Special Room 02 [Far’s chapter]
มันเป็นบ้าอะไรถึงได้มาทำแบบนี้กับผม...
หรือมันจะเมากัญชาแบบที่ผมกับไปป์นินทาเอาไว้จริง ๆ ... ผมพยายามโฟกัสสายตาตัวเองให้จดจ่ออยู่กับระลอกคลื่นน้ำที่ไหวไปมา แม้ว่าจิตใจของผมจะไม่สงบเอาเสียเลยในตอนนี้...
ตอนที่มีใครไม่รู้มานั่งจ้องหน้าเหมือนกูเป็นหมีแพนด้าในสวนสัตว์!!!! ผมขยับตัวยุก ๆ ยิก ๆ แสดงออกบ้างว่าผมรำคาญเขามากพอดู แต่เขาก็ยังคงนิ่งอยู่กับที่ คลี่ยิ้มออกมาสบาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีบรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้เกิดขึ้นเลย... เขาต้องเมากัญชามาแน่ ๆ !!! แม่งนั่งยิ้มห่าอะไรไม่รู้ตลอดเวลา แถมเสือกทำตาลอย ๆ อีก... แล้วเกิดมันคลั่งคว้ามีดขึ้นมาปาดคอผมแล้วโยนลงอ่างเก็บน้ำไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เหรอ ? นักศึกษาทุกคนก็จะได้ใช้น้ำจากศพผม... เออ จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ ผมจะได้เป็นคนที่โลกสนใจบ้างไง...
เริ่มไร้สาระอีกแล้วกู...
ก็ใครใช้ให้ไอ้แบ็คกราวด์แมนโผล่มาลูบหัวผมแล้วถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เสร็จแล้วก็หย่อนตูดนั่งข้าง ๆ ผมหน้าตาเฉย ไม่พูดอะไรสักคำแถมยังยิ้มแบบเลื่อนลอยให้ลมให้อากาศแถวนั้น ไอ้ผมที่กำลังทำเอ็มวีอกหักซึ้ง ๆ อยู่ ถึงกับน้ำตาไหลย้อนกลับเลยครับ... กลัวมันจะลุกขึ้นมาฆ่า จะวิ่งหนีก็ไม่กล้ากลัวมันวิ่งตาม ผมขาสั้นกว่ามันตั้งเยอะ คิดว่าไม่รอดแน่ ๆ ตอนนี้เลยได้แต่นั่งตัวแข็งเป็นหิน จะขยับก็ไม่กล้าจะด่าก็ดันกลัวซะนี่...
“เฮ้อออออออออออ ~ อากาศที่นี่ดีเนอะ ว่ามั้ยครับ”
“....” ผมเงียบ มันไม่ได้คุยกับผมมั้ง ก็มันไม่ได้มองหน้านี่ คุยกับกุมารทองที่เลี้ยงไว้รึเปล่าวะ ??
“แหม... เงียบจังเลยเนอะครับแถวนี้...
น้องหนูดีว่างั้นมั้ยครับ” มันแหงนหน้าพูดกับอากาศด้านบน
เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย !!! ผมสะดุ้งเฮือก กระโดดเด้งออกมาจากพื้น มันคุยกับกุมารทองจริง ๆ ใช่มั้ย !!!!
ไอ้แบ็คกราวด์แมนตวัดสายตามามองผม “อ้าว...รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ”
เชี่ยนี่... มึงอย่าพูดเหมือนในละครตอนที่นางเอกมันโดนมอมเหล้าได้มั้ยวะ ผมนั่งกอดเข่าเงียบไม่ตอบอะไรมัน
มันแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า “น้องหนูดีครับ...พี่เขาไม่ตอบ ช่วยพี่หน่อยสิ” มันค่อย ๆ เลื่อนสายตามาที่ผมช้า ๆ ... พร้อมกับเน้นเสียง
“ทำยังไงก็ได้ให้พี่เขาตอบหน่อย...” “คะ...ครับ !!! อะ...อากาศดีมาก” อ้ากกกกกกกกกกกกกกกก !! ... ก็ผมกลัวนี่ครับ เผลอตะโกนเข้าไปเต็มสตรีมเลยกู หน้าเน่อนี่เหรอหราไปหมด
ไอ้แบ็คกราวด์แมนหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “แหม...ก็พูดได้นี่ครับ”
แน่ล่ะสิ... กูไม่ได้เป็นใบ้ซะหน่อย ไอ้ห่านี่ !!!! “เพื่อนไปป์มาทำอะไรที่นี่ครับ” แล้วมันใช่ธุระอะไรของมึงมั้ยฮะ !?!?
