สาลี่สีชมพู เนื้อนุ่มฟูดั่งสำลี
แทนรักจากขวัญพี่ จักประทับนับนิรันดร์
จากวันที่ละครของพี่อ๋องกับผมจบลงแล้วเราก็กลับมาดีกัน โดยแลกกับการที่ผมยอมเป็นจำเลยให้ไอ้ลิงยักษ์หัวแห้วกักขังทั้งร่างกายและจิตใจนี่ก็ผ่านไปสามเดือนแล้วครับ น้องตัวต่อถอดเฝือกไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และกิจการ ‘ร้านหนมหวาน’ ของเราก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง หลังจากที่เดือนแรกทั้งยอดลูกค้าทั้งกำไรพุ่งปรี๊ดอย่างไม่คาดคิด ทำให้คุณนายผ่องพรรณท่านยิ้มหน้าบานเป็นถาดสเตนเลสวางขนม แต่พอเดือนถัดมากำไรที่ว่ามากก็กลับลดลงเป็นเท่าตัว จนหน้าคุณนายท่านฟีบแฟบยิ่งกว่าสาลี่ลืมใส่ผงฟูเสียอีก
แหม.....ก็เดือนแรกร้านเราเป็นของใหม่นี่ครับ ของใหม่ๆ อะไรๆมันก็ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้อยากลิ้มลองไปซะหมด ก็เหมือนผมกับพี่อ๋องนั่นแหละ มันนะ พอได้ผมแล้วก็ทิ้งขว้าง เมื่อก่อนเคยโทรหาสามเวลา เช้า เที่ยง ก่อนนอน อย่างกับยาก่อนอาหาร บอกรักบอกคิดถึงน่ะหรือครับ ผมจดไว้เลยด้วยซ้ำว่าทุกวัน แล้วดูตอนนี้สิ กับอีแค่น้องตัวต่อเผลอใจอ่อนให้มันปู้ยี่ปู้ยำแค่ครั้งเดียวเอง ไอ้ที่เคยโทรหาวันละสามเวลาก็ลดลงเหลือแค่วันละรอบเดียว ยิ่งคำว่า
‘พี่คิดถึงน้อง’ เสียงอ่อนเสียงหวานไม่เข้ากับตาตี่ๆสักนิด นั่นยิ่งแล้วใหญ่ อาทิตย์หนึ่งถึงจะมีมาให้ได้ยินสักครั้ง
น้องตัวต่อนะ....โคตรๆๆๆๆน้อยใจเลยอะครับพี่น้อง แต่จะทำไงได้ในเมื่อเป็นผมเองที่ปวารณาตัวยอมให้เราเป็นของกันและกันอย่างเต็มใจ
ฮั่นแน่....นี่คิดว่าผมเสร็จมันไปตั้งแต่วันที่หอบสังขารขึ้นไปง้อมันด้วยขนมต้มล่ะเซ่ เอาจริงๆเลยนะ อย่าไปบอกแม่ผ่องนะครับ คือที่จริงก็เกือบไปแหละ ดีที่ไอ้พี่อ๋องมันตกใจตอนผมทำท่าจะเป็นฝ่ายจัดการกับมันน่ะสิครับ มันถึงชะงักการเคลื่อนไหวแล้วยอมหยุดให้เราได้ตกลงเรื่องหน้าที่บนเตียงกันก่อน ถึงน้องตัวต่อจะยังเป็นคนเจ็บมีเฝือกประดับอยู่ที่ท่อนขาบดบังเนื้อน่องเรียวงาม แต่ผมก็ลีลาดีนะคร้าบบบบ อย่างน้อยๆก็ทำให้ไอ้ลิงพี่อ๋องที่กำลังหน้ามืดทั้งอึ้งทั้งทึ่งได้ก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆ น้องตัวต่อภาคภูมิใจเป็นที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดเป็นผู้ชายอกสองศอกครึ่งเลยจริงๆ
