหันมาถามผม
“เปล่า น้องหน่ะ”“เหรอ คิดว่าแฟน เห็นคุยไปยิ้มไป” “แล้วนี่จะไปเลยเหรอ” แจมถามผม
“อื่อ” ผมหันมาตอบแจมพลางเก็บ netbook แล้วก็เอกสารอื่นๆเข้ากระเป๋า
“ฮั่นแน่ๆ โทรมาตามปั๊บ ทิ้งงานไปหาปุ๊บ น้องจริงเหรอเอ” ม่อนแซวซ้ำ
“น้องจริงๆ” ผมหันไปตอบ
“แล้วทำไมต้องทำท่าเขินขนาดนั้นด้วยล่ะเวลาตอบ” แจมแซวเสริม
“เขินอะไรไม่มี”“วันหน้าพามาให้รู้จักบ้างนะ น้องที่ว่าเนี่ยะ” ม่อนพูดพลางหยิบแฟลชไดร์ส่งให้ผม
“นั้นซิ อยากเห็นจัง หน้าตาเป็นยังไงน๊า ที่ทำให้เอทิ้งงานได้แบบนี้” แจมเสริม
“ทิ้งอะไร ไมได้ทิ้ง เดี๋ยวไปนั่งทำต่อ”“ฮ่ะๆๆ เอาน่าๆแซวเล่นไม่เห็นต้องเขินขนาดนั้นเลย” ม่อนพูดพลางหัวเราะ
“งั้นเดี๋ยวพิมพ์เสร็จแล้วส่งมาให้ทางเมล์แล้วกัน แจมไม่ต้องไปตัดอะไรออกนะ จัดรูปแบบให้ตรงตามที่อาจารย์บอกก็พอ” ผมหันไปเน้นย้ำกับแจม
“จ้าๆ” แจมหันมาตอบรับ
“แล้วเจอกัน” ผมหันไปบอกเพื่อนๆ
แล้วผมก็ไปเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อนจะหิ้วงานที่ค้างๆอยู่ไปที่ยิมก่อนเข้ายิมไม่ลืมที่แวะซื้อของที่ว่านชอบทานเข้าไปให้ด้วย พอมาถึงยิมผมก็เห็นว่านนั่งดูกินทามะอยู่คนเดียว ทันทีที่ผมเลื่อนประตูว่านก็หันมามองก่อนจะยิ้มให้
“มาแล้วเหรอ” ว่านพูดขึ้น
“ดูอะไรอยู่เหรอ” ผมถามว่านระหว่างที่เดินเอาของไปวาง
“กินทามะ”“อ่าว มีเป็น DVD แล้วเหรอ”“มีแล้ว”“พี่เคยอ่านแต่แบบหนังสือ ตัวหนังสือเยอะมาก”“ผมก็อ่าน แต่อ่านไม่ไหวเลยซื้อ DVD มาดูแทนดีกว่า”“อืม” หลังจากทักทายกับว่านพอเป็นพิธีแล้วผมก็เอา netbook ออกมาเปิดแล้วนั่งทำงานต่อ แต่เนื่องจากแดดส่องมาตรงโต๊ะที่นั่งประจำพอดี ถึงจะปิดม่านแล้วมันก็ยังร้อนอยู่ดี ไม่เหมาะกับการนั่งพิมพ์งานนานๆผมเลยเปลี่ยนไปนั่งตรงที่ผมนั่งพิงกำแพงอยู่ประจำๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมว่านถึงโทรตามผมมาทั้งๆที่มาแล้วมันก็ไม่มีอะไร ว่านดูการ์ตูนเหมือนเดิม ส่วนผมก็นั่งพิมพ์งาน ระหว่างที่ผมนั่งทำงานผมก็หันไปมองว่านอยู่เรื่อยๆ....อืม...จะว่าไป...อยู่ใกล้ๆว่านแบบนี้ผมรู้สึกมีความสุขยังไงก็ไม่รู้แฮะ ผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ผ่านไปพักใหญ่ๆเหมือนว่าการ์ตูนจะจบแผ่นแล้ว ว่านเดินไปปิดเครื่องเล่น DVD ปิด TV ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำกับขนมที่ผมซื้อมาแล้วเดินมาหาผม พอมาถึงว่านก็ยืนมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินมานั่งด้านซ้ายของผม คงเพราะมานอนพิงไม่ได้เนื่องจากผมวาง netbook อยู่