“นั่งเล่น” บ่นไปงั้นแต่ก็ตอบครับ... ผมกลัวมันเล่นของใส่
“สงสัยตากลมนานไปหน่อยนะครับ” มันคลี่ยิ้มให้ “ตาบวมเชียว”
อุ๊ก... รู้สึกเหมือนโดนหมัดขวาฮุกเข้ามาอย่างจัง ผมรีบฟุบหน้าลงกับเข่าเพื่อหลบซ่อนสายตาที่เหมือนจะมองทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย...
“เวลาอกหักผมก็ชอบมาที่นี่บ่อย ๆ สงบดีนะครับว่ามั้ย” ผมก็พยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่อง... มันเกี่ยวอะไรกับอกหักวะ กูก็บอกแล้วว่ามานั่งเล่น ไม่เชื่อรึไงวะ
“ผมว่าอ่างเก็บน้ำตรงนี้วิวสวยกว่าที่อ่างหลักเยอะเลยนะครับ แปลกดีที่ไม่มีใครมาเลย ฮะฮะฮะ” เอิ่ม... เสียงหัวเราะเห่ย ๆ นั่นมันอะไรกัน... ผมยังเงียบไม่ตอบอะไร
“หนูดีครับ...” “คะ...ครับ !! ผมก็คิดว่างั้น !!! ”
อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก... ผู้ชายคนนี้กำลังจะเล่นสงครามประสาทกับผมรึไงวะ !!!!! ก็กูไม่อยากพูดด้วยนี่หว่า ดูแค่นี้ยังไม่รู้อีกรึไงวะ !!!! ผมได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ จะทำอะไรก็ไม่กล้า ก็ไอ้คนนี้มันธรรมดาที่ไหนล่ะครับ
“เพื่อนไปป์หน้าตาดูไม่สบายใจเลยครับ” เออ... กูไม่สบายใจเพราะมีมึงอยู่ข้าง ๆ เนี้ยแหละ “มีอะไรเล่าให้ผมฟังได้นะครับ ผมเพื่อนคินนะ... เพื่อนของแฟนของเพื่อนก็เหมือนเพื่อนของเรา” ฮะ!? อะไรนะ ?? ผมลำดับความไม่ถูก อะไรแฟน ๆ อะไรเพื่อน ๆ นะ ??
“ระ...เราไม่มีอะไรหรอก” ถึงจะยังงง ๆ อยู่แต่ผมก็ยังตอบได้ครับ แน่ล่ะใครจะยอมให้มันมารู้เรื่องของผม...
“รู้มั้ยครับ เวลาพวกผมเครียด ๆ เราชอบมาที่นี่กันบ่อย ๆ เพราะมันเงียบสงบดี ที่สำคัญอะไรรู้มั้ยครับ” กูจะไปรู้กับมึงได้ไง “มันตะโกนได้ครับ”
ภาพเมื่อวานตอนเย็นวาบเข้ามาในหัวผม อ๋อ... มิน่าล่ะผู้ชายที่ชื่อกันกับภคินเลยมาตะโกนเย้ว ๆ กันใหญ่ ที่แท้ก็เป็นที่ประจำของกลุ่มนี่เอง แต่จะดีกว่านี้มากนะครับ ถ้ามันไม่ดันมาทับซ้อนฐานทัพลับของผมเนี้ย...
“แล้วที่ตอนนี้ผมมาเนี้ย เพราะผมอยากมาปลดปล่อยเรื่องเครียดเนี่ยแหละครับ”
“อ่า...งั้นนายคงอยากอยู่คนเดียวสินะ งั้นเราไปก่อนนะ”
ได้โอกาสปุ๊บผมก็รีบลุกปั๊บไม่ให้เสียเวลา แต่ไอ้เมากัญชานี่เสือกคว้าแขนผมไว้ก่อนครับ แถมยังดึงเป็นเชิงให้ผมกลับไปนั่งที่เดิมอีก... ผมก็เลยต้องทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก
“เวลาอยากระบายเรื่องราวอะไร เราก็ต้องอยากมีคนอยู่ข้าง ๆ ใช่มั้ยล่ะครับ” คำพูดนั่นทำเอาผมรู้สึกจุกขึ้นมาในอก... ใช่สินะ... ผมก็ลืมไป...
“เอาล่ะ...นั่งอยู่เฉย ๆ นะครับ”
แบ็คกราวด์แมนลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวให้ใกล้กับขอบอ่างเก็บน้ำมากขึ้น... มันยกมือขึ้นป้องปากเอาไว้พร้อมกับโก่งคอตะโกนเสียงดัง...
“เพื่อนไปป์ชื่ออะไรครับ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย !!! นี่มันวิธีระบายอารมณ์บ้านไหนวะเนี้ย !!!!!!มันหันกลับมามองหน้าผมที่ยังคงงงเอ๋อเซ่อแดก อ้าปากค้างเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี... แล้วมันก็หันหน้ากลับไปทางเดิม
“เพื่อนไปป์ชื่ออะไรคร้าบบบบบบบบบบบบ ~ ~ ” คราวนี้มันลากเสียงยาวเป็นกิโลฯ หันกลับมามองหน้าผมใหม่ ผมอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิม...
