-32-
“ไม่ได้หรอกครับ” หวางซิงตัดสินใจปฏิเสธคำชวนของมู่อี้จิงในเสี้ยววินาที “ตอนนี้คุณเซินถูกจับตัวไป ผมต้องรีบตามไปช่วย!”
“อะไรนะ?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว “เป็นไปไม่ได้หรอก ก็คุณยังปลอดภัยอยู่ตรงนี้ หากมีใครคิดจะจับตัวคุณเซินจริงคน ๆ นั้นก็น่าจะฆ่าคุณไปแล้วไม่ใช่หรือครับ?”
หวางซิงคิดตามแล้วก็เห็นจริงดังว่า หากมีคนคิดปองร้าย คนใกล้ชิดเช่นเขาย่อมไม่พ้นถูกสังหารไปด้วย เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าเซินเฟยมอบอำนาจให้เขาจัดการแทนในกรณีฉุกเฉิน แล้วทำไมเขาถึงถูกปล่อยตัวมาเฉย ๆ โดยมีเพียงเซินเฟยเท่านั้นที่ถูกจับตัวไป ซ้ำคนที่ปล่อยตัวเขายังบอกให้รอคนอยู่ที่นี่ จากนั้นมู่อี้จิงก็เจอตัวเขาพอดี มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ? หรือว่า...
“คุณมู่! คุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนเรียกคุณออกมา!” หวางซิงคิดว่าใครก็ตามที่จงใจทำให้เกิดเรื่องบังเอิญนี้ขึ้นย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวด้วยแน่
“ผมเองก็ไม่รู้หรอก เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้เป็นเบอร์ที่มีการป้องกันจากคลื่นรบกวนทำให้ติดตามคลื่นไม่ได้ ซ้ำเสียงที่โทรเข้ามายังเป็นเสียงดัดแปลง แต่ว่า...” มู่อี้จิงเงียบไปขณะมองดูเครื่องบันทึกภาพขนาดเล็กในมือ “ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนที่ทำเรื่องนี้นัก แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นยื่นเบาะแสมาให้อย่างละเอียดแบบนี้ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ประสงค์ร้ายก็ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็รับรองไม่ได้นี่ครับว่าคุณเซินจะปลอดภัยหรือเปล่า!?” เลขาหนุ่มร้องประท้วง “แล้วยังมือปืนที่ดักซุ่มก่อนหน้านี้อีก ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนที่พาตัวคุณเซินไปกับมือปืนคนนั้นไม่ใช่พวกเดียวกัน”
“เพราะหลักฐานอยู่ในมือนี้ไงล่ะ” มู่อี้จิงตอบ “ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องหักหลังกันเองแล้วส่งหลักฐานการว่าจ้างมาให้ผม ทั้งที่แผนกำลังไปได้สวย”
“ถ...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ....”
มู่อี้จิงจับมือหวางซิงแล้วบีบแน่น
“เราไม่รู้จุดประสงค์ของคนที่จับตัวคุณเซินไป แต่ว่า เรารู้จุดประสงค์และตัวตนที่แท้จริงของคนในบันทึกนี้ ดังนั้นเราควรจะตามคนที่รู้ตัวตนก่อนไม่ใช่หรือครับ? ผมคิดว่าการที่ทางนั้นส่งของสิ่งนี้มาให้เป็นเพราะต้องการยืมมือเราจัดการ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทางนั้นจะต้องติดต่อกลับมาแน่”
“ทำไมคุณถึงได้แน่ใจแบบนั้น?” เมื่อได้ยินคำถาม มู่อี้จิงก็ยืดอกอย่างภูมิใจ
“อย่าลืมสิว่าผมเป็นนักสืบนะ เรื่องจิตวิทยาอาชญากรผมศึกษามาจนปรุแล้ว”
หวางซิงยังอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ แม้มันอาจจะเป็นอย่างที่มู่อี้จิงพูดแต่ไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่จะทำให้เขามั่นใจได้ว่าเซินเฟยจะอยู่รอดปลอดภัยถึงตอนนั้น ซ้ำคนที่ปรากฏตัวในเครื่องบันทึกนี้....
