ช่วงที่ 2
หลายวันต่อมาว่านกับผมเริ่มสนิทกันมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนคุยกันแค่เป็นพิธีแต่ตอนนี้ผมกลับคุยกับว่านมากที่สุดแล้วในยิมว่านเองก็ดูเหมือนจะชอบเรื่องตลกที่ผมพูดจนบางครั้งเวลาคุยกันก็จะมีเสียงหัวเราะดังจนน้องๆในยิมหันมามอง แล้ววันหนึ่งว่านก็ก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีก วันนั้นจำได้ว่าผมจำแป้นให้น้องๆเตะครับ แล้วคุณโค้ชให้เค้าน้องๆทิ้งไปตัวไปข้างหน้าในช่วงที่วางจาลงหลังจากเตะเสร็จแล้ว ซึ่งท่าเตะแบบนี้ก็เตะกันมาหลายครั้งแล้ว ส่วนมากน้องจะทิ้งตัวแล้วเบี่ยงตัวหลบเอง โดยไม่ชนผมที่จับแป้นอยู่
แต่ว่า...วันนี้ว่านไม่ได้ทิ้งตัวหลบครับ....ว่านทิ้งตัวมาหาผมเลย....แล้วก็กอดผม...ตอนแรกผมคิดว่าว่านหยอกเล่น แต่เมื่อว่านเตะทุกครั้ง....กอดทุกครั้งผมเลยรู้สึกว่าว่านคงไมได้เล่นๆแล้วมั้ง....จริงๆกอดแบบนี้ถ้าจะมองธรรมดาก็ได้นะครับ เพราะบางยิมก็ให้ทิ้งตัวมาชนคนจับแป้นเลยแล้วก็กอดแบบที่เราลงแข่ง คือไม่ใช่เอามือมาโอบตัว แต่อ้าแขนออกแล้วใช้ต้นแขนบีบล๊อกแบบกอดให้ให้คู่ต่อสู้ดิ้นหนีได้ โดยที่ส่วนมือจะไม่กอดเข้ามา คือถ้าเค้าจะโดดถอยหลังก็ได้นั่นเอง แต่ที่ว่านกอดผมนี้...มันไม่ใช่แบบที่ใช้ลงแข่งอะครับ
หลังจากเตะแป้นเสร็จแล้ว ผมก็กลับไปนั่งอยู่มุมเดิม....ว่านก็เดินตามมาเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือว่านเปลี่ยนที่นั่งครับ....มานั่งตรงหว่างขาผมแทน แล้วก็พิงมาด้านหลังแบบบีเป๊ะ ว่านตัวสูงกว่าบีหน่อยหนึ่ง ว่านเลยทิ้งตัวนอนสบายเลยทีเดียวโดยต้นคอของว่านพิงอยู่ตรงบ่าผมพอดี แล้วว่านก็จับสองมือผมไปวางไว้ข้างตัวเค้าโดยสองมือของว่านก็ยังจับมือผมอยู่หลวมๆแบบเดิม....และแน่นอน...ไม่พ้นสายตาสาววายแห่งยิมเรา ที่แอบนิ่งยิ้มอยู่ริมเสาต้นเดิมอย่างออกหน้าออกตา
จากนั้นก่อนเลิก 30 นาทีคุณโค้ชก็เอาอีกแล้วครับ จับคู่เตะกัน น้องว่านก็ไม่รอช้า คู่ครบไม่ครบก็ตะปบผมไว้ก่อนเลยแถมกอดมือผมไว้ซะแน่น จนเมื่อจับคู่เสร็จก็พบว่ามีน้องเหลืออยู่คนหนึ่งที่ไม่มีคู่ ผมเลยจะให้ว่านไปจับคู่กับคนที่เหลืออยู่ ส่วนผมจะนั่งดู แต่ว่านไม่ยอมว่านบอกคำเดียวว่า
“ผมจะคู่กับพี่” จนพี่ป้อมต้องมาลงเพิ่มอีกคนให้ครบคู่ แล้วการเตะก็เริ่มขึ้น ผมก็เล่นกับว่านเหมือนทุกๆที คือไม่ได้เน้นชนะ แต่เน้นพัฒนาฝีมือให้ว่านมากกว่า แต่แล้วก็มาถึงจุดหนึ่งที่ทำเอาโค้ชฟิวขาด ( มั้ง ) คือผมใช้ขาหน้าเตะน้อง โค้ชเค้าเป็นกบอะไรก็ไม่รู้บางทีเหมือนเค้าจะมีนิสัยขวางโลกนิดๆคือ