“เพื่อนไปป์ไม่ยอมตอบผมเลย ชื่ออะไรครับ !!!!!!!!!!!!!!!!! ”
“ยังไม่ตอบอีกเหรอครับ !!!! เพื่อนไปป์ชื่ออะไรครับบบบบบบบบบบบบบบบ !!!!!!!! ” “ผะ...ผมชื่อฟาร์ครับ !!!!!!!! ” ผมเผลอตะโกนตอบกลับด้วยความตกใจ เพราะรู้สึกเหมือนโดนครูฝึก ร.ด. ด่าตอนสมัยอยู่โรงเรียนเลยเผลอตัวไปหน่อย แบ็คกราวด์แมนหันมาคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ผม
“ผมชื่ออาร์ทนะครับ !!!!!!! ” มันหันหน้าไปตะโกนใส่น้ำ “ยินดีที่ได้รู้จักครับบบบบบบบ !!!!!!! ”
มันหันมามองทำท่าจะตะโกนต่อผมเลยต้องรีบตอบ “อะ...ครับ”
“ฟาร์เป็นอะไรครับ !!!!! หน้าตาไม่สดชื่นเลย !!!!!!! ” เออ... คือมึงจะตะโกนอีกนานมั้ย...
“คือ...คุยดี ๆ ก็ได้ ไม่ต้องตะโกนแล้ว” พอผมพูดแบบนั้นอาร์ทก็หันมามองยิ้ม ๆ แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งข้าง ๆ ผม
“ยอมพูดด้วยแล้วเหรอครับ”
อ๋อ... นี่กูเลือกไม่คุยด้วยได้งั้นสิ ??? “แล้วตกลงเป็นอะไรไปเหรอครับ... ถึงได้นั่งตากลมจนตาบวมขนาดนี้... ” มันหันมายิ้มแบบรู้ทันผม
“พูดเหมือนรู้แล้วจะถามอีกทำไม” ผมทำหน้างอใส่มัน... ก็จริงนี่พูดมาซะขนาดนี้แล้วมันก็คงรู้อยู่แล้วล่ะ...
“ผมจะรู้ได้ยังไงครับ...ถ้าฟาร์ไม่บอกน่ะ”
ผมเข้าใจละ... ที่ไปป์มันเคยบอกไว้ว่าไอ้แบ็คกราวด์แมนคือตัวหายนะของมวลมนุษยชาติ !!!!! “อกหัก....จบรึยัง ผมจะได้กลับบ้านแล้ว”
“ว้า ~ จะกลับแล้วเหรอครับ ไม่เป็นไร ยังไงวันมะรืนก็เจอกันใหม่”
“นายรู้ได้ยังไงว่าเราจะเจอกัน”
“พรุ่งนี้ฟาร์มีงานบายเนียร์ของคณะใช่มั้ยล่ะครับ ส่วนมะรืนน่ะ...เราเจอกันแน่ ๆ ครับไม่ต้องห่วง” มันยิ้มให้ผมที่ทำหน้าอึ้ง ๆ ว่ามันรู้ได้ไง “อ้าว...ไม่กลับแล้วเหรอครับ ? ”
ผมรีบลุกพรวดพราดแทบจะวิ่งออกไป... กูรอโอกาสนี้มานานแล้วไง แต่ไอ้อาร์ทดันขัดขึ้นมาซะก่อน...
“อ๊อ...ผมลืมบอกไปอย่างหนึ่ง คุยกับผมไม่ต้องพูดสุภาพตามก็ได้ครับ” ผมยังทำหน้างงว่ามันรู้ได้ไง ว่าผมพยายามพูดสุภาพอยู่
“เพื่อนกันก็ต้องนิสัยคล้ายกันใช่มั้ยล่ะครับ
พูดคำหยาบตามธรรมชาติของฟาร์เถอะครับ” มันยิ้มอ่อน ๆ ... “ไม่ต้อง
ฝืนเป็นคนสุภาพหรอกครับ”
อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!! มึงหลอกด่ากูใช่มั้ยไอ้แบ็คกราวด์แมน !!!!!!!!
ตอนนี้กูอยากจะเหยียบให้มึงเหลือแค่กราวด์แมนแล้วว้อย !!!! ผมเดินปึงปังออกมาอย่างหัวเสีย... เกิดมาไม่เคยเจอใครกวนประสาทได้ขนาดนี้มาก่อน หมดอารมณ์จะอกหักเลยกู ผมปิดประตูรถดังปัง... นี่ถ้าป๊ารู้มีหวังโดนบ่นหูชาแน่ ๆ ....
