ตอนนี้เรียกว่า ลำบากนิดหน่อย มันรีบๆพิมพ์ อารมณ์อาจจะแปลกๆไปจากเดิมเล็กน้อย 55 ขออภัยด้วยนะคะ แล้วก็ชื่อเรื่องยาวขึ้นแล้วนะเออ ฮี่ฮี่
- - - - -------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 4
เช้านี้ผมแหกตาขึ้นมาแต่เช้าเพื่อหนี หึหึ กูไม่อยู่แล้วโว้ยยยย ผมมองซ้าย โอโอะ หลับสนิทมือพาดอยู่บนเอวผม หันไปทางขวาก็เป็น โนโนะ ที่แม้แต่ตอนนอนก็ขมวดคิ้ว จนผมเผลอจิ้มนิ้วลงบนคิ้วมุ่ยๆ เออหน้ามันหล่อดีว่ะ
เฮ้ย ต้องหนีก่อน
ผมในสภาพชุดนอนลายจุดสีฟ้า ค่อยเขยิบๆ ลงจากเตียง ไปเปิดตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่เท่าโลก ประกอบเป็นเสื้อเชิ้ตทำงานอยู่ริม กางเกงสแล็คที่เดฟทุกตัวจากสายตาคนใส่เดฟแบบผมก็แขวนอยู่สวยงาม ฝั่งซ้ายของตู้เหมือนชุดไปรเวทลำลองทั่วไป ผมก็เลือกๆตามรสนิยม ในที่สุด
ผมก็อยู่ในชุดเดฟสีซีดๆสีเทา เสื้อกล้ามสีดำ เข็มขัดสีน้ำตาล แล้วก็เสื้อมีฮู้ดสีดำ รองเท้าคอนเวิสยี่ห้อโปรดที่ไซส์อาจจะใหญ่กว่าหนึ่งเบอร์สีส้ม ยังไม่หล่อแฮะ คว้าหวีมาเสยหัวใส่มู้ดเซตผมตามสเตปไปมา หล่อละ แว่นกันแดดเท่ๆอีกอัน เรียบร้อย ผมหันไปที่เตียงสองพี่น้องที่ไม่ใช่แฝดก็เหมือนแฝดนอนยังไม่ตื่น นาฬิกาสุดไฮโซบอกเวลาตีสามกว่าๆ เป็นเวลาที่ดีที่ผมควรชิ่ง ผมค่อยๆย่องออกไป เปิดประตู
ไอ้สัส ! ห้องน้ำอีกละ ห่าเอ้ย ทำไมตูเปิดผิดตลอดเวลาเลยแวะ ช่างแม่งละ
ผมค่อยๆย่องต่อไปเรื่อยๆ ย่องลงมาตามบันได ไปหยุดอยู่ที่ประตูใหญ่บานโต ค่อยๆแง้มแล้วก็ชิ่ง !
ห่าเอ้ยยยย ทำไมทางเข้าบ้านมันยาวขนาดนี้วะ ผมมองไปประตูรั้วที่อยู่ไกลเกือบลิบๆ ยังมีน้ำพุสุดอลังการกั้นอยู่อีก โวะ คนกล่อเซ็ง แต่เพื่ออิสรภาพ
ผมก็ค่อยๆวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิต วิ่งไปเรื่อยๆ แฮ่กๆ
อิสรภาพอยู่ข้างหน้าแล้วพอยท์ แล้วผมก็มาถึงประตูรั้วขนาดยักษ์จนได้ มียามคนหนึ่งด้อมๆมองๆมาทางผมแฮะ
“%$#@$%^^ !!! #$%%##@%% !!” ลุงยามชี้หน้าผมแล้วเริ่มโวยวาย
“เฮ้ยไรวะ มองหน้าหาเรื่องหรอสาสสสสสสสสสสสส” ผมชี้กลับด่าสวนให้
หึหึ
กูรู้นะว่ามึงฟังกูไม่ออก สมน้ำหน้ามึงอยากด่ากูให้กูฟังไม่ออกเอง ถุ้ย ไอ้กากกกกก ผมแลบลิ้นใส่ลุงยาม ก่อนจะเริ่มปีนรั้วหรูหราราคาแพง แล้วกระโดดลงไปอีกฝั่งด้วยความหล่อ
“ไปละนะไอ้แก่ แบร่ๆ”
แล้วผมก็วิ่งออกไปทางขวามือ เพราะผมชอบขวามากกว่าซ้าย ผิดปะล่ะ ! ผมเริ่มวิ่งมาเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเริ่มสว่าง ผมก็ยังไม่พ้นเขตบ้านเว่อๆนี่ แม่งจริงๆกว้างมาก มองลอดรั้วเข้าไปก็เห็นสวยสุดอลัง มองจากข้างนอกบ้านมันมีห้าชั้นแฮะ แต่ไมเห็นแค่บันไดไปชั้นสอง อันซีนเจแปน จริงๆ ช่างมันโว้ย หนีก่อน