“ขอให้ได้ขัดสักหน่อยเหอะ กรูจะได้มีบทกับเค้าบ้าง” พอผมใช้ขาหน้าเตะน้องไปประมาณ 3 – 4 ครั้ง โค้ชก็สั่งให้ทุกคนหยุด แล้วไปนั่งข้างๆเบาะก่อนจะวิจารณ์เหมือนทุกครั้งที่เคยทำ
แต่อย่างหนึ่งที่โค้ชว่าผมอ้อมๆคือการใช้ขาหน้า โค้ชชี้แจงสรุปได้ว่า
“การใช้ขาหน้านั้น ไร้ประโยชน์ นอกจากทำแต้มไม่ได้แล้ว ยังเหมือนกับพวกขี้ขลาดไม่กล้าเล่น” ดังนั้นไม่ต้องเดาเลย โค้ช ให้ผมกับว่านออกไปเตะกันแค่สองคนให้น้องดู ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจยังใช้ขาหน้าอยู่ แล้วทันทีที่ผมเตะโค้ชก็พูดเลยว่า
“เห็นไหมครับ ขาหน้าเตะยังไงก็ไม่ได้แต้ม แถมยังไม่มีน้ำหนัก ที่สำคัญเสียการทรงตัวอีก” เท่านั้นแหละครับ....เป็นจังหวะที่ว่านพุ่งตัวเข้ามาพอดี....ผมยกขาหน้าขึ้น....แล้วตบลงท่าของเทควันโดเรียกว่าช๊อปคิกส์...ภาษามวยไทยเรียกว่าบาทาลูบพักตร์เท้าของผมตบลงบนหน้าของว่านเต็มๆ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันอุ่น แถมแฉะๆนิ๊ดหนึ่ง ว่านล้มลงกับพื้นตามแรงตบทันที ผมรีบลงไปดูว่านแทบจะทันทีที่ว่านล้มลงไป ว่านหันมามองผมทำหน้า งงๆ นิดหน่อย
“เป็นอะไรไหม” ผมถาม
“ไม่เป็นไรครับ” ว่านตอบแล้วยิ้ม ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้น โดยมีพี่ป้อมมาช่วยประคอง ส่วนคุณโค้ชยืนพิงหน้าต่างดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆก่อนจะพูดว่า
“เอ้า คู่ต่อไป”“พี่เดี๋ยวผมดูน้องเอง” ผมพูดกับพี่ป้อมเบาๆ
“ok” พี่ป้อมตอบกลับมาก่อนที่ผมจะประคองว่านไปนั่งที่เก้าอี้
“เจ็บตรงไหนบอกพี่ซิ๊” ผมถามว่าน ว่านยิ้มแล้วตอบว่า
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ เตะต่อก็ได้นะ” พอพูดจบ....เลือดสีแดงสดๆก็หยดลงบนกางเกงว่าน...ครับว่านปากแตก
“เฮ่ย! เลือดเต็มเลย” ตอนนั้นในปากว่านแดงเถือกเลยครับ
ผมรีบประคองว่านไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างปาก จนเลือดหยุดไหล แล้วกลับมานั่งคืน ตอนนั้นผมกลัวว่าว่านจะโกรธอยู่เหมือนกัน เลยบอกว่านว่า
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ” ว่านเองก็ตอบว่า
“ไม่เป็นอะไร” ระหว่างนั้นผมก็ลูบหลังคอว่านเบาๆ จนหลังปิดยิมเสร็จผมก็พาว่านไปส่งที่บ้าน หลังจากที่ผมเผลอจับมือว่านไปวันแรก....จนถึงวันนี้ทุกวันที่มาส่งว่านที่บ้านผมจับมือว่านไว้ตลอดเลยครับ ว่านเองก็จะขยับมานั่งจนติดตัวผม รู้สึกอบอุ่นดีจังเลยครับ พอมาถึงบ้านว่านทุกอย่างก็มืดสนิดเหมือนเคย แล้วว่านก็ปีนประตูรั้วบ้านเหมือนเคย ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้วผมเลยขับรถกลับบ้าน แต่เมื่อผมออกจากบ้านว่านไปได้ประมาณ 400 เมตร ว่านก็โทรเข้ามือถือผมครับ