“พี่ขนม” ว่านพูดขึ้นพลางยื่นซองขนมที่เปิดแล้วมาให้
“เอาเลยครับ”“ทำไมละ” ว่านถามผม
“พิมพ์งานเดี๋ยวนิ้วเปื้อน”“งั้น...อะ” ว่านยื่นขนมมาที่ปากผมชิ้นหนึ่ง
“เดี๋ยวพี่ทานเอง”“นะ” ว่านพูดพลางจ้องผมตาเขมง ผมเลยต้องทาน พอผมทานว่านก็ยิ้มอย่างพอใจ
“งานพี่เหรอ”“อื่อ”“เยอะนะครับ เห็นนั่งพิมพ์ตั้งนานแล้ว”“งานมหาวิทยาลัยก็แบบนี้แหละ”“วันนี้พี่ไม่เห็นชวนคุยเลย”“ก็เห็นว่านดูการ์ตูนอยู่”“ดูเสร็จแล้ว”“แต่พี่ก็ยังพิมพ์งานอยู่” ผมหันไปตอบว่านพลางเอามือลูบหัวว่านเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ”“อืมมม....จะว่าไปพวกเพื่อนๆไปไหนกันหมดล่ะ” ผมถามว่าน
“เพื่อนๆซ้อมดนตรี”“แล้วว่านไม่ไปเล่นกับเค้าเหรอ”“คิดอยู่อยากเป็นมือเบส”“ก็ดีซิมือเบสเท่ออกสาวกรี๊ด”“ฮะๆ” ว่านหัวเราะเบาๆ ก่อนจะซบที่ไหล่ผม
ผมไม่ได้ชวนว่านคุยอะไรอีก ว่านเองก็เงียบไป พอผมหันมาอีกทีปรากฏว่าว่านหลับไปเรียบร้อยแล้วผมเลยพยายามนั่งพิมพ์งานให้นิ่งที่สุดจนประมาณบ่ายสามเกือบบ่ายสี่โมงผมก็ปิดเครื่องก่อนจะค่อยๆขยับให้ว่านเอนลงมานอนหนุนที่ตัก มือขวาผมประคองหัวว่านพลางเอานิ้วลูบๆแก้มว่านเบาๆ มือขวาผมก็กุมมือว่านไว้หลวมๆ ผมนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้นพักใหญ่ๆ ก่อนที่น้องๆคนอื่นจะค่อยๆทยอยมา เหมือนว่านเองจะรู้ว่าถึงช่วงที่คนทยอยมาแล้ว ว่านก็ตื่นขึ้นมาพอดี ทันทีที่ว่านลืมตาขึ้นว่านก็ถามคำถามเดิม
“กี่โมงแล้วครับ”“สี่โมงกว่าแล้ว”“อื้ออออออ” ว่านบิดขี้เกียจยาวๆหนึ่งจบก่อนจะลุกขึ้นนั่งทำหน้าตางงๆกับชีวิตแล้วลุกขึ้นเดินหายไปในห้องน้ำ
แล้วไม่กี่อึดใจเพื่อนๆว่านก็พากันมาเป็นกลุ่มเลยทีเดียว ทันทีที่มาถึงเสียงคุยจ๊อกแจ๊กจอแจแบบอึกกระทึกครึกโครมก็ดังตามมาทันที อย่างว่าล่ะครับเด็กๆเวลาคุยกันบางทีก็เสียงดัง
“พี่เอ หวัดดีคร้าบบบบ / ดีคะ” น้องๆพร้อมเพรียงทักทายผมประหนึ่งนัดกันไว้ก่อน
“ไปไหนกันมา”“ไปซ้อมดนตรีพี่ แบบว่ามันมากอะ” ริวรีบตอบกลับมา
“เหรอ แล้วส้มกับพลอยไปด้วยเหรอ”“ไปซิพี่ ไม่ไปไม่ครบขามันไม่สนุก” ฟิวตอบกลับมา
“ส้มกับพลอยเล่นดนตรีด้วยเหรอเนี่ยะ”“เปล่าค่ะพี่ พวกหนูไปนั่งทำงานรอพวกมันเฉยๆ” ส้มตอบ
“ไปทำงานรอ หรือ ตามไปคุมเกมกันแน่ ฮ่ะๆๆ” ฟิวแซวส้ม
ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับเพื่อนๆว่านอยู่ ว่านก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี
“อ่าว นั้นไงว่าที่มือเบส เมื่อไร่จะไปซ้อมซะที ไอ้เกมเล่นไม่ได้เรื่องเลยทีเดียว” ฟิวทักว่านขณะที่ว่านกำลังเช็ดหน้าอยู่
“อะไรๆ กูจะเป็นมือกลองต่างหากมึงอะแหละให้กูเล่นเบส” เกมพูดกับฟิว
“ก็หน้าตามึงให้ไง ฮ่ะๆ”“เฮ่ย คนเล่นเบสมันต้องหน้าตาดีๆ อย่างกูนี่” ริวพูดพลางชี้ตัวเอง
“พอเลยๆหน้าเหี้ยๆแบบมึงไปนั่งแต่งเพลงเงียบๆเลยไป” ฟิวแซวริว
“เออ ไอ้คนหน้าตาดี ถ้ากูหน้าเหี้ยะ ก็แม่งโรงเรียนก็ไม่มีใครหล่อแล้วล่ะ” ริวตอบกลับ
“โหย หลงตัวเองจริงมึง” เกมพูดพลางหัวเราะ
ในขณะที่เพื่อนๆนั่งคุยกันนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ว่านนั่งฟังอยู่เงียบๆ แล้วก็หัวเราะเป็นระยะๆ บทสนทนาที่ว่านจะคุยออกไปกับเพื่อนแทบนับได้เลยส่วนมากจะเป็นแบบจู่ๆไปเสริมเพื่อนมากกว่าแล้วก็เงียบนั่งฟังต่อ ในระหว่างที่น้องๆคุยหันอย่างสนุกสนานผมก็เดินเอา netbook ไปเก็บ พอผมลุกขึ้นโค้ชก็เข้ามาพอดี ทันทีที่น้องๆเห็นโค้ชเข้ามาถึงกับเงียบกริบกันเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว บรรยากาศจากที่สนุกสนานเฮฮาเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนมาเป็นอึมครึมแทน แล้วย้องๆก็หันไปสวัสดีตามมารยาทแล้วลุกขึ้นแยกย้ายกันไปซ้อมของตัวเอง ระหว่างนั้นผมก็เอา netbook ไปยัดใส่ในกระเป๋า ตอนเอาใส่คงไปเตะตาโค้ชเค้าพอดีเค้าเลยพูดว่า
“เอๆ อย่าเพิ่งเก็บเอามาเล่นหน่อย” โค้ชพูดพลางชี้มาที่ netbook
“ไม่มีอะไรเล่นหรอกพี่ ในนี้มีแต่งาน”“น่า เอามาดูหน่อย” โค้ชพูดด้วยน้ำเสียงร้องขอแกมบังคับ ผมเลยเดินเอาไปเปิดให้โค้ชดู
อธิบายตรงนี้เล็กน้อยปรกติแล้วคนที่รู้จักผมทุกคนจะรู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของส่วนตัวของผม ของส่วนตัวที่ว่าก็เช่น มือถือ , Notebook , Netbook , PC , PSP , กล้อง เป็นต้น ซึ่งกับคุณโค้ชเนี่ยะผมพูดเกริ่นเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว บ่อยมากที่เค้าขอดูแล้วผมแสดงท่าทีไม่พอใจ ผมไม่เข้าใจว่าเค้าดูไม่ออกหรือยังไงว่าผมไม่ชอบให้มายุ่งกับของส่วนตัวของผม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ตอนที่ผมเปิดให้เค้าผมก็ทำท่าทีไม่พอใจเพื่อแสดงให้เห็นเลยว่าไม่อยากให้ดู แต่ก็เหมือนว่าโค้ชเค้าจะดูไม่ออก หรือ ไม่สนใจก็ไม่รู้ ทันทีที่เปิดเค้าก็ขอดูโน้นดูนี่ใน Netbook ผมไปทั่ว เสียมารยาทมากมาย
“เอ เปิดนี่ให้ดูหน่อยซิ” โค้ชพูดพลางชี้ไปที่งาน powerpoint ของผม