เฮ้ย ชิบหายละ ผมเห็นลีมูซีนพร้อมชอปเปอร์หลายคันเริ่มออกจากบ้าน มันมาตามหาผมกันปะวะ ผมเริ่มหาทางหนีทีไล่
นึกสิพอยท์ นึกๆๆๆ นึกเร็วๆ คิดออกละ ผมปีนรั้วกลับเข้าไปอีกครั้ง ซุกอยู่ในกอดอกทานตะวันมุมรั้ว
‘ที่ๆอันตรายที่สุดคือที่ๆปลอดภัยที่สุด’
ตื่นมาตั้งแต่ตีสามเพื่อกลับเข้ามาในนี้ ลำบากจริงๆ รถขบวนยาวขับเลยตรงที่ผมแอบไปแล้ว ผมก็เห็นจักรยานของคนสวนอยู่ เพราะมันมีถุงเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ ขอพอยท์ยืมเพื่ออิสรภาพก่อนนะครับ แม้ลักษณะจักรยานจะโบราณกาลก็ตามที แต่วันนี้มันจะได้ทำหน้าที่ระดับโลกแล้วล่ะ ผมคว้าจักรยานโยนลงไปนอกรั้ว หนักชิหาย แต่ความกลัวตายมันเยอะกว่า แรงเลยมาแบบไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็รีบปีนรั้วอีกครั้ง เอาแล้วไง แฮนด์จักรยานหลุดไปข้าง ดีกว่าหลุดหมดนะ ผมขึ้นคร่อมจักรยานบุโรทั่งทันที เอ้าชิบหาย ที่นั่งก็เบี้ยว เออไม่เป็นไร
ผมเริ่มปั่นจักรยานอุบาดๆนั่น ไปในทิศทางตรงข้ามกับขบวนรถ แน่นอนว่าผ่านหน้าคฤหาสน์สุดเวอร์อีกด้วย ยามมันก็มองผมก่อนจะชี้หน้าอีกครั้ง ผมแลบลิ้นให้มันแล้วปั่นต่อ จนเจอแทกซี่ !! แทกซี่นะเว่ยยยยยยยยยยยยยย ผมโบกแทกซี่คันนั้น แล้วบอกว่าไปมหาลัยที่ผมต้องเข้าไปรายงานตัว
“#%$@!#$%^^*&^$$ !! #%%#@$%^$@#$%” ข่าวจากวิทยุที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่ได้สายตาแปลกๆจากคนขับรถแทกซี่
“เอ่อ คุณผู้ชายมาจากไหนหรอครับ” คนขับถามผมเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ด้วยความฉลาดผมเลยแต่งเรื่องขึ้น
“อ๋อ ไปค้างบ้านภรรยามาครับ พอดีเค้ามาเยี่ยมแม่ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้ผมกำลังไปทำเรื่องย้ายมาเรียนตามภรรยาครับ”
“อ๋อลุงก็นึกว่าหนีมาจากบ้านตระกูลเรนงะ นี่เข้าประกาศเมื่อกี๊ว่าแขกคนสำคัญหายไปลุงก็นึกว่าเป็นเราหลงทางจากตระกูลจะได้พาไปส่ง เห็นบรรยายการแต่งตัวแล้วคล้ายเลยๆ”
“อ๋อ ไม่ใช่ผมหรอกครับ ฮ่าๆ”
เอาแล้วไงตู ผมมาถึงมหาลัยก็คลำๆหากระเป๋าตัง
ชิบหายละ มัวแต่หล่อ เริ่มเอาเงินมา !!!
“เอ่อลุงครับ ผมติดเงินไว้ก่อนได้มั้ย”
“เฮ้ย จะชิ่งหรอไปคุยกันที่โรงพักเลยไป”
“เดี๋ยวๆลุง ผมลืมเอาเงินมาจริงๆ เอาเบอร์ลุงมา แล้วผมมีเมื่อไหร่จะโทรไปคืน”
“ไม่ได้ๆ”
“ลุงงงงงงงงง” ผมกำลังเกาะประตูรถ ที่ขาผมลงมาข้างนึงแล้ว ลุงแกก็จะขับออกไปให้ได้
“#%%^$@$%^ !!” ผู้ชายในชุทสูทสีดำเดินเข้ามาคุยและยื่นเงินให้ลุง เอาแล้วพวกนั้นแหงๆ ผมรีบโกยแน่บเข้ามหาลัย
หมับ !!