“ครับว่า”“พี่ไฟบ้านผมเป็นอะไรไม่รู้” ว่านพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกังวน
“เป็นอะไรเหรอครับ”“คือ มันติดนะ แต่ว่าบางอย่างมันก็ไม่ติด”“ยังไงเหรอ”“คือ พัดลมติด แต่มันเบาๆ เครื่องเล่น DVD ก็ติด แต่ TV ไม่ติด ไฟบ้านติดแต่มันสลัวๆ”“บ้านอื่นเป็นไหม”“ไม่เป็นครับ” ว่านตอบกลับมา
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปดูให้นะ”“ครับ” พอวางสายเสร็จผมก็ขับรถวนกลับไปที่บ้านว่านอีกครั้ง แต่เมื่อมาถึง....ปรากฏว่า ทุกอย่างมันก็ดูปรกติดีนี่นา ไฟหน้าบ้านก็สว่าง ผมมองผ่านหน้าต่างเข้าไปก็เห็น TV ก็ดูได้ ผมเลยโทรหาว่าน
“พี่อยู่หน้าบ้านแล้ว”“อ่อ ครับพี่ คือ ไฟมาแล้วอะครับ ไม่เป็นไรแล้ว”“เหรอ อืม มีอะไรก็โทรหาพี่แล้วกันนะ”“ขอบคุณมากครับ” แล้วผมก็วนกลับบ้าน พลางคิดไปถึงเรื่องเมื่อเย็นวันนั้นโค้ชเงียบเลยเรื่องขาหน้า จริงๆแล้วผมก็แค่หมั่นไส้เค้าตรงที่ว่าเค้าดูไม่ออกจริงๆเหรอว่าผมออมมือให้น้อง ถ้าขนาดนี้ดูไม่ออกแล้วที่ผ่านๆมาทุกอย่างที่เค้าพูดมาบอกมาทั้งหมดผมจะเชื่อถืออะไรได้ ผมเริ่มสงสัยทุกอย่างที่เค้าเคยบอก ทุกอย่างที่เค้าเคยวิเคราะห์ให้ฟัง ตอนนี้ระดับความน่าเชื่อถือในตัวโค้ชที่ผมมีให้มันลดจนเหลือในระดับวิกฤตแล้ว
ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่พูดหักหน้าเค้าตรงนั้น...มันเป็นเหตุผลทางการเมืองครับ โค้ช พี่ป้อม ผม เป็นคนสอน ดังนั้นการหักหน้าใครใน 2 คนต่อหน้าเด็กไม่ดีแน่ เพราะมันกระทบต่อความน่าเชื่อถือเพราะงั้นมีอะไรต้องไปคุยกันหลังไมค์ แต่คราวนี้โค้ชเค้าพูดต่อว่าผมอ้อมๆแบบขวางโลก ผมเลยต้องทำให้เค้าดูกันจะๆที่ว่าขาหน้าไร้ประโยชน์นั่นมันไม่จริงทั้งหมด แล้วมันก็ได้ผลที่ทำให้เค้าเงียบไปได้ และ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่โค้ชเค้าฝังใจ เหมือนว่าผมคงไปท้าทายเค้าเข้าซะแล้วจะสงสารก็แต่ว่าน....ที่ต้องมาโดนผมเตะแบบนี้
ภาพท่าเตะช๊อปคิกส์ครับ
----------------------------------------------------------------
วันต่อมาหลังจากเรียนเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว ผมรีบตรงดิ่งไปที่ยิมทันที เมื่อไปถึงก็เจอน้องๆนั่งเล่นกันอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็คือว่าน พอวางกระเป๋าเสร็จผมก็เดินไปหาว่านเพราะเป็นห่วงเรื่องที่เตะเค้าไปเมื่อวาน
“เป็นไงอะ หายเจ็บยัง” ผมถามว่าน
