เรื่อยๆมาเรียงๆไม่ค่อยมีแก่ใจอยากอัพเท่าไร ทั้งที่เป็นวันเริ่มทำงานแล้ว คงอยากลันล้าบ้างแต่โอาสไม่อำนวย ฮือ...หงอยแต่เช้าเลยวุ้ย ขอกำลังจายด้วยจ้า

ตอนที่ 8 เส่นห์หาใต้เงาจันทร์
ร้อน....ร้อนเหลือเกิน
รติกรรู้สึกเหมือนอยู่กลางกองไฟที่ร้อนผ่าว เหงื่อเขาซึมจนรู้สึกได้ถึงการไหลของหยดน้ำบนเนื้อตัว ทว่า....ทั้งที่ร้อนทรมานอยู่อย่างนี้เขากลับขยับนิ้วไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มันอ่อนล้าราวกับถูกถ่วงด้วยหิน ขณะที่รอบตัวนั้นมืดไปหมด มืด...แล้วน่ากลัวเหลือเกิน
“อิซัส”
“นารียะห์” ชายหนุ่มเดินออกกำลังนอกกระโจม ญาติห่างๆคนหนึ่งก็มาหา
“ได้ยินว่าคนที่คุณเพิ่งจับมาไม่ค่อยสบายหรือ”
“ใช่”
“ขอฉันไปดูเขาหน่อยได้ไหม”
“ทำไมหรือ?”
“ก็....เขาช่วยชีวิตฮัสซันลูกชายฉันไว้เมื่อวันก่อน ยังไม่ได้ชอบคุณเขาดีๆเลยก็ได้ยินว่าไม่สบายเสียแล้ว ให้ฉันดูเขาหน่อย” คำบอกเล่าของเธอทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย
“ผมไม่ยักกะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮัสซันเลย มันเกิดขึ้นเมื่อไรหรือ”
“เมื่อวาน เขาวิ่งเตลิดออกไปตอนที่ฮัสซันเป็นตะคิวพอดี โชคดีมากเลยที่เขาอยู่ที่นั้น ฉันยังไม่ได้ขอบคุณดีๆเลย” ไม่บ่อยนักที่สตรีอาหรับจะใส่ใจเป็นห่วงเป็นใยชาวต่างชาติแปลกหน้านัก หากไม่ใช่คนที่มีบุญคุณจริงๆ เขาอนุญาตให้เข้าไปในกระโจมได้ เมื่อวานหลังตีตราเหล็กเผาไฟ เด็กนั้นก็ไม่ตื่นอีกเลย เขาเองก็มัวแต่ยุ่งเรื่องประชุมวางแผนการปล้นครั้งต่อไปจึงลืมเรื่องนี้เสียสนิทใจ
“ตายแล้ว...” นารียะห์อุทาน เธอแค่เอามือแตะหน้าผากเท่านั้นก็ต้องตกใจที่พบว่าเขาตัวร้อนเป็นไฟ ใบหน้าเปียกเหงื่อไปหมด อิซัสเข้ามาดูอาการอีกคนอาการตัวร้อน มีไข้แบบนี้หนักหนาเอาการ “ฉันจะไปเอาน้ำมาเช็ดตัวเขาหน่อย คุณถอดเสื้อเขาออกด้วยล่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า เขารอให้นารียะห์ออกไปก่อนถึงถอดเสื้อเปียกๆออก มือสัมผัสเนื้อตัวอุ่นๆ จับตรงไหนก็แดงตรงนั้นจนอยากจะขย้ำเนื้อนุ่มแรงๆให้หายมันเขี้ยว นิ้วแข็งแรงไล้แก้มใสเบาๆร่างเล็กผวาน้อยๆพยายามปัดป่ายอย่างอ่อนแรง ปากก็เพ้อเบาๆ
“อย่า..... เลแวนซ์ ช่วยด้วย.....ปล่อยผมไป....ผมอยากกลับบ้าน....”
“แม่ฮะ” รติกรนอนขดตัวราวกับเด็กทารก น้ำตาร่วงแล้วร่วงอีก อิซัสมองด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เขาช้อนร่างเล็กขึ้นมาบนตัก มือปัดผมออกจากใบหน้าเบาๆ เด็กอาไร้....ขนตางอนชะมัด ปากก็แดง น่ารังแกออกอย่างนี้ยังหลุดรอดจากวังสุลต่านมาได้นี่ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
อยู่ใกล้อย่างนี้ได้กลิ่นเหงื่อจางๆชวนให้ชายหนุ่มอดใจไม่ไหว ต้องขอลักขโมยสักครั้ง เขาบดเคล้าเรียวปากนุ่มแรงลิ้มรสหวานที่น่าพอใจแล้วสอดลิ้นเข้าไปทำให้จูบนั้นดื่มด่ำเร่าร้อนแทบจะละลายในอ้อมแขนได้ สติที่เลือนรางถูกดึงกลับมาสู่โลกอันร้ายกาจจนได้ รติกรพยายามดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงที่มี แต่ขยับมือได้ก็ยากเย็นแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้จนอิซัสพอใจยอมปล่อยเขาถึงมีโอกาสได้หอบหายใจ
“อย่ามาแตะต้องผม”
“ไม่มีแรงแล้วยังจะดื้อรั้นอีกนะ”
โชคดีเป็นของเด็กหนุ่มที่นารียะห์กลับมา เขาถูกวางลงผ้าห่มหนาคลุมลงบนตัว อิซัสถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นของเขา ไม่สนเสียงประท้วงอ่อนแรงแม้แต่คำเดียว แต่พอผู้หญิงมาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวลดไข้ให้ เขากลับไม่ต่อต้านเลยปล่อยให้เธอทำเหมือนเขาเป็นเด็กเล็กๆที่ต้องมีแม่ค่อยดูแล เธอเช็ดตัวแล้วสวมเสื้อผ้าใหม่ที่แห้งสะอาดให้ เขาก็หลับไปอีกครั้ง
“อิซัส” นารียะห์หันมาต่อว่าญาติด้วยสายตา เมื่อเห็นแผลพุพองที่เท้าของรติกร
“ของมันต้องตีตราจองไว้ก่อน” เขาว่าน้ำเสียงระรื่น
“เกิดแผลอักเสบขึ้นมาจะว่าไง”
“เขาไม่เป็นไรหรอก ผมวานทำอะไรอ่อนๆให้เขาทานหน่อยนะ”
“เฮ่อ.....ให้ได้อย่างนี้ทุกทีสิน่า” เธอบ่นว่ายังไงสุดท้ายก็ทำตามใจเขาอยู่ดี คาราวานเร่ร่อนนี้มีชายหนุ่มเป็นเสมือนหัวหน้าปกครอง ความกล้า บ้าบิ่น กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวใครทำให้เข้มแข็งกว่าชนเผ่าเร่ร่อนอื่นๆ จนได้ฉายา ปีศาจทะเลทราย กองโจรกลุ่มเดียวที่กล้าท้าทายอำนาจของราชวงศ์ซีเรีย
อิซัสเพิ่งรู้สึกว่าการได้มองใบหน้าหลับใหลของใครบางคนน่าสนใจกว่าการอ่านหนังสือเสียอีก เขามองขนตางอนๆและริมฝีปากสีระเรื่อไปมาอยู่ชั่วครู่จาร์ฟาเข้ามาในกระโจมพร้อมใครบางคนในชุดเครื่องแบบทหาร
“อิซัส”
“ว่าไง ซัสทันไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
“อืม...ได้ข่าวว่าหน่วยอารักขาที่ 23 ออกลาดตะเวนกะทันหันเมื่อ 2 วันก่อน ฉันเลยรีบมาแจ้งข่าว”
“2 วัน?? แล้วเพิ่งมาบอกนี่นะ” ชายหนุ่มตวัดสายตาใส่ไม่พอใจอย่างมาก
“ก็ในราชวังมีการตรวจตราเข้มงวดมากขึ้น แทบจะกระดิกตัวไม่ได้เลยหลังจากมีทาสหนีออกไปได้คนหนึ่ง” ซัสทันแจ้งในสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยิน สองหนุ่มเหลือบมองตากันอย่างรู้ความหมาย
“ทาสหรือ?”
“ใช่ ได้ยินว่าเป็นทาสต่างชาติที่เพิ่งซื้อมา แต่หนีออกไปได้เพราะความหละหลวมของเวรยาม เลยมีการปรับระบบกันขนานใหญ่ ฉันถูกโยกจากกองสื่อสารไปกองคลังแทน ถึงได้ส่งข่าวให้นายโดยตรงไม่ได้ ตอนนี้ทำอะไรก็ลำบากไปหมด”
“งั้นหรือ....แล้วหน่วยที่ 23 นั้นใครเป็นผู้บัญชาการ”
“เจ้าชายจารีฟ”
“เด็กเมื่อวานซืนนั้นหรือ” เซอร์ไพส์จริงๆ สุลต่านคาเมนยอมให้ลูกชายวัย 17 ออกคุมกองทหารเอง นี่จะเป็นจุดตกต่ำหรือจุดเปลี่ยนของราชวงศ์นี้กันแน่นะ อิซัสไม่รู้แต่ก็ไม่อยากประมาท เขาเองก็จับปืนตั้งแต่อายุ 12 กว่าจะรวบรวมผู้คนสร้างกองกำลังของตัวเองให้เข้มแข็งได้ขนาดนี้ก็ปาเข้าอายุ 27 แล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นลูกเสือหรือลูกสุนัขกันแน่นะ
“กะอีกแค่ทาสคนเดียวถึงกับให้กองทหารอารักขาออกติดตามเลยเชียวหรือ” นี่เป็นอีกข้อที่เขาสงสัย
“นั้นสิ ฉันเองก็ยังสงสัย....ได้ยินว่าเพิ่งมาใหม่ได้ไม่กี่วันเองคงยังเสียดายอยู่ล่ะมั่ง”
“อย่าเดาส่งเดช” ชายหนุ่มว่าน้ำเสียงขุ่นจนคนฟังสะดุ้ง “ไปสืบมาซะ”
“ได้....แล้วจะรีบกลับมา”ซัสทันรีบออกไปก่อนที่ถูกโกรธมากกว่านี้
**************
รติกรมีไข้สูง เขาหลับๆตื่นๆหลายครั้ง เวลาตื่นคือตอนรู้สึกปวดแผลที่เท้าและตอนที่นารียะห์มาป้อนอาหาร นอกนั้นเขาจะหลับตลอดเวลาในความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเขารู้สึกถึงการแตะต้องเบาๆที่ผม ที่ติ่งหูบ้าง บางครั้งก็มานอนใกล้ๆเอาแขนพาดเอวเขาไว้ น่ารำคาญ....แต่เขาก็ไม่มีแรงจะว่าอะไรได้ นอกจากพยายามนอนเอาแรงหวังว่าจะหายให้เร็วที่สุด
เขารู้สึกตัวตื่นเมื่อถูกช้อนอุ้มขึ้นมาเหมือนกำลังอุ้มเด็กตัวเล็กๆ มันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ได้ซุกหน้ากับอกกว้างวงแขนแข็งแรงโอบรัดแน่น ทำให้นึกถึงตอนที่ตัวเล็กพ่อชอบกอดเขาแบบนี้เสมอ ตัวพ่อมีกลิ่นไอแดดร้อนผ่าวเหมือนดวงตะวัน เอ๊ะ?? พ่อไม่ได้กลิ่นนี้นี่นา ดวงตากลมโตลืมโพลงทันที
“ตื่นแล้วเหรอ” ใบหน้าที่ไม่อยากเห็นมากที่สุดในโลกปรากฏต่อหน้า ฝันร้ายชะมัด รติกรเหลียวมองรอบๆตัว ถึงพบว่าตัวเองถูกอุ้มออกมานอกกระโจมยามดึก ลมแรงเย็นยะเยือกภายใต้แสงจันทร์สุกสกาวกลางท้องฟ้า เขาไม่ได้เห็นจันทร์เต็มดวงโตขนาดนี้มาก่อน อิซัสวางเขาลงบนผ้าปูผืนใหญ่ท่ามกลางหมอนจำนวนนับไม่ถ้วน นี่จะมาปิกนิกหรือไรกัน??
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เขาถาม มือก็ถือวิสาสะแตะหน้าผากและเลยมาถึงซอกคอ
“อย่ามาเตะผม”
“ทำหวงตัวเป็นผู้หญิงไปได้”คำประชดประชันนี้ทำให้เด็กหนุ่มหยุดดิ้นรนเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายขยำหน้าอกผ่านเสื้อบางๆไปทีหนึ่ง เขาได้แต่อ้าปากค้างโกรธจนไม่รู้จะด่าว่าอะไรดี “ลองโกรธได้ขนาดนี้แสดงว่าหายดีแล้วสินะ”
คำพูดของเขาทำให้รู้สึกถึงการเปลี่ยงแปลงในตัว ความร้อนหายไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ความอ่อนเพลียและเรี่ยวแรงที่ยังไม่เต็มร้อย “ผมหลับไปนานแค่ไหน”
“นับวันนี้แล้วก็ 7 วันพอดี หิวไหมกำลังได้ที่เลย” อิซัสหันไปสนใจหม้อต้มบนกองไฟข้างๆพรม ห่างไปอีกนิดก็คือแอ่งน้ำที่เดิมที่เขาเคยช่วยเด็ก รติกรมองไปรอบๆ มืดออกอย่างนี้แถมเท้ายังเจ็บอยู่คงทำอะไรได้ลำบาก ชามซุปร้อนหอมกรุ่นยื่นมาให้ กระตุ้นต่อมหิวเข้าพอดี
“ซุปเนื้อแพะตุ๋น”
“.......ขอบคุณ” ไม่อยากกล่าวคำนี้นัก แต่ก็จำต้องพูด เขาหิวมากขนาดที่มือสั่นน้อยๆตอนตักเข้าปาก อาหารอุ่นๆไหลลงไปอุ่นกระเพาะทำให้สดชื่นมีกำลังกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มก้มหน้าตาไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายที่นั่งอมยิ้มมองเขาทานอย่างเอร็ดอร่อยเกลี้ยงชาม
“เติมอีกไหม”
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” อันที่จริงเขาเองก็อยากเติมอีกนิด แต่คิดว่าพอดีกว่า อีกฝ่ายถึงเลื่อนถาดข้างๆตัวมาใกล้ มีโถน้ำ และขวดยาเขาหยิบมาดูเป็นยาแก้อักเสบกับลดไข้ที่มีขายอยู่ทั่วไปจึงทานอย่างล่ะเม็ด
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
“อืม...”
“เอาล่ะในเมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้ว ก็น่าจะได้เวลาทำความรู้จักกันเสียทีนะ ฉัน คาริบ อาฮาบี อิซัส”
“คุณทำร้ายผม”
“ฉันไม่ปฏิเสธ”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาตีตราผม ผมไม่ใช่วัว ไม่ใช่อูฐ ที่คุณบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าแล้วจับมาตีตราจองนะ ผมเป็นพลเมืองอเมริกัน” รติกรต่อว่าต่อขานไม่ทันไรก็ต้องหยุดเมื่ออีกฝ่ายยกนิ้วแตะที่ปากเป็นสัญญาณเตือนให้เขาหยุดพูดได้แล้ว
“ทาสที่หนีเจ้านายมาก็ไม่ต่างจากวัวหลงฝูงหรอก ใครเห็นก่อนคนนั้นก็มีสิทธิ์ เธอน่าจะดีใจนะที่เธอไม่ใช่วัวหรืออูฐ เพราะไม่งั้นแล้วเธออาจจะถูกฆ่าเสียตรงที่เจอเลย”
“โฮ๊ะ...พูดอะไรของคุณกันเนี่ย แล้วขอโทษเถอะ อย่าเรียกผมว่าเธอได้ไหม”
“ฉันจะเรียกเธอ....ว่าเธอ เพราะเธอ.....เป็นเธอของฉัน”
รติกรหน้าแดงวูบ ผู้ชายเมืองนี้ประเทศนี้ยังไงกันนะ เลแวนซ์ก็คนหนึ่งแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ทำแบบเดียวกันอีก ทำไมถึงชอบตู่เอาง่ายๆอย่างนี้ “ผม.....ผมไม่ใช่ผู้หญิง”
“งั้นก็เป็นเสียสิ.....มาเป็นผู้หญิงของฉันซะ” เด็กหนุ่มอ้าปากพะเงิบพะงาบอย่างไม่รู้จะค้นหาคำด่าว่าอย่างไรดี เขากล้าดียังไงถึงพูดออกมาได้แบบไม่มียางอายเลย อิซัสมองด้วยสายตาที่เห็นแล้วหนาวไปถึงกระดูก “และฉันไม่ยอมรับคำปฏิเสธหรอกนะ”
บ้ากันไปหมดแล้ว เขาเบือนหน้าหนีสายตาดุดันนั้นเสียพยายามคิดหัวแทบระเบิดว่าจะพูดกับคนเอาแต่ใจนี้อย่างไรดี “คุณ...คาริบ”
“อิซัส” เขาแก้ให้ใหม่
“อิซัส.....เราจะ.....พูดกันด้วยเหตุผลดีๆได้หรือเปล่า”
“ว่ามาสิ” ร่างสูงเอนหลังพิงสบายๆทำให้คลายความตึงเครียดไปมาก
“ผม...ไม่ใช่ชาวซีเรีย ไม่ใช่คนทะเลทราย ผมเป็นชาวเมืองชินชากับชีวิตที่สะดวกสบาย ชอบโทรศัพท์สั่งอาหารมาส่งถึงบ้าน ทำงานตั้งแต่จันทร์ถึงเสาร์มีเวลาดื่มเหล้าเฮฮากับเพื่อนบ้าง ผมใช้ชีวิตแบบนี้มานานแล้ว ที่นี่! ผมอยู่ไม่ได้หรอกนะ แค่เดินออกไปจากที่นี่วันเดียวผมก็อาจจะตายได้”
“ผมไม่ชอบที่นี่แล้วอยู่ไม่ได้ด้วย......ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ อยู่ที่นี่ผมไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย นอกจากเป็นภาระเสียเปล่าๆ นะ.....ได้โปรด” รติกรไม่อายที่ขอร้อง เขามีทางเลือกอื่นหรือ แต่ก็เหมือนพูดจากับกำแพงที่ไร้ชีวิตจิตใจ เพราะสีหน้าอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลงหรือมีแววเห็นใจเลย ตรงข้ามแววตากลับเต้นระริกอย่างขบขัน
“เธอนี่ตลกดีนะ” เขายิ้มกว้างทำให้ใบหน้าเปลี่ยนไปจนคนมองยังแปลกใจ บรรยากาศอึดอัดหรือหม่นหมองถึงกับหายวับไปกับตาเลย อิซัสพ่นลมออกมาอย่างขบขัน “อยู่ที่นี่ไม่มีประโยชน์อะไรหรือ เนย.....เธอไม่รู้หรอกหรือว่าตัวเองมีค่ามากแค่ไหน...ในดินแดนแห่งนี้”
เขาพูดถึงอะไรกัน?? รติกรทำหน้างง ชายหนุ่มร้องเฮ้อ..ออกมาคำหนึ่ง “ฉันขี้เกียจพูดด้วยแล้ว”
“จะทำอะไร!” ร่างเล็กผวาตกใจ เมื่อร่างสูงลุกเข้ามากดเขาลงกับพื้นพรมนุ่ม
“รู้อะไรไว้อย่างหนึ่งนะ....ถ้าอยู่ในวังที่หรูหรานั้น เธอจะเป็นหนึ่งในบรรดาภรรยามากมายของผู้ชายที่นั้น แต่ถ้าอยู่ที่นี่....เธอจะเป็นหนึ่งเดียวของฉัน”
“ว่าไงนะ??” เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง เห็นสายตาที่มุ่งมั่นนั้นและลมหายใจที่ร้อนผ่าวรินรดใบหน้าก็ใจเสียขึ้นมาวูบ นี่เขาจะหนีจากเรื่องพรรค์นี้ไม่พ้นเลยหรือไงกัน ริมฝีปากอุ่นแนบลงมาแรง พร้อมกันร่างหนักอึ้งตรึงเขาไว้แน่นจนดิ้นรนไม่ออกเลย ขณะที่ปากอันร้ายกาจนั้นชอนไชไปทั่ว ทั้งในปาก ทั้งในความรู้สึก
“อืออ” เสียงประท้วงในลำคออู้อี้ อารมณ์ซาบซ่านแล่นจากสันหลังไปทั่วตัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมือเย็นเฉียบสอดเข้ามาใต้เสื้อลูบไล้ผิวกายเขาไปทั่วและหยุดนิ่งที่ยอดอก นิ้วแข็งแรงบีบบี้มันไปมาร่างเล็กถึงกับสั่นสยิว
“อย่า....อิซัส” ปากบอกว่าอย่า แต่ร่างกายกลับแอ่นโค้งตามมือข้างนั้นราวกับสัตว์เชื่องๆ ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความกระหายที่ลุกโชน เมื่อได้รับคำเชิญชวนจากร่างกายนี้ชัดเจน เขาฉีกเสื้อออก แคว่ก!!!!
“ไม่ อย่านะ!!” รติกรร้องลั่นด้วยความตกใจ แต่ก็ถูกหยุดคำประท้วงทั้งปวงด้วยปากที่ร้อนรนนั้น อิซัสกระชากเสื้อออกจากร่างผอมบางลงกองที่ข้อศอกแล้วมัดรวบไข้วหลังเสียเลย เท่านี้เขาก็ขัดขืนไม่ได้แล้ว
“อะ...อ๊ะ” ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกๆพลางบิดร่าใต้ร่างอันใหญ่โต ปากร้อนผ่าวนั้นขบกัดเขาไปเสียทั่วทำให้เจ็บแปล้บๆปนเสียว ยิ่งโดนดูดดุนที่ยอดอกทั้งสองข้าง เขาก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เสียวซ่านตรงกึ่งกลางลำตัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ใช่อิฐ ไม่ใช่ปูนนี่นา “ยะ...อย่าทำผม...อิซัส อึ่ก..อืออออ”
อิซัสเงยหน้ามองใบหน้าหวานแสดงอารมณ์ที่ตรงข้ามกับคำพูด เขากดสะโพกบดเบียดเสียดสีตรงกลางหว่างขาหนักหน่วงจงใจยั่วเย้า ไม่นานก็รู้ถึงความแข็งขืนตอบโต้ชัดเจน เขาจึงสอดมือเข้าไปในกางเกงบางเบา ลูบคลำมันทำให้ชูชันยิ่งขึ้น
“อ้า...อา.....”รติกรหลับตาพริ้มอย่างช่วยไม่ได้ มือข้างนั้นมอบความหวานซ่าบซ่านจนเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว ร่างเล็กแอ่นโค้งตอบสนองมือนั้น ปากน้อยๆเผยอค้างเรียกร้องจนได้จูบบดเคล้าลงมาหนักหน่วง เป็นจูบที่เรียกร้องดูดดื่มถึงวิญญาณเลย เขาอยากกอดร่างแกร่ง อยากให้แตะต้องแรงกว่านี้
“อยากให้สัมผัสแบบไหน” อิซัสยันตัวเหนือร่างทำให้ความร้อนผ่าวนั้นกระจายหายไปอย่างน่าเสียดาย สองมือร่นกางเกงเขาลงแค่ต้นขา เผยออัวยวะชูชันสีชมพูเข้มกำลังเรียกร้องบางสิ่งอยู่ ต่างฝ่ายต่างเหลือบมองสบตากัน “อยากให้ฉันแตะต้องแบบไหน หื้อ??”
ใบหน้าอ่อนวัยแดงซ่านด้วยความอาย นี่เขาต้องพูดตรงๆด้วยหรือ
“ปาก.....หรือมือ เนย” อิซัสกระซิบข้างหูชวนสยิวขนลุกไปหมด
“ปาก.....หรือมือ” ลิ้นอุ่นแทรกเข้าในใบหู อารมณ์ข้างในตัวพุ่งทะยานทันที เด็กหนุ่มสั่นระริกปากเขาขยับว่าเสียงเบาแทบไม่ลอดออกมาเป็นเสียงเลย แต่อีกฝ่ายก็ได้ยินชัด ใบหน้าคมสันที่คลี่ยิ้มนั้นชวนมองเหลือเกิน เมื่อกี้เขาพูดอะไรไปนะ??
รติกรเห็นเขาก้มหน้าต่ำลงไป....จนถึงที่นั้น และแล้ว
ร่างเล็กก็ได้รับรู้ถึงความดื่มด่ำ เขาแอ่นตัวโค้งขึ้นแหงนหงายใบหน้าด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ดวงตาเบิกกว้างมองเห็นดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้า มันช่างสวยงามราวกับได้อยู่บนสวรรค์ ใช่.....เขาอยู่บนสวรรค์แล้ว บางอย่างแข็งขืนสอดใส่เข้ามาในตัวเขาช้าๆ นั้น....นิ้วที่แข็งแรงกำลังขยายตัวเขาให้เปิดกว้าง อา.....มันช่างสุดยอดจริงๆ
ตูมมมมมม!!!!! สวรรค์ที่สวยงามของพวกเขาล่มทันทีทันควัน
วิ๊ดดดดดดดด เสียงเป่าปากดึงความสนใจทั้งคู่ไปที่กระโจม จาร์ฟาตะโกนเรียกสุดเสียง
“หน่วยลาดตะเวนของทางการบุกมาแล้ว!!!!”
เลแวนซ์!!! รติกรใจเต้นโครมๆ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