ขณะที่กำลังพะว้าพะวงอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของหวางซิงก็ดังขึ้น
ไม่มีเบอร์ปรากฏ....
หวางซิงและมู่อี้จิงรีบมองหน้ากัน
หรือว่าจะเป็นคนที่โทรหามู่อี้จิงก่อนหน้านี้!?
หวางซิงรีบกดรับทันที
“คุณเป็นใคร?” นั่นคือคำถามแรกที่หวางซิงเลือก อย่างน้อยเขาอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าเซินเฟยจะปลอดภัยหรือไม่ และเชื่อใจอีกฝ่ายได้หรือเปล่า
“จำเสียงของผมไม่ได้หรือครับ?” ต้นสายหัวเราะพลางกล่าวเสียงสบาย ๆ น้ำเสียงเช่นนั้นมีหรือที่หวางซิงจะจำไม่ได้
“ฉู่เหวินจือ!”
“คุณเจอกับนักสืบมู่แล้วใช่ไหม? แล้วดูเครื่องบันทึกที่ผมทิ้งเอาไว้หรือยัง?” ฉู่เหวินจือไม่ได้นำพาต่อความตื่นตระหนกของหวางซิง เขายังคงสนทนาต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องราวทั่วไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของใคร
“คุณเซินอยู่ที่ไหน! คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!” หวางซิงยิงคำถามโดยไม่สนใจบทสนทนาที่ตอบกลับมา
“หวางซิง ผมดูเป็นคนร้ายในสายตาคุณแล้วสินะเนี่ย” แล้วฉู่เหวินจือก็หัวเราะอีกครั้ง “เอาล่ะ ผมจะบอกให้ก็ได้ ตอนนี้คุณเซินปลอดภัยดี แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร...ในตอนนี้...” เขาเน้นคำลงท้ายอย่างจงใจเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะให้เวลามากมายนัก
หวางซิงสูดหายใจลึก พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“คุณต้องการอะไร? ถ้าเป็นตำแหน่งจูเชว่ หรือการเข้าควมคุมองค์กร ถึงตายผมก็ยกให้ไม่ได้หรอกนะครับ”
“ถ้าผมจะเอาของพรรค์นั้นผมไม่ต้องยืมมือคุณกับนักสืบมู่ให้เสียเวลาหรอก สิ่งที่ผมต้องการก็อยู่ในมือคุณทั้งสองแล้ว” ฉู่เหวินจือเริ่มอธิบายหลังจากที่หวางซิงพร้อมจะรับฟัง “ก่อนอื่น ผมอยากให้คุณไปจัดการคนบงการมือปืน จะจัดการยังไงพวกคุณก็ปรึกษากันเอาเองแล้วกัน ผมเชื่อว่าพวกคุณมีวิจารณญาณต่อกรณีนี้คล้าย ๆ กัน เพียงแต่นักสืบมู่จะยอมรับวิธีการของคุณได้ไหมก็เป็นอีกเรื่อง ได้ข่าวว่าเขามีปัญหาเรื่องศีลธรรมขององค์กรใต้ดินใช่ไหม?” ฉู่เหวินจือหัวเราะเสียงลึก
“แค่นี้ใช่ไหมครับ?” หวางซิงตอบเสียงนิ่ง ไม่นำพาต่อเสียงหัวเราะที่เสียดหูของอีกฝ่าย
“หลังจากจัดการเรียบร้อยผมจะติดต่อไปอีกครั้ง แต่อย่าลืมว่าผมมีเวลาให้ไม่มากนัก ถ้าคุณจัดการได้เร็วก่อนผมจะคิดเรื่องสนุก ๆ ฆ่าเวลาได้ก็คงจะดีนะ?” หลังจากข่มขู่ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เป็นเอกลักษณ์จบ ฉู่เหวินจือก็ชิงวางสายไปก่อนที่หวางซิงจะได้ถามอะไรต่อ
“เป็นยังไงบ้าง? ฉู่เหวินจือเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้หรือ?” มู่อี้จิงไม่ได้ร่วมการสนทนาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหวางซิงกัดริมฝีปากคล้ายจะควักปืนออกมายิงใครสักคนได้เดี๋ยวนั้น และใครคนนั้นคงไม่พ้นเจ้าของนามที่เป็นหัวข้อสนทนา
“ฉู่เหวินจือ....ต้องการให้ผมกับคุณร่วมมือกันจัดการคน ๆ นี้” หวางซิงจับจ้องสายตาลงไปบนภาพที่ปรากฏบนเครื่องบันทึก “เป็นเรื่องแน่นอนแล้วว่าเขาบงการเรื่องมือปืนที่ซุ่มยิงในวันนี้ แต่ว่า...คุณมู่ คุณคิดจะจัดการเขายังไงถ้าจับตัวได้แล้ว?”