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน... เฮ้อ... ยังรู้สึกร้าว ๆ ที่อกอยู่เลย พรุ่งนี้ต้องไปงานบายเนียร์ซะด้วยสิ ผมควรจะบอกเรื่องนี้กับไปป์ดีมั้ยเนี้ย ? มันจะไม่สบายใจรึเปล่า ? ...
อันที่จริง... คนอย่างผมมีสิทธิ์พูดอะไรด้วยเหรอ ???
อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ สิ่งที่ทำได้ก็คงต้องทำตัวเงียบ ๆ ให้เป็นปกติที่สุดสินะ... ..............................................................................
.....................................................
....................................
...............
เมื่อวานซืนไปป์หน้าตาไม่สบายใจเอาเสียเลยครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงได้อีรุงตุงนังกันถึงขนาดนั้น ผมชวนไปป์มานอนบ้านเผื่อมันจะได้สบายใจขึ้น แต่มันบอกว่ายังไม่ได้เก็บของ ผมเลยต้องปล่อยมันกลับห้องไป รู้สึกไม่ค่อยดีเลย ไม่รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรกับภคินรึเปล่านะ แต่เห็นหน้ามันผมก็ไม่กล้าถามอะไรแล้วล่ะ เมื่อวานมันโทรมาบอกผมว่าถึงบ้านที่เชียงใหม่แล้ว ผมก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
ตอนนี้มหาลัยปิดเทอมโดยสมบูรณ์แล้วครับ เว้นเสียแต่ผมที่ยังมีงานชมรมให้ไปเคลียร์อีก เพราะว่ามีงานแสดงการกุศลอีกครั้งหนึ่ง เลยต้องไปซ้อมอีกเรื่อย ๆ ... เฮ้อออออออออ... แล้วผมจะมองหน้าแซ็กยังไงเนี้ย...
ผมมาถึงห้องชมรมในตอนบ่ายสอง คนในชมรมก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องซ้อมแล้วเอากระเป๋ามาวาง...
“ไงฟาร์...งานบายเนียร์คณะสนุกมั้ย” อ่า... แจ็กมาทักผมคนแรกเลยแฮะ พอรู้ว่าเขาจีบผมอยู่เลยรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย
“ก็ดีแหละ...แต่มีเรื่องนิดหน่อย”
“หูยยยยยยยยยยยยยยยย... ไม่หน่อยแล้วค่ะน้องฟาร์” พี่นก เจ๊ขาเม้าท์ประจำชมรมลุกขึ้นมาร่วมแจมทันที “เพื่อนพี่นะคะ เห็นเหตุการณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟแนบชิดติดจอเลยค่ะ มันบอกว่าคนงี้อึ้งกันทั้งงาน น้องฟาร์เห็นเหตุการณ์รึเปล่าเนี้ย”
“ก็เห็นเต็ม ๆ อะครับ”
แจ็กขมวดคิ้วเหมือนสงสัย “เกิดอะไรขึ้นในงานเหรอ ? ”
“แจ็กไปอยู่ไหนมาจ๊ะ” พี่นกแย่งผมตอบทันที “เดือนมหาลัยรุ่นเราน่ะ ควงน้องเพลงดาวคณะบริหารไปงาน แล้วบังเอิ๊นบังเอิญ ยัยแอมไปเจอเข้าก็ไปตบกันกลางงานเลยค่าน้อง !!! พี่ฟังแล้วขนลุก” พี่แกเล่าไปทำท่าประกอบไปด้วยครับ
“ขนลุกอยากเข้าไปอยู่ในงานใช่ปะพี่”
“แจ็ก...อย่ามารู้ทันพี่” พี่นกหัวเราะ “เออนี่...ที่ยิ่งกว่านั้นนะ เขาบอกว่าตอนนี้น้องคินเลิกกับยัยแอมแล้วล่ะ เมื่อคืนมีคนเจอน้องคินไปไหนไม่รู้กับน้องเพลงสองต่อสองด้วยนะ...ไวไฟมากค่ะ !!! ”
ผมนั่งนิ่งเพราะยังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินมา... ภคินเลิกกับแอมแล้ว ? แล้วไปคบกับเพลงงั้นเหรอ ???
“คินมันโง่รึเปล่าอะพี่นก แอมออกจะสวยปานนั้น”
“หูยยยยยยยยยยยย...น้องแจ็กขา ~ คิดแบบนั้นไม่ได้ค่ะน้อง” พี่นกทำเสียงจุ๊ ๆ “ยัยแอมน่ะร้ายจะตาย พี่ยังงงอยู่เลยว่าน้องคินทนไปได้ยังไงตั้งนาน ทั้งวีนทั้งเหวี่ยง แถมวันก่อนพี่ยังเห็นไปควงเดือนมหาลัยปีนี้ด้วยนะ...ถ้าพี่เป็นผู้ชายนะ ต่อให้สวยยังไงพี่ก็ไม่เอาหรอกค่ะ”
“อืม...นั่นสิครับ ผมก็ชอบแบบเงียบ ๆ น่ารัก ๆ ” เอ๊ะ... แล้วจะพูดไปมองหน้ากูไปทำไมครับ...
