พอเดินออกมาก็พยายามที่จะปกปิดสายตาช้ำแดงโดยพยายามยืนหันหลังให้เมื่อแต่งตัว..และรุ่งโรจน์เองก็ทำทีไม่สนใจกับรายละเอียดเล็กน้อยของสุริยา เพียงแต่พูดไปอีกทางหนึ่งว่า
“สระผมอย่างไรให้แชมพูเข้าตาได้ โตจนป่านนี้มันน่าตีจริง”
เมื่อรู้ว่ารุ่งโรจน์รู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ สุริยาจึงได้แต่แอบยิ้ม..ก่อนจะถามคืนว่า
“คุณมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า”
รุ่งโรจน์ไม่ตอบในทันที เพียงแต่นั่งดูสุริยาสวมเสื้อกางเกงที่เขาซื้อให้เมื่อวาน
“คุณเคยมีความรักไหม..” เมื่อได้ยินคำถาม หวีแทบหลุดจากมือสุริยาทีเดียว
“ถ้าผมตอบว่าไม่เคยมี ...แต่..กำลังมี..คุณเชื่อไหม..” สุริยาตอบกำกวม
รุ่งโรจน์จึงถามต่อว่า
“ถ้าคุณรักใครสักคนคุณจะทำอย่างไร กับเขาคนนั้นบ้าง”
สุริยาคิดไปพลางจัดของลงกระเป๋าและถุงพลาสติกที่ใส่เสื้อผ้ามา..ครุ่นคิด..ถ้าเขารักใครสักคน..เพียงคนเดียว..
“ถ้าผมรักใครผมก็อยากรักเขาคนเดียว และอยากให้เขามีผมแค่คนเดียว..ความรัก..ผมไร้เดียงสากับมันมาก..คุณรุ่ง..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนสองคนอยู่ด้วยกันแบบคนรัก ต้องพูดคุยอะไรกันบ้าง บางครั้งเรื่องพวกนี้มันจึงเป็นเพียงความเพ้อฝันสำหรับผมเท่านั้น”
“คุณเพ้อฝันอย่างไรบ้าง”
“ผมก็คงอยากอยู่กับเค้าตามลำพัง อยากดูแลเอาใจใส่รายละเอียด เค้ามีเค้าขาดอะไร คงพยายามที่จะรู้ว่าเค้าชอบไม่ชอบไม่อะไร เค้าฝันที่จะเป็นอะไร จะช่วยเค้าได้ไหม..และที่สำคัญคือเราต้องปรับตัวเข้าหากัน..ชีวิตคู่คงจะมีความสุข..”
รุ่งโรจน์ยิ้มออกมา ก่อนจะช่วยสุริยาถือกระเป๋าไปใส่ท้ายรถ..พอเดินกลับมาหาที่ระเบียงบ้านพัก..เขาถือ..หนังสือท่องเที่ยวตั้งใหญ่มาให้ สุริยารู้สึกงุนงง
“นี่คือหนังสือที่คุณยังขาดทั้งหมด..ผมรู้ว่าคุณต้องใช้..”
ใบหน้าของสุริยาในยามนี้เป็นสีชมพูระเรื่อ..เขานึกอยากจะบอกกับรุ่งโรจน์อีกข้อ กับนิยามของความรักสำหรับตน..นั่นก็คือ...ผิดไหมที่เราจะรักกัน..ถ้าผิด..ก็คงเป็นได้แค่เพื่อน..เมื่อคิดได้ดังนั้นอาการที่ควรดีใจสักร้อย จึงเหลือแค่ 50 เท่านั้น
“เดี๋ยวเราขึ้นเขาใหญ่ ไปน้ำตก ชมนกชมไม้ แล้วก็ไป สีคิ้ว หลวงพ่อโต วัดเนินกุ่มคุณสรพงษ์เป็นประธานสร้าง..แล้วก็ไปเมืองย่าโม..” สุริยาออกคำสั่ง..
ขณะที่สารถีเหยียบเร่งน้ำมันด้วยสีหน้าที่เบิกบาน คล้ายกับว่าได้ทำอะไรอย่างที่ตนอยากทำ..ไม่มีใครมาบังคับ ทำด้วยความเต็มใจ ทำแล้วมีความสุข..
