ช่วงที่ 6
วันใหม่กับอะไรใหม่ๆ....วันนี้ผมจำได้ว่ามันเป็นเช้าวันที่ค่อนข้างสดใสท้องฟ้าสวยมากจนอยากคว้ากล้องมาถ่ายภาพไว้ อากาศกำลังเย็นสบายแดดอุ่นๆในเวลาเช้าๆแบบนี้ผมไม่อยากลุกจากที่นอนเลยแฮะ แต่ว่า...มันเป็นหน้าที่นี่นา นึกขึ้นได้ดังนั้นผมก็เอามือคลำๆหารีโมทแอร์ที่วางไว้อยู่แถวๆหัวนอน
“ปี๊บๆ” ทันทีที่กดปิดเครื่องแอร์ก็ค่อยๆเบาเสียงลงในไม่กี่อึดใจก่อนจะเงียบดับไป ผมค่อยๆคลานแบบถอยหลังมาที่ปลายเตียงก่อนจะดันตัวลุกขึ้นใจลอยอยู่พักหนึ่งแล้วลงไปทำธุระส่วนตัว หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จหมดแล้วรวมถึงใส่เนกไทซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นสุดท้ายที่ผมจะใส่สำหรับชุดนักศึกษา ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้มาใส่กระเป๋า ซึ่งระหว่างที่หยิบผมก็กดดูด้วยว่ามีใครโทรเข้ามาช่วงหลับลึกหรือเปล่า ระหว่างที่เปิดดูนั้นผมก็มองนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวมุมโทรศัพท์ด้วย
“07.30น.”“อืมม......” ผมยืนนิ่งคิดอยู่ในใจว่าจะโทรไปหาว่านดีไหม เพราไม่รู้เลยว่าน้องเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้น หรือ แย่ลง ไปเรียนได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ไปข้าวเช้ามีทานไหม ใครจะไปซื้อให้ถ้ายังไม่มี
“ตรู๊ดดดดดด.........ตรู๊ดดดดดดดด.......ตรู๊ดดดดดดดดด......แกร๊ก !$%#%!%$@#^$^#5253!@%$@%” ทันทีที่มีการรับสาย เสียงต่างๆจากรอบข้างก็ประเดประดังเข้ามาซึ่งพอจับใจความได้ว่าปลายสายตอนนี้น่าจะอยู่โรงเรียนแน่นอน
“ครับ”“อยู่โรงเรียนแล้วเหรอ”“ครับ”“ดีขึ้นแล้วเหรอ”“ครับ”“อืมม ทานข้าวทานยายัง”“แล้วครับ”น้ำเสียงว่านตอนนี้เหมือนไม่อยากคุยเท่าไหร่
“ไม่กวนล่ะ”ผมเลยตัดบทไป
“ครับผม” อืมม...เหมือนผมโทรไปกวนน้องเลยแฮะ...จริงๆผมเองก็น่าจะเดาได้ว่าน้องดีขึ้นแล้ว เพราะถ้าไม่ดีขึ้นน้องก็น่าจะโทรมาหา แต่ไม่ได้โทรมาก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ผมคงห่วงเค้ามากไปซะล่ะมั้ง ว่าแล้วผมก็ตรงไปที่มหาวิทยาลัยทันทีเพื่อทานข้าวร้านประจำ ไข่ดาว กับ ไก่ทอด ที่ผมทานมาตั้งแต่ผมเข้าเรียนที่นี่วันแรก จนถึงปี3 เรียกได้ว่าพอเห็นหน้าปั๊บป้าคนขายก็รีบตักให้ทันทีตั้งแต่เห็นผมจอดรถที่หน้าโรงอาหารเลยทีเดียวราคาก็ไม่แพงครับอยู่ที่สิบห้าบาท หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมก็เข้าเรียนครับ วันนี้มีเรียนเช้าบ่ายเลย ซึ่งคาบบ่ายวันนี้อาจารมีแนะแนวข้อสอบกลางภาค ซึ่งอาจารย์ผู้สอนไมได้เป็นผู้ออกข้อสอบเอง ด้วยความเป็นห่วงนักศึกษาอาจารย์เลยเอาแนวข้อสอบ รวมถึงหัวข้อสำคัญๆที่จะใช้ในการสอบข้อเขียนซึ่งเน้นการวิเคราะห์มากกว่าท่องจำมาแนะแนวทางในการตอบเพื่อจะได้ทำคะแนนดีๆ โดยระหว่างที่อาจารย์กำลังบอกแล้วผมกำลังนั่งเลคเชอร์อยู่นั้น....