“หายแล้ว เมื่อวานเตะต่อก็ยังได้เลย”“เหรอ ไม่เตะแหละดีแล้ว เดี๋ยวชุดพี่เปื้อนขี้เกียจซัก ฮ่ะๆๆ” ผมพูดติดตลกกลับไปว่านก็ยิ้ม แล้วก็หัวเราะตาม
วันนี้...ผมจับแป้นให้น้องเตะเหมือนเดิม ว่านเองก็ยังเตะแล้วกอดผมอยู่เนืองๆ จนกระทั่งช่วงพักว่านวิ่งมากอดผมจากด้านหลัง ผมเลยหันกลับไปแล้วกอดว่านคืนเบาๆ ว่านซุกหน้าลงตรงอกผมหัวว่านชนคางผมพอดีเลย ทันใดนั้นเอง....ผมก็ได้เห็นสาวตองยืนยิ้มแล้วทำท่าเขินบิดไปมาประหนึ่งว่าถูกกอดเองซะงั้น ไม่นานหรอกครับประมาณ 2 – 3 วิได้มั้ง คนเยอะ ผมเลยรีบปล่อยมือ แล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมกอดว่านคืน หลังจากนั้นต่อมาทุกครั้งที่ว่านมานั่งพิงผมแบบน้องบีผมก็จะกอดว่านหลวมๆเหมือนที่เคยกอดบี
เนื่องจากเมื่อวานผมทำน้องเจ็บวันนี้ผมเลยรู้สึกว่าอยากจะพาน้องไปทานอะไรที่น้องชอบสักหน่อย ใช่ครับว่านเคยบอกผมว่า ว่านชอบก๋วยเตี๋ยว ผมเลยกะว่าเลิกแล้วจะพาว่านไปทานก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งเจ้านี้เค้าอร่อยมาก เมื่อถึงเวลาเลิกผมก็รอน้องๆกลับจนหมดแล้วก็ปิดยิม ระหว่างนั้นผมก็คุยกับว่านไปเรื่อยเรื่องเกมส์บ้าง การ์ตูนบ้าง รวมถึงเรื่องก๋วยเตี๋ยว
“ว่านวันนี้กลับช้าหน่อยได้ไหมอะ” ผมถามว่านพลางล๊อกประตูยิม
“อืมมม ก็ได้นะครับ” ว่านตอบกลับมา
“พี่ว่าจะพาไปทานก๋วยเตี๋ยวอะ ไปม๊ะ”“เอาดิ วันนี้ผมยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย” ว่านหันมาตอบด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ทำไมไม่ทานอะ มัวแต่ลอกงานเพื่อนอยู่อะดิ”“ไม่ใช่ ผมนั่งอ่านการ์ตูนต่างหาก เลยลืมดูเวลา ฮ่ะๆๆ” ว่านหัวเราะอย่างมีความสุข
แล้วเมื่อผมเดินไปที่รถ....ผมก็เจอคุณพ่อน้องบียืนคอยอยู่ ผมกับว่านที่กำลังคุยกันสนุกปากถึงกับเงียบลงทันที แล้วยกมือไหว้คุณพ่อน้องบี
“พี่เอว่างไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” พ่อน้องบีพูดขึ้น
“ครับ” ผมตอบกลับไปแล้วยิ้ม
“กำลังจะไปไหนกันหรือเปล่า” คุณพ่อน้องบีถามขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มนิ๊ดๆบนใบหน้า
“กำลังจะไปทานก๋วยเตี๋ยวกันครับ” ผมตอบกลับไป
“อื่อ พอดีเลยผมก็ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเหมือนกัน เดี๋ยวไปคุยกันที่ร้านดีกว่า” ครับอย่างที่บอกไว้ตอน A's Diary ที่ 14 คุณพ่อน้องบีพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่น้องบีไม่ได้มาซ้อม ซึ่งใน A's Diary ผมไม่ได้บอกว่าว่านนั่งฟังอยู่ด้วย เพราะผมรู้สึกว่าตอนนั้นมันไม่เกี่ยวกับว่านเท่าไหร่ มาถึงตอนนี้มันเกี่ยวกับว่านเต็มๆเลยทีเดียว ซึ่งวันนั้นว่านก็ได้ยินทุกอย่างที่คุณพ่อน้องบีเล่าหลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จผมก็ออกรถมาได้สักพักหนึ่งว่านก็ถามผมว่า
“พี่...ทำไมไม่โทรตามบีล่ะ”“ว่านคิดว่าบีอยากกลับมาจริงๆเหรอ” ผมถามว่านกลับไป
“ผมไม่รู้ซิ....” วันนั้นผมขับรถผ่านหน้าบ้านบีหลังที่อยู่ในเมืองก่อนจะจอดรถที่หน้าบ้านบีแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา ซึ่งว่านก็เห็น รวมถึงได้ยินที่ผมคุยกับบี เมื่อผมวางสาย ว่านขยับมาพิงตัวผมเบาๆเหมือนจะปลอบใจผมล่ะมั้ง ก่อนที่ผมจะขับรถออกไป โดยที่ผมกำมือว่านไปตลอดทาง วันนี้....ผมนั่งนิ่งที่หน้าคอมพ์...ผมไม่รู้จะทำอะไรดี....นึกไม่ออก ใจหนึ่งเหมือนว่านจะมาแทนที่บีไปซะแล้ว....แต่ใจหนึ่งว่านไม่ใช่บี...บีเองก็ไม่ใช่ว่าน....อีกอย่างที่ผมทำกับบี ที่ผมรู้สึกกับบีมันไม่เหมือนที่ทำกับว่าน รู้สึกกับว่าน....มันต่างกัน...ลึกๆผมอยากให้บีกลับมา แต่ความหวังมันริบหรี่มากมาย คืนนั้นผมเกือบนอนไม่หลับ เพราะครุ่นคิดที่ต้องขัดแย้งระหว่างเหตุผลกับความต้องการลึกๆที่ร่ำร้องอยู่ในใจถึงใครคนหนึ่ง....ที่คุณพ่อของเค้าเพิ่งจะมาให้ความหวังกับผมที่กำลังจะทำใจเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว.....ทั้งๆที่รู้ว่ามันแทบจะเป็นไปไมได้....แต่ก็ยังมีความหวัง ความรู้สึกแบบนี้มันอึดอัดจริงๆ
--------------------------------------------------
วันนี้วันเสาร์ว่างแฮะ....ทำอะไรดี....วาดรูปเหรอ อืมม....ไม่ดีกว่าอยากกินหมูกระทะอะ ว่าแล้วก็โทรตามเพื่อนดีกว่า
“ดีค๊าบบบ ต๊ะว่างไหมอะ หมูกระทะกันๆ”“อ่อ...เราไม่ว่างอะเอเย็นนี้มีธุระ”“ดีค๊าบบบ ยุ้ยว่างไหมอะ หมูกระทะกันๆ”“ขอโทษอะเอ พอดีเรายังทำงาน อ.วิเชียร์ยังไม่เสร็จเลย”“ดีค๊าบบบ นนท์ว่างไหมอะ หมูกระทะกันๆ”“เราไปงานบวชอะเอ คราวหน้าเน๊าะ”“ดีค๊าบบบ ม่อนว่างไหมอะ หมูกระทะกันๆ”“เราทานข้าวแล้วอะเอ วันพรุ่งนี้แทนได้ป่ะ” ผมยืนถือโทรศัพท์นิ่งอยู่ประมาณ 30 วิก่อนจะคิดว่าโทรหาใครต่อดี....ถ้าบียังอยู่ก็ดีซินะ จะได้ชวนไปกินหมูกระทะได้ แล้วตอนนั้นเองชื่อหนึ่งก็แว๊บเข้ามาในหัว
“ว่านไงล่ะ” ว่าแล้วผมก็โทรหาว่านทันที
“ตรู๊ดดดดด ตรู๊ดดดดด ครับ”“ว่าน ทานข้าวยัง”“ยังเลยครับพี่”“หมูกระทะกันม๊ะ”“อ่า...เดี๋ยวผมขอแม่ดูก่อนนะ รอแป๊บหนึ่ง”“.....” ผมรอเงียบๆด้วยใจระทึกหน่อยๆ คือถ้าครบ 5 คนแล้วชวดหมด ผมคงไปฟาดก๋วยเตี๋ยวเงียบๆคนเดียวแทนเลยล่ะ
“แกร๊กๆ” เสียงโทรศัพท์ของว่านเหมือนจะถูกหยิบขึ้นมา