“ถ้าคุณถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่คุณไม่ได้รักล่ะ คุณจะทำอย่างไร” สายตาของรุ่งโรจน์อยู่กับถนน แต่น้ำเสียงนั้นช่างรันทดใจเหลือเกิน
“คนที่บังคับเรา คงเป็นพ่อแม่เราเท่านั้น..ถ้าเหตุผลท่านพอก็คงต้องยอม ประมาณว่าเราหาเองไม่ได้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นดีเลิศ..หรือเพื่อหน้าตา ฐานะทางครอบครัว สุดแต่เหตุผลท่าน แต่ถ้าผมยังมีสิทธิ์ที่จะเลือก ผมคงไม่แต่ง”
“อ้าว” สีหน้าของรุ่งโรจน์บอกให้รู้ว่าแปลกใจ
“ไม่แต่งในทันทีหรอก..คงต้องศึกษานิสัยใจคอกันสักพัก..คุณรุ่ง..ถ้าคุณรักใครสักคน แล้วคุณก็รู้ว่า ความรักนั้นไม่มีวันเป็นไปได้ คุณจะทำอย่างไร”
เจอคำถามที่คล้ายกับคนที่เพิ่งรู้จักกันถามเข้าไป รุ่งโรจน์ จึงได้แต่เอามือเคาะพวงมาลัยไป แล้วก็ทวนคำถามซ้ำ ๆ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่ยิ้มให้..เริ่มต้นใหม่..แบบเพื่อนผู้ชายคุยกัน..ก็ดี..
“ถ้าคุณรู้ว่าความรักคุณเป็นไปไม่ได้ แล้วคุณก็กำลังถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณที่คุณไม่ได้รัก ..แต่เป็นความปรารถนาดีของผู้ใหญ่..คุณจะทำอย่างไร” สุริยาถามซ้ำ
“ข้อแรก ผมจะพยายามให้มันเป็นไปได้..ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ ผมคงจะพยายามเก็บความรู้สึก ดี ๆ ที่มีต่อกันไว้ ตราบนานเท่านาน ผมจะทำทุกอย่างให้เค้ารัก ผมจะกอดและจูบเค้า ผมจะอยู่กับเค้าเพียงคนเดียว ถ้าเค้าบอกผมสักนิด ว่าเค้าก็รักผม..” น้ำเสียงรุ่งโรจน์เหมือนตัดพ้อคู่สนทนา
“เพื่อประโยชน์อะไร สู้คุณแยกทางกับเค้าเสียแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่ารึ เพื่อมันจะได้ไม่เจ็บช้ำมากไปกว่านี้”
“บางทีช่วงที่รักกำลังคิดหาช่องทางที่จะให้มันเป็นไปให้ได้อยู่นี้ พระเจ้าอาจจะเห็นใจก็ได้..” ดูรุ่งโรจน์ยังดึงดัน
“แต่สุดท้ายคุณก็เลือกที่จะแต่งงาน..ทำหน้าที่ลูกที่ดี..” สุริยาถอนหายใจออกมา พร้อมกับยิ้มอย่างคนที่ได้ตั้งสติแล้ว..