“ตี๊ดๆ...ตี๊ดๆ.....” เสียงเตือน SMSจากโทรศัพท์เครื่องหลักก็ดังขึ้นเบาๆ ผมหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงมาดู
“พี่มารับผมที่รรหน่อยครับ จาก ว่าน” ผมมองข้อความ แล้วมองนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวมุมของจอ
“14.30น.” อีกตั้งหนึ่งชั่วโมงแน่ะกว่าจะหมดคาบ แถมวันนี้แนะแนวด้วยเอาไงดี ว่าแล้วผมก็พิมพ์ข้อความกลับไป
“มีอะไรด่วนหรือเปล่า” ผมรอข้อความตอบกลับอยู่ประมาณ 10 นาที แต่ก็ไม่มีข้อความใดส่งกลับมา หรือ จะเปิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมรู้สึกร้อนใจจนบอกไม่ถูก นึกถึงตอนที่น้องบีเป็นอะไรแล้วติดต่อผมซะก่อนจะติดต่อผู้ปกครองด้วยซ้ำแล้วมันทำให้ผมยิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม ว่าแล้วผมก็ยกมือขึ้น
“เอ..มีอะไรเหรอ” อาจารย์เรียกชื่อเล่นของผม แล้วถามด้วยความเป็นกันเอง
“คือ ผมมีธุระด่วนมากๆเลยครับ” ผมลุกขึ้นแล้วตอบอาจารย์
“กลับก่อนก็ได้” อาจารย์ตอบกลับมาแล้วยิ้มก่อนจะหันไปเขียนข้อความที่ยังค้างอยู่บนกระดานต่อ
ผมหันไปตบไหล่ม่อนเบาๆแล้วบอกกับม่อนว่า
“เลคให้ด้วย”“อื่อ” ผมรีบเก็บของลงกระเป๋าออกมาจากห้องลงไปที่ลานจอดรถอย่างเร่งรีบ ซึ่งผมจำได้ว่าพอมาถึงรถผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาว่านอีกครั้ง แต่ว่านไม่ได้รับสาย ก่อนจะออกรถไปที่โรงเรียนของว่านอย่างรวดเร็วผมบิดรถด้วยความเร็ว90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกับเส้นทางที่เกือบจะเป็นเส้นตรงเลียบไปกับคลองไม่ถึง 5 นาทีผมก็มาถึงโรงเรียนของว่านก่อนจะโทรเข้าหาน้องด้วยความร้อนใจ
“ตรู๊ดดดดดดดด........ตรู๊ดดดดดดดดดด........ตรู๊ดดดดดดดด....ตรู๊ดดดดดดดด....แกร๊ก ครับพี่”“ว่านอยู่ไหน”“ที่สนามบาสครับ” ว่านตอบกลับมา...น้ำเสียงของว่านเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรนี่นา
“พี่อยู่หน้าโรงเรียน”“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” แล้วว่านก็ตัดสายไป....จากที่ฟังน้ำเสียงแล้วว่านเองก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นาน้ำเสียงค่อนข้างสดใสกว่าเมื่อเช้าด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมมาหาทำไมตอนนี้ล่ะ คำตอบที่ผมอยากรู้อีกเดี๋ยวคงจะได้ทราบกันเมื่อว่านมาถึง
“พี่เอ” ว่านตะโกนเรียกผมขณะที่น้องกำลังเดินออกมาจากหน้าประตูโรงเรียน ผมหันไปยิ้มแล้วว่านก็ยิ้มๆรับ....ภาพแบบนี้....เหมือนเวลาบีเขินใส่ผมเลยแฮะ ยิ้มด้วยความดีใจแต่ก็อายที่จะให้คนที่ตัวเองยิ้มให้เห็น แล้วสภาพว่านตอนนี้ดูสดใสไม่เหมือนคนป่วยเท่าไหร่ พอเดินมาถึงรถผมว่านก็เอากระเป๋าวางที่หน้ารถ ก่อนจะถอดหมวกลูกเสือออก แล้วพัดๆหน้าตัวเอง