“พี่เอ...กลับกี่ทุ่มครับ”“ไม่เกิน 2 ทุ่ม”“งั้นได้ครับ”“แล้วเจอกัน” วางสายเสร็จผมรีบตรงไปที่บ้านว่านอย่างไว พอไปถึงก็เจอคุณแม่น้องว่านกำลังให้อาหารน้องแมวอยู่ ผมเลยยกมือไหว้ แล้วว่านก็เดินออกมาจากบ้านว่านใส่เสื้อแขนยาวสีขาว แทบด้วยเสื้อแขนสั้นสีดำกางเกงยีนส์รองเท้าสีน้ำเงิน
“เอ ฝากดูน้องด้วยนะลูก” คุณแม่น้องว่านหันมาพุดกับผม
“อ่า..ได้ครับ เดี๋ยวจะมาส่งตอน 2 ทุ่มนะครับ” แล้วผมก็พาว่านไปทานหมูกระทะครับเป็นร้านที่เคยไปกับบีบ่อยๆพอถึงที่ร้านว่านก็เลือกมุมที่อยากนั่ง เป็นมุมริมสระน้ำไม่มีหลังคาปิดเห็นท้องฟ้ายามเย็นได้ชัดเจนเลยทีเดียว ตอนนั้นร่านเพิ่งจะเปิดคนในร้านโล่งสุดๆไม่มีคนเลย พักหนึ่งพนักงานก็เอาตะเกียบ จาน แล้วก็ช้อน มาให้พอผมจับตะเกียบเพื่อจะแกะพลาสติกออกว่านก็ทักว่า
“ไม่ทำแบบนี้อะพี่” พูดจบว่านก็เอามือกำตะเกียบแล้วทำท่าเหมือนที่บีเคยทำแล้วถูกเสี้ยนตะเกียบแทงมือ
“ฮะๆๆ ไม่เอาอะ เดี๋ยวเหมือนบี”“ฮะๆๆ” ว่านหัวเราะชอบใจ
วันนั้นจำได้ว่าไปนั่งคุยไร้สาระเฮฮาไปเรื่อย แล้วผมเข้าเรื่องที่ว่าทำไมว่านถึงได้มาเรียนเทควันโด ว่านเล่าแบบเคร่าๆว่า ว่านเรียนเทควันโดครั้งแรกตั้งแต่ ป.5 ตอนนั้น คุณโค้ชเค้าไปเปิดสอนที่โรงเรียนที่ว่านเรียน ว่านสนใจเลยมาเรียน โดยมีเพื่อนว่านอีก 4 – 5 คนเรียนด้วย แต่พอจบ ป.6 มาต่อ ม.1 ก็มีการแยกย้ายโรงเรียน แยกย้ายห้อง หลายคนได้ติดระดับห้องคิงเลยทำให้หลายคนต้องเลือกเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องกีฬา สุดท้ายเลยเหลือว่านมาเรียนคนเดียวจากเพื่อน 4 – 5 คนนั้น”[/b] แล้วคำถามที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ....
“ว่าน...มีแฟนยัง” ผมถามออกไป
ว่านหันมายิ้มๆเขินๆแล้วบอกว่า
“ยังครับ”“มีมองๆใครไว้บ้างม๊ะ”“......” ว่านไม่ตอบแต่ทำท่าเขินๆกลับมาแทน
จริงๆผมก็อยากรู้นะว่าว่าน Y ไหม แต่ไม่รู้จะถามยังไง เพราะที่ทำๆอยู่หลายอย่างผู้ชายเค้าไม่ทำกัน ถึงจะบอกว่าน้องเค้าอาจรู้สึกกับผมแบบพี่น้องก็เถอะ กระนั้นวันนั้นก็ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเรื่องแนวนี้สักเท่าไหร่แต่ก็ได้รู้จักว่านมากขึ้นหลายอย่าง เช่น ว่านชอบทานช๊อกโกแลต ไม่ชอบของเผ็ดมาก ชอบทานเมนูพริกไทยดำ แล้วที่สังเกตได้อีกอย่างคือถ้าว่านเปิดใจให้ใครแล้วว่านค่อนข้างจะฟังคำพูดของคนๆนั้นยิ่งถ้าเป็นคนที่ว่านศรัทธาด้วย ว่านจะเชื่อถือเค้าแบบสุดๆไปเลย ที่สำคัญ...ว่านเป็นคนที่....มีความเซนซิทีฟกับคนที่มีพฤติกรรม หรือ นิสัยที่เค้าไม่ชอบ ทั้งคำพูด พฤติกรรม หรือ การแสดงออก อย่างใดอย่างหนึ่ง ปฏิกิริยาของว่านคือ เงียบ ไม่คุยด้วย พูดง่ายๆว่า