“เราไปหาอะไรกินนิดหน่อยนะ...”
ผมรีบปลีกตัวลุกขึ้นมา พอรู้ตัวว่าเขาจีบเลยรู้สึกอึดอัดแบบแปลก ๆ เลย... เฮ้อออออออออ พอเลื่อนเปิดประตูเท่านั้นแหละ... ตายห่า ผมได้เผชิญหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอที่สุดตอนนี้...
“ไปไหนอะฟาร์” แซ็กยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง... ตายห่าละ รู้สึกเหมือนมองหน้าไม่ติด
“ระ...เราว่าจะไปหาอะไรกินน่ะ” ผมหลบตา “เราไปก่อนนะ”
“เดี๋ยว” แซ็กคว้ามือผมไว้ “ไปด้วยกัน เราเลี้ยงเอง”
ไม่รอให้ปฏิเสธอะไร แซ็กเดินลากแขนผมลงไปใต้ตึกทันที มาหยุดอยู่ที่ลานกว้าง ๆ ที่มีร้านขายขนมเยอะ ๆ
“กินข้าวมารึยัง” ผมพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวเราเลี้ยงไอติม เอาช็อกโกแลตแล้วกันเนอะ”
และพี่ท่านก็ไม่รอคำตอบอีกตามเคย แซ็กเดินไปซื้อช็อกโกแลตซันเดย์ ไอ้ผมก็เลยต้องเลยตามเลยนั่งรอที่โต๊ะ โชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอม มอเลยแทบไม่มีคน ไม่งั้นมีคนมาเห็นผู้ชายสองคนนั่งกินไอติมคงประหลาดพิลึก...
แซ็กทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผม พลางเลื่อนแก้วไอติมช็อกโกแลตมาตรงหน้าผม ส่วนของเขาเป็นรสไมโล ผมเริ่มก้มหน้าก้มตากิน มันเกร็ง ๆ ... ทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้สิ...
“ฟาร์...เป็นไงมั่ง”
“กะ...ก็ดี อร่อยดี” แซ็กหลุดหัวเราะ... ทำไมมีอะไรน่าขำรึไงวะ
“เราไม่ได้หมายถึงไอติม...เราหมายถึงฟาร์อะ”
“อ่า...เรา...” ผมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดอะไรไม่ออก ส่วนแซ็กก็เริ่มจ้องหน้าผมมากขึ้น
“เราจะบอกว่าขอโทษนะ” “มะ...ไม่เป็นไรหรอกเรื่องความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว” ผมฝืนยิ้มฝืด ๆ ให้เขา แซ็กส่ายหน้าเบา ๆ
“เราไม่ได้ขอโทษเรื่องนั้น เราขอโทษที่แต่ก่อนทำตัวเฉยชาใส่ เราแม่งงี่เง่าว่ะ...เหี้ยเอ๊ย” เอ๊า !! สบถใส่ซะงั้น “แม่งทนไม่ไหวละ เอาแบบฉบับกูเลยนะ กูแม่งโคตรไร้สาระที่อยู่ ๆ ไปทำตัวเย็นชาใส่มึงซะอย่างงั้น ทั้ง ๆ ที่มึงไม่ได้ทำอะไรให้ด้วยซ้ำ กูแม่งโคตรควายที่ไปหวงเพื่อนกับมึง... กูแค่อยากจะขอโทษมึงว่ะ”
ผมนั่งมองตาค้าง... เฮ้ย... อยู่ ๆ พี่ก็เล่นงี้เลยเหรอครับ ผมตามไม่ทันครับพี่ !!!
“เออ...เรา...”
“ไม่ต้องเรา - นายห่าเหวอะไรแล้ว เพื่อนกันแม่งไม่ต้องพูดงั้นหรอก” ผมคลี่ยิ้มออกมากับคำพูดนั้น
“เออ...กูให้อภัยมึง” ผมกับแซ็กยิ้มให้กันแล้วหัวเราะออกมา รู้สึกเหมือนยกภูขาออกจากอก ความรู้สึกที่ค้างคาใจมันได้หายไปบ้างแล้ว ถึงผมจะยังเจ็บอยู่บ้าง... แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรแล้วในเมื่อตอนนี้ผมมีเพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคนนึงแล้วนี่ มองในแง่ร้ายไปก็คงไม่ได้อะไร ผมมองให้ชีวิตตัวเองมีความสุขดีกว่าครับ...
จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดของผมกับแซ็กอาจจะไม่ใช่ความรัก แต่เเป็นมิตรภาพก็ได้นี่ครับ... ตอนนี้ผมสามารถคุยกับแซ็กแบบเป็นปกติได้แล้วล่ะครับ... อ๊อ... ไม่สิ แต่ก่อนนะเราคุยกันแบบไม่ปกติ แต่ตอนนี้น่ะ มันเป็นธรรมชาติซะยิ่งกว่าอีก ผมยิ้มให้เพื่อนใหม่ด้วยความสุขใจ กดความรู้สึกเจ็บเล็ก ๆ ลงไปให้ลึก ถ้าเรามองไม่เห็นมันเสียอย่างมันก็คงทำร้ายเราไม่ได้...
เหมือนเสี้ยนที่ปักลงบนเนื้อ... ถ้าไม่ไปแตะมัน มันก็คงไม่เจ็บขึ้นมาหรอกครับ... ผมวางฟลุตแสนรักลงในกล่อง หลังจากวันนี้ซ้อมทั้งวันจนเมื่อยกระพุ้งแก้มไปหมด พี่พลบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้ว ตอนนี้ในห้องเลยค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย เพราะต่างคนต่างรีบเก็บของจะกลับบ้าน ผมยัดกล่องไม้สีดำลงเป้อย่างรวดเร็วแล้ววิ่งไปที่ประตูทันที คนในชมรมโบกมือบ๊ายบายเป็นระยะ ๆ พอเห็นแซ็กบ๊ายบายแล้วรู้สึกจั๊กจี้ดีแฮะ ปกติไม่เคยทำ... ตลกดีครับ ผมเห็นแจ็กยืนพิงกรอบประตูเหมือนจะพูดอะไรกับผม ไม่เอานะโว้ย... อย่าเพิ่งมาจีบอะไรกูตอนนี้ กูไม่พร้อมอะไรทั้งนั้น...
“โอ๊ะ...ชมรมเลิกแล้วเหรอครับ” ผมอ้าปากค้างเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ถัดจากแจ็กไป แบ็คกราวด์แมนยืนยิ้มแฉ่งเอามือซุกกระเป๋ากางเกง
“ผมบอกแล้วว่าเราจะเจอกัน”
เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยย... นี่มันไม่ใช่ความบังเอิญแล้วว้อย มึงจงใจชัด ๆ เลยเฟ้ย !!!! ไอ้อาร์ทเดินมากระตุกเสื้อผมเป็นเชิงให้เดินตาม ตอนแรกผมก็จะง้างปากด่าอยู่แหละครับ แต่หันไปเจอสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในห้อง เลยต้องเป็นอันหุบปากแล้วเดินตามมันไปเงียบ ๆ มันเดินนำผมลงไปข้างล่างแล้วไปหยุดแถว ๆ รถป๊าผม... ผมขมวดคิ้วเป็นเชิงบอกว่า ‘มึงรู้ได้ไงวะ’
“น้องหนูดีบอกน่ะครับ แถมบอกด้วยนะว่าฟาร์จะยอมให้ผมขึ้นรถ”
“น้องเขาบอกผิดแล้วมั้ง”
“ไม่นะครับ” มันยิ้มอย่างเลื่อนลอย “น้องหนูดีไม่เคยโกหก... ถ้าต้องโกหกก็ขอ
ตายดีกว่าครับ”
“จะขึ้นก็รีบขึ้น แล้วจะติดรถเราไปลงไหน”
ไอ้อาร์ทกระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย “ไม่เอาสิครับ บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องพูดจาเกร็ง ๆ แบบนั้นหรอก”
“เออ...มึงรีบขึ้น แล้วจะไปไหนก็บอกกูมา” วันนี้มันอะไรกันนักหนา ทำไมใครก็อยากให้กูพูดหยาบด้วย...
ผมปิดประตูดังปังที่ฝั่งคนขับ ไอ้แบ็คกราวด์แมนก็แทรกตัวเข้ามาในรถอีกฝั่งหนึ่ง นั่งหลังตรงคาดเข็มขัดเป็นคุณชายเลย...
“จะไปไหน” ผมถามมันอย่างไม่สบอารมณ์
“ไปอ่างเก็บน้ำครับ” ไอ้อาร์ทนั่งประสานมือไว้ด้านหน้า นี่ถ้าใครผ่านมาเห็น คงคิดว่าผมเป็นคนขับรถที่บ้านมันอะครับ โชคดีที่รถป๊าติดฟิลม์นะเนี้ย...