“ใส่ชุดลูกเสือก็น่ารักดีนี่นา” ผมพูดออกไปตามที่ผมรู้สึก ว่านหันมายิ้มแล้วทำท่าทางเขินๆ
“ปรกติผมก็ใส่วันนี้ตลอดนี่นา พี่ก็เคยเห็นนี่นา” ว่านตอบกลับมาด้วยเสียงที่แสดงถึงความดีใจหน่อยๆ
“เขินเหรอ” ผมพูดแซวว่านออกไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ที่ไหน อิอิอิ” ว่านหัวเราะเบาๆ
“แล้วมีอะไรเหรอ” ผมถามว่านถึงเรื่องที่ว่านส่ง SMS ตามผมมา
“ก็โค้ชเค้าบอกให้ผมเอาหลักฐานสำเนาใบสูติบัตร กับสำเนาทะเบียนบ้านไปให้ที่สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยตรงสนามกีฬาก่อนบ่ายสามครึ่งอะครับ”“แค่นี้?” ผมถามว่านเพื่อความแน่ใจว่าที่เรียกผมให้มาหามีเรื่องแคนี้เองเหรอ
“ครับ แค่นี้” ว่านหันมายิ้ม ก่อนจะเอามือมาจับๆเนคไทผมให้ตรง
“เวลาพี่ใส่เนคไทดูหล่อดีนะครับ” ว่านยิ้ม
“แล้วไปเอาที่ไหนเอกสารที่ว่า”“ไปบ้านผม”“งั้นก็ปะ” ผมพูดจบว่านก็ทำท่าจะเดินมาขึ้นรถแต่ว่า
“ว่าน เดี๋ยว” ผมเรียกว่าน ว่านหยุดกึกแล้วหันมามองผม
“ครับ” “มานี่” ผมดึงมือว่านมาข้างๆแล้วเอามือปัดๆผมว่านก่อนจะเอาหมวกลูกเสือในมือว่านสวมลงไป
“เวลาว่านใส่ชุดลูกเสือแบบนี้พี่ว่าน่ารักดีเหมือนกันนะ” ผมพูดจบว่านก็ยิ้ม ก่อนจะขึ้นรถ
ระหว่างทางไปบ้านน้องผมกังวลเรื่องเลคเชอร์อยู่หน่อยๆเพราะของแบบนี้มันต้องจดตามที่เราเข้าใจ หรือ จุดที่เราสนใจ แต่ดันไปให้เพื่อนจดให้....แต่ก็ช่างมันเถอะเดี๋ยวผมไปรวมจากเพื่อนๆหลายๆคนมาอ่านก็ได้ วันนั้นผมพาว่านไปส่งเอกสารที่สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยทันเวลาซึ่งถูกเจ้าหน้าที่บ่นๆเล็กน้อยซึ่งพอสอบถามก็พบว่านี่เป็นวันสุดท้ายของการส่งเอกสารสำหรับใช้ในการลงแข่งขันคัดตัวแทนเขตซึ่งทางสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยได้ติดต่อไปยังคุณโค้ชตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเอาเอกสารหลักฐานมาส่งแต่อย่างได จนวันนี้วันสุดท้ายแล้ว ซึ่งจริงๆเป็นวันสุดท้ายที่เลทมาให้หลังจากวันหมดเขตด้วยซ้ำ โดยเจ้าหน้าที่ก็บ่นงุมงำๆตามประสาซึ่งผมก็เข้าใจเป็นผมผมก็บ่นล่ะนะ พอผมยืนเอกสารแล้วพี่เจ้าหน้าที่จรวจสอบเสร็จผมก็เดินออกมาเรียกว่านที่นั่งเล่น PSP ของผมอยู่ด้านหน้าของสำนักงานให้เข้ามาเซ็นเอกสาร
“โค้ชล่ะว่าน” ผมถามว่านขณะที่กำลังนั่งรอให้พี่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานอีกครั้งซึ่งตอนนั้นน้องกำลังนั่งเล่น PSP อยู่-ข้างๆผม
“ไม่รู้ซิครับ เห็นว่าจะมารอนะ” ว่านตอบกลับมาขณะที่สายตาก็ยังไม่ละออกจาเกม
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งว่าเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
“ว่าน ไปไหนต่อ เพิ่งบ่ายสามสี่สิบเอง” ผมถามว่าน
“อืมม แล้วแต่พี่” ว่านตอบกลับมา