“คุยเรื่องอื่นกันเถอะคุณรุ่ง..เรื่องที่มันยังไม่เกิด คิดไปก็เศร้าหมองเปล่า ๆ ...คิดเรื่องงาน เรื่องทัวร์ เรื่องไปสำรวจ ไปดูชีวิตคน ..ไปวัดไปทำบุญ ได้เป็นผู้ให้โอกาสกับคนอื่นบ้าง..ช่วงที่ผมมีความสุขที่สุด คือช่วงปีที่แล้ว..ผมคิดแต่เรื่องพวกนี้ ทั้งหลับทั้งตื่น..หัวใจผมอยู่แต่กับวัด..จะว่าไม่วกกลับมาแล้วนะ คุณรุ่ง คุณเคยคิดที่จะอยู่เป็นโสดบ้างไหม”
เจอคำถามหักมุมเช่นนี้ รุ่งโรจน์ถึงกับหันมาทำหน้าปั้นยาก แต่ก็พูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า
“หัวใจถวายวัด”
“ความรักมันก่อให้เกิดความทุกข์นะครับ..อย่างที่บอกไว้ เราอยากให้เขาเป็นอย่างใจเรา ..เราไปเอาใจเขา แต่ถ้าเขาไม่ใส่ใจเรา ทีนี้มันจะเป็นอย่างไร..รักแล้วสมหวังก็ดี แต่รักที่ไม่สมหวังนี่ซิ เป็นทุกข์ พอทุกข์คุณก็อับปัญญาที่จะทำกิจการงานใด ๆ ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างง่าย ๆ ..” สุริยายังพูดเรื่องเดิม
“กินข้าวโพดไหม” รุ่งโรจน์ถามเมื่อมีร้านขายข้าวโพดต้มและปิ้งอยู่ริมทาง
“น้อยหน่าก็มี”
สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์รีบเปลี่ยนเรื่อง และใจของสุริยาก็อยากจะบอกให้รุ่งโรจน์รู้ว่า.. ‘ผมรักคุณ ผมจึงอยากให้คุณได้หูตาสว่างบ้าง...ให้รู้ว่าที่คุณเป็นอยู่นี้ บางทีมันก็ไม่ใช่ความสุขนักหรอก ความสุขจริง ๆ คืออยู่ที่วัด อยู่ที่ได้ไปปฏิบัติธรรม ดูจิตดูใจตัวเอง แต่เมื่อมันยังเป็นไปไม่ได้ มนุษย์จึงได้เที่ยวหลอกตัวเองว่านี่คือความสุข..’
เหมือนตัวเองจะฉลาด แต่ก็โง่อยู่ดี นายสุริยาเอ๋ย..
เมื่อสุริยาไม่ตอบ รุ่งโรจน์จึงจอดรถ เพื่อซื้อผลไม้ทุกอย่างที่วางขาย ตุนไว้เบาะท้าย
..สุริยารู้ว่าเขาคงต้องการให้ป้อน แต่จะให้ป้อนอะไรได้ สถานการณ์อย่างนี้ ยิ่งกุ๊กกิ๊ก ก็จะยิ่งสานใยยืดยาวพัวพัน..เขาจึงทำเป็นเฉยเสีย..
“คุณไม่กินล่ะ ข้าวโพดต้มร้อน ๆ”
“ค่อยไปกินบนเขาใหญ่ดีกว่า..เย็นกิน ๆ อร่อยกว่าร้อน ๆ”
“แต่ผมหิวนะ”
สุริยาทำเป็นไม่ได้ยิน..แกล้งคลอเพลงพี่เบิร์ด ชมนกชมไม้บ้านเรือนมนุษย์เหมือนมีความสุข
“ทริปโคราชนี่ เช้าไปเย็นกลับได้ไหม”
“ดูจากหนังสือแล้ว ได้ แต่ต้องตัดเขาใหญ่ออกไปเลย..หรือถ้าจะไปเขาใหญ่ก็ต้องเป็นโปรแกรมเน้นธรรมชาติ อาจจะเป็นวงกลม สระบุรี ฟาร์มโชคชัย วัดพิทักษ์ เขื่อนลำตะคอง วัดธรรมจักรเสมาราม วัดหลวงพ่อโต สรพงษ์สร้าง..แล้วก็นอนเขาใหญ่สักคืน เช้าเที่ยวเขาใหญ่ ลงฝั่งนครนายก เล่นน้ำตก ซื้อของแล้วก็กลับบ้าน แต่ถ้าเป็นพิมาย ไทรงาม แม่ย่าโม วัดหลวงโต วัดป่าหลักร้อย วัดศาลาลอย เขาจันทร์งาม เสมาราม วัดพิทักษ์ปุณณาราม ตลาดผลไม้ปากช่อง นี่ควรจะอีกโปรแกรม”
สุริยาพูดเหมือนมีแผนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งความจริงปีที่แล้วเขาเพียงนอนมองแผนที่ แล้วก็ฝันว่า สักวันจะไป จะไปให้ทั่วทุกที่..แล้วความฝันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างสะดวกกว่าที่คิดไว้ ด้วยคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นใจ
“ทัวร์นี้ผมจะลุยเต็มตัวนะคุณ”
“เหตุผล..” สุริยาหันมาถามแล้วก็หันกลับไปมองถนน
“จริง ๆ ผมไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก..ก็บอกแล้วไง ผมมีความรู้ แต่ผมก็มีเงิน ผมไม่ทำงาน ผมก็มีกินไปทั้งชาติ ถ้ากินอย่างที่คุณกินนี่นะ..”