วันนั้นเราคุยกันยาวเลยครับ แบบว่านั่งเผชิญหน้าคุยกันเป็นการเป็นงานสุดๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่อ๋องมันจะอายอะไรนักหนา คุยไปแทนที่จะมองหน้าผมมันกลับมองมาแล้วก็เมินไปมองโต๊ะมองตู้ทำเสียงกึกๆกักๆประหลาดๆในคอเรื่อยเลย พอตกลงกับมันได้ว่าเราสองคนจะรอจนกว่าผมจะถอดเฝือกแล้วค่อยมาพยายามกันใหม่นะ น้องตัวต่อถึงกับต้องรี่ไปส่องกระจกเลยครับ แบบว่าเสียความมั่นใจในหน้าตาถึงไม่หล่อแต่เร้าใจแบบสวรรค์ประทานไปอักโข
แต่ก็ดีแล้วครับ ที่ตกลงกันได้แบบนั้น เพราะเวลาเกือบสามเดือนผมก็ใช้ไปกับการทำงาน แถมยังฟิตหุ่นจนพุงย้อยๆหายไปได้ตั้งเยอะ ถึงจะไม่ล่ำเป็นไอ้กล้ามปูอย่างมัน แต่น้องตัวต่อก็ไม่ได้มี one pack นุ่มนิ่มน่าอับอายขายขี้หน้าเหมือนเดิมแล้วเน้อ
“พี่ๆ เอาอันนี้กับอันนั้นอย่างละชิ้น แล้วก็อันโน้นอีกชิ้น.....พวกมึงไปนั่งก่อนไป”
เป็นไงครับ ลูกค้าผม คุ้นเคยกันมาก มึงมาพาโวยแบบเบาๆครับ เด็กๆมันรู้ว่าถ้าเสียงดังเจ้าของร้านจะองค์ลงได้
“น้ำไร?”
“เอา....นมละกัน นมปั่นเย็นเจี๊ยบๆนะพี่ พวกมึงอ้ะ?”
บลาๆๆๆ แหม.....ป้ายชื่อขนมผมก็ให้ไอ้พี่อ๋องมันทำหลังเปิดร้านแค่วันเดียวติดอยู่ทนโท่ เด็กพวกนี้นี่ อะไรๆก็เรียกเป็นอันไปซะหมด เดี๋ยวปั๊ดเปิดสอนภาษาไทยว่าด้วยการใช้คำนาม ลักษณะนาม และสรรพนาม แล้วเรียกเก็บเงินเพิ่มจากค่าขนมกับเครื่องดื่มเสียเลย
ยิ่งเป็นสาลี่นะครับ ไม่ว่าจะสีไหนก็เรียกว่าสาลี่ทั้งนั้นแหละ ยกเว้นก็แค่สาลี่กรอบที่ต่างออกไป ร้านหนมหวานของเราจะทำขนมหลักที่ต้องมีทุกวันห้าอย่างครับ คือ สาลี่ ขนมชั้น ขนมเปียกปูน วุ้น แล้วก็ข้าวเหนียวมูน กินกับหน้าต่างๆ นอกนั้นเราจะทำสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็กำหนดไว้ตายตัวว่าวันจันทร์ทำอะไร วันอังคารทำอะไร
แต่พอผ่านเดือนแรกไปก็เริ่มให้ลูกค้าเขียนบอกเอาไว้ได้ว่าอยากกินขนมอะไรกันบ้าง ถ้าสะดวกที่จะทำเราก็จะทำตามที่ลูกค้ารีเควสต์ นอกจากนี้ก็จะมีพวกขนมที่ทำแล้วใส่โหลเก็บไว้ได้หลายวัน พวกนั้นเราจะลงมือทำกันไม่เย็นวันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เพราะร้านหนมหวานหยุดวันอาทิตย์วันเดียว ทำแค่ไหนก็ขายแค่นั้น ถ้าภายในสัปดาห์ของหมดคนมาซื้อ เราก็บอกให้รอสัปดาห์หน้า ยกเว้นแต่จะมาสั่งทำเป็นกรณีพิเศษอย่างบ้านไหนมีงานบุญ งานบวช งานแต่ง ก็จะรับทำขายเป็นถาดเป็นกิโลเป็นรายๆไป