“ไม่มีอะไรหรอกพี่งานนำเสนอเฉยๆ”“นะๆๆ พี่อยากดู” โค้ชทำท่าทางเหมือนเด็กประถมที่อยากรู้อยากเห็นว่าในกล่องขนมที่ซื้อมาจะได้ของแถมเป็นอะไรแบบนั้นเลย จริงๆผมก็สงสัยนะว่าอยากจะดูไปทำไมในเมื่อเอกสารที่ผมมีนั้นมันเป็นความรู้เฉพาะทาง ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องนี้ก็คงไม่ทราบว่ามันคืออะไร แล้วก็เป็นไปได้สูงว่าจะดูไม่รู้เรื่อง นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าเค้าจะดูทำไม เค้าอ่านภาษา C ออกเหรอ Java อีก HTML อีก แล้วเค้ารู้เรื่อง OOP ด้วยเหรอ จะมาว่ามาอ่านเอาดาบหน้าตรงนี้มันก็ไม่ใช่เนื้อหาที่อธิบายว่าเนื้อหาหรือหัวข้อพวกนี้คืออะไรแล้วนะ อีกอย่างโค้ชเองผมก็ไม่เคยเห็นว่าเค้าจะมีทีท่าหรือความสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ก็ช่างมันเถอะ ดูไป งงๆ เดี๋ยวก็คงหยุดเอง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดหลังจากเปิดงานให้ดูหลายงานเค้าก็หยุดอยากดูต่อ ผมเลยเอา Netbook ไปเก็บ พอเก็บเสร็จเค้าก็เรียกผมเข้ามาหา
“เอ มานี่หน่อย”“ครับ” ผมตอบพลางเดินลากเก้าอี้มานั่ง พอนั่งเสร็จโค้ชก็พูดต่อว่า
“เอชอบเขียนโปรแกรมเหรอ”“เปล่า ผมชอบ Mobile Technology มากกว่า กับพวกถ่ายภาพ เขียนโปรแกรมมันก็แค่ส่วนเสริม”“จบไปคิดจะทำอะไร” โค้ชถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก
“เปิดร้านมือถือมั้งครับ ไม่ก็คงร้านกล้อง ถ้างบเยอะก็อาจทั้งสองอย่างเลย”“พี่รู้จักพี่คนหนึ่งเค้าเขียนโปรแกรมเก่งมาก ทุกวันนี้เค้ารวยมากเลย วันๆแทบไม่ต้องทำอะไร” “เหรอครับ”“เค้าอยู่จังหวัดเดียวกับเรานี่แหละ ไม่รู้เอรู้จักไหม”“ใครเหรอ”“พี่ดิว”“....” ผมไม่ได้ตอบอะไร
“ไม่รู้จักล่ะซิ นี่พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง......บลาๆๆๆ” แล้วโค้ชก็เริ่มกระบวนการโม้ทันที จริงๆที่ผมไม่ตอบไม่ใช่เพราะไม่รู้จักนะครับ แต่นั่นหน่ะรุ่นพี่ที่มหาวิทาลัยผมเอง เจอพี่แกบ่อยมาก ล่าสุดผมก็ไปให้แกสอนเขียน App บนมือถืออยู่เลย แต่ที่ผมเลือกที่จะไม่ตอบเพราะผมอยากฟังว่าโค้ชเค้าจะพูดอะไรต่อมากกว่า แล้วก็เป็นอย่างที่คาดโค้ชโม้ไปเรื่อยเกี่ยวกับเรื่องพี่เค้า
“นี่เอรู้ไหมโปรแกรมเมอร์ต้องมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยๆกี่เครื่อง” “ไม่รู้ครับ” ตอบเสร็จผมพลางคิดในใจ มันต้องมีอย่างน้อยด้วยเหรอ
“ต้องมีสามเครื่องขึ้นไป รู้ไหมทำไม”“ทำไมครับ” ผมถามโค้ชกลับไปเพราะผมก็อยากรู้เหมือนกัน