“สำหรับผม เขาต้องรับโทษตามกฏหมายแน่นอนอยู่แล้ว”
หวางซิงหรี่ตาลง
“นั่นไม่ใช่วิถีของมาเฟียหรอกนะครับ คุณมู่” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก “ผมเข้าใจคุณที่อยากจะจัดการเรื่องนี้ตามกฏหมาย แต่ว่า....ถ้าทำแบบนั้นแล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่มีคนช่วยเขาออกมาจากคุกแล้วกลับมาเป็นหอกข้างแคร่อีก”
มู่อี้จิงเกาหัวแกรก ๆ ดูเหมือนงานจะล่มตั้งแต่เริ่มหากความเห็นไม่ตรงกันอย่างนี้
“ผมไม่คิดว่าการฆ่าทิ้งจะดีต่อกรณีนี้หรอกนะ ก็.....” ตำรวจหนุ่มเว้นคำไปช่วงจังหวะหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ก็ผู้ชายคนนี้น่ะ....เป็นพ่อของจูเชว่ไม่ใช่หรือ?”
“เพราะแบบนั้นน่ะสิครับ!” หวางซิงโต้ก่อนจะชะงักไป “หรือว่าที่ฉู่เหวินจือ.....”
อยู่ ๆ ท่าทีของหวางซิงก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน จากที่เป็นเดือดเป็นแค้นแทบแย่ กลับเปลี่ยนมาเป็นท่าทางสับสนเพราะไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของใครอีกคนได้อย่างชัดแจ้ง ด้านหนึ่งก็เหมือนประสงค์ร้าย อีกด้านก็คล้ายประสงค์ดี หวางซิงเริ่มไม่เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงของฉู่เหวินจือแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเกินจะคาดคิดหรือเรียบง่ายจนไม่มีใครนึกถึงกันแน่
“เรื่องนั้นพักไว้ก่อนเถอะ ความจริง...แล้วผมยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกอีกเรื่องนึง” มู่อี้จิงกล่าวขึ้นทำให้หวางซิงหันกลับมาให้ความสนใจกับปัจจุบันอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีข่าวแว่วมาว่า คุณนายหลี่ แม่ของจูเชว่หายตัวไปอย่างกะทันหัน ถึงจะเป็นแค่ข่าวลือของเพื่อนบ้านก็เถอะนะครับ แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นเงาของคุณนายมานานเกินปกติแล้ว พอมีใครถามถึงคุณเซินหยู่ก็จะตอบปัดไปว่าคุณนายหลี่กลับไปเยี่ยมญาติที่แผ่นดินใหญ่ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น”
หวางซิงมุ่นคิ้ว
จะว่าไป หลี่จวี๋เหม่ยก็ไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้านใหญ่อีกเลยนับแต่เซินหยู่ถูกฉีกหน้าที่บริษัท แม้แต่ตัวเขายังนึกแปลก เพราะคนที่รักลูกถึงขนาดนั้นซ้ำพ่อยังก่อเรื่องถึงขนาดนั้น มีหรือจะไม่รีบมาหาเพื่อขอความเมตตาให้สามีตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็ยังถ่อไปหาเซินเฟยถึงบริษัทเลยไม่ใช่หรือ?
หรือว่าหลี่จวี๋เหม่ยจะ....
แค่คิดหวางซิงก็ใจไม่ดีแล้ว หากเซินเฟยรู้เรื่องนี้เข้าจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน....
