บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245655 ครั้ง)

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #90 เมื่อ20-02-2011 16:32:46 »

อ๋อยยย เครียดแทนเซนเฟย :z10:
อายุแค่ 18 แต่ต้องเจอกับเรื่องชวนปวดหัวแบบนี้ มันกดดันมากเลยนะเนี่ย :z3:
แต่คุณฉู่นี่ไม่กลัวตายจริงๆ  :laugh:
ขอบคุณค่ะ รออ่านตอนต่อไปน้าาา :man1:

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #91 เมื่อ20-02-2011 16:53:22 »

 o18นี่คุณฉู่กำลังจะคิดทดสอบเซินเฟยอยู่ใช่ไหมเนี่ย

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #92 เมื่อ20-02-2011 16:57:43 »

จะลงเอยกันนะคู่นี้ 
หวางซิงนี่น่ารักดีนะคะ  :o8:

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #93 เมื่อ20-02-2011 18:33:15 »

ฉู่เหวินจือใจร้ายอ่ะ


ทำเซินเฟยได้น่าสงสารออก

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #94 เมื่อ20-02-2011 19:22:42 »

จนแล้วจนรอด คุณตำรวจกับคุณเลขา ก็(ยัง)ไม่มีอะไรในกอไผ่ หรือมันจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด?
คุณฉู่ กับ เซินเฟย ก็เกินจะคาดเดา สรุป ต้องรอลุ้นกันต่อไป...

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #95 เมื่อ21-02-2011 11:40:31 »

ทันแล้ว

เนื้อหาเข้มข้นดีจริง

ชอบคุณเลขาจัง

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #96 เมื่อ21-02-2011 16:51:49 »

เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ หุหุ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
«ตอบ #97 เมื่อ21-02-2011 17:50:50 »

-9-



“คน ๆ นี้เชื่อได้แค่ไหน?” เซินเฟยมองเอกสารที่ได้มาพลางพินิจพิเคราะห์ เรื่องนี้เขาเพิ่งสั่งไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วแต่ข้อมูลที่ส่งมาอย่างจำเพาะเจาะจงสถานที่แน่นอนอย่างนี้ไม่น่าจะหามาได้เร็วขนาดนี้ ขนาดคนของเขายังทำได้เพียงแค่รวบรวมรายชื่อทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เซินเฟยเริ่มจะสงสัยว่าสิ่งที่ได้มาเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ และเริ่มสงสัยเกี่ยวกับคนที่หวางซิงติดต่อด้วย

“สารวัตรหรงยืนยันว่าเชื่อถือได้ครับ” หวางซิงกล่าว “เอ่อ....เป็นเพราะคุณเซินไม่พอใจคุณมู่ สารวัตรหรงเลยโอนเรื่องนี้ไปให้อีกคนหนึ่ง แต่ว่าคุณมู่ได้หาข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาก็เลยโอนเรื่องทั้งหมดไปให้ด้วยน่ะครับ” ว่าไป หวางซิงก็ขยับแว่นเพื่อจะได้มองสายตาของอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เวลาที่เขาต้องโกหกอย่างนี้หัวใจมักจะเต้นแรงด้วยเกรงว่าเซินเฟยจะจับได้

เซินเฟยไว้ใจเขามากและไม่เคยถามว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไหน เรื่องดำเนินการในบริษัทเกือบทั้งหมดก็สั่งผ่านเขาและหลาย ๆ เรื่องก็วางใจให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง หวางซิงไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเซินเฟยรู้ว่าเขาแอบไปหามู่อี้จิงจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่นั้น....

หากรู้ว่ามู่อี้จิงทำลงไปเพื่อทดสอบการตัดสินใจ.....เซินเฟยคงโกรธมากแน่ ๆ

ระยะนี้ยาแก้อาการไมเกรนพร่องหายไปเร็วมาก หวางซิงที่ทำหน้าที่จัดยาให้รู้ได้โดยไม่ต้องนับเม็ดให้เสียเวลา

เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเฉพาะเรื่องของเฉียนหยุนก็มีผลกระทบถึงขนาดนี้ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะคนในองค์กรและผู้บริหารหลายคนถือหางชายแก่คนนั้น และการที่เซินเฟยปลดเฉียนหยุนออกทำให้เกิดการแข็งข้อ เขาเคยได้ยินบางคนพูดกันว่าเซินเฟยเอาแต่ใจตัวเองเกินไป และที่ทำเพราะกลัวเฉียนหยุนจะเข้ามาควบคุมแทน ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่เซินเฟยก็ไม่เคยออกหน้าแก้ต่างให้ตัวเอง สิ่งที่เซินเฟยทำคือการยืดอกรับคำครหาอย่างเยือกเย็นและพยายามหาหลักฐานมาล้มล้างความเข้าใจผิด

จูเชว่สองรุ่นก่อนก็เคยปลดผู้บริหารออกเป็นจำนวนมากเพื่อปรับโครงสร้างในองค์กร

จูเชว่รุ่นที่แล้วเองก็เคยลดขั้นพวกหัวหน้าที่ขัดขวางการแต่งงานกับนายหญิงคนปัจจุบัน

ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ทั้งสองก็ไม่เคยถูกนินทาลับหลัง ทุก ๆ คนยังคงยำเกรงและเคารพยกย่องเสมือนนายเหนือชีวิต ทว่า...เมื่อเหตุการณ์เดียวกันถูกดำเนินการด้วยจูเชว่ที่เป็นเพียงลูกบุญธรรม ผลกระทบกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

จะว่าไปแล้ว....ระยะนี้พวกสายรองตระกูลเซินก็ชอบเข้ามาเสนอหน้าในบริษัทมากขึ้น ทำอวดเบ่งบ้าง พูดจาอวดดีบ้าง ทำให้เครดิตของเซินเฟยยิ่งลดน้อยถอยลงเพราะไม่อาจควบคุมกระทั่งญาติของตนเองได้

ทางบอร์ดบริหารก็บีบคั้นเซินเฟยทุกทางเพียงแต่ตอนนี้ธุรกิจของเครือยังดำเนินไปด้วยดีและยอดกำไรก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทางบอร์ดบริหารทำอะไรไม่ได้มากนัก กลับกัน พวกหัวหน้ามาเฟียที่ดูแลถิ่นต่าง ๆ เริ่มจะไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างออกหน้าออกตา จากแต่เดิมที่คิดจะเชือดเฉียนหยุนให้คนอื่นได้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง กลับถูกอิทธิพลและบารมีเก่าที่มากกว่าของเฉียนหยุนรัดคอเสียเอง

“เป็นอะไรไป?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นหวางซิงนิ่งไป

“เอ่อ...ผมกำลังคิดว่า....คุณฉู่ทำไมถึงยังไม่มาทำงานน่ะครับ ทั้งที่แผลก็หายเกือบสนิทแล้ว” หวางซิงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง แต่ไหนแต่ไรมา เซินเฟยมักจะอ่านสีหน้าของผู้อื่นได้เก่ง เขาจำต้องพยายามกลบเกลื่อนความกังวลของตัวเองเสีย

“เพราะผมไม่อยากเห็นหน้า” เซินเฟยตอบตรงไปตรงมาแล้วก้มลงอ่านเอกสารต่อ

หลังจากวันที่หวางซิงไปหามู่อี้จิง ความสัมพันธ์ระหว่างเซินเฟยกับฉู่เหวินจือดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมทั้งที่ปกติก็แทบจะติดลบอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งสองคล้ายจะทำสงครามเย็น หรือถ้าพูดให้ถูก เซินเฟยกำลังจงใจทำสงครามเย็นกับฉู่เหวินจือ

เวลาอยู่ที่บ้าน เซินเฟยจะไม่ยอมอยู่ร่วมห้องเดียวกับฉู่เหวินจือเลย เวลามีอะไรก็จะสั่งให้คนรับใช้ไปบอกแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉู่เหวินจือทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องนั่งเล่นตอนที่เซินเฟยกำลังอ่านหนังสือ เจ้าตัวถึงกับสั่งให้ฉู่เหวินจือออกไปนอนตากน้ำค้างเสียค่อนคืน ตอนเช้าชายหนุ่มจึงเป็นหวัดอย่างช่วยไม่ได้

นอกจากนั้น ในเวลาทำงาน เซินเฟยจะไม่ให้ฉู่เหวินจือตามมาที่บริษัทอย่างเด็ดขาด แต่จะส่งงานไปให้ทำที่บ้านด้วยปริมาณที่เหมือนจงใจให้ทำจนหัวแตกตายไปข้างหนึ่ง

หวางซิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน แต่สงครามเย็นของเซินเฟยทำให้คนทั้งบ้านอกสั่นขวัญแขวนไปกันหมด ปู่ของเขาถึงกับรำพันว่าตนเองทำหน้าที่ไม่ดี นายน้อยจึงอารมณ์เสีย

“มีอะไรก็พูดออกมาสิ” ราวกับเซินเฟยอ่านความคิดของเขาออก คำถามนั้นทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือก

“ผม...คิดว่าคุณเซินน่าจะพักผ่อนบ้างนะครับ นายหญิงก็เป็นห่วงคุณเซินมาก” หวางซิงหยิบเอาซากุระมาเป็นข้ออ้าง เพราะเรื่องใดที่มีชื่อหญิงสาวคนนี้เซินเฟยจะยินยอมรับฟังมากกว่าเรื่องอื่น ๆ

“งั้นหรือ....” เสียงของเซินเฟยอ่อนลงดังคาด

“ถ้ายังไงวันนี้กลับเร็วหน่อยดีไหมครับ?”