“พี่ก็ไม่รู้ เพราะพี่ดิวเองแกใช้ทีห้าหกเครื่องเวลาทำงานแต่ละครั้ง”“จริงเหรอพี่”“จริง ถ้าเราอยากเห็นภาพลองไปดูเรื่อง Die Hard 4 ซิ พวกนั้นก็ใช้แบบเดียวกับพี่ดิว” ถึงตรงนี้ผมเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา ในใจก็คิดว่าจะอธิบายให้โค้ชเค้าฟัง แต่ไมเอาดีกว่าเพราะโค้ชเค้าพูดๆมาด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นมากๆ ถ้าเราไปแสดงความเห็นที่ขัดแย้ง อาจทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวโค้ชลดลงเพราะเด็กๆหลายคนก็ฟังเรื่องที่โค้ชคุยกับผมอยู่เหมือนกัน เนื่องจากอันที่จริงพี่ดิวแกใช้คอมสองเครื่องเวลาทำงานครับ เวลาแกออกไปข้างนอกแกก็พก netbook เครื่องเดียว ไม่เห็นจะต้องใช้คอมอะไรมากมายเหมือนที่โค้ชคุยเลย แต่ก็อย่างที่บอกครับไม่ขัดดีกว่า หลังจากโค้ชที่ดูเหมือนจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับสายคอมเลยอวดรู้กับผมเสร็จโค้ชเค้าก็เข้าเรื่องการเก็บตัวนักกีฬาสิบวันก่อนการแข่งขันครับ
“เอ เดี๋ยวโทรตามนักกีฬาที่มหาวิทยาลัยให้เข้ามาซ้อมที่นี่ด้วยนะ”“หือ.....ผมมีเบอร์น้องไม่กี่คนเอง ทำไมพี่ไม่บอกเก่งกับเพื่อนพี่ล่ะ เค้าน่าจะติดต่อนักกีฬาได้ง่ายกว่าผมนะ”“โอ๊ยย...คนบางคนพี่ไม่อยากจะไปพึ่งมันหรอก เนี่ยะเพื่อนพี่มันก็ทิ้งงานไปแล้ว พี่กำลังคุยกับเอเรื่องนี้อยู่พอดี”“ชิบหายแล้ว” ผมคิดในใจ
“เพื่อนพี่มันเป็นห่าอะไรไม่รู้ จู่ๆมันโทรมาบอกพี่ว่ามันไม่ทำแล้ว” โค้ชพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์เสีย
“อ่าว...”“พี่เลยจะให้เอไปดูแลคาราเต้แทน”“ไหงงั้นอะ”“เอาน่าช่วยกัน”“แต่ผมไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้จัดการทีมนะพี่”“มีแล้ว” โค้ชตอบกลับมา
“ตอนไหน ผมยังไม่ได้เซ็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้สักอย่าง” “พวกที่กองเค้าใส่ชื่อเอเป็นผู้ช่วยโค้ชตั้งนานแล้ว ไม่รู้เหรอ”“อ่าว ไม่ต้องเซ็นเอกสารอะไรเหรอพี่ ปีก่อนผมยังต้องเซ็น”“ไม่ต้อง”“......”“แล้วก็ พี่จะขอหักค่าเบี้ยเลี้ยงเอครึ่งหนึ่งให้เพื่อนพี่นะ”“.....” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่ผมมองโค้ชด้วยความสงสัยแทน
“ก็เพื่อนพี่มันช่วยหานักกีฬาเทควันโดตอนแรกไง ก็เลยจะหักให้มันเพราะมันก็ทำงานเหมือนกัน”“แล้วแต่พี่”“ไม่โกรธใช่ไหม เพราะนอกจากคาราเต้แล้วมันก็ทำของเทควันโดด้วยเลยให้ๆมันไป”“ไม่ครับ” สรุปคือโค้ชจะหักเงินผมที่อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชให้เพื่อนเค้าครึ่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมเข้าใจว่าเพราะเพื่อนเค้าทิ้งงานเลยทำให้ไม่ได้เงินในส่วนของโค้ชคาราเต้ ตรงนี้ผมไม่ซีเรียสนะ จะหักก็หักไป