พอจอดรถปุ๊บมันก็เดินนำผมขึ้นไปที่เนินช้า ๆ ผมเดินตามเอื่อย ๆ บรรยากาศสบาย ๆ ลมพัดเย็น ๆ เหนืออ่างเก็บน้ำชวนให้รู้สึกผ่อนคลายจริง ๆ มันหย่อนตูดลงนั่งแล้วมองหน้าเป็นเชิงให้ผมนั่งตาม... ผมก็ต้องเลยตามเลย สักพักมันก็รื้อ ๆ ของที่ถุงเซเว่นที่ผมเพิ่งเห็นว่ามันเอามาด้วย
“ดื่มสิครับ” มันยื่นกระป๋องน้ำผลไม้มาให้ ผมก็รับมาสิครับ... ของฟรีใครจะไม่ชอบล่ะ...
“แล้ววันนี้มาหาทำไม”
อาร์ทแหงนหน้ามองฟ้าพลางเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ก็มาทำให้หายไม่สบายใจไงครับ”
อย่างมึงจะไปรู้อะไรว่ากูสบาย ไม่สบายน่ะฮะ !?
ผมแอบหันไปทำสีหน้าเอือมลับหลังมัน ก่อนจะปรับหน้าให้เป็นปกติ “ตอนนี้กูสบายใจแล้ว”
“โกหก...” อาร์ทพูดขัดขึ้นมา ผมแอบหลุดสีหน้าว่ารำคาญมันออกไป... คนอย่างมันจะรู้อะไรว่าผมรู้สึกยังไง และตอนนั้นเองที่มันเอามือมาจับคางผมให้เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องเข้าไปในตา...
“ตาเศร้าจริง ๆ ...”
ผมจุกจนพูดไม่ออก... ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้มันทะลักออกมา แล้วค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู้หัวใจช้า ๆ ... มันเจ็บ ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ผมเจ็บปวด... ถึงจะพยายามทำตัวเข้มแข็งมาทั้งวันก็ตามเถอะ แต่ลึก ๆ ในใจแล้วความเจ็บปวดก็ยังคงไม่ไปไหน มันยังตามหลอกหลอนผมไปเสียทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา...
รู้ตัวอีกทีน้ำตาผมก็ไหล...
ไอ้คนข้าง ๆ ไม่มีท่าทีตกใจเลยสักนิด มันไม่แม้แต่จะถามอะไรต่อ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นคนทำให้ผมร้องไห้แท้ ๆ มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปสองสามก้าว แล้วเอามือป้องปากเหมือนวันนั้น...
“ร้องไห้ทำไมครับ !!!!!!!! ” มันหันไปตะโกนใส่เหมือนวันนั้นอีกแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นอกจากม่านน้ำตาที่บดบังทุกสิ่ง...
“ผมถามว่าร้องทำไมครับ !!!!!! ”
“บอกผมหน่อยว่าร้องไห้ทำไมครับ !!!! ”
แล้วมันก็ตะโกนอะไรของมันก็ไม่รู้อีกสารพัดอย่าง ผมก็ยังนั่งนิ่งเอามือปาดน้ำตาที่หยดแหมะ ๆ ลงมาบนตัก...
“จะร้องอีกนานมั้ยครับ ผมเจ็บคอแล้ว!!!”
“ก็ใครใช้ให้มึงตะโกนล่ะ !!!!!! ” กูเหลืออดแล้วเว่ย ผมลุกขึ้นมาทั้ง ๆ ที่น้ำตานองหน้าอย่างงั้น แล้วเริ่มตะโกนด่ามันกลับบ้าง
“ก็แล้วทำไมไม่ตอบผมล่ะครับว่าร้องไห้ทำไม !!!! ” นั่น... มันยังเล่นไม่เลิก...