“คนพอมีเงินแล้วก็อยากมีเกียรติ หาซื้อเกียรติ..แต่เกียรติมันก็ได้มาจากการทำอะไรให้คนอื่น มันก็ใช้เงิน ผมจึงให้อธิษฐานไงว่าให้มีสมบัติและใช้สมบัติให้เป็น ใช้สร้างบุญสร้างบารมี ให้มีโอกาสเป็นผู้ให้ รถคันนี้ขับได้ห้าปี ราคาเท่านี้..ก็น่าจะพอใจ แต่บางคน..คันละเป็นสิบล้าน บวกเครื่องเพชร บวกเสื้อผ้า..รู้สึกว่ามันขาดทุนอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ว่าพวกเขาไม่ได้หรอก มันเป็นบุญเก่าของเขา..แต่พวกนี้ก็ดีอย่าง ถ้าใจเปิดเรื่องบุญเมื่อไหร่ สว่างไสว ของเก่าเขาดี จึงเกิดมาร่ำรวยไปเสียทุกอย่าง”
“รู้ไหมบางเรื่องที่คุณพูด ผมตามไม่ทัน แต่ผมก็พยายามที่จะฟังมัน”
“ข้อดีของคุณไง คุณคือผู้ฟังที่ดี..อีกอย่างคุณชอบใจผมอยู่ด้วย คุณก็อยากจะฟัง แต่ถ้าคุณเกลียดผม ต่อให้ผมพูดดีแค่ไหนคุณก็ไม่อยากจะฟัง..”
“เรื่องทัวร์นี่ ผมจะลุยเต็มที่เพียงแต่ให้คุณสั่งมา”
“ผมคงต้องสั่งให้ประหยัด ช่วยกันทำงาน อาทิเช่นวิ่งแจกใบปลิวตามสะพานลอย ตามบ้านช่อง คอนโด ตลาด สวนสาธารณะ หน้าโรงงาน รถรับส่งคนงาน คุณทำได้ไหม ถ้าคุณทำได้ เรามีกำไรแน่ ดีไม่ดีอาจจะเพิ่มทริปหนึ่งเป็นสี่ห้าคัน..เหมือนเวลาที่โรงงานมาเหมาให้จัดพาคนงานไปเที่ยว..คุณก็ต้องมาฝึกเป็นไกด์ บริการคน เสิร์ฟน้ำ วิ่งตามลูกทัวร์ใช้ไมโครโฟน..คุณทำได้ไหมครับ..”
“แล้วคุณคิดว่าผมจะทำได้ไหม..” รุ่งโรจน์ย้อนถาม
“มันก็ขึ้นอยู่กับคุณจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า อันลิงค่างกลางป่า”
“จับมาหัดสารพัด หัดได้ดังใจหมาย..ผมฟังคุณท่องมาหลายรอบแล้ว...ผมรู้ว่าคุณลำบากมามาก กว่าจะยืนตรงนี้ ผมถึงอยากเห็นคุณมีความสุขไง”
“ความสุขของผม ก็คือความสุขของคนอื่นด้วยนะ คุณจะร่วมรับภาระไหวหรือ” สุริยาแกล้งถาม
ยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะตอบคำถามนั้น เขาก็ดันถามคำถามอื่นขึ้นมาแทน
“คุณคิดกับผมอย่างไร”
พอรถเริ่มเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ รุ่งโรจน์ก็ถามเรื่องอึดอัดใจทันที
คนตอบก็ใช่ย่อย หัวเร็วพอได้ จึงตอบให้รุ่งโรจน์ได้คิดอีกยืดยาวทีเดียว
“ผมกำลังคิดว่าผมจะพ้นจากความทุกข์นี้ไปได้อย่างไร?”