“แล้วก็เรื่องน้องบอกให้น้องมาเก็บตัวด้วย พรุ่งนี้เก็บตัววันแรกต้องมาให้ได้พร้อมกันทุกคน” โค้ชพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นการออกคำสั่ง
“พี่บอกน้องล่วงหน้าหรือเปล่า” ผมถามโค้ช
“เปล่า ทำไมพี่ต้องบอกล่วงหน้า พวกเค้าเป็นนักกีฬามันต้องพร้อมตลอดเวลาซิ”ผมนั่งนิ่งพลางคิดในใจว่า
“เค้ามาเรียนนะพี่ ไม่ได้มาเล่นกีฬาอย่างเดียว”“แล้วก็บอกไปด้วยนะว่า ถ้าพรุ่งนี้ใครไม่มา ก็ไม่ต้องมาอีก พี่จะตัดชื่อออกทันที” โค้ชพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมาก
หลังจากคุยกับโค้ชเสร็จก็สรุปได้ว่า เก่ง กับ เพื่อนของโค้ชพึ่งไม่ได้ ผมเลยต้องโทรไปหาน้องรองประธานชมรมให้ช่วยตามนักกีฬาแทน ซึ่งน้องรองประธานก็บ่นอุบว่า
“อะไรกัน นึกจะเรียกก็เรียก ไม่บอกล่วงหน้าเลย” แต่ว่าในประโยคสนทนานั้นผมไม่ได้บอกน้องเรื่องที่โค้ชพูดว่า
“ถ้าพรุ่งนี้ใครไม่มา ก็ไม่ต้องมาอีก พี่จะตัดชื่อออกทันที” เนื่องจากผมเห็นว่ามันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เสียที่หนึ่ง โค้ชปุบปับนัดแบบนี้ ถ้าน้องไม่ว่างมา ก็เท่ากับว่าน้องจะหายไปเลย เสียที่สอง ส่งรายชื่อนักกีฬาไปแล้วถ้าส่งนักกีฬาไปแข่งไม่ได้รุ่นนั้นๆจะถูกแบนหนึ่งปี เสียที่สาม ผมกล้าพนันด้วยข้าวมันไก่หนึ่งจานว่าถึงเวลาโค้ชไม่กล้าตัดรายชื่อทิ้งหรอกด้วยเหตุผลข้อเสียที่สอง
ไม่นานหลังจากที่ผมตามเรื่องเสร็จก็ใกล้เวลาเลิกซ้อมพอดี ผมเลยเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆที่น้องๆนั่งกันฟังโค้ชคุย ทันทีที่ว่านเห็นผมมายืนว่านก็รีบเปลี่ยนที่มานั่งข้างๆผมทันทีแล้วก็เหมือนเคยว่านนั่งลูบๆขาผมไปมา ทว่า....วันนี้มีของแถม...ว่านกัดขาผมด้วย แถมไม่ยอมปล่อยอีกผมเลยลดตัวลงเอามือดันๆหัวว่านออก แต่ว่านเอามือเกาะไว้แน่นเลย ผมเลยต้องนั่งยองๆแล้วออกแรงมากขึ้น และ ทันใดนั้นเอง
“สองคนนั้นเล่นอะไรกัน เป็นรุ่นพี่เค้าด้วย อย่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้น้องเห็นซิ” โค้ชขึ้นเสียงพูดซะดังลั่นจนเด็กๆหันมามองเป็นทางเดียวเลย ว่านก็ดูเหมือนจะตกใจเหมือนกันเลยรีบปล่อยผมทันที
“ถูกดุเลย” ผมพูดกับว่านเบาๆก่อนจะนั่งลงข้างๆว่าน
“ขอโทษครับ” ว่านพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่เป็นไรๆ” ผมพูดพลางลูบหัวว่านเบาๆ