“ไปยิมเลยเน๊าะ"“ครับ” แล้วผมก็พาว่านไปส่งที่ยิมก่อนที่ผมจะวนกลับมาเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้ววนกลับที่ยิมอีกครั้งหนึ่ง พอมาถึงอีกทีก็เจอมิ้นกำลังนั่งเล่นอยู่หน้ายิม ส่วนว่านนั่งเล่น PSP อยู่ข้างใน ผมเดินเอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่ชั้นก่อนจะเดินไปนั่งที่มุมเดิม พอผมนั่งลงว่านเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นแล้วมานั่งข้างๆผมแล้ว...ว่านก็ก้มลงมาหอมที่ไหล่ผมเบาๆทีหนึ่งซึ่ง...ผมได้ยินเสียงลมหายใจว่านชัดเจนเลย..ก่อนที่ว่านจะนั่งเอาหน้าพิงไหล่ผมแล้วเล่น PSP ต่อ
“เฮ้อ....คิดถึงบีจังเลยแฮะ” ผมคิดในใจก่อนจะก้มหน้าไปหอมที่ผมของว่านเบาๆ ตอนนี้ผมอยากให้บีมานั่งที่ตักผมจัง....ผมอยากกอดบีอีก พอนึกอย่างนั้นขึ้นมาในใจผมก็ยกมือขวาขึ้นแล้วดึงว่านขึ้นมานั่งที่ตักผมแทนซึ่งว่านก็ให้ความร่วมมืออย่างดี พอว่านมานั่งที่ตักผมก็โอบตัวว่านเบาๆเอามือทั้งสองข้างประกบกันไว้เหนือขอบกางเกงว่านขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะดึงตัวว่านให้นอนราบลงมาบนตัวผม แบบนี้ผมรู้สึกดีจัง เหมือนบียังอยู่กับผมยังไงก็ไม่รู้ ผมเลื่อนมือขึ้นมาสูงกว่าเดิมอีกเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเอาคางวางลงบนหัวว่านเบาๆ แล้วหลับตา....
“ขายังเจ็บอยู่ไหม” ผมถามว่านเบาๆ
“นิ๊ดหน่อยครับ” ว่านตอบกลับมา
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ....พี่เป็นห่วง”“ครับ” แล้วผมก็นั่งกอดว่านอยู่แบบนั้นจนเด็กๆเริ่มทยอยมาผมก็เปลี่ยนไปนั่งที่โต๊ะแทน ซึ่งว่านก็ตามมานั่งตักอยู่ดี จนถึงเวลาเริ่มซ้อมนี่ก็เป็นอีกวันที่โค้ชไม่ได้ให้เข้าแถวเคารพสถานที่เคารพผู้สอนก่อน แต่ให้แยกวอร์มของใครของมันเลย โดยให้เวลา 20 นาทีเหมือนเคยระหว่างนั้นโค้ชก็กำชับผมไว้ว่าไม่ต้องไปดู ยืนอยู่ห่างๆ ซึ่งผมก็ทำตาม ประมาณ 10 นาทีหลังจากเริ่มวอร์มพี่ป้อมก็มาที่ยิม เด็กๆในยิมที่วอร์มกันอยู่ก็หันมายกมือไหว้พี่ป้อม ก่อนจะกลับไปวอร์มต่อ ซึ่งตอนที่พี่ป้อมเห็นเด็กๆวอร์มแบบนั้นพี่ป้อมก็เอ่ยถามอยู่เหมือนกันว่า
“ทำไมไม่นำวอร์มล่ะ” โค้ชก็ชี้แจงว่า
“ไม่ต้องนำหรอกวอร์มเองแบบนี้ดีกว่า” พอโค้ชชี้แจงจบพี่ป้อมก็ทำหน้างงๆ
แล้วพี่ป้อมก็เริ่มถามถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเกี่ยวกับที่คุณโค้ชไปพูดหักหน้าผู้ปกครองรวมถึงใช้คำพูดที่ทำให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าโค้ชกำลังกล่าวหาลูกเค้าว่าไม่มีความตั้งใจและไม่มีความรับผิดชอบ จนทำให้ผู้ปกครองต้องโทรไปฟ้องพี่ป้อม รวมถึงขอย้ายไปเรียนยิมอื่นโดยให้พี่ป้อมเคลียร์เอกสารที่ยืนยันการสอบสายของลูกเค้าทั้งหมดไปให้ ซึ่งพี่ป้อมต้องการทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่าย พอโค้ชได้ยินดังนั้นเลยตอบมาว่า