“เหนื่อยมั้ยพอยท์” ผมหันไปก็เจอโอโอะยิ้มหวานๆ แต่รู้ว่ากำลังโกรธแน่ๆ
เพี้ยะ !
หน้าผมหันตามแรงตบของโนโนะที่เดินเข้ามา ก่อนจะโดนดึงเข้าไปกอด
“อย่าทำแบบนี้อีก … อย่าทำให้เป็นห่วงได้มั้ย” เสียงพูดเหนื่อยๆดังข้างหูผม
“โตแล้ว จะไปไหนก็บอกไม่ใช่หนีไป เข้าใจมั้ย” โอโอะก็เข้ามากอดผม ตอนนี้เราเลยกอดกันกลมหน้ามหาลัย
“เอ่อ คือไม่ได้ว่าไรนะ แต่เราเป็นอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ แล้วผมทำไมต้องบอกพวกคุณด้วย เกทปะวะ ?” ผมดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของคนสองคน
“คือ ขอแบบตรงๆ ผมว่าจำผิดคนแล้วมั้ง สองวันเราอาจจะมีสัมพันธ์อะไรกันไป แต่ลืมๆมันไปละกัน คิดซะว่าฝันไปแล้วกัน ไม่ได้ต้องการความรับผิดชอบ ผมเป็นผู้ชาย แมนพอจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองครับ โอเคนะ ไปล่ะขอบคุณมาก”
สายตาที่สองคนส่งมามันว่างเปล่า และไม่เข้าใจ เอ้า แต่ผมไม่ได้ทำไรผิด เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อยจริงปะวะ
หมับ !
ผมโดนกระชากกลับมาโดยโนโนะ
“มันจะมากไปแล้วนะ หึ ก็ดี อยากลืมกันนักจะทวนความจำให้เอง” สายตาวาวโรจน์เอาเรื่องพร้อมแรงที่มากกว่าผมหลายเท่า กระชากลากถู ผมไปที่รถลีมูซีนคันยาว
“ปล่อยโว้ยยยย ปล่อยยยยยยยย” ผมดิ้นแท่ดๆเป็นแมวดิ้น
“พี่ครับ ผมว่าเราอาจจะเอาแต่ใจกันเกินไปนะ ปล่อยพอนท์เถอะน้องเขาเจ็บ” โอโอะจับมือโนโนะที่บีบแขนผมไว้ สีหน้าเขาเศร้าไม่แพ้กัน
“เออ ผมไม่รู้หรอกว่าไปทำไรให้ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำ เดี๋ยวไปคุยด้วยเคป้ะ เรื่องนี้ด่วนมากอ่ะ”
ผมรู้ว่าพวกเขาลำบากใจแต่ตอนนี้ผมต้องไปทำเรื่องด่วนจริงๆก่อนที่มันจะไม่ทัน อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดได้ ผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว ..