“แล้วเมื่อกี้พี่เป็นอะไร ไม่เห็นมาดูพวกผมเลย แถมทำหน้าเครียดๆอีก”“ไม่มีอะไร”“......” ว่านไม่ตอบแต่งับแขนผมเบาๆแทน
หลังจากปิดยิมวันนั้นผมก็พาว่านไปทานก๋วยเตี๋ยวเหมือนเคย มันเหมือนเป็นกิจกรรมหลักๆเหมือนที่ผมไป 7 – 11 กับบีไปแล้ว อืมม...ลืมบอกไปว่าเวลาทานก๋วยเตี๋ยวว่านจะคีบหมูสับกับหมูแดงให้ผมตลอด เหตุผลเหรอครับ ไม่รู้เหมือนกันว่านเห็นผมชอบทานมั้ง ฮ่ะๆ
“น่าจะมีเทียนเน๊าะ”“ทำไมเหรอคัรบ”“เปล่า อยากทานก๋วยเตี๋ยวใต้เสียงเทียน โรแมนติกสุดๆเลยทีเดียว”“ฮะๆ” ว่านหัวเราะ
“พี่....”“ครับ”“พลอยบอกผมว่ามันชอบพี่”“หรือ จริงดิ”“ไม่รู้มันบอกผมวันนี้”“เวอร์ไป รู้จักกันไม่กี่วันเอง”“ไม่รู้ซิ” ว่านทำน้าตาสลดลงทันที
“แล้ว....พี่เอมีแฟนหรือยังล่ะครับ” ว่านถามต่อด้วยน้ำเสียงสลดๆพลางเอาตะเกียบจิ้มๆลูกชิ้นไปด้วย
“........”“.......”“มี......แต่คนที่สนใจหน่ะ......”“ใครเหรอ”“ไม่รู้เค้าจะรู้ไหมว่าพี่สนใจเค้าอยู่”“ใครเหรอพี่” ว่านทำสียงอยากรู้ขึ้นมามากขึ้น
“ตอนนี้เค้าก็อยู่แถวนี้แหละ เจอเค้าบ่อยๆ”“แล้วใครล่ะครับ”“ลองเดาดูดิ อิอิอิ”“โหยยย พี่อะ บอกมาเถอะน๊าๆ....” ว่านทำเสียงออดอ้อนสุดๆ
“......” ผมไม่ได้พูอะไรออกไปได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน
วันนั้นเหมือนว่านจะงอนผมหน่อยๆที่ผมไม่ตอบเค้าให้ครบ ตลอดทางไปส่งที่บ้านว่านกัดไหล่ผมไม่หยุดเลย ชวนคุยอะไรก็ไม่ยอมพูด ผมได้แต่หอมหลังมือว่านเป็นระยะๆ ไม่นานนักผมก็พาว่านมาส่งที่บ้านทันทีที่ว่านลงจากรถว่านก็หันมามองผมแล้วก็พูดว่า
“พี่เอ บอกหน่อย พี่สนใจใคร”“เดาดูๆ”“พี่อะ...บอกผมเลย”“อิอิอิ” ผมได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน......เพราะคำที่ผมอยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูดออกไป
“ตอนนี้เหรอ....พี่....สนใจว่านนะ....” ผมคิดในใจขณะที่ว่านกำลังยืนออดอ้อนให้ผมพูดอยู่ตรงหน้า.....
แต่ใครกันล่ะครับที่จะกล้าพูดออกไปผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าว่านรู้สึกกับผมยังไงถ้าผมพูดออกไปผมกลัวว่าผมจะเสียว่านไปอีกคน ผมเพิ่งจะเสียบีไปไม่นานผมยังไม่พร้อมที่จะเสียว่านไปอีกคน ตอนนี้...ผมรู้สึกเหงา...แล้วก็....ยังอยากจะมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ แล้วในเวลานี้คนๆนั้นก็คือ....ว่าน.....อืม....น้องเค้าจะรู้ไหมนะว่าเราคิดกับเค้ามากไปกว่าแค่น้องชายแล้ว.....
To Be Con