ตอนนี้ชั้นหนังสือที่ดูโล่งเมื่อแรกก็เริ่มจะเต็มขึ้นแล้วล่ะครับ เพราะนอกจากหนังสือของบ้านเรา ตอนนี้นิตยสารเก่าเก็บรวมไปถึงพวกการ์ตูนชุดของไอ้พี่อ๋องก็มายึดพื้นที่ส่วนหนึ่งของตู้เรียบร้อยแล้ว แถมด้วยพี่ผึ้งกลับมาทีไรก็มักจะมีหนังสือพวกคู่มือทำขนมทำอาหารภาพประกอบสวยๆติดมือมาด้วยทุกครั้ง ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ว่ามีลูกค้าทั้งที่ยังเป็นเด็กนักเรียนและคนวัยทำงานอย่างอาจารย์ที่โรงเรียนนั่นแหละสนใจเช่าหนังสือพวกนี้กลับไปบ้านด้วย
ที่มีปัญหาก็พวกหนังสือการ์ตูนไอ้พี่อ๋องนี่แหละ เพราะผมต้องเอามานั่งห่อปกให้มันทุกเล่มเกือบร้อยเล่มแน่ะครับ แถมยังต้องนั่งอ่านเองก่อนตาแฉะ คัดพวกที่มีฉากต่อสู้เลือดสาดรุนแรงออก ให้มันเก็บไว้ในตู้ที่ห้องหลังร้านต่อไป.....ไม่ได้ครับ น้องตัวต่อไม่ยอมให้เด็กๆมาเสี่ยงกับการรับสื่อเกินวัยจากร้านหนมหวานหรอก ถึงจะรู้ว่าไม่ได้อ่านที่นี่เด็กๆก็ไปหาอ่านที่อื่นได้อยู่ดี แต่ผมก็ไม่อยากให้ตัวเองเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอยู่ดีแหละ
ร้านเราก็อยู่ได้นะครับ กำไรไม่มากมาย แต่พอดูจากจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านก็ถือว่ามั่นคงเชียวล่ะครับ
อีกคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเปิดร้านหนมหวานคือพี่ผึ้งครับ นางผาณิตเธอมีความสุขกับการมาช่วยทำขนมแถมยังมาเป็นพนักงานขายนอกเวลาเป็นอย่างยิ่ง พอร้านเปิดแล้วถ้าไม่ติดไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศกับพี่โชค พี่ผึ้งจะกลับบ้านแทบทุกสุดสัปดาห์ มาทีก็ลากยาวค้างตั้งแต่คืนวันศุกร์แล้วกลับเข้ากรุงเทพฯอีกทีก็เย็นย่ำวันอาทิตย์เลย
ไม่รู้ว่าเพราะความที่พี่ผึ้งอารมณ์ดีและสนุกกับการได้มาช่วยทำขนมซึ่งเป็นสิ่งที่พี่สาวของผมรักจนเลือกเรียนระดับอุดมศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะรึเปล่า ที่มีส่วนทำให้แค่เปิดร้านได้เดือนเศษบ้านเราก็ได้รับข่าวดีว่าพี่หนูผึ้งของผมกำลังมีเจ้าตัวน้อยเข้ามาอาศัยอยู่ในท้อง
พี่โชคจากที่ทะนุถนอมพี่สาวผมอย่างกับไข่ในหิน ก็ยิ่งเพิ่มระดับความเวอร์เข้าไปใหญ่ จะทำอะไรไปทางไหนก็ต้องจับต้องจูง ชิชะ....ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าพี่ผึ้งที่จริงแล้วแสบขนาดไหน พี่สาวผมเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดเล่นตามบทละครดัดหลังน้องตัวต่อของไอ้พี่อ๋องมันนะครับอย่าได้ลืม
สองสาวผู้เป็นใหญ่ในบ้านไม่ทราบหรอกครับ ว่าน้องตัวต่อรู้หมดแล้วว่าทั้งหมดมันเป็นแผน ก็ผมรักทั้งแม่ พี่ผึ้ง แล้วก็พี่อ๋องมากนี่ครับ เพราะงั้น...ก็ปล่อยให้ทั้งสามคนมีความสุขว่าแผนการทั้งหมดสำเร็จลุล่วงสมใจต่อไปเถิด อีกอย่างได้แอบๆหัวเราะเพราะเป็นผมต่างหากที่ชนะทุกคนใสๆมันเยี่ยมยอดไปเลยว่ามั้ยล่ะครับ? เสียงรถไอ้ลิงยักษ์กลับมาแล้วครับ นี่ผมบอกไปแล้วรึยังครับ ว่าตอนนี้พี่อ๋องมันย้ายตัวเองพร้อมข้าวของมาอยู่บ้านเราแล้ว
ก็ตั้งแต่เราตกลงกันได้นั่นแหละครับ วันนั้นเพราะไอ้พี่อ๋องมันไม่ดูตาม้าตาเรือ จู่โจมผมโดยไม่ยอมปิดประตูห้อง ไอ้ผมก็ดันเพลิน...เอ๊ย เผลอตัวเคลิ้มไปกับมัน ไม่ได้รู้ตัวกันทั้งคู่ว่าตอนกำลังพันพัวนัวเนียมีสักขีพยานสามคนหกตามาเห็นเข้าน่ะสิครับ อาป๊า หม่าม้า แล้วก็น้องเล็กของไอ้พี่อ๋องที่บุพการีทั้งสองไปรับกลับบ้านมา
เพราะโรงเรียนที่กรุงเทพฯปิดเทอมพอดี มาถึงก็กะจะขึ้นมาหาพี่ชาย แล้วเป็นไงล่ะ....เลยรู้เลยว่าได้พี่สะใภ้บวกพี่เขยแบบสองคุณค่าในหนึ่งเดียวเรียบร้อยแล้ว
พอเราสองคนลงมาข้างล่างหลังตกลงกันได้ ทั้งสามคนก็เข้าใจไปเรียบร้อยแล้วว่าเราสองคน....แบบว่า นั่นแหละ ผมจะบอกไงดีล่ะ แบบว่าจิ้มๆกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็แล้วกันครับ แว้ก! อายนะเนี่ย นั่นแหละครับ ปะป๊าเลยยื่นคำขาดให้ตกลงให้แน่นอนว่าจะแต่งเข้าหรือจะแต่งออก ฮี่ๆๆๆ
พอวันรุ่งขึ้นเราเปิดร้านตอนเช้า สายหน่อยทั้งปะป๊า หม่าม้า แถมด้วยน้องเล็กก็มาเป็นลูกค้ารายใหญ่ แถมยังนั่งคุยกับคุณนายผ่องพรรณท่านอยู่เป็นนาน ยังดีนะครับที่ช่วงนั้นคนเข้าร้านไม่เยอะ ไม่งั้นน้องตัวต่อโวยแน่ๆ อะไรกัน ไอ้พี่อ๋องมันก็ต้องเข้าออฟฟิศ แม่ผ่องก็ไปนั่งรับแขกสวยงาม ทิ้งให้ผมนั่งทำงานงกๆอยู่คนเดียว
วันรุ่งขึ้นพอปิดร้านตอนเย็นปุ๊บก็มีคนงานจากร้านเหล็กมาบ้านเรา วัดๆเทียบๆอะไรไม่รู้พี่อ๋องมันเลิกงานกลับมาก็เข้าไปคุยกันสักพัก หลังจากนั้นแค่ไม่ถึงเดือนน้องตัวต่อก็ได้ย้ายที่นอนจากห้องครัวเก่าใต้ถุนเรือนใหญ่มาอยู่ในห้องเล็กที่ต่อเติมจากร้านของเราโดยมีไอ้ลิงหัวแห้วนี่หอบผ้าหอบผ่อนเสนอตัวเองเข้ามาอยู่ด้วยกันง่ายๆ
อ๊ะ....คุณภูชิตท่านหอบข้าวของอะไรมาเยอะแยะไม่รู้ครับ เดี๋ยวต้องไปทำหน้าที่พ่อบ้านที่ดีก่อน ไม่ได้หรอกครับต้องเอาใจมันเสียหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากเราสองคนร่วมแรงแข็งขันกระทำเรื่องบนเตียงกันไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วไอ้พี่อ๋องมันก็เป็นอะไรไม่รู้ ไม่ค่อยเข้ามาหาเรื่องนัวเนียผมเหมือนเคยเลย “น้อง....พี่บอกว่าไม่ต้องเดินออกมารับไง เดี๋ยวพี่ก็เข้าไปหาอยู่แล้ว”
“ก็เห็นว่าหอบของเยอะแยะ นี่น้องเป็นคนมีน้ำใจหรอกนะ ไม่ได้คิดถึงหรือเป็นห่วงอะไรหรอก”
“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”“ขำไร ไม่ต้องขำ เออ ไม่อยากให้ช่วยจะได้จำไว้ วันหน้าหรือวันไหนก็อย่าหวังเลยนะ” “น้องจ๋า ไอ้บท ‘น้องงอน’ เนี่ยนะ พี่ดูทีไรก็ขำทุกที ทำไมน้องต้องเบี่ยงหน้า 45 องศา แบบนี้ทุกครั้งเลยล่ะ พี่ว่าถ้าลองเปลี่ยนองศาดู เพิ่มหรือลดสักหน่อยพี่อาจจะอินตามแล้วเลิกขำก็ได้นะ” หืม....ไอ้พี่อ๋องมันว่าไงนะครับ? น้องตัวต่อยังไม่ได้เล่นบทงอนสักหน่อย
เฮ้ย! ตายๆๆ ผู้ชายเขาไม่งอนกันไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าไม่ได้งอนตามบท นี่ไม่แปลว่าเพราะถูกจิ้มๆไปแค่ครั้งเดียวมันทำให้ผมกลายพันธุ์ไปแล้วหรือครับ?!
พอกลับเข้ามาในร้านกวาดตามอง ผมก็เห็นว่ายังมีลูกค้าอีกสองโต๊ะนั่งอยู่ พี่อ๋องมันเดินเลยเข้าไปเก็บของในห้องของเราด้านหลัง....ฮิๆๆ ห้องของเรา เป็นคำที่เพราะมากๆเลยเนอะครับ วันนี้น้องตัวต่อวางแผนจะทำบางอย่างครับ ผมตั้งใจทำขนมง้อมันอีกแล้ว ถึงจะยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปก็เถอะ แต่ไอ้อาการระมัดระวังสงวนท่าทีไม่ค่อยเข้ามาใกล้แบบปกตินี่ผมไม่ชอบเลยจริงๆนะครับ แล้วก็คิดว่าปล่อยไว้นานไปคงไม่ดีแน่
ระหว่างที่พี่อ๋องมันเข้าไปจัดการตัวเองในห้องของเรา.....ก๊ากกกก ก็ผมมีความสุขเวลาได้คิดถึงคำนี้นี่นา ผมก็เตรียมส่วนผสมขนมที่เราขายทุกวันแต่พี่อ๋องมันไม่เคยได้มีโอกาสกินของที่เป็นฝีมือผมเลยสักครั้ง ตีส่วนผสมทั้งแป้ง ไข่เป็ด น้ำตาล ผงฟู ทั้งหมดเข้าด้วยกันจนกล้ามแขนขึ้นเป็นลูก บีบน้ำมะนาวลงไปนิดก็พอดีกับไอ้
คนที่หลายวันมานี้เป็นอะไรก็ไม่รู้มันเดินพากลิ่นสะอาดสดชื่นออกมาพร้อมกับเสื้อยืดตราห่านกับกางเกงแพร....สมกับเป็นลูกปะป๊าจริงๆ
“ทำไมมาทำขนมตอนนี้ล่ะครับ? พี่ช่วยมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอก อันนี้น้องจะทำให้พี่อ๋อง.....พิเศษนะ ของพี่อ๋องคนเดียว” ก๊ากกกกกกก ดูมันสิครับ ทำไมต้องทำหน้าเหยแบบนั้นด้วยล่ะ หรือมันกลัวผมจะใส่ส่วนผสมพิเศษประเภทน้ำมันพรายให้มันรักมันหลง ดูมันๆ ไม่ใช่แค่สีหน้านะครับ แม้แต่เท้าที่ก้าวเข้ามาหาเมื่อกี้ยังชะงักกลางอากาศแล้วก้าวถอยหลังซะอย่างนั้น
ไอ้พี่อ๋องเดินไปหยิบหนังสืออะไรสักเล่มออกมาจากชั้นวาง ซึ่งผมแน่ใจว่านั่นเป็นชั้นที่มีแต่สมบัติเก่าแก่ของผม ผมก็ไม่สนมันหรอกครับจะอ่านอะไรก็อ่านไปโลด จุดไฟตั้งน้ำวางซึ้งเรียบร้อยก็รอจนกว่าน้ำจะเดือด เอาเนื้อสตรอเบอรี่แช่เย็นปั่นละเอียดจากสตรอเบอรี่สดที่พี่ผึ้งเพิ่งหอบหิ้วมาฝากจากญี่ปุ่นเมื่อวาน ใส่ลงไปในส่วนผสมทั้งเนื้อทั้งน้ำ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาตีส่วนผสมที่เริ่มขึ้นฟูต่อไป หยดน้ำหวานกลิ่นสตรอเบอรี่ลงไปแค่นิดหน่อยติดปลายช้อนช่วยให้สีชมพูสดขึ้นอีกนิดเพราะผมทำขนมแค่ชิ้นเล็กๆ จนส่วนผสมได้ที่ก็พอดีกับน้ำเดือด เมื่อเปิดฝาซึ้งดูพบว่าไอน้ำระเหยขึ้นมาจนอากาศชื้นและอุ่นไปหมด
ผมเทขนมที่ตอนนี้มีลักษณะเป็นของเหลวข้นๆสีชมพูอ่อนมีเนื้อสตรอเบอรี่แทรกอยู่ทั่วลงในพิมพ์ทนความร้อนรูปลิงอ้วน จากนั้นก็ปิดฝาซึ้ง จับเวลาเรียบร้อยก็ย่องเข้าไปด้านหลังไอ้ลิงที่เดี๋ยวนี้พัฒนาไม่มีเคราจิ๋มมานานแล้วเพราะน้องตัวต่อไม่ชอบ แหม.....ก็ถึงจะบอกว่าไม่อยากรู้ว่ามันอ่านอะไรก็จริง แต่เรื่องที่คนรักของเราให้ความสนใจจนแทบจะก้มหน้าจมหายลงไปในหนังสือนั่นมันก็น่าสนใจมิใช่น้อยไม่ใช่หรือครับ
‘เรือนร่างอวบอัดสมวัยกำดัดของโรซาลินด์มีเพียงอาภรณ์สีขาวที่เปียกลู่ด้วยฝนที่เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาห่อหุ้ม ผ้าฝ้ายบางเบานั้นไม่สามารถจะปกปิดความงามของปลายถันสีชมพูเข้มที่ชูชันและความอวบสล้างของเนินเนื้อจากสายตาของเอิร์ลหนุ่มแห่งยอร์กไชร์ได้ ยิ่งเจ้าหล่อนสะท้านสั่นด้วยความหนาวราวกับลูกนกน้อยที่ต้องการไออุ่นเช่นนี้ เพลิงอารมณ์ของบุรุษผู้ตกพุ่มม่ายมาได้ขวบปีอย่างเดเร็คยิ่งโหมกระพือยิ่งกว่าพายุที่กำลังคลั่งภายนอกเวิ้งถ้ำ........’ โอ้ มาย พระพุทธเจ้า!!! นี่หรือครับ หนังสือที่ทำให้คนรักของผมสนใจได้ขนาดนี้ หรือเพราะนิยายประโลมโลกของสะสมของผมกัน ที่ทำให้ไอ้พี่อ๋องหมดความต้องการจะพันพัวนัวเนียกับผม? นิยายของผมเองทำให้พี่อ๋องมันเบี่ยงเบนไปแล้ว มันเลิกสนหน้าอกแบนๆไปสนหน้าอกดูมๆแล้วใช่มั้ยครับ?
ไม่นะ! น้องตัวต่อไม่ยอมมมมมมมมมมมมม“พี่อ๋อง!” “ฮะ! จ๋า.......” โห ชัดเลยอะครับ ไอ้ท่าสะดุ้งขึ้นทั้งตัวแล้วลุกขึ้นยืนตรงแหนวเคารพธงชาติจนแทบทำเก้าอี้ล้มนี่มันมีพิรุธชัดๆอ้ะ น้องตัวต่อจะทำยังไงดีครับ จะจัดการกับไอ้ลิงเจ้าชู้นี่ยังไงดี?
“พี่ จะเช่าหนังสือด้วย”
“เดี๋ยวนะพี่อ๋อง อยู่ตรงนี้อย่าหนีเชียว” ผมปล่อยไอ้พี่อ๋องนั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเป็นลิงขาดกล้วยอยู่ที่เดิม แล้วเดินไปเก็บค่าเช่าหนังสือตามเสียงเรียกของลูกค้า เรียบร้อยแล้วก็ปล่อยจานใส่ขนมและแก้วสองสามใบทิ้งไว้บนโต๊ะอย่างนั้น แล้วย่างสามขุมเข้าไปเผชิญหน้ากับไอ้คนเปลี่ยนใจง่ายเพียงชั่ววันด้วยความเจ็บช้ำที่เริ่มกัดกินเนื้อหัวใจ....
อย่านะ ‘พิศวาสทาสทระนง’ กำลังจะจบแบบสุขนาฏกรรมเอาใจตลาดอยู่แท้ๆ อย่าให้ผมหมดกำลังใจจนนิยายเรื่องแรกในชีวิตต้องเปลี่ยนเป็นโศกนาฏกรรมแห่งการหมดรักเลย นี่พอเราเลิกเล่นละครฉากใหญ่ใส่กันผมก็อุตส่าห์เปลี่ยนบทให้คุณภูชิตในเรื่องเป็นนายหัวเจ้าของเหมืองแร่ แล้วให้คุณหนูนิดที่ตอนแรกต้องเป็นนายหญิงผู้สูงศักดิ์กลายเป็นจำเลยหัวใจผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีแทนแล้วแท้ๆ น้องตัวต่อยอมให้พี่อ๋องขนาดนี้แล้ว พี่อ๋องยังจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นอีกน้องตัวต่อคงหัวใจสลายแน่ๆ
เอ่อ....อย่าเพิ่งอินไปกับบทละครที่ผมเพิ่งด้นสดเมื่อกี้นะครับ คือมันปิ๊งขึ้นมาพอเห็นหนังสือในมือพี่อ๋องมันเท่านั้นแหละ อันที่จริงแล้วน้องตัวต่อรู้หรอกว่ามันน่ะทั้งรักทั้งหลงผมจะตาย ไอ้ที่ผมบอกว่ามันโทรหาน้อยลงก็เพราะว่ามันย้ายมาอยู่กับผมแล้ว ไม่บอกว่าคิดถึงเหมือนเก่า ก็เพราะเรานอนบนหมอนใบเดียวกันทุกวัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ไอ้เรื่องที่ว่ามันไม่ยอมมาขอกุ๊กๆกิ๊กๆกับผมนี่มันเรื่องจริงนะครับ แล้วสำหรับผมน่ะ นี่มันคือปัญหาครอบครัวที่อาจจะส่งผลต่อสังคมได้ในอนาคตเลยด้วย
เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการอ่านนิยายประโลมโลกของไอ้พี่อ๋องมาเป็นข้ออ้างในการบิลต์ตัวเองให้เข้าถึงบทบาทของคนพ่ายรักไงล่ะครับ
“พี่อ๋องจะเปลี่ยนใจไปชอบแบบเนื้อ นม แล้วก็ไม่มีไข่แล้วใช่มั้ย?”
“หา!!?”“มานี่เดี๋ยวนี้นะ.........พี่อ๋องรู้มั้ยว่าเพราะพี่ไม่ยอมมาพันพัวนัวเนียด้วยอะ น้องกลุ้มใจจนต้องเอาไปปรึกษาแม่เลยนะ”