“ก็ผมจะปรับปรุงรูปแบบการฝึกของยิมใหม่ ผมจะเน้นให้กับเด็กที่ตั้งใจก่อน ส่วนเด็กที่ไม่ตั้งใจผมก็จะปล่อยไป เพราะถ้าซ้อมรวมหลายครั้งเด็กที่ไม่ตั้งใจ จะทำให้เด็กที่ตั้งใจเสียสมาธิ รวมถึงทำให้เด็กที่จั้งใจพัฒนาฝีมือล่าช้าเพราะมีคนมาถ่วง” พอโค้ชพูดจบพี่ป้อมก็นั่งเงียบเหมือนจะคิดอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามไปว่า
“แล้วมันจริงไหมที่แกพูดว่าลูกเค้าแบบนั้น” พอถูกยิงคำถามมาแบบนี้โค้ชก็ตอบไปว่า
“ผมไม่ได้ว่าเค้าแรงเลย ผมแค่อธิบายว่าทำไมผมถึงแยกซ้อมแบบนั้น ก็อย่างที่บอกว่าผมจะจี้เฉพาะเด็กที่ตั้งใจ ถ้าเค้ารับรูปแบบการสอนของผมไม่ได้ จะไม่ซ้อมกับผม จะย้ายยิม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมอยากให้ที่ยิมมีแค่เด็กที่ตั้งใจอยากจะเก่งก็พอ” พูดจบโค้ชก็ลุกขึ้นเดินไปจี้เด็กรายตัวโชว์ พี่ป้อมนั่งนิ่งแล้วมองตามหลังโค้ชไปก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้า ตามด้วยหันมามองผมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“พี่กลับแล้วนะ” พี่ป้อมพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อ่าว กลับแล้วเหรอพี่”“อื่อ แล้วเจอกัน”“ครับ” แล้วพี่ป้อมก็ลุกไป.....เหลือผมที่ยืนดูน้องอยู่ห่างๆตามคำสั่งของโค้ช พอพี่ป้อมลุกออกไป โค้ชก็ชายตามามองเล็กน้อยเหมือนพวกนางร้ายในหนังเลยอะครับ ถ้ามีคำพูดประมาณว่า
“ชิ ไปซะได้ก็ได้” ดังออกมาด้วยนะ ใช่เลยทีเดียว วนกลับมาที่เรื่องของเทควันโดซึ่งจริงๆแล้วที่โค้ชพูดมามันก็ฟังดูดีนะครับ แต่ตามหลักของกีฬาที่ว่าด้วยเทควันโดนี้จะมีการฝึกแบบเดียวกับทหารคือจะมีการซ้อมพร้อมกันตามคำสั่ง การแยกฝึกกับครูเป็นกลุ่มๆ แต่ก็ยังต้องทำพร้อมกันอยู่ดี แล้วก็ การเข้าแถวเตะแป้น ซึ่งจะมีผู้สอน หรือ ครูคุมอยู่ตลอดเวลา รวมๆแล้วเทควันโดเป็นการฝึกความมีระเบียบวินัยแล้วก็ความอดทนอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าใครเคยฝึกเทควันโด แล้วไปเรียน รด. หรือ เข้าเป็นทหารกองประจำการล่ะก็จะรู้สึกได้เลยว่าการฝึกมันเหมือนกันเปี๊ยบซึ่งต่างกับอะไรที่โค้ชกำลังทำอยู่นี้ที่ต่างคนต่างไปทำของตัวเอง
หลังจากพี่ป้อมกลับไปการฝึกอย่างโหดก็เริ่มขึ้นวันนี้ผมไม่ได้ร่วมแจมด้วยเนื่องจากยังปวดเข่าอยู่ ผมนั่งมองน้องๆซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง ต้องยอมรับเลยว่าการกดดันเพื่อนๆตามสูตรของว่านมันได้ผลจริงๆให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนกำลังพยายามทำให้เต็มที่อยู่ ยิ่งว่านไม่แสดงทีท่าว่าเหนื่อยหอบออกมา หลายๆคนก็ยิ่งไม่กล้าบ่นจนเหลือ 10 นาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลาซ้อมโค้ชเรียกน้องๆมานั่งรวมกันที่มุมของยิมโดยโค้ชนั่งเก้าอี้เหล็กแบบที่ใช้ในบาร์เหล้าก่อนจะเริ่มพุดคุยเกี่ยวกับการฝึกวันนี้ ส่วนหนึ่งของการพูดคุยมีเรื่องเกี่ยวกับรูปแบบการฝึกแบบนี้ด้วยโดยโค้ชพูดทำนองว่า