“กูอกหัก...เข้าใจรึยัง !!!!!!!!! ” ผมเอาแขนมาปาดน้ำตาออกไปจากหน้า “เหี้ยเอ๊ย !!!! มึงเป็นอะไรมากมั้ยวะ มาตะโกนอะไรอยู่ได้”
“แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ !!!!!!!!! ”
คราวนี้ผมเดินไปอยู่ข้าง ๆ มัน แล้วเริ่มป้องปากตะโกนบ้าง “เจ็บโว้ยยยยยยยยยยยยยยย !!!! เจ็บเหี้ย ๆ เลย !!!!!!!! เกิดมาแม่งไม่เคยอกหัก เพิ่งรู้เนี้ยแหละว่าแม่งเจ็บชิบหาย !!!!! ”
“ไหนบอกว่าสบายใจแล้วไงครับ ทำไมยังเจ็บอยู่ล่ะครับ !!!!! ”
“กูหลอก มึงดูไม่ออกรึไงไอ้โง่ !!!!! “
“มีอะไรจะฝากถึงคนหักอกมั้ยครับ !!!!! ”
“ไอ้เชี่ยแซ็ก !!!! มึงอย่าคิดนะว่ามึงจะสบายแล้ว กูเป็นเพื่อนกับมึงแล้วก็จริง แต่กูขอบอกมึงไว้ตรงนี้เลยนะเว่ย !!!! ” ผมเอามือชี้ไปที่อีกฝั่งของอ่างเก็บน้ำ เหมือนว่าแซ็กยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “มึงไม่เอากู แต่ไอ้ไปป์ก็ไม่เอามึงเหมือนกันแหละวะ !!!!! แล้วมึงจะได้ลิ้มรสน้ำตาแบบที่กูเป็นอยู่ตอนนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า !!!!!!!!!!!!!! ”
ผมเผลอหัวเราะทั้งน้ำตา การได้ตะโกนนี่มันเหมือนเป็นการระเบิดอารมณ์อย่างหนึ่งครับ เรื่องที่เก็บไว้ในใจของผมเลยพรั่งพรูออกมาหมดอย่างที่เห็น ผมเริ่มสำลักน้ำตาผสมเสียงหัวเราะ ช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริง ๆ สงสัยที่เขาบอกว่าคนอกหักจะเหมือนคนบ้านี่ท่าจะจริงแฮะ
ผมลืมไป... เวลาถูกเสี้ยนปักน่ะ ถ้าไม่เอามือไปโดน มันไม่เจ็บก็จริง แต่มันจะยังปักอยู่อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ... สร้างความเจ็บปวดทีละนิดจนจิตใจด้านชาไปเอง แต่หากถอนมันออก... แม้จะเจ็บ แต่ชั่ววินาทีต่อมาเราก็จะไม่เจ็บกับมันอีกต่อไป... “เชี่ยแม่ง สะใจว่ะ !!!!! คอยดูนะมึงจะต้องเสียใจที่ไม่เลือกกูโว้ยยยยยยยยยย !!!!!! ” คราวนี้ผมตะโกนเองโดยไม่ต้องมีคนนำ เล่นเอาไอ้คนข้าง ๆ ถึงกับหลุดขำพรวดออกมาเลย
รู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกว่าเลือดไหลขึ้นไปรวมกันอยู่ที่หน้า... เชี่ย กูทำอะไรลงไปวะ แม่ง !!! อายชิบหาย !!!
อาร์ทหยิบกระป๋องน้ำผลไม้ของผมที่วางไว้ แล้วยื่นมาให้ “แก้คอแห้งครับ”
เอิ่ม... มึงเป็นพรีเซนเตอร์น้ำผลไม้กระป๋องเหรอวะ ผมทำเป็นดื่มอึก ๆ ไม่สนใจสายตาแซว ๆ ของมันเลย... เผลอหลุดซะได้กู...
“สบายใจรึยังครับ” ผมพยักหน้าตอบ ปากยังอมขอบกระป๋องเอาไว้ “งั้นกลับกันดีกว่าครับ” มันยิ้มเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ผมก็ก้มหน้างุด ๆ เดินตามมันต้อย ๆ ไปที่รถตัวเอง
“ไปส่งผมลงตรงหน้าคณะก็ได้ครับ” ผมหันมามองหน้ามัน “คณะสถาปัตย์ฯ น่ะครับ ผมจอดรถทิ้งไว้นั่น” อ๊อ... ลืมไป มันเป็นลิ่วล้อภคินนี่หว่า คณะสถาปัตย์ฯ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอกครับ ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว...
“ฟาร์สบายใจรึยังครับ” ตะโกนซะหมดไส้หมดพุงแบบนี้ กูไม่สบายขึ้นก็เกินไปแล้วล่ะ...
“....” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“อะไรกันครับ สบายใจแล้วเงียบเฉยเลย” มันทำเสียงหัวเราะในลำคอ “ที่ตอนไม่สบายใจล่ะพูดเอาพูดเอา”
จะมีคนว่าอะไรมั้ย ถ้าผมจะขับรถอัดก๊อปปี้ฝั่งซ้ายของรถกับต้นไม้ข้างหน้า...
“สบายใจแล้ว ขอบคุณมาก !!! ” น้ำเสียงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าประชดประชันขนาดไหนครับ
“แหม...ฟังแล้วรู้สึกดีจังเลยเนอะ ว่ามั้ยครับน้องหนูดี”
“นี่มึง...” ผมทำหน้าจริงจังใส่มัน “กูถามจริง ๆ นะ... มึงเลี้ยงกุมารทองเหรอ”
อาร์ทยิ้มให้อากาศตรงหน้าเหมือนว่ามันมีตัวตน...
“ใครบอกครับ น้องหนูดีเป็นนางฟ้าประจำตัวผมต่างหากครับ” ใครแอบเอากัญชาให้มันเสพครับ... บอกผมที ????
TBC
สเปจะหยุดไว้ตรงนี้นะคะ
ตอนหน้าจะกลับเข้าตอนปกติแล้วค่ะ....
รอไป...อีก3เดือนกับคินนะคะ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก//โดนตบเกรียนแตก
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ
PS.อิมเมจอาร์ทกับแซ๊กค่ะ