“เมินใส่” นั่นล่ะ
วันนั้นหลังจากทานกันอิ่มแล้วผมก็นั่งคุยกับว่านต่อไปเรื่อยๆจนเกือบ 2 ทุ่ม ผมก็พาว่านไปส่งที่บ้าน สำหรับว่านผมว่าไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร แต่นิสัยแล้วก็ความคิดของน้องเป็นผู้ใหญ่พอดูเลยทีเดียว แต่ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าสงคมอยู่หน่อยๆเพราเท่าที่คุยกันว่านเพื่อนน้อย ถึงน้อยมากแล้วที่ว่านยังซ้อมเทควันโดอยู่ผมว่าลึกๆนอกจากความอยากเก่งของน้องแล้ว น่าจะมีโค้ชเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะโค้ชเวลาเค้าพูดอะไรมันจะดูน่าเชื่อถือมาก โน้มน้าวคนเก่งในระดับหนึ่ง แต่ในระดับร่วมงานจะทราบกันดีว่าเค้ามีดีแค่พูด สำหรับว่านก็ยังคงต้องดูๆกันต่อไปอีกสักระยะ
เรื่องของวันนี้มันน่าจะจบลงแค่นี่ใช่ไหมครับ ไม่อะ....คืนนั้นผมจำได้ประมาณ 4 ทุ่มกว่า ขณะที่ผมกำลังนั่งฟังเพลง แล้วก็นั่งพิมพ์งานส่งอาจารย์ไปด้วยอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นครับ เป็นว่านที่โทรเข้ามา
“ครับว่าไง”“พี่เอ....รบกวนหน่อยซิครับ คือคุณแม่เค้าต้องใช้โปรแกรมabcอะครับ”“ด่วนไหมอะครับ”“ด่วนมากครับ คุณแม่ต้องใช้พรุ่งนี้แล้ว” ว่านพูดด้วยน้ำเสียงลนๆ
“อืมมม....คือพี่ไม่มีอะครับ ถ้าจะใช้จริงๆเดี๋ยวพี่หาให้ แต่อาจดึกหน่อยนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ รอได้”“งั้นเสร็จแล้วโทรหานะ”“ครับๆ” ผมพักงานที่ผมทำอยู่แล้วเริ่มตามหาโปรแกรมให้ว่านทันที ไม่นานผมก็พบแล้วก็เริ่มโหลด ผมปิดโปรแกรมที่ใช้ internet หลายๆโปรแกรมลงเพื่อให้ IDM โหลดให้ได้เร็วที่สุด ภายใน 40 นาทีผมก็โหลดเสร็จ ก่อนจะนำใส่ในแฟลชไดร์แล้วก็ตรงดิ่งไปหาน้องที่บ้านทันที พอไปถึงผมก็โทรหาว่าน แล้วประตูบ้านว่านก็เปิดออก ว่านวิ่งออกมาหาผม
“อะ ได้แล้ว” ผมยื่นแฟลชไดร์ให้ว่าน
“ขอบคุณมากครับพี่” ว่านรับไปพร้อมยกมือไหว้ทีหนึ่ง
“อืมม แฟลชไดร์เอามาคืนพี่พรุ่งนี้ก็ได้” ผมยิ้มๆ
“ครับ” แล้วผมก็ขับรถกลับมาที่บ้านเพื่อมานั่งทำงานต่อ คืนนั้นจำได้ว่า ระหว่างช่วงที่ผม Offline โปรแกรม Chat ทั้งหมด เพื่อนที่จะเอาตัวอย่างรายงานมาให้ผมดูแล้วพบว่า ผมไม่ได้ Online เลยเค้าคิดว่าผมนอนไปแล้ว เค้าเลยไม่ได้ให้รายงานผมส่วนผมก็นั่งรอเค้า ก็ไม่เห็นเค้าจะ Online ส่งงานมาให้สักที จะโทรหาก็กลัวจะกวนเพราะดึกแล้ว สรุปกลายเป็นผมคิดไปเองว่าเพื่อนผมเค้าคงไม่ว่างมั้ง กลายเป็นว่างานล่าช้าไปอีก 1 วัน จริงๆผมว่าส่งเป็น E-Mail มาให้ก็ได้แต่เค้าก็ไม่ส่ง เฮ้อ....
To Be Con