“การฝึกแบบนี้เป็นการฝึกของคนขยัน คนมีความรับผิดชอบ ถ้าเราตั้งใจครูจะเดินมาจี้รายตัวเลยไม่ต้องกลัว ส่วนใครไม่ตั้งใจครูก็จะปล่อยมันไป คนที่อยากเก่งจะได้รีบเก่ง คนที่ไม่อยากเก่งก็ปล่อยให้ย่ำอยู่กับที่ไป” ซึ่งระหว่างที่คุยโค้ชยกตัวอย่างว่านให้สมาชิกคนอื่นๆในยิมได้เอาเป็นตัวอย่างอยู่เนืองๆ ทำเอาว่านนั่งยิ้มพลางหัวเราะแก้เขินเป็นระยะๆเลยทีเดียว แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่โค้ชให้แยกย้ายกลับบ้านเลยเมื่อถึงเวลาเลิก ผมเองไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้เพราถ้าโค้ชเค้าเห็นว่าดีก็ทำไป พอโค้งสั่งเลิกเสร็จผมก็เดินไปนั่งที่มุมเดิม ส่วนว่านก็เดินไปหยิบยามานั่งนวดขาอยู่ข้างๆผมเหมือนเคย
“เป็นเด็กติดยาไปแล้วเหรอ” ผมพูดจบว่านก็หันมามองผมทำหน้างงๆใส่
“ก็ยานวดไง เห็นว่างไม่ได้เลยช่วงนี้นวดตลอด”“แฮะๆ” ว่านหันมายิ้มๆ
“พี่ช่วยนวดไหม” ว่านไม่ตอบแต่ยื่นหลอดยามาให้แทน ผมเลยช่วยน้องนั่งนวดเข่า
“เวลาซ้อมก็อย่าหักโหมมากรู้เปล่า เข่าเจ็บขึ้นมามันรักษายาก”“ครับ” ว่านตอบกลับมา...ครับอีกแล้วแต่เวลาซ้อมว่านก็เต็มที่ที่สุดกว่าใครๆในยิมตลอดอยู่ดี
ไม่นานนักน้องๆในยิมก็กลับหมด ผมเดินไปใส่เสื้อวอร์มก่อนจะเดินไปปิดไฟ แล้วระหว่างที่ผมเดินไปปิดไฟอยู่นั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“แฮ่!...ง่ำ!!!” ว่านกัดเข้าที่ไหล่ผมเต็มๆ แถมเอาสองมือมาโอบกอดตัวผมไว้อย่างแน่นหนา ทว่า...ผมสูงกว่าว่านนะการที่จะงับไหล่ผมได้ว่านต้องเขย่งเท้า ผมเลยสะบัดๆตัวเล่นกับว่านด้วย เหมือนว่าว่านจะชอบใจใหญ่เลย ก่อนที่ว่านจะค่อยๆผ่อนแรงกัดลง แล้วเปลี่ยนมาซุกไหล่ผมอีกข้างแทน
“พี่หอมจัง....อร่อยด้วย....” ว่านพูดขึ้น
“เอาเสื้อพี่ไปนอนกอดเล่นไหมละ กัดด้วยก็ได้นะ แล้วก็...ซักให้ด้วยล่ะตอนเอามาคืน” ผมพูดติดตลก
“ไม่เป็นไรแบบนี้ดีกว่า” ว่านพูดขึ้นขณะที่เค้ายังกอดผมอยู่ข้างหลังอยู่เลย
ผมเอามือมาจับมือเค้าไว้เบาๆแล้วยืนอยู่แบบนั้นพักหนึ่งก่อนจะบอกให้น้องไปเอากระเป๋าของผมที่วางอยู่บนชั้นวางกระเป๋าแล้วไปส่งน้องที่บ้าน....วันนี้น้องนั่งซบหลังผมไปตลอดทางเลย มือซ้ายของน้องผมก็กุมไว้ที่ตักผมตลอดทางเช่นกัน พรุ่งนี้วันเสาร์แล้วซินะ เดี๋ยวว่านก็ได้เจอคุณแม่แล้วจะได้ไม่ต้องนอนเหงาคนเดียว แต่ว่า...คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ว่านต้องนอนหลับอยู่ลำพัง....ผมเองก็เช่นเดียวกัน....
To Be Con