“เรื่องอะไร” สีหน้าลำบากใจของผมทำให้โนโนะ เผยสีหน้าเป็นห่วงออกมา
“เอ่อ … ผมปวดฉี่”
“อะไรนะ” ทั้งสองขมวดคิ้วทันที
“ปวดฉี่จะราดดแล้ว ไม่ได้ฉี่แต่เช้าแล้วไง รอก่อนนะ ไม่ไหวละ”
หลังจากปลดปล่อยสายน้ำแห่งความทรมารออกจากตัว ผมก็เดินตัวเบาออกมาเจอไอ้สองพี่น้องมฤตยูนี่
“อ่ะมีไรว่ามา เร็วๆดิ๊ รีบนะรีบ” ผมทำท่าทางรำคาญ แต่จริงๆคือไม่ค่อยกล้าจะมองหน้ามันเท่าไหร่ มันเขินแปลกๆไงไม่รู้ว่ะ ผ่าวๆตลอดเวลา
“คุยกันหน้าห้องน้ำเนี่ยนะ บรรยากาศดีจริง”
“เรื่องมากหรอโอโอะ คุยเหมือนกันปะ โด่”
“กวนประสาทว่ะพอยท์”
“พึ่งทราบหรอครับท่าน”
“พอได้ยัง”
“อะไรโนโนะ ไม่พอใจหรา มีไรว่ามาดิ๊ จะไปรายงานตัวละ”
“รายงานตัวอะไร”
“แหมทีงี้ล่ะประสานเสียง มาเรียนปีสี่ที่นี่เฟ้ย ต้องมารายงานตัวเลทมาสองวันแล้วเนี่ย ไม่ได้ใบจบทำไง”
“อ๋อ นั่นสินะลืมไปเลยว่านี่เป็นข้ออ้างให้มาญี่ปุ่น” เสียงพึมพำเบาๆจากโนโนะ
“อะไรนะ”
“เปล่า ไปสิรายงานตัว”
สองพี่น้องก็พาผมไปถึงห้องอธิการบดีที่ดูจะต้อนรับเป็นอย่างดี แจกแจงรายละเอียดว่าผมแค่มาเรียนบางคาบ ส่วนใหญ่ต้องไปฝึกงานที่บริษัทเรนงะ ที่ให้ฝึกงานด้านออกแบบสื่อโฆษณา หลังออกจากห้องอธิการผมก็เริ่มโวยไอ้สองคนนี้
“เฮ้ย ผมเรียนออกแบบภายในมานะเฟ้ย”
“จะได้หัดพลิกแพลงไงเล่า” โอโอะบอกแบบปัดๆ
“ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบคิดงานโฆษณา”
“แล้วชอบอะไร” โนโนะหยุดเดินถามผม ไอ้นี่มันหน้าดุแต่ใจดี แต่มือหนักชิบ
“ละเลงสี”
“งั้นไปเลือกที่บริษัท” แล้วไอ้ตาดุก็เดินต่อ
โหจะมีนักศึกษาฝึกงานกี่คนที่ได้เลือกงานที่ว๊อน พระเจ้าผมเริ่มจินตนาการถึงห้องสีขาวโล่งๆใหญ่ๆที่จะให้ผมละเลงได้เต็มที่
“เฮ้ย แต่ไม่กลับไปกับพวกคุณนะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมหยุดเดินก่อนจะพูดจริงจัง
“อยู่ๆไปเดี่ยวก็เป็นน่า” โอโอะกันดันหลังผมให้เดินต่อ
“ไม่เอาอ่ะ ไม่คุ้น ขอกลับไปนอนที่โฮมเมทได้ปะ เออว่ะ พูดถึงผมไปบ้านพวกนายได้ไงวะ”
สองพี่น้องเริ่มมองหน้ากัน ก่อนจะอ้ำอึ้ง
“เออช่างมันเหอะ ไปอยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์ดีกว่า ไปทำงานสะดวกด้วย”
“ใช่ อยู่ด้วยกัน”
“ทำแบบว่าขาดผมไม่ได้งั้นแหละ”
“อืม”
“หะ”
“ขาดไม่ได้”
สองเสียงผสานกันขึ้นมาจ้องผมด้วยสายตาจริงจังจนผมเขิน
“พูดบ้าไรวะเนี่ย ไม่กลับโว้ยยยยยยยยย”
“ต้องกลับ” สองคนลากจับแขนผมคนละข้าง
“ถ้าบังคับก็อย่าหวังว่าจะมองหน้าอีก ไม่มองจริงๆด้วย” เสียงขู่ที่เด็กแถวบ้านเคยขู่ผม มันกลับใช้ได้ผลกับไอ้สองคนนี้แฮะ แม่งทำหน้าไม่ถูก ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ ผมเคยไปทำอะไรให้พวกเขากันนะ นึกไม่ออกเว่ย
“เอางี้ ปล่อยผมไปเที่ยววันนึง เจอกันตอนเย็นที่บ้าน เคป้ะ จะไปหาซื้อเสื้อผ้าใส่ ”
“จะกลับมาจริงๆนะ”
“กลับก็กลับ สัญญาลูกผู้ชายว่ะ”
“จะรอ” เสียงเรียบๆของโนโนะพูดก่อนจะเดินจากไป
“กลับไวๆนะ” โอโอะขยี้หัวผมแรงๆก่อนจะเดินจากไปเช่นกัน
ผมมองพวกเขาขึ้นรถลีมูซีนคันยาวจากไป
เฮ้ย กลับมา
ผมวิ่งตามรถคันยาวแต่มันไม่ทัน !!
ชิบหายแล้วไง
กูไม่มีเงินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน