{เรื่องมันยาวววววววววววววววววววววววววววววว}
สุดยอดมากกกกกกกกกกกกกก
เราได้ข้อคิดและอะไรหลายๆอย่างจากเรื่องนี้
ทั้งเรื่องที่รู้อยู่แล้วและยังไม่รู้ สิ่งที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน
มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนเลยทันทีคงไม่ได้
ทุกอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไปนี่ จริงไหมคะ?
ชอบคู่พี่วีกับพระกลสิทธิ์มากก ความทั้งของคุณทั้งสอง เป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนให้คนอ่าน
อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและมีกำลังใจมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่เราที่มีแต่เรื่องร้าย
มีคนอีกมากมายรอบตัวเรา ที่เค้าอยากมีอยากเป็นและอยากได้ชีวิตเหมือนเรา
ลำบากยิ่งกว่า ทุกข์ยิ่งกว่า ลำเค็ญยิ่งกว่า ไม่ต้องพูดเลยค่ะ เรื่องของเรานี่กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย
ดิฉันไม่อยากเอาบรรทัดฐานหรือตัววัดความอดทนของเราไปตัดสินใคร
คนเรามีความอดทนและขีดจำกัดไม่เท่ากัน
ส่วนใหญ่มักจะเคยได้ยินว่า 'พอเราผิดเขาว่า พอเขาผิดบ้างเล่า' ........นั่นประไร
บางทีก้อดคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่า.........ชีวิตเราเรียบง่ายเกินไปไหม?
ใช่ว่าเรียบง่ายมันไม่ดีหรอกค่ะ แต่บางที คนเราควรมีอะไรที่มากกว่านั้น
ความเรียบง่ายจนเกินไปทำให้ตัวเองเคยตัว จนกลายเป็นเรื่อยๆเอื่อยๆ เฉื่อยจนน่ารำคาญก็มี
แบบ..... รำคาญตัวเอง 5555 คือ ประมาณว่า เราจะเป็นคนประภท เฉยชาต่อรอบข้างมากไปรึเปล่า?
ถามตัวเองบ่อยๆ คิดเรื่องอนาคตบ้างบางที เหนื่อยก็พัก แต่พอจะเริ่มไม่รู้จะเริ่มยังไง
ไอ้เราก็นะ..........คิดน้อยจนน่าระเหี่ยใจ ฮะๆ แหม๋ ....ก็พอรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดหรือคิดมาก ก็จะเลิกคิดไปเลย
ไม่ค่อยชอบจมกับความทุกข์เท่าไหร่ กลายเป็นอารมณ์เปลี่ยนไวซะงั้น.....
แถมชอบรั่วกับเพื่อนบ่อยมากกกกก จนกลายเป็นว่าเพื่อนๆมักไม่ค่อยจะเข้าใจเราเท่าไหร่
ด้วยพื้นเพไม่ใช่คนคิดมาก แต่ก็ใช่ไม่คิดอะไรเลย จนกลายเป็นเพื่อนมองไม่ออกว่าเราคิดอะไรอยู่
แถมบ่อยครั้ง บางคนก็พูดแรงๆ และเอาจุดด้อยเรามาล้อบ่อยๆ คืออันนั้นเข้าใจว่ามันเป็นความคะนองปากของเค้าไงคะ
แต่บางทีก็อดหน้าม้านไม่ได้ แหะๆ แหม๋ ก้เราผู้หญิงนี่เนอะ เป็นประเภทไม่มั่นใจในตัวเองแถมยังอ่อนไหวกับพวกเรื่องหน้าตาบ่อยๆ ไม่รู้เพราะเค้าจับจุดนนี้ได้รึเปล่า ถึงได้เอามาพูดบ่อยๆ ...........
แต่ยังไงซะ ตอนนี้พวกเรายังเด็กๆกันอยู่ อาจมีเรื่องไม่เข้าใจ หรือเกิดจากความคึกคะนอง ตามประสาพวกฮอร์โมนวัยรุ่นพุ่งพ่าน (หวายยย อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเราว่าใครในที่นี้ว่า.....นะคะ จริงๆเรื่องพวกนี้มันเป็นปกติของฮอร์โมน โตหน่อยก็พอเข้าใจ รู้ว่าผิดจะได้ไม่ทำอีก ง่ายๆคือ ฮอร์โมนในช่วงวัยนี่เป็นอะไรที่น่าลำบากใจพอดูเลยค่ะ)
สุดท้ายนี้อยากขอคำแนะนำจากพี่วีสักหน่อยนะคะ ตัวแจมเองยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ บางทีเราควบคุมอารมณ์หรือสติเราได้ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก แถมยังเรื่องการวางตัวที่ดีอีกต่างหาก ไม่รู้จะต้องพูดหรือแสดงกริยาท่าทางแบบไหนในช่วงเวลาไหน ยกตัวอย่างนะคะ เช่น มีคนรู้จักของแม่ แบบเราก็คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับพูดคุยได้สนิทใจ เราได้ไปเจอเค้าบ้างน่ะค่ะ ต้องทำตัวยังไงดี บางทีเราพูดๆไปแล้วแบบ.......อืม ผู้ใหญ่เค้าเงียบน่ะค่ะ ไอเราก็ชอบประหม่าไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ชอบหลุดอยู่เรื่อง ไม่รู้เพราะสนิทง่ายเกินไปหรืออย่างไร จนบางทีแอบคิดว่า ผู้ใหญ่เค้าจะคิดว่าเราปีนเกลียวรึเปล่า ประมาณนั้นน่ะค่ะ
อีกอย่างนะคะ แจมไม่ได้เป็นคนชอบพูดเรื่องความรู้สึกของเรา แบบ การกระทำเรามันจะบ่งบอกเองน่ะคะ เพราะแจมเป็นคนดูง่าย อันนี้พูดเลย แถมยังไม่ค่อยจะรู้ทันคนอื่นสักเท่าไหร่ อาศัยว่าเราไม่ค่อยสนใจใครแล้วก็เทคแคร์ความรู้สึกคนอื่นเท่าที่ควร
ไอครั้นจะไปเริ่มบทสนทนาหรือดูความคิดคนอื่นนี่ แจมไม่ถนัดเลยค่ะ นอกจากเค้าจะชวนคุยก่อน ที่เหลือแจมก็นะ.....ต่อบทไปไม่มีจบแหละค่ะ อ่า เริ่มอ้อมมากไป พูดหลักๆเลยละกันนะคะ แจมอยากถามพี่วีที่รักยิ่งว่า แจมควรวางตัวหรือเข้าใจความคิดความต้องการของคนอื่นได้ยังไง แบบ.... เราจะรู้จุดประสงค์ของเค้าหรือรู้ความต้องการของเค้ายังไงดีคะ
เพราะตอนแจมอยู่กับคนสนิทๆเนี่ย เหมือนเวลาแจมอยู่กับครอบครัวน่ะค่ะ แล้วมีญาติมาเยี่ยม แจมก็จะคุยสนุกสนานหาเรื่องโจ๊กๆมาพูดได้ไม่มีหยุด แต่พอห่างจากครอบครัวไป กลายเป็นคนพูดน้อยแถมบังดูเนือยๆไม่อยากทำไรอีก เคยถามพี่อยู่ แกบอกว่า เพราะแจมไม่คุ้นที่และไม่รู้จะวางตัวยังไง แถมยังกดดันอีก เพราะเราไม่รู้จะพูดอะไรยังไงกับผู้ใหญ่ดี แกไม่ใช่พ่อใช่แม่เรา จะให้ไปพูดแบบประว่า ปีนเกลียวนั่นแหละค่ะ ก็คงทำไม่ได้ ไอเราก็ไม่ใช่คนพูดจาฉอเลาะหรือประจบผู้ใหญ่เก่ง เหมือนสัญชาตญาณมันบอกน่ะค่ะ ว่า.... เค้าไม่ค่อยปลื้ม บางทีที่เราทำอะไรไป กลายเป็นกลัวหรือขี้ระวังไปเลย
จะพูดเท่าที่จำเป็นหรือทำเท่าที่เค้าเรียกหรือจำเป็น จนกลายเป็นเด็กหน้าเบื่อและดูไม่ดีไปเลย
เคยมีนะคะ โดนน้าว่าด้วย ว่าถ้าไม่อยากอยู่จะมาทำไม ถ้ามาแล้วเป็นแบบบี้ บลาๆ
บอกจากใจเลยว่าหดหู้สุดๆ แต่ก็ทำไรไม่ได้ เราไม่มีที่ปรึกษาไงคะ กับพี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะไม่ได้อยู่บ้านเรา โอยยย วุ่นวายสุ ดๆกับความคิดตอนนั้น จากคิดมาก ก็กลายเป็นไม่คิดไปเลย แล้วก็ปล่อยๆมันไป จนพ่อแม่มารับนั่นแหละค่ะ ถึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม วินาทีนั้นรู้เลย ไม่มีบ้านไหนอุ่นใจเท่าบ้านเรา แล้วก็ไม่มีใครที่เราอยู่แล้วสบายใจเหมือนพ่อแม่ของเราอีกแล้ว
หวายย พร่ามมาเยอะมากกกก จนกลายเป็นออกทะเลไปแล้ว(แอบลืมว่าตัวเองถามอะไรพี่วี)
สุดท้าย(แล้วจริงๆค่ะ) ขอขอบคุณเรื่องเล่าและประวบการณ์ทั้งดีและร้ายของพี่วีและพระกลสิทธิ์ ทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องสังคม ความเป็นอยู่ มันทำให้แจมได้คิดอะไรหลายๆอย่าง ว่าเราจะไปแคร์อะไรกับสังคม ที่เป็นเพียงคนนอกคนที่เค้าไม่ได้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรา ไม่ได้มาแบ่งปันจุนเจือในวันที่เราขาด และไม่ได้มามีส่วนร่วมในวันที่เรามี
สุดท้ายสังคมก็เป็นเพียงเปลือกนอก ที่สะท้อนถึงจิตใจด้ายมืดของคน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใช่ว่าสังคมจะไม่มีเอี่ยวในชีวิตประจำวัน
บางทีการดำเนินชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับสังคม จะดีจะชั่วก็อยู่กับสังคม
แต่สำคัญที่สุด อยู่ที่ตัวเราเอง เราควรแคร์ในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แคร์สังคมครอบครัวที่ทำให้เรามีวันนี้ได้
แคร์เพื่อนๆ ที่ทั้งดี และ ไม่ดี หยิบยกประสบการณ์จากคนรอบตัวมาเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต
รู้ อะไรดี .... ทำ รู้ อะไรไม่ดี.....ไม่ทำ วันนี้เราเป็นเราได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่หล่อหลอมมา แต่สุดท้าย
เราจะเป็นอะไร ก้อยู่ที่ตัวเราเอง ดังที่ว่า 'สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ' คิดดี ทำดี พูดดี เราก็ต้องได้ดี จริงมั้ยคะ?
ทุกวันนี้ชีวิตพี่วีก็มีความสุขและสมหวัง เพราะบุญและผลจากสิ่งที่พี่วีได้ทำมา อดีตเหล่านั้น ทำให้เป็นพี่วีในวันนี้
แจมเองก็รู้สึกขอบคุณอดีตเช่นกัน แม้นจะทำผิดพลาดมามากมาย แต่เพราะมันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราก็ควรปล่อยให้มันลอยไปกลับกาลเวลาและสลักมันไว้กับคำว่า'อดีต' ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะช่วยให้เราโตขึ้น อยู่กับปัจจุบันและทำให้ดีที่สุด
แจมเชื่อ และมั่นใจอย่างยิ่งว่า ไม่ว่าปัจจุบันในวันข้างหน้าหรืออนาคตจะเป็นเช่นไร แจมก็จะยังคงเป็นแจม ที่พร้อมจะก้าวไปกับเวลาเสมอ ไม่ถอยหลัง ไม่หยุดนิ่ง และไม่ก้าวข้ามมันไป แต่แจมจะเดินไปพร้อมๆกับมัน ขอบคุณค่ะ!...........