บางทีฉู่เหวินจืออาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็เป็นได้ จึงยืมมือเขาและมู่อี้จิงให้จัดการ
ผู้ชายคนนั้น....จะเชื่อใจได้สักแค่ไหนนะ....
“คุณหวาง....?” มู่อี้จิงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นหวางซิงเงียบไป
“คุณมีหลักฐานถึงขั้นไหนแล้วครับ?” เจ้าของชื่อหันกลับมาถาม ซึ่งเขาหมายถึงหลักฐานอื่น ๆ นอกเหนือจากเครื่องบันทึกที่ฉู่เหวินจือจงใจทิ้งเอาไว้ให้
“ตอนนี้กำลังดำเนินการสอบปากคำเพื่อนบ้านกับคนใกล้ชิด ถึงจะมีแนวโน้มสูงว่าคุณนายหลี่จะเสียชีวิตไปแล้วแต่ทางคุณเซินหยู่ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยอะไรกับทางตำรวจเลย กระทั่งขอเข้าไปค้นบ้านก็ยังทำไม่ได้ จะยื่นขอหมายค้นก็จำเป็นต้องมีหลักฐานแน่ชัดทางศาลถึงจะยอมออกให้” มู่อี้จิงลูบปลายคางตัวเองด้วยท่าทางครุ่นคิด “บางทีภาพในเครื่องบันทึกนี้อาจจะสามารถใช้เพื่อขอหมายค้นจากทางศาลได้”
“แต่ถ้าผ่านกระบวนการศาล คุณเซินหยู่ก็ต้องถูกลงโทษตามกฏหมายสินะครับ” หวางซิงยังไม่ลดละความตั้งใจที่จะเก็บเซินหยู่เสีย สำหรับเขาแล้ว หากไม่มีเซินหยู่สักคน ทุก ๆ อย่างอาจจะง่ายขึ้นมาก เพราะที่เซินหยู่กล้าแข็งขืนมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะถือว่าตนเองเป็นพ่อของจูเชว่ การกระทำของผู้ชายคนนั้นรังแต่จะทำให้เซินเฟยตกต่ำลงเท่านั้น ซึ่งเขาไม่อาจยินยอมได้อีกต่อไป
“คุณหวาง ที่คุณกลัวจริง ๆ คือกลัวว่าจูเชว่จะใจอ่อนแล้วใช้อิทธิพลช่วยพ่อตัวเองออกมาสินะ?” ราวกับอ่านใจของหวางซิงได้ มู่อี้จิงถามอย่างมั่นอกมั่นใจจนผู้ถูกถามเผลอหลบตาวูบหนึ่ง
“มันมีโอกาสเป็นไปได้ไม่ใช่หรือครับ?”
มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะครับ คุณน่ะ ชอบคิดอะไรล่วงหน้าไปสารพัด จริงอยู่ว่ามันเป็นงานของคุณที่จะคาดเดาทุก ๆ อย่าง แต่ว่า...ตอนนี้ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรเลยเพราะมัวแต่กลัวจะเกิดนั่นเกิดนี่ แล้วจูเชว่ที่ถูกจับตัวไปจะเป็นยังไงล่ะ?”
“...นั่นสินะครับ....” หวางซิงว่า “ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเริ่มตรงไหนล่ะครับ คุณมู่?”
มู่อี้จิงยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาตั้งสติอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นกลับไปที่ห้องผมกันก่อนเถอะ ป่านนี้สารวัตรหรงน่าจะแฟกซ์ผลการสอบปากคำมาให้ผมหมดแล้วล่ะ”
---------------->
แผ่นหลังกว้างที่ประดับด้วยรอยแผลเป็นปื้นใหญ่เต็มแผ่นหลังคือสิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาเมื่อลืมตาขึ้น รอยแผลเป็นสีตัดกับสีเนื้อจริงแผ่กระจายวงกว้างราวกับไฟที่ไหม้ลามจนเป็นวงขนาดใหญ่แทบไม่เหลือเนื้อที่ปรากฏเนื้อจริงเลยตั้งแต่แนวบ่าจนถึงสะโพก เขาเห็นแผ่นหลังนั้นขยับไหวตามเสียงพูดที่ดังอยู่ไม่ไกลนัก แต่ด้วยสติที่ยังครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำให้เสียงที่ได้ยินดูเลืองรางจนแทบจะเหมือนฝัน
“ไม่ต้องห่วงครับ อีกไม่นานก็จะเรียบร้อยแล้ว ขอให้วางใจเถอะครับ” หลังจบประโยคนั้นชายหนุ่มเจ้าของแผ่นหลังเปื้อนรอยแผลเป็นก็หัวเราะจนเห็นการกระเพื่อมของสะบัก “อา....เรื่องนั้น....หวังว่าคุณจะไม่โกรธผมนะครับที่ผมทำตามใจตัวเอง”
เด็กหนุ่มปรือตามองตามแผ่นหลังขึ้นไปจนเห็นเรือนผมสีดำสนิทที่ซอยทรงตามสมัยนิยม แต่ก็ได้เห็นภาพนั้นอยู่เพียงเสี้ยววินาที เพราะฝ่ายนั้นเอี้ยวตัวหันมามอง ทันใดนั้นใบหน้าอันคุ้นตาก็ปรากฏให้เห็น ทั้งรอยยิ้มบางที่ประดับมุมปากดูลึกลับและสายตาเป็นประกายลุ่มลึก
“ดูเหมือนว่าจะตื่นแล้วล่ะครับ แค่นี้ก่อนนะครับแล้วผมจะติดต่อไปใหม่” ชายหนุ่มกดตัดสายโทรศัพท์มือถือก่อนจะวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วจึงหันมาสนใจเซินเฟยอีกครั้ง “รู้สึกยังไงบ้างครับ มึนหัวอยู่ไหม?”
“.....นาย....คิดจะทำอะไร....” เซินเฟยรู้สึกเหมือนตัวเองเฉยชากับสถานการณ์ปัจจุบันมากเกินไปสักหน่อย ทั้งที่ปกติแล้วเขาควรจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ควักปืนออกมายิงคนตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ตอนนี้สิ่งที่อัดแน่นในใจเขากลับเป็นความสับสนและความสงสัยที่มีต่อผู้ชายคนนี้ และอาจจะรวมถึงความรู้สึกช็อคที่ได้รับรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วฉู่เหวินจือหลอกลวงเขามาตลอด เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองจึงต้องรู้สึกช็อคถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาน่าจะคำนวณความน่าจะเป็นที่จะเกิดเรื่องแบบนี้อยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?
ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้น ฝ่ามืออุ่นไล้แก้มของเขาอย่างเบามืออย่างที่อีกฝ่ายชอบทำหลังจากพวกเขามีอะไรกัน
“ผมคิดว่าคุณจะลุกขึ้นมาบีบคอผมเสียอีก” ชายหนุ่มหัวเราะ
“คิดจะล้อฉันเล่นถึงเมื่อไหร่? จะทำให้ฉันเป็นตัวตลกไปอีกนานแค่ไหน?” เซินเฟยไม่นำพาต่อการหยอกล้อ ทั้งที่เขาชินกับวิธีพูดของอีกฝ่ายแล้ว แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาก็ยังขำไม่ออกอยู่ดี “นายทำงานให้ใครอยู่กันแน่? เจ้านายของนายสั่งให้นายมาล้มฉันหรือยังไง?”
“นั่นคือคำถามทั้งหมดของคุณหรือเปล่า?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามพลางโน้มตัวลงแล้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกลงมาบนหน้าของเซินเฟยขึ้นไปทัดบนใบหู “ผมคุณชักยาวแล้วนะ ผมตัดให้ดีไหม?”
เพี๊ยะ!
เซินเฟยปัดมืออีกฝ่ายออกโดยแรง
“เลิกทำไขสือไร้สาระเสียที! ฉันไม่มีเวลาเล่นกับนายหรอกนะ!” เซินเฟยพยุงตัวขึ้นจากเตียง รู้สึกเหมือนสมองของเขาโคลงเคลงไปมาเมื่อขยับตัวรุนแรง แต่ก็ยังกัดฟันตีหน้าเรียบคล้ายร่างกายเป็นปกติดีทั้งที่ความจริงผะอืดผะอมเพราะฤทธิ์ยาสลบไม่น้อย