“ไม่ได้” ถึงอย่างนั้นคำตอบที่ได้กลับมาก็ยังเป็นการปฏิเสธ “ผมอยากตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจก่อน แล้วพรุ่งนี้จะได้ลงมือเลย”

“มันจะไม่กะทันหันไปหรือครับ?” หวางซิงนึกกังวลขึ้นมา

“ผมอยากจะจบเรื่องนี้เสียที” เซินเฟยตอบกลับ สีหน้าของเด็กหนุ่มมีความเหน็ดเหนื่อยแสดงออกมาแทบจะชัดเจน ในเวลาที่อยู่ตามลำพังอย่างนี้ หวางซิงจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อก้าวออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน เซินเฟยกลับแสดงตัวเป็นนักธุรกิจที่สมบูรณ์พร้อมได้อย่างดีเยี่ยม เซินเฟยเป็นแค่เด็กอายุ 18 ปีเท่านั้น....และเขาเองก็ได้เลี้ยงดูมาพร้อมกับนายหญิงซากุระ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็ไม่อาจทำใจปล่อยมือและทิ้งคน ๆ นี้ให้ดิ้นรนต่อไปตามลำพังได้เลย

“คุณเซิน.....รับน้ำเย็น ๆ หน่อยไหมครับ?” หวางซิงคลายรอยยิ้มออกมา ในเมื่อห้ามปรามไม่ได้ผลก็คงทำได้แค่ตามไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น หากเพียงแต่เรื่องนี้จบไปเสีย เซินเฟยคงจะสบายขึ้นอีกมากและพวกที่กดดันอยู่ในขณะนี้คงยอมรามือไปสักระยะหนึ่ง

“ถ้าได้ก็ดี ขอบคุณอาซิง”

หวางซิงโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เขาได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงจะผ่านไปได้โดยไว แต่ทำไมกันนะ....เขาถึงรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย....

--------------------->

อากาศยามค่ำในฤดูหนาวยังคงโหดร้ายทารุณสำหรับคนทั่วไป แม้ว่าฮ่องกงจะอยู่ในเขตอบอุ่นแต่เพราะเป็นเกาะขนาดเล็กจึงได้รับอิทธิพลจากลมทะเลที่พัดเข้ามาในเกาะ เซินเฟยนั่งอยู่ในรถคันสีดำสนิทกลืนไปกับความมืดยามราตรี ซุกตัวเองไว้ภายใต้เสื้อขนสัตว์หนานุ่มขณะมองออกไปข้างนอกผ่านฟ้าขาวบนกระจก รอบ ๆ ของเขามีรถสีดำสนิทอีกหลายคันจอดอยู่ ทุกคันดับเครื่องเงียบสนิท

ห่างออกไปเล็กน้อยเป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงสูง ด้านหน้ามียามเฝ้า กล้องวงจรปิดส่ายไปมาเหนือกำแพงที่กั้นระหว่างภายในกับภายนอก

สมกับเป็นที่ซ่อนตัว....

การรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์หลังนี้เข้มงวดเกินกว่าจะพูดได้ว่าเป็นคฤหาสน์ของนักธุรกิจผู้ร่ำรวยทั่วไป เซินเฟยมองลอดผ่านรั้วประตูที่เป็นเหล็ดดัดลายสวยงามเข้าไป เขาเห็นเงาสุนัขสีดำตัวเขื่องหลายตัวเดินไปเดินมาโดยมีคนจูงเอาไว้

“กี่โมงแล้ว?”

“ตอนนี้ก็....”

“ฉันไม่ได้ถามนาย” เซินเฟยเอ่ยเสียงเย็นเมื่อฉู่เหวินจือเปิดปากตอบ “อาซิง กี่โมงแล้ว”

“ตอนนี้ก็จะ 2 ทุ่มแล้วครับ” หวางซิงตอบแล้วหันไปมองฉู่เหวินจือด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาไม่รู้ว่าทั้งสองมีปัญหาอะไรกัน แต่เซินเฟยดูเย็นชากับฉู่เหวินจืออย่างเห็นได้ชัด กระทั่งวันนี้ หากอีกฝ่ายไม่ออกปากขอมาด้วยแล้วรั้นดึงดันขึ้นมานั่งบนรถ เซินเฟยก็คงปล่อยให้อีกฝ่ายนอนแกร่วอยู่ที่บ้านเป็นแน่

“2 ทุ่ม....” เซินเฟยทวนคำเพ่งมองท้องฟ้า

ฤดูหนาวเป็นช่วงฤดูที่ฟ้าจะมืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เวลาเพียง 2 ทุ่ม แต่ท้องฟ้ากลับมืดมิดและเต็มไปด้วยแสงดาว

ผู้ชายคนหนึ่งเคาะประตูรถ เซินเฟยจึงเลื่อนกระจกลงให้คน ๆ นั้นยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ ๆ

“ลงมือเลยไหมครับ?”

“แน่ใจหรือว่าจัดการได้?” เซินเฟยถามเพื่อความแน่ใจ ในตอนที่เขามั่นใจว่าใครซ่อนตัวเฉียนหยุนเอาไว้ เขาก็สั่งให้ค้นหาแปลนก่อสร้างของคฤหาสน์ที่เป็นเป้าหมายทันที ด้วยอำนาจมืด การจะได้โครงสร้างของอาคารหลังใดมาอยู่ในมือไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ทำให้ล่าช้าไปจากกำหนดการเดิมถึง 3 วัน เฉียนหยุนอาจจะเริ่มระแคะระคายแล้วก็เป็นได้จึงมีเวรยามหนาแน่นถึงเพียงนี้ แต่บางที....ด้วยนิสัยขี้ระแวงของเฉียนหยุน เวรยามพวกนี้อาจจะเข้มงวดแบบนี้มาแต่แรกแล้วก็เป็นไปได้เหมือนกัน

เขาอยากให้เป็นข้อหลังมากกว่า....

“แบบแปลนที่ท่านให้มาผมส่งคนเข้าไปตรวจสอบภายนอกแล้วไม่ผิดพลาดแน่นอนครับ”

“อย่าพลาดก็แล้วกัน” คำพูดนั้นแม้จะพูดออกมาด้วยเสียงเรียบเรื่อย แต่ผู้ฟังก็รู้ว่านั่นคือประกาศิต

“ไม่ต้องห่วงครับ ถึงจะต้องตายผมก็จะ...”

“เจ้าโง่” ไม่ทันที่ชายชุดดำจะพูดจบ เซินเฟยก็ขัดเสียก่อน “ฉันไม่อยากได้ผีไปรอรับใช้ในนรกหรอกนะ อีกอย่าง ซากศพมันใช้ทำงานไม่ได้ เข้าใจไหม?”

“....ครับ เข้าใจแล้วครับ”

“ลากคอมันออกมาแล้วไปเจอกันที่โกดังท่าเรือ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็จับเป็น ถ้าเอาไม่อยู่ก็จับตาย ใครขวางก็จัดการซะ ฉันคิดว่าในคฤหาสน์นั้นคงไม่มีเด็กกับผู้หญิงให้พะว้าพะวงหรอก” เซินเฟยกล่าว หากเขาคาดเดาไม่ผิด ในคฤหาสน์คงเต็มไปด้วยพลพรรคเก่าของเฉียนหยุนกับพวกบอดี้การ์ดที่จ้างมาเพื่อป้องกันตัวโดยเฉพาะ ถ้ามีเพียงแค่นั้นคนของเขาก็สบายมืออยู่ กระนั้นเขาก็ยังอยากจะให้ระวังเหตุไม่คาดฝันด้วย เพราะสุนัขที่ถูกต้อนให้จนตรอกนั้น....มันอาจจะทำอะไรก็ได้

“ท่านโปรดระวังตัวด้วยนะครับ แล้วพวกผมจะรีบตามไป”

เซินเฟยพยักหน้ารับความหวังดีตามหน้าที่นั้นก่อนจะสั่งให้คนขับออกรถ เครื่องยนต์ของรถกระหึ่มอย่างเงียบงันก่อนที่มันจะค่อย ๆ เคลื่อนหายไปในความมืดเพื่อล่วงหน้าไปรอฟังผล กลุ่มชายในชุดดำที่เหลือมองหน้ากัน พวกเขาเป็นมือสังหารที่ถูกฝึกฝนเพื่อรับใช้จูเชว่ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีคำว่าพลาด มิเช่นนั้นแม้ที่ซุกหัวก็อาจจะไม่เหลือให้คิดถึง

“ลงมือ”

-------------------->

อากาศเย็นมักส่งผลเสียต่อเซินเฟยอยู่เสมอ ประสาทสัมผัสของเขาด้านชา ปลายนิ้วเย็นเฉียบ กระทั่งสมองยังเหมือนจะโดยแช่แข็งจนทื่อ หวางซิงที่รู้ใจเจ้านายดีจึงสั่งให้คนรถลดระดับความแรงของเครื่องปรับอากาศลง เมื่อห้องโดยสารอุ่นขึ้น เซินเฟยจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วซุกตัวเข้าไปในเสื้อขนสัตว์

“คือว่า....”

“ถ้านายพูดออกมาสักคำเดียว ฉันจะโยนนายออกไปข้างนอก” เซินเฟยขู่เสียงเรียบเรื่อย ตอนนี้เขากำลังอยู่ในภาวะกดดัน ดังนั้นอะไรที่ทำให้อารมณ์เสียจึงควรอยู่ห่าง ๆ เขาเสียหน่อย แต่ห้องโดยสารของรถส่วนตัวไม่ได้กว้างขวางนัก เซินเฟยจึงต้องทำเป็นว่ามองไม่เห็นฉู่เหวินจือไปเสีย แม้แต่เสียงก็ไม่อนุญาตให้เปล่งออกมา

ฉู่เหวินจือรู้สึกว่างอย่างมากเขาจึงเลือกที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง เวลาที่ทำให้เซินเฟยโกรธดูจะลดความสนุกลงไปโข เพราะเขาไม่อาจพูดอะไรให้อีกฝ่ายโมโหจนหน้าดำหน้าแดงได้เลย

ทิวทัศน์ภายนอกค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามระยะทาง ไม่นานนัก ภาพชุมชนแออัดและรถราที่คลาคล่ำก็เปลี่ยนเป็นสถานที่โล่งกว้างก่อนจะเข้าสู่เขตที่มีตู้คอนเทนเนอร์โลหะวางเรียงซ้อนกันเป็นจำนวนมาก สองข้างทางที่รถเคลื่อนผ่านมีรั้วเหล็กกั้นอยู่ มองเข้าไปข้างในเป็นลานสำหรับพักสินค้าที่จะส่งขึ้นเรือหรือนำลงจากเรือ ในลานมีเส้นแบ่งคั่นส่วนอยู่ บางส่วนก็มีตู้คอนเทนเนอร์วางเอาไว้และปิดเรียบร้อย บางส่วนก็มีตู้ที่เปิดรอสินค้าเติมเต็มอยู่ และบางตู้ก็ไม่ได้ใช้เก็บสินค้าแต่เป็นตู้นอนสำหรับคนงานที่ทำหน้าที่จัดการสินค้าเหล่านั้น

เลยจากลานพักสินค้าไปก็เข้าสู่เขตของท่าเรือ พื้นน้ำกว้างใหญ่ปรากฏตรงหน้าและเรือลำใหญ่ที่จอดเรียงรายเฝ้ารอการเดินทางข้ามผืนน้ำไปสู่อีกฟากฝั่งของทะเล เครนสำหรับยกของขึ้นเรือรวมถึงรถโฟล์คลิฟต์จอดนิ่งสนิทอยู่ในที่ของมัน

รถสีดำสนิทแล่นเข้าเทียบโกดังสินค้าหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากฝั่งมาเล็กน้อย บริเวณนั้นไม่มีใครผ่านไปมาในยามวิกาลทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสำเร็จโทษใครสักคนโดยที่ไม่ทำให้ใครแตกตื่นตกใจ จริงอยู่ว่าตระกูลเซินมีสถานที่ลับสำหรับลงโทษหรือกระทั่งสำเร็จโทษอยู่มากมาย แต่เซินเฟยก็ไม่นิยมใช้งานสถานที่เหล่านั้นนักเพราะอยู่ในที่ชุมชน

ท่าเรือเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากการรู้เห็นของผู้คน เมื่อจัดการเสร็จแล้วก็กำจัดศพได้ง่ายอีกด้วย แค่หล่อหินปูนแล้วถ่วงลงน้ำไปเสีย ไม่นานปลาก็จะมาตอดกินเนื้อจนเหลือแต่โครงกระดูกที่จะค่อย ๆ ผุพังไปตามกาลเวลา รอบเกาะฮ่องกงไม่มีโบราณสถานใต้น้ำใด ๆ ให้นักโบราณคดีสำรวจ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวเลยว่าศพจะถูกพบตราบใดที่มันไม่ลอยขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรม

หวางซิงยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง การจะบุกทะลวงเข้าไปในคฤหาสน์ที่รักษาความปลอดภัยอย่างดีและไม่รู้สถานที่อยู่ของเป้าหมายแน่ชัดย่อมต้องใช้เวลามากเป็นเรื่องปกติธรรมดา และเซินเฟยก็กำลังนั่งรออย่างใจเย็น

คนรถดับเครื่องเพื่อไม่ให้รถยนต์เป็นที่สังเกตของเวรยามท่าเรือ ความมืดของสถานที่ช่วยซ่อนการมีอยู่ของพวกเขาได้ดีในระดับหนึ่ง

เซินเฟยเลื่อนกระจกรถลง ลมเย็นของชายฝั่งพัดวูบเข้ามาในรถทำให้เขาต้องกระชับเสื้อขนสัตว์ให้แน่นหนาขึ้น เสียงคลื่นแว่วอยู่ไกล ๆ เป็นเพราะอากาศหนาวเสียงจึงเบากว่าที่ควรจะเป็นแต่มันก็ยังชัดเจนพอที่จะรู้ว่าชายฝั่งอยู่ไกลออกไปแค่ไหน

“จะพักก่อนไหมครับ?” หวางซิงช่วยกระชับเสื้อให้อีกชั้นหนึ่ง “คงอีกราว ๆ 2 ชั่วโมงพวกเขาถึงมากัน”

หลายคืนที่ผ่านมา เซินเฟยแทบจะไม่ได้หลับเต็มตาเลย ความเครียดทำให้ประสาทเกร็งกว่าปกติ แม้จะรู้สึกง่วงแค่ไหน แต่หลับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา หรือไม่ก็ไม่ได้หลับเลยตลอดคืน เรื่องนี้ยังไม่ถึงหูหมอจือเพราะเซินเฟยห้ามหวางซิงรายงาน และเพราะยังไม่ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำเดือน จือหยินจึงไม่ได้แวะเวียนมาที่บ้านตระกูลเซินเลยสักครั้งเดียว

“2 ชั่วโมงเลยหรือ....” เซินเฟยพูดพลางหรี่ตาลง ลมหนาวทำให้เขารู้สึกง่วงและอยากจะหลับ หวางซิงจึงขยับให้เซินเฟยนั่งกึ่งนอน เลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นไปให้เหลือช่องเปิดเพียงเล็กน้อยสำหรับอากาศถ่ายเท เขาวางผ้าห่มหนานุ่มทับบนอกอีกชั้นหนึ่ง ไม่นานนักเซินเฟยจึงหลับตาลง

หวางซิงส่งสัญญาณให้ฉู่เหวินจือลงจากรถไปพร้อมกับเขา ตอนนี้ทั้งสองจึงกำลังยืนโต้ลมทะเลอยู่ด้วยกันโดยคนหนึ่งกำลังพิงรถจุดบุหรี่สูบ อีกคนถอดแว่นออกเช็ดฝ้าที่ทำให้มองข้างหน้าไม่ถนัด

“คุณอยากถามใช่ไหมว่าผมกับคุณเซินมีเรื่องอะไรกัน” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่ออัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกหนึ่ง ควันสีขาวของละอองน้ำผสมกับควันสีเทาของบุหรี่ลอยขึ้นไปในอากาศตามจังหวะการพูด

“ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะถามไหม” หวางซิงตอบตามตรง เพราะในหน้าที่ของเลขาไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องรู้เรื่องของเจ้านายไปทุกเรื่อง

“อืม....ผมมีงานอดิเรกคือการถ่ายรูป” แม้หวางซิงจะไม่ได้ตอบชัดเจนแต่ฉู่เหวินจือก็เริ่มเล่าออกมา

“คุณเซินก็ไม่ได้เกลียดการถ่ายรูปนะครับ”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “แต่ว่าบางทีที่ผมไม่ได้พกกล้องผมก็จะใช้มือถือถ่าย แล้ว....บังเอิญผมถ่ายรูปนี้ได้ตอนกำลังจะไปดูสถานที่สร้างโรงแรม” ว่าไป ฉู่เหวินจือก็กดหารูปในมือถือก่อนจะคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วส่งให้หวางซิงดู

หวางซิงใช้เวลาเพ่งผ่านฝ้าขาวบนแว่นที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างแล้วชี้ไปยังรูปบนจอโทรศัพท์มือถือ

“อย่าบอกนะว่า....คุณเอารูปนี้ให้คุณเซินดู”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ก็นี่หมอจือไม่ใช่หรือ?” ฉู่เหวินจือยังทำหน้าพาซื่อ

“ก็ใช่อยู่หรอกครับ” หวางซิงกุมขมับ เขาไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่เซินเฟยมีความรู้สึกดี ๆ ให้จือหยินได้จึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “ว่าแต่....ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ นี่เป็นคนรักหรือครับ?”

“อาจจะเป็นน้องสาวก็ได้ใครจะรู้” ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋า “ว่าแต่.....วันนี้หนาวจริง ๆ เลยนะ”

“คงเพราะอยู่ใกล้ทะเลด้วยมั้งครับ” หวางซิงตอบกลับแล้วอดที่จะมองลอดเข้าไปในรถไม่ได้ เมื่อเห็นเซินเฟยยังหลับดีอยู่จึงคลี่ยิ้มออกมา “แต่บรรยากาศเงียบ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินหวางซิงพูดอย่างนั้น ฉู่เหวินจือจึงเลิกคิ้วแล้วหันกลับมามองที่รถบ้าง จะว่าไปเขาก็ไม่เคยเห็นภาพตอนเซินเฟยหลับเลยสักครั้ง เพราะเขตที่ห้องนอนของเซินเฟยตั้งอยู่เขาถูกห้ามเข้าไปเด็ดขาด ทำได้เพียงอยู่ในห้องของตัวเองและลงมาเดินในสวนและห้องทำงานข้างล่างเท่านั้น

ฉู่เหวินจือเปิดประตูรถโดยไม่ฟังคำทัดทานของหวางซิงที่เกรงเซินเฟยจะรู้สึกตัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังไม่วายหันมาจุ๊ย์ปากให้หวางซิงช่วยเก็บเรื่องนี้เห็นความลับด้วย หวางซิงที่ตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดถึงกับกุมขมับ หากเซินเฟยรู้เข้าเขาต้องโดนด่าไปด้วยแน่ ๆ

-------------------->

ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเท่าไหร่ แต่มีใครคนหนึ่งเขย่าตัวปลุกจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา

“คุณเซิน พวกเขามาแล้วครับ ตอนนี้รออยู่ข้างใน” หวางซิงรายงานแล้วพยุงเซินเฟยออกมาจากรถ เด็กหนุ่มจำต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อสลัดความง่วงงุนออกไป ไม่นานนักเขาก็ตาสว่างพอที่จะจัดการเรื่องให้เรียบร้อย

“ไปกันเถอะ” คำสั่งสั้น ๆ ถ่ายทอดออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวนำเข้าไปในโกดังตรงหน้า


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
«ตอบ #98 เมื่อ21-02-2011 17:51:07 »

กลิ่นเกลือและสนิมปะปนกันทำให้รู้สึกไม่สบายจมูกนัก ในโกดังที่มืดสนิทมีคอนเมนเนอร์สินค้าเรียงรายอยู่จนเกือบจะถึงเพดาน ที่ถึงอย่างนั้นพื้นที่ตรงกลางกลับไม่มีตู้คอนเทนเนอร์แต่มีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง และผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดไว้แน่นหนา มีคนในชุดดำรายล้อมอยู่ 4-5 คน

“เหล่าเฉียน สบายดีไหม?” เซินเฟยเอ่ยทักทายก่อนเรียกให้คนที่ถูกมัดเงยหน้าขึ้น

“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะจูเชว่ ถ้ามีธุระกับเหล่าเฉียนแค่เรียกหาเหล่าเฉียนก็ไปหาอยู่แล้ว ทำไมต้องใช้กำลังด้วยล่ะ?” แม้จะอยู่ในภาวะเสียเปรียบ แต่เฉียนหยุนก็ยังคงเยือกเย็นไม่แสดงอาการโวยวายออกมาแม้แต่น้อย

“เหล่าเฉียน ที่ผ่านมาคุณหายไปอยู่ที่ไหน?” เซินเฟยไม่นำพาต่อคำประจบประแจงแกมเสียดสี “คงลำบากมากใช่ไหมครับหลังจากที่ออกจากแก๊งค์ไปแล้ว”

“จูเชว่คิดถึงเหล่าเฉียนหรือ? เป็นบุญของเหล่าเฉียนจริง ๆ ที่จูเชว่ถามสารทุกข์สุขดิบแบบนี้” เฉียนหยุนพูดพลางหัวเราะ “เหล่าเฉียนก็อยู่สุขสบายดี กำลังคิดจะเริ่มกิจการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ๆ คนมันแก่แล้วก็อย่างนี้แหละนะ น่าอิจฉาคนหนุ่ม ๆ อย่างจูเชว่จริง ๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำใช้พลังงานในวัยเด็กอย่างเต็มที่อย่างนี้ระวังแก่ตัวแล้วจะลำบากนะ”

เซินเฟยหางคิ้วกระตุก พูดได้อย่างนี้แสดงว่าจับตาดูเขามาตลอดสินะ....

“กิจการค้าขาย.....” เซินเฟยทวนคำ “จะให้ผมช่วยอะไรไหม? ยังไงเหล่าเฉียนก็เป็นคนเก่าคนแก่ ถึงจะละเลยหน้าที่แต่ผมก็ไม่อยากจะให้เหล่าเฉียนฝืนสังขารมากเกินไป”

“หึ ๆ ไม่รบกวนจูเชว่หรอก เหล่าเฉียนก็ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละดีแล้ว”

จนกระทั่งในสถานการณ์อย่างนี้ เฉียนหยุนก็ดูจะไม่ยอมรับง่าย ๆ ว่าตนเป็นตัวการของความวุ่นวายในตอนนี้ คำพูดสนทนาราวกับตั้งใจจะเบี่ยงออกนอกเรื่องไปเสียมาก เซินเฟยพยักหน้าให้คนนำเก้าอี้มาให้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงแล้วไขว่ห้างด้วยความเคยชิน

“คฤหาสน์หลังนั้น....สวยดีนะ”

“ถ้าจูเชว่อยากได้จะสร้างสักกี่หลังก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

“ผมก็แค่สงสัยว่าเป็นของใครกัน รสนิยมดูคล้าย ๆ ผมอยู่เลยอยากจะลองคุยด้วยสักครั้ง” เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองปฏิกิริยาตอบรับ แต่เฉียนหยุนก็ยังเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม

อะไรกันนะที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ไม่เกรงกลัว....

“จูเชว่ ผมต้องยอมรับว่าคุณกับผมไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง แต่เหล่าเฉียนมีเรื่องจะบอก”

“ว่ามา ผมกำลังฟัง” แม้จะพูดอย่างนั้น เซินเฟยกลับหันไปส่งสัญญาณให้มือสังหารคนหนึ่งด้วยสายตา คน ๆ นั้นเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากโกดังอย่างเงียบ ๆ

“คนเรามันต้องรู้จักที่ของตัวเอง จูเชว่รู้หรือเปล่าว่าคนเราน่ะเกิดมาก็มีหน้าที่เฉพาะทั้งนั้น แล้วมันก็ไม่ได้ขึ้นกับตัวเราเองหรอกนะ แต่มันขึ้นอยู่กับเชื้อสายชาติตระกูล จูเชว่คิดดูสิว่าถ้านกกาโตมาเป็นหงส์มันจะประหลาดพิกลขนาดไหนจริงไหม? โลกเรามันก็มีกฎเกณฑ์ เหมือนอย่างที่จูเชว่กับอีกสามคนนั่นมันกฎเกณฑ์เพื่อรักษาสมดุลอำนาจระหว่างกันนั่นแหละ” เฉียนหยุนพูดเรื่องราวที่ฟังผ่าน ๆ ก็จะเหมือนเรื่องสามัญธรรมดาประสาคนแก่หัวโบราณ แต่สำหรับเซินเฟยกลับรู้ถึงความนัยชัดเจน

ชัดเจนมากพอที่หัวใจจะเต้นแรงด้วยความโมโห....

“เหล่าเฉียนจะบอกว่า...นกกาก็ควรเป็นนกกาต่อไป”

“ใช่ จูเชว่เข้าใจถูกแล้ว” เฉียนหยุนตอบรับอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าอย่างนั้น เหล่าเฉียนช่วยตอบหน่อยได้ไหม? หากหงส์ตายไปจนหมด เราจะทำอย่างไรจึงได้สมดุลกลับคืนมา” คำถามของเซินเฟยทำให้เฉียนหยุนเงียบไปครู่หนึ่ง

“ถึงหงส์จะสูญพันธุ์ แต่ก็ยังมีนกอีกหลายชนิดที่เหมือนหงส์มากกว่ากา เหล่าเฉียนคิดว่าควรให้นกเหล่านั้นเป็นหงส์เสียจะดีกว่ากา”

คำตอบนั้นทำให้เซินเฟยต้องเม้มปากด้วยความพยายามที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ เฉียนหยุนคนนี้จะอวดดีเกินไปแล้ว คำตอบของเฉียนหยุนนั้นแปลความได้ไม่ยากเลย

โดยปกติแล้ว แม้จะเกี่ยวดองด้วยสายเลือดแต่จูเชว่ก็ไม่เคยดึงเอาตระกูลสายรองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในองค์กร สายรองนั้นหากคิดดี ๆ แล้วก็ไม่ต่างกับกาฝากที่เกาะกินสายตระกูลหลัก เพียงแค่อยู่เฉย ๆ และดื่มด่ำกับอำนาจบารมีของแซ่ที่นำหน้าชื่อ เพียงแค่บอกว่าเป็นคนแซ่เซิน ไม่ว่าใครในฮ่องกงก็พร้อมยอมก้มหัวให้ กลับกัน พวกหัวหน้าแก๊งค์ที่ทำหน้าที่บริการในองค์กรกลับใกล้ชิดจูเชว่ยิ่งกว่า สำหรับหลาย ๆ องค์กร เมื่อผู้นำสิ้นทายาท คนที่ใกล้ชิดและรู้งานที่สุดมักจะได้รับทุกอย่างไป

เซินเฟยรู้ได้โดยทันทีว่าเฉียนหยุนไม่ได้หวังดีกับตระกูลเซินมาแต่แรกแล้ว เจ้าตัวเพียงแต่เฝ้ารอโอกาสอันเหมาะสมที่ตนเองควรจะได้เท่านั้น และบังเอิญอาของเขาหายตัวไปโดยไม่มีลูกเลยแม้แต่คนเดียวทำให้เฉียนหยุนไขว่คว้าโอกาสนี้อย่างเต็มความสามารถ แต่แล้ว...มันกลับตกลงมาที่เขาซึ่งไม่มีอะไรเลย...

เหมือนวิมานทองสลายไปต่อหน้า เฉียนหยุนถึงได้พยายามเขี่ยเขาออกไป

เฉียนหยุนอยากเป็นจูเชว่เสียเอง...

ช่างโง่เขลาเสียจริง....จริงอยู่ว่าหากเฉียนหยุนเป็นจูเชว่ก็อาจได้รับการยอมรับจากคนอื่น ๆ แต่มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้....เหตุผลเดียวที่ตำแหน่งสูงสุดมีเพียง 4 คนและไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั่นเพราะต้นตระกูลทั้งสี่เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรขึ้นมา ตราบใดที่เฉียนหยุนยังคงแซ่เฉียนก็จะไม่มีวันได้เป็นจูเชว่สมใจ แต่ดูเหมือนว่า ถึงเจ้าตัวจะรู้เรื่องนี้ดีแต่ก็พยายามจะทำให้เข้าทางตนเองให้ได้ด้วยการสั่งสมบารมีขันแข่งกับอำนาจของจูเชว่

อย่างนี้ใครจะโง่กว่ากันนะ...ระหว่างกาที่ถูกบังคับให้นั่งบัลลังก์หงส์ หรือห่านที่ตะเกียกตะกายหมายจะเป็นหงส์

โกดังเงียบไปอึดใจหนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาระหว่างนั้น แต่แล้วกลับมีใครคนหนึ่งทำลายความเงียบนั้นลง ชายชุดดำที่ออกไปก่อนหน้านี้กลับเข้ามายืนตรงข้างเซินเฟยก่อนจะเอ่ยรายงาน

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“งั้นหรือ....ถ้าอย่างนั้นก็ได้เวลาเสียที” เซินเฟยลุกขึ้นจากเก้าอี้เสมือนการรอคอยