เย้ มาลงฉลองวันเกิดตัวเอง
และก็
จะบอกว่า
ใกล้
ถึง
จุด
คลายแม็กซ์ ซะที ขอบคุณทุกท่านคับบบ
G E T L O S T 11 – Disney Land Hong Kong
“สวยจริง ๆ ด้วยว่ะ” ผมว่าขณะกำลังกวาดตามองทางเข้าที่ยาวเป็นร้อยเมตรของที่แห่งนี้ มันประดับประดาไปด้วยดอกไม้กับต้นไม้อย่างสวยงาม สถาปัตยกรรมชั้นยอด ก็เหมือนในการ์ตูนเลยจริง ๆ นั่นแหละ
“ธรรมดา คนฮ่องกงมาที่นี่ครั้งเดียวก็เบื่อแล้ว” ไอ้ตี๋ยักไหล่แบบไม่ยี่หระแล้วดึงมือผมให้เดินตามมันไปอย่างแผ่วเบา มันคงรู้ว่าผมเจ็บมั้งเลยเริ่มใช้แรงน้อยลง
“ขอบอกไว้ก่อนนะที่ซื้อนี่ต้องจ่ายกูคืนด้วยนะ!” มันยกของที่มันถือให้ผมขึ้นมาให้ดู ผมยักไหล่ไม่สนใจมันแล้วเดินต่อไปพลางมองไป ไอของพวกนี้น่ะหรอครับ ก็หลังจากลงมาจากไหว้พระแล้วก็เจอร้านคนไทย ก็เลยไปอุดหนุนแว่นกันแดดกับหมวกมา แล้วเดิน ๆ อีกก็เจอพวงกุญแจอีก สวยดีก็เลยซื้อมา แต่ก็อย่างที่รู้ ผมไม่มีเงิน เลยให้มันออกไปก่อนเท่านั้นเอง นี่มันทวงตั้งกะขึ้นกระเช้ากลับยันมาดิสนี่แลนด์เลยนะเนี่ย = =
“เอ้า บัตร” มันส่งบัตรทางเข้ามาให้ผมเป็นลายสติช น่ารักดี แต่กระดาษมันค่อนข้างอ่อนอยู่นะเนี่ย ก่อนมันจะเดินนำผมไปตรงทางเข้าที่ต้องสอดบัตรเหมือน BTS บ้านเรา
พอเราผ่านทางเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือพุ่มดอกไม้ที่ปลูกไว้เป็นรูปมิกกี้เม้าส์! ทำไมมันน่ารักอย่างนี้เนี่ย ผมล่ะอยากถ่ายรูปใจจะขาดแต่ไอ้ตี๋มันบอกว่าไม่มีกล้อง ไม่ได้เอามา สาด! แล้วมาเที่ยวทำไมไม่พกกล้องฟระ! หลังจากที่ผมมองดูซุ้มดอกไม้ตรงหน้าอยู่พักใหญ่มันก็จูงมือผมไปที่ชานชาลารถไฟมิกกี้ ! นอกจากคนจะเยอะแล้ว คนขับยังสวยด้วย
“นั่งรถไฟไปไหนอ่ะ ?” ผมถามมันเมื่อเห็นว่ามันใกล้ถึงคิวของเราเต็มที่แล้ว นี่กูยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนเนี่ย
“….” มันเงียบครับ เห้อ… กลุ้มใจ เดินทางกับมันมีแต่ความกวนประสาท แล้วแต่อารมณ์มันน่ะครับว่าถ้ามันอารมณ์ดีมันก็คุยด้วย ถ้าไม่ดีก็ไม่คุยไม่งั้นก็กวนตีนผม ไรฟระ
ตอนนี้รถไฟได้มาจอดที่ชานชาลาแล้วครับ เป็นรถไฟเหมือนในการ์ตูนเลย แต่ที่นั่งให้หันมาแค่ฝั่งเดียว พวกผมเลือกเข้าไปตรงโบกี้ที่ใกล้ที่สุดเพราะคนมันแย่งกันเข้าเกือบตาย นี่ขนาดมีพนักงานคอยจำกัดจำนวนคนนะเนี่ย
รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาอย่างเชื่องช้า และแล้วคุณโอเปอเรเตอร์ก็ประกาศบอกถึงสถานที่ที่เราผ่านไป ก็มีป่าวิเศษไรเงี้ยเป็นภาษาอังกฤษ จีนกลาง จันกวางตุ้งตามลำดับ อยากบอกว่าปวดหัวมากตอนฟังทั้งสองจีน ฟังไม่รู้เรื่องเฟ้ย! พอรถไฟมาหยุดที่ชานชาลาอีกแห่งหนึ่งไอ้ตี๋มันก็บอกให้ผมลง ผมก็ตามมันลงไป ก็เป็นสถานีที่มีเครื่องเล่นเยอะอยู่ แต่ถ้าให้กวาดตามองแล้วล่ะก็ มีแต่เครื่องเล่นที่รุนแรงทั้งนั้นเลย! ม้าหมุนขนาดยักษ์ ล่องเรือไปตามสายน้ำ ของเล่นที่หมุน ๆ แล้วเวลากดปุ่มมันจะยกขึ้นไปประมาณยี่สิบเมตร แลดูน่าเล่นน่ากลัวทั้งนั้น = =
“อะไรที่มันน่ากลัวสุด ?” ผมถามมันหลังจากที่เดินดูแถวนั้นจนทั่ว ใช้เวลาแค่สี่สิบนาทีนี่กูเดินทั่วดิสนี่แลนด์ฮ่องกง!!! พระเจ้า ช่างใหญ่อะไรอย่างงี้
“รถไฟเหาะมั้ง”
“รถไฟเหาะ!!” ในที่สุด กูก็เจอของเล่นที่กู(พอจะ)เล่นได้สักที
“พาไปหน่อยดิ ๆๆ” ผมดึงมือมัน เมื่อกี้จริง ๆ คงผ่านมาแล้วล่ะแต่มองไม่เห็นเพราะบางอันมันไม่ใช่เครื่องเล่นในที่เปิดโล่ง
“เออ ๆ” มันทำหน้าหงุดหงิดใส่ผม เออให้มันได้อย่างงี้ แต่ก็ยังดีวะที่มันเดินจูงผมไปถึงที่จนได้
“คน เยอะ ชิบ หายเลยว่ะ!” ผมบ่นงุบงิบ ให้ตายเหอะคนหรือหนอน มันเป็นแถวต่อแบบธนาคารไทยพาณิชย์อ่ะครับ แต่มีตั้งเจ็ดแถว = = สาด…
“งั้นใช้ Fast Pass แล้วกัน”
“Fast Pass ?”
“เออ มันเป็นโปรแกรมของที่นี่ แค่ใส่บัตรไปที่เครื่องมันก็จะปริ้นใบออกมาให้ว่ามาอีกทีกี่โมง เราก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ แล้วก็เข้าได้เลย ไม่ต้องรอ” อ๋อ… ดีจังเลยเว๊ย ที่ดรีมเวิร์ลบ้านเราน่าเอามาทำมั่งนะเนี่ย ว่าแล้วไอ้ตี๋ก็พาผมไปกดเครื่องที่มันบอก เวลาที่เราได้คือบ่ายสามโมง อืม ไม่นานหรอกครับ แค่สองชั่วโมงเอง!
“แล้วระหว่างนี้จะไปทำอะไรอ่ะ ?”
“แล้วมึงอยากทำอะไรล่ะ?”
“อืม…. อยากกินข้าวแล้ว หิวแล้ว”
“เออ มีโรงอาหารอยู่ แต่มึงต้องกินให้หมดนะ” แล้วเราก็เดินไปที่โรงอาหารซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมมันบอกว่าต้องกินให้หมด อาหารจานนึงคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 กว่าบาทครับ แต่! จานใหญ่มากก ใหญ่มากจริง ๆ ทำเอาผมถึงกับอึ้ง มันเป็นจานหลักจริง ๆ ด้วย แต่ผมไม่สนหรอก ทำตกใจไปงั้นจริง ๆ ก็กินหมดอยู่แล้วล่ะ
“เครื่องบินพรุ่งนี้ออกตอนกี่โมงนะ ?” ผมเริ่มถามมันหลังจากที่เรารับจานข้าวมานั่งที่โต๊ะแล้ว มันเงยหน้าขึ้นจากจานที่มันกำลังจะกินเล็กน้อย มองผมด้วยสายตาแปลก ๆ
“แปดโมงเช้า เวลาที่นี่ ถ้าที่ไทยก็เจ็ดโมงเช้า ไปถึงประมาณสิบโมง ที่ไทยก็เก้าโมง โทรไปบอกให้คนมาเตรียมรับไปด้วยล่ะ” มันก้มหน้าก้มตาลงกินต่อ
นี่คงเป็นการกินข้าวกับมันที่เงียบที่สุดนับตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอมันมา เราต่างคนต่างกินไป ผมคิดว่าเราต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ สำหรับมัน ผมก็คงเป็นแค่คนหลงทางธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่บังเอิญไปเจอเข้า หรือจะเรียกว่าเป็นลุกหมาหลงทางมันก็ไม่ผิดนักหรอก พอลูกหมาเจอฝูงหรือหนทางกลับบ้านแล้วก็จะได้พ้นจากความดูแลของคนที่เก็บมาเสียที แต่สำหรับผม ถ้าเปรียบผมเป็นลูกหมา ผมคงเป็นลุกหมาหลงทางที่โชคดีมาก อย่างน้อยก็มีคนที่ปากเสียอย่างมันเก็บไปดู มันน่ะปากหมาแต่จิตใจดีนะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจผมมาตลอดนั่นก็คือ มันจูบผมวันนั้นทำไม ถ้าถามว่าผมรังเกียจมันมั้ย ? ตามความจริง ควรจะรังเกียจ ก็ผู้ชายด้วยกันจะมาจูบกันแบบนี้มันถูกที่ไหนล่ะ ? แต่ผมกลับไม่ปฏิเสธมันตั้งแต่เริ่มต้น ก็อย่างที่บอก ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไม ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้
ผมไม่กล้าเชื่อใจตัวเองได้ว่า วันนั้นที่มันถามผมว่าอยากเที่ยวต่อไหม แล้วมันจะบอกเหตุผลของมันกับผม ผมตัดสินใจมาเพราะเหตุผลนี้รึเปล่า ผมไม่แน่ใจจริง ๆ ผมรู้แค่ว่าเวลาอยุ่กับมันแล้วก็ดีเหมือนกัน มันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากสองวันแรกที่ผมได้เจอมันและครอบครัวของมัน จะนับว่าทริปนี้เป็นทริปฮ่องกงที่ดีที่สุดทริปหนึ่งก็ว่าได้ แต่จะว่าไม่ดีก็ได้เพราะผมดันไม่ได้เที่ยวกับเพื่อน แต่คิดในแง่ดีดีกว่าอย่างน้อยผมก็รู้จักคนดีในโลกนี้เพิ่มนี่นา
“เอาอะไรอีกมั้ย ?” เฟยหลงถามผมเมื่อมันเห็นผมกินเสร็จ ผมส่ายหัวเป็นคำตอบให้มันไป
“บ่ายสองโมงสิบนาทีเอง เห้อ อยากเล่นแล้วอ่ะ”
“อีกแค่ชั่วโมงเดียวเอง หรือจะกลับกันก่อน ?”
“กลับตอนนี้แล้วไปไหนฟระ = =” มันส่ายหัวยิ้ม ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นจากหน้ามันเท่าไหร่ ให้กับผมเบา ๆ ถึงจะแค่แวบเดียว แต่มันยิ้มจริง ๆ นะ
“ทำไม ถึง….จูบกู” ผมได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปแบบนั้น ผมแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ตอนนี้ตาผมมองลอดแว่นไปสบกับตาตี่ ๆ ของมัน
“เพราะว่า…..”
“เพราะว่า ?” ผมทวนคำถามซ้ำ มันหลบตาลงเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“มันยังไม่ถึงเวลานะ” มันว่าแล้วเอามือตบเข้าที่แก้มผมเบา ๆ
“อืม” ผมตอบมันแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้เหยียดตัวไปตามความยาวพนักพิง ตามความจริงกูซึ่งเป็นผู้เสียหายต้องมีสิทธิ์ที่จะรู้สิวะ
“แล้วคิดจะบอกเมื่อไหร่ ?”
“ที่สุดท้าย” ผมลอบถอนหายใจแผ่วเบา ตอนนี้ในใจผมมันเต้นตูมตามไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่มีความรู้สึกว่ามันตื่นเต้นที่จะได้ยินคำตอบ
“ไปเดินดูของฝากได้เปล่า เผื่อจะซื้อกลับไปฝากใครมั่ง”
“ได้สิ” มันว่าก่อนจะลึกขึ้นพร้อมกับผมแล้วส่งมือของมันมาจับเข้าที่มือของผมเช่นเคย น่าแปลกที่ผมไม่มีความคิดที่จะสะบัดมันออกไปเลยแม้แต่น้อย
เราเดินไปถึงร้านที่เป็นร้านเฉพาะเพื่อขายของที่ทำมาจากดิสนี่ มันตกแต่งอย่างสวยงาม มีไฟสีส้มอ่อนดูโรแมนติกดี คนคลาคล่ำเต็มร้านไปหมด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งซะมากกว่า ผมเดินไปเลือกไป แต่ที่ได้มาก็แค่พวกพวงกุญแจสวย ๆ ประมาณสิบพวงมั้ง แน่นอน เฟยหลงจ่าย ! หลังจากที่ผมเลือกของเสร็จเรียบร้อยก็ใกล้เวลาพอดี พวกเราเลยเดินไปที่สถานีรถไฟเหาะแล้วยื่นบัตรผ่านเข้าไปเลย สมแล้วที่เรียกว่า Fast Pass
รถไฟที่ให้นั่งเป็นเหมือนรถไฟตะลุยอวกาศของบ้านเรา มันมีทั้งหมดสิบสองที่นั่ง 6 คู่ แน่นอนว่าผมนั่งกับมัน ก่อนจะเล่นยังมีการบอก ถ้ากลัวก็หลับตาไปตลอดเลยก็ได้นะ ฮ่า ๆ ผมไม่เคยกลัวของแบบนี้อยู่แล้ว! และแล้วรถไฟเหาะก็เคลื่อนตัวออกจากชานชาลา อยากจะบอกว่าเหมือนรถไฟตะลุยจักรวาลจริง ๆ แต่ว่าโค้งและความหวาดเสียวมันมีมากกว่า ถ้าถามว่าเทียบกับรถไฟเหาะบ้านเราล่ะ ? เอ่อ..รถไฟเหาะบ้านเราสนุกกว่าครับ
พอเล่นเสร็จก็เดินออกมาจะเป็นร้านขายของที่ระลึก (อีกแล้ว) แต่ว่าคราวนี้มันมีขายภาพด้วยครับ ภาพของคนที่เล่น เค้าจะซ่อนกล้องไว้ แอบถ่ายตอนพวกเราเผลอ
“มึงทำหน้าฮามากอ่ะไอ้ตี๋!” ผมยืนขำกับภาพที่มีเราสองคนอยู่ ไอ้ตี๋มันทำหน้านิ่งมาก แต่ด้วยความแรงของลมผมมันเลยพัดเป็นทรงแปลก ๆ ตลกดี ส่วนผมก็นั่งอ้าปากกว้างกำลังร้องอย่างเมามันส์
“เอารึเปล่าล่ะ ?” ผมยักหน้าหงึก ๆ ที่อยากได้ไม่ใช่อะไรหรอก
ก็แค่…ให้รู้ว่าครั้งหนึ่งได้มาดิสนี่แลนด์…
กับมึงไงเฟยหลง
ว่าแล้วมันก็เดินไปขอซื้อภาพมาสองใบ ส่วนอีกใบนึง
มันเก็บไว้เอง…
ใกล้แล้ววววววววววววววว ^ ^