มาแล้วคะ มาแล้ว ขอโทษทีแต่พอดีไอเดียติดขัดนิดหน่อย อยากให้นายเอกเสร็จใครสักคนแต่ก็ทำจายไม่ได้ ยังอยากรักษาจิ้นเอาไว้ก่อน
ผู้แต่งเองก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันคะ คนโน้นก็อยากได้ คนนี้ก็อยากเอา ฮุฮุฮุ ไม่รู้นะ เอาไว้ค่อยๆคิดล่ะกัน

ตอนที่ 9 ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
ตูมมมมม!!!!!
เสียงระเบิดดันสนั่นหวั่นไหว พื้นทรายยังสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว เสียงปืนกระหน่ำยิงหูดับตับไหม้ รติกรนอนหมอบอยู่กับพื้นอย่างนั้นด้วยความกลัว เหมือนฝันที่ไม่ใช่ฝัน ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะต้องมาอยู่กลางสนามรบอย่างนี้
“อพยพเด็กและผู้หญิงไปก่อน กองหน้าเป็นอะไรไป ทำไมไม่เห็นศัตรู พวกมันมัวทำอะไรอยู่” อิซัสตะโกนสั่งเสียงดังแข่งกับเสียงปืน
“พวกเขาไม่เห็น พวกนั้นไม่ได้มาด้วยรถฮัมวี่หรือคอปเตอร์อย่างทุกที”
“แล้วพวกมันมาด้วยอะไร?” ชายหนุ่มปัดผ้าคลุมหน้ากระโจมออก สิ่งที่เห็นทำให้ต้องหยุดกึก ท่ามกลางความมืดมิดของทะเลทราย เบื้องหน้าคือแสงวิบวับสีเหลืองนับร้อยนับพันที่เคลื่อนไหวราวกับระลอกคลื่นพุ่งตรงมาหาพวกเขา รวดเร็วและมุ่งตรงมาอย่างเป็นระเบียบ
อิซัสและจาร์ฟาล้มตัวหมอบกับพื้นทันทีที่สิ่งนั้นพุ่งทะยานข้ามหัวพวกเขาไป อูฐ!!! ฝูงอูฐนับพันที่ถูกมัดพ่วงเป็นคู่ๆด้วยเชือกป่านมัดฟ่อนฟางเผาไฟระหว่างกลาง ทำให้อูฐวิ่งเตลิดไปทิศทางเดียวด้วยสัญชาติญาณ และสามารถสร้างความสับสนให้กองหน้าที่ซุ่มอยู่ได้ เขามองอูฐที่วิ่งเข้าไปในกระโจมทำให้ไฟลุกติดอย่างรวดเร็ว ไฟที่ลุกโหมกลายเป็นจุดเด่นสว่างไสวกลางทะเลทรายทำให้กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุด
ไอ้คนต้นคิดแผนนี้ร้ายนักนะ ส่งอูฐมาก่อกวนก่อนแล้วทหารตามหลังสมทบ ทำให้สับสนทั้งอูฐ ทั้งไฟไหม้ ทั้งทหาร พวกเขาตั้งรับแบบนี้มีแต่เสียหายเท่านั้น เขาดึงจาร์ฟามาใกล้ๆ
“ให้ทุกคนถอยเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า”
“อิซัส??”
“ถอยเดี๋ยวนี้” ร่างสูงลุกวิ่งฝ่าเข้าไปในกระโจมที่กำลังลุกไหม้ เขาคว้าของสำคัญใส่กระเป๋าหนังสะพายหลังก่อนออกมาลานทรายใกล้โอเอซิส รติกรเงยหน้ามองเขาสีหน้าตื่น
“อิซัส?? เกิดอะไรขึ้น”
“เราต้องไปแล้ว” เขาคว้าร่างเล็กขึ้นพาดบ่าเหมือนกำลังแบกของเบาๆ
ฮีร์... เสียงม้าร้องแว่วมาเบาๆท่ามกลางเสียงสาดกระสุนหูดับตับไหม้ ม้าสีดำกระโจนพรวดผ่านกระโจมทะลุออกมาด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทำให้อิซัสหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ หมอนี่เร็วจริงๆ บนหลังม้าสวมชุดสีขาวรัดกุมพกทั้งปืน ทั้งมีด เขาปกปิดทั้งตัวเหลือเพียงดวงตาเท่านั้น
เสือมีสัญชาติญาณที่รู้ว่าเสือตัวใดส่อแววเหนือกว่าตัวไหน เพียงแค่เห็นกันแว่บเดียวเท่านั้นก็เห็นความแตกต่างจากคนอื่นๆ บนหลังม้ากระโดดลงมาหาพลางชี้นิ้วสั่ง
“วางเขาลง”
“แกเป็นใคร?”
“ฉันสั่งให้แกวางเขาลง” มือเขาใกล้ปืนสั้นในเข็มขัดหนังทั้งสองข้าง ที่สะพายหลังยังมีปืนยาวที่ไหล่ซ้าย ดาบยาวที่ไหล่ขวา แววตาดุดันมุ่งมั่นแสดงอำนาจอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มสมใจ
“เจ้าชายจารีฟสินะ” ประโยคนี้ทำให้รติกรตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เลแวนซ์?? เลแวนซ์มาตามเขาหรือ ความรู้สึกตอนนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างดีใจกับกลัว ดีใจที่เขามา แต่กลัวมากกว่าถ้าถูกพากลับไปในวังก็ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง
“จะไม่ทำความรู้จักกันหน่อยหรือ?” อิซัสท้าทาย
อีกฝ่ายดึงผ้าคลุมศีรษะออก เป็นเด็กหนุ่มที่พระเจ้าประทานร่างกายที่แข็งแรง ใบหน้าคมสันดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรกพบ ที่สำคัญคือดวงตากร้าวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจราวกับเป็นผู้เดียวในโลกที่ยืนอยู่บนหอคอยงาช้าง และทอดสายตามองผู้ที่อยู่ต้อยต่ำว่า นี่มัน.....รวมทุกอย่างที่เขาเกลียดอยู่ในคนๆเดียวเลย อิซัสยิ้มสมใจ ในที่สุด.....ก็พบคนที่คู่ควรจะเป็นศัตรูกับเขา
“วางเขาลง....เดี๋ยวนี้”
“ไม่งั้นจะทำไม”
เลแวนซ์มองผู้ชายที่จ้องเขาด้วยสายตาชิงชัง แววตาข่มขวัญด้วยความชินชาในการใช้อำนาจ นั้น...ไม่บ่อยนักที่เขาจะเห็นคนใช้สายตามองผู้อื่นในระดับเดียวกันกับเขา ทั้งที่รอบด้านวุ่นวายเสียงกระสุน เสียงระเบิดดังอลม่าน หมอนี่ก็ยังสงบนิ่งเย็นเป็นน้ำแข็ง เป็นคนอื่นคงได้รีบร้อนหนีไปให้เร็วที่สุดแล้ว หึ!... เขาชักดาบยาวออกมา
“ฉันจะฆ่าแก”
“ฮะ...” อิซัสหัวเราะเขาปล่อยร่างบนบ่าลงมาพลักเบาๆให้ล้มกลิ้งลงบนพรมนุ่ม
“อุ๊บ..” รติกรตกใจไม่คิดว่าจะโดนทิ้งอย่างนี้ คนพวกนี้ยังไงกันนะเห็นเขาเป็นของใช้หรือไงถึงนึกจะจับก็จับ นึกจะมัดก็มัดหรือนึกจะโยนก็โยนทำง่ายๆอย่างนี้เลย เขาตะเกียกตะกายลุกนั่งได้ก็เห็นสองหนุ่มมีดาบอยู่ในมือทั้งคู่
“กี่ร้อยปีแล้วนะที่ชาวซีเรียอย่างเราไม่ได้สู้กันด้วยดาบแล้ว”
“ดาบดีกว่าปืนอยู่แล้ว” เลแวนซ์ว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็เห็นด้วย ปืนไม่มีลูกตาคนที่ไม่เกี่ยวข้องอาจโดนลูกหลงได้ พูดจบร่างสูงพุ่งปราดเข้าประชิด ดาบฟาดฟันใส่สุดแรง
เคร้ง!!! อิซัสยกดาบขึ้นรับ น้ำหนักที่ทุ่มลงมาทำให้เขาต้องถอยแต่ก็ไม่ลืมปัดทางดาบให้เบี่ยงออกไปก่อน เขาคิดจะเข้าสู้วงในแล้วเล็งเป้าเล็กไปที่ข้อมือ ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าไปหา เลแวนซ์ควงดาบตวัดกลับมาทำให้ดาบอิซัสหันไปผิดทาง หมัดล้วนๆชกเข้าใส่หน้าจังๆ
ผัวะ!! ทำเอาผงะถอยออกมาหลายก้าวเลย ปากได้รสเลือดจางๆ ชายหนุ่มหันไปมองหน้า เร็วและทรงพลังดี
“ไปเรียนมาจากไหน”
“เกมเอ็กซ์บ๊อกซ์เวอร์ชั่นที่ 110” เขาว่าก่อนรุกไล่หมายจะเอาชนะ ล้มคู่ต่อสู้ให้ได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ง่ายเหมือนในเกม อิซัสเป็นฝ่ายตั้งรับก่อนล้มคุกเข่าข้างหนึ่ง เขาโผเข้าจ้วงแทงแต่กลับพลาดถูกคว้าแขนบิดหักจนแข็งตึง อิซัสโขกศีรษะสวนเข้าซะล้มกลิ้ง เลือดจมูกหยดแปะๆลงกับพื้นทราย
ไอ้หมอนี่!!! เขาโกรธขึ้นมาวูบ รีบร้อนลุกขึ้นมา ทั้งคู่ปรี่เข้าหากัน
ตูมม!!! ระเบิดลงใกล้ๆนั้นส่งให้พวกเขาลอยละลิ่วไปคนล่ะทาง ฝุ่นทรายลอยขึ้นสูงแล้วร่วงลงลอยไปกับลมแรงของยามค่ำ รติกรต้องก้มหน้าซุกกับหัวเข่าเพื่อหลบไม่ให้ทรายเข้าตา อิซัสถึงกับจุก หูอื้ออึ้งไปชั่วขณะ เขายันตัวลุกขึ้น
“อิซัส!!!”จาร์ฟาขี่ม้ามาหาพร้อมจูงม้าประจำตัวของเขามาด้วย “มาเร็วเข้า”
เขาหันไปมองอีกคนที่ล้มอยู่ไม่ไกล รายนั้นมีคนเข้ารุมล้อมประคับประคองพร้อมอาวุธครบมือ ไม่มีโอกาสลงมือแล้ว อีกคนที่อยากเอาไปด้วยก็อยู่ไกลไป เสี่ยงมากก็ไม่ได้ เลแวนซ์ลุกขึ้นสิ่งแรกที่มองหาคือเขา ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าเอาเรื่อง เพราะยังไม่ทันจะรู้แพ้ชนะเลย ปีศาจแห่งทะเลทรายชี้หน้าตะโกนว่า
“คราวหน้า....ฉันจะจัดการกับแก.....ห้ามแกแตะต้องของๆฉันเด็ดขาด”
“นั้นสมบัติของฉัน แกต่างหากที่ไม่มีสิทธ์แตะต้อง”
“แล้วจะได้เห็นกัน”
เขาทิ้งท้ายก่อนขึ้นหลังม้าควบหายไปในความมืด เลแวนซ์พ่นลมออกมาอย่างโกรธจัด ไอ้บ้านั้นเขาต้องจัดการให้ได้แน่ เขาเช็ดเลือดออกจากจมูก หอบน้อยๆขณะที่ทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ทั้งหมด
“ฝ่าบาท” หัวหน้ากองเข้ามาหา
“มีใครบาดเจ็บไหม”
“พะยะคะ เจ็บ 23 นาย เสียชีวิต 1 นับว่าเป็นชัยชนะที่งดงามมาก”
“กองโจรล่ะ”
“ตาย 12 บาดเจ็บร่วม 50 ได้ กองหลังของเราจับพวกผู้หญิงและเด็กไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรกำลังคุมตัวมาสมทบที่นี่พะยะคะ”
“ติดต่อฐานทัพให้ส่งหมอ พยาบาล กับอาหารเท่าที่จำเป็นมา เราจะตั้งค่ายที่นี่ชั่วคราว”
“ไม่ส่งพวกเขาเข้าคุกในเมืองหรือพะยะค่ะ”
“เราจะสอบปากคำพวกเขาก่อน”
“แต่เรือนจำเตรียมเจ้าหน้าที่รอสอบสวนอยู่แล้ว”
“แจ้งเขาไปว่าไม่ต้องรอ ที่นั้นมันหนักหนาไปสำหรับเด็กและผู้หญิง ฉันจะเป็นคนสอบสวนพวกเขาเอง” ร่างสูงถอดเข็มขัดปืนและดาบออกจากตัวลงข้างๆพรมรวมถึงถุงมือด้วย เขาหย่อนกายลงนั่งสบายๆบนพรมที่เต็มไปด้วยหมอนนุ่มๆและหม้อตุ๋นที่ยังอยู่ดี คนที่ถูกมัดไข้วหลังนอนหมอบกระแตพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับหมอนลายพร้อยค่อยๆลืมตาขึ้นมอง เห็นดวงตาดุดันจ้องมองอย่างเอาเรื่องเขาก็ผลุบตาลงไม่กล้าส่งเสียง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เลแวนซ์ถาม
“อืม...”
“ไม่มีปากหรือไง”
“ไม่เป็นไร”
มือแข็งๆช้อนใบหน้าเขาให้เงยสบตาแล้วบอกน้ำเสียงเหี้ยม “เธอติดหนี้ฉัน”
“ผมขอโทษ”
“ฉันจะคิดบัญชีนี้ทีหลัง....พร้อมดอกเบี้ยด้วย” คำขู่นั้นน่ากลัว แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนลงจนไม่รู้สึกกลัวเท่าไร มีบางอย่างที่แปลกไปแต่รติกรไม่รู้ว่าอะไรอาจเป็นเพราะเลแวนซ์เหนื่อยก็ได้ พวกเขานั่งอยู่ข้างๆกันมองเหล่าทหารช่วยกันดึงกระโจมที่ลุกโชนลงมาเพื่อดับไฟ กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฟ้าก็สางพอดี
****************
“รีส..” มีมือเขย่าเขาเบาๆ เฮ่อ อย่ามากวนได้ไหมเพิ่งจะหลับได้แป๊บเดียวเอง “รีส....ตื่นเถอะ”
“หื้อ??” เขาพลิกตัวมาก็ต้องลืมตาโตเมื่อเห็นคนที่คุ้นหน้า
“คาริค??”
“เป็นไงบ้าง เห็นว่านอนข้ามวันข้ามคืนไม่มีทีท่าจะตื่น ผมเลยเป็นห่วง”
“อะไรกัน” เด็กหนุ่มหัวเราะนอนทั้งวันที่ไหน เขาเพิ่งจะงีบได้เดี๋ยวเดียวเอง รติกรลุกนั่งก่อนจะเห็นว่ารอบๆตัวเปลี่ยนไป กระโจมใหม่พื้นพรมใหม่ มีกระทั่งผ้าม่านด้วย โอ๊ะโอ๋....เท้าเขาได้ทำแผลใหม่ด้วย ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ยทำไมไม่รู้สึกตัวเลย“เอ๊ะ?? ผมหลับไปนานเลยหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เลแวนซ์เขาเป็นห่วงมากนะ แต่ปลีกตัวมาไม่ได้ ผมเลยอาสามาดูให้ คุณไม่เป็นไรนะ”
“ไม่ๆๆ ผมสบายดี” ทำไมถึงหลับได้หลับดีขนาดนี้เขาก็ไม่รู้ แว่บหนึ่งเขานึกถึงอิซัสไม่รู้ว่าหนีรอดหรือเปล่า รติกรกำลังคิดว่าจะลุกอยู่แล้ว ผ้าห่มก็ถูกดึงออกไป โต๊ะเตี้ยเล็กๆพร้อมอาหารหอมกรุ่นยกเข้ามาวางคล่อมกับตัวเขาทันที แค่ได้กลิ่นท้องเขาก็ร้องโครกทันที
“คุณคงหิวแล้ว ทานอะไรหน่อยนะ”
“ขอบคุณครับ คาริคที่นี่มันที่ไหน??” เด็กหนุ่มถามพลางตักอาหารเข้าปาก
“โอเอซีสฮาวัล ห่างจากเมืองหลวงไป 20 กว่าไมล์ได้” งั้นก็ที่เดิมที่เขาเคยอยู่
“เลแวนซ์ล่ะ”
“เขาน่ะยุ่งอยู่กับงานไม่ได้เงยหน้าเลย นี่ก็อดนอนมาหลายวันแล้ว”
“เอ๋??” ไหงเป็นงั้นล่ะ
“ตอนแรกเขาขอกองทหารออกมาตามหาคุณเท่านั้น ถ้าพาคุณกลับวังแล้วที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นไปก็จบเรื่องแล้ว แต่เขาเป็นห่วงเด็กกับผู้หญิงที่ถูกจับได้ ไม่ยอมส่งไปเรือนจำ จะสอบปากคำเอง ถ้าไม่มีข้อสงสัยก็จะปล่อยไปเลย กลาโหมก็ไม่ยอม จารีฟเขาบินตรงไปเจรจาด้วยกว่าจะยอมได้ก็เล่นเอาหืดขึ้นเลย นี่เพิ่งกลับมาก็ต้องเริ่มสอบปากคำอีก”
“ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นด้วย”
“จารีฟเขาคิดจะใช้ไม้อ่อนน่ะ ก็กองโจรของปีศาจทะเลทรายได้รับความนิยมจากชนเผ่าเร่ร่อนมาก จะซื้อใจคนพวกนี้ให้กลับมาภักดีกับรัฐได้ก็ต้องเข้าใจปัญหาของพวกเขา แล้วแก้ให้ถูกจุด องค์สุลต่านเห็นด้วยกับความคิดเขา ถึงยอมขอร้องรัฐมนตรีกลาโหมให้ความร่วมมือ คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศเลยนะ”
คาริคพูดแววตาเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รติกรมองตาปริบๆ เรื่องของบ้านนี้ เมืองนี้ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก แต่สายตาที่จ้องมองเขาอย่างยินดีมีเลสนัยนี่น่ะน่าสงสัย
“มีอะไรหรือครับ ทำไมจ้องผมอย่างนั้นล่ะ”
“หึ....ผมดีใจน่ะที่ได้พบคุณ..แบบปลอดภัยอีกครั้ง ถ้าหากคุณเป็นอะไรไปผมคง....ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณคุณ”
“ขอบคุณผม เรื่องอะไรครับ?”
คาริคหันไปส่งสัญญาณให้สาวๆที่คอยให้การรับใช้ใกล้ๆออกไปเหมือนมีเรื่องสำคัญ รติกรเลยตักคำสุดท้ายใส่ปากแล้วเลื่อนโต๊ะออกไป เขาหย่อนเท้าลงข้างเตียงร่างสูงนั่งบนเตียงเคียงข้าง ท่าทีสบายอกสบายใจปรากฏบนใบหน้า เขาไม่เหมือนคาริคยามอยู่ในวังดั่งเช่นก่อน เด็กหนุ่มรู้สึกได้
“รีส.....หลังจากคุณหนีออกมา ในวังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งวุ่นวาย ทั้งโกลาหล ทุกคนรู้เลยว่าเจ้านายทั้งหลายต้องโมโหโกธาอาละวาดแน่ๆ ซึ่งแน่นอนทุกคนโมโหเพราะคุณน่ะแหกกฏที่มีมานมนานตั้งหลายสิบข้อ แต่มีอยู่คนเดียวที่ไม่โกรธ ไม่โมโหเลย”
“ใครเหรอ?”
“จารีฟ”
โกหก! ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย อย่างเลแวนซ์น่ะเหรอจะไม่โกรธเขา ความคิดนี้ปรากฏชัดบนใบหน้าจน คาริคหัวเราะ
“ไม่เชื่อล่ะสิ”
“แห๋งแหละ เขาต้องโกรธอยู่แล้ว”
“ใช่ เขาโกรธ แต่เป็น.....โกรธตัวเองมากกว่าที่ทะเลาะกับคุณแล้วปล่อยให้คุณคลาดสายตาไปน่ะ” คาริคถอนหายใจเบาๆ มืออุ่นลูบไหล่เล็กปลอบใจ “ สาเหตุนั้นมาจากผม คุณโกรธจารีฟเพราะเขาเฉยเมยกับผมใช่ไหมล่ะ นั้นทำให้เขาถึงไปขอร้ององค์สุลต่าน ให้คืนอิสระแก่ผม”
ร่างเล็กหันมามองหน้าขวับ ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “จารีฟน่ะเหรอ?? เขาขอร้อง.....ให้คุณ”
“ใช่ ผมยังต้องทำงานเป็นคนดูแลความสะดวกภายในเหมือนเดิม แต่....ไม่ต้องนอนกับใครอีกแล้ว” รติกรมองตาโตอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน อย่างจารีฟน่ะเหรอขออิสระให้คาริคเพื่อเขา นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์เลย หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความดีใจและอบอุ่นอย่างประหลาด
“ผมดีใจกับคุณด้วยครับ”
“ทั้งหมดนี่ก็เพราะคุณ ขอบคุณมาก” คาริคลุกขึ้นยื่นมือมาเพื่อแสดงความขอบคุณ รติกรจับมืออุ่นนั้นไว้เขาดีใจที่คาริคเป็นอิสระเสียที ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยภาคภูมิชัดเจน “รีส....ขอให้คุณไว้ด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะอยู่ข้างคุณเสมอ”
เหมือนเป็นคำมั่นที่ให้ไว้ด้วยการบีบมือหนักแน่น ชายหนุ่มเดินไปถึงประตูกระโจมก็หยุดหันมามองเขา แววตาเต้นระริกอย่างมีความสุข “อีกอย่างผมคิดว่าคุณควรรู้ไว้”
“อะไรหรือครับ”
“ตอนที่จารีฟขอร้องสุลต่าน เขาไม่ได้ขอให้ผมคนเดียว เขาขอให้คุณด้วย”
“ผมด้วยเหรอ?”
“ใช่ เขาขอ”
“แล้วไงครับ สุลต่านท่านให้ไหม” เด็กหนุ่มตื่นเต้นจนระงับใจไม่อยู่แล้ว
“ท่านให้สิ....แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง”
อ้าว?? ดีใจได้ไม่สุดแฮะ เขายิ้มเก้อเลย “ข้อแม้อะไร?”
คาริคไม่ทันได้ตอบ ประตูกระโจมสะบัดพรึ่บเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่ในชุดรัดกุมสีขาวซึ่งตอนนี้เป็นสีหมองพร้อมด้วยฝุ่นทรายเดินตึงตังเข้ามาหน้าบูดเป็นตูดหมึกเข้ามาเลย
“จารีฟ??”
“อย่าเพิ่ง....ขอนอนก่อน อีกชั่วโมงค่อยปลุกล่ะกัน”
“เหวอ!!” รติกรร้องลั่น ร่างสูงโถมทับเข้ามาพาเขาล้มกลิ้งบนฟูกนิ่มด้วยกัน “เลแวนซ์”
“อืมมม....คิดถึงจัง” เขาว่าเสียงอ่อนล้า วงแขนกอดรัดเอวเล็กแทบหัก
“เลแวนซ์ ปล่อยผมก่อน มันอึดอัดนะ ปล่อยสิ” ร่างเล็กดิ้นรนยังไงก็คลายวงแขนไม่ได้เลย มิหน่ำซ้ำยังเอาหน้ามาถูไถแผ่นหลังกับซอกคอเขาหน้าตาเฉย พอเขานิ่งเฉย ก็เฉยตามด้วยเสียงกรนเบาๆ หลับไปแล้ว หันไปมองคาริคอย่างขอความช่วยเหลือ รายนั้นยิ้มแหยๆแล้วถอยออกไปเลย
โธ่เอ้ย....เขาพยายามเอาตัวออกยังไงก็แกะไม่ออก ไอ้บ้า..ล๊อคอำมหิตจริงๆ จะไม่ให้ไปไหนเลยใช่ไหม ร่างเล็กดิ้นยุกยิกอยู่นานจนเหนื่อยสุดท้ายต้องยอมแพ้ นอนนิ่งอยู่ข้างๆอย่างนั้น จนวงแขนที่โอบรัดคลายตัวลงนิดหน่อย เขาค่อยๆพลิกตัวหันมาหาหนุ่มตัวโตกว่า
โอ๊ะ...ให้ตายสิ คนอะไรเวลาหลับนี้โคตรหล่อเลย รติกรมองค้างจนชักเมื่อยคอเลยดึงหมอนมารองหัว มองใบหน้าที่ได้รูปอย่างร้ายกาจนี้ชัดๆ ขนคิ้วดกเรียงเป็นระเบียบเรียวได้รูป จมูกโด่งเป็นสันซะน่ากัดจริงๆ ปากก็น่า..... หึ เพอร์เพ็กน่าหมั่นไส้จริงเชียว เหวอ!!! ร่างเล็กตกใจ จู่ๆวงแขนก็รัดแน่นจับเขาพลิกมานอนอีกข้าง แถมกอดแน่นกว่าเดิมอีก หน้าเขาซุกติดกับอกกว้างจนกระดิกไม่ได้เลยวุ้ย
“เลแวนซ์...” เขาเรียกเบาๆ ไม่มีเสียงขานนอกจากเสียงหายใจยาว กลิ่นแดดร้อนผ่าวโชยมาแตะจมูกทำให้รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ขนตายาวงอนกระพริบปริบๆหลายครั้งก่อนค่อยๆหลับลงโดยไม่รู้ตัว ในวงแขนนี้ทำให้รู้สึกสงบสบายใจเหมือนได้แอบอิงอยู่ในปรากการที่ปกป้องอยู่ตลอดเวลา
(ติดตามตอนต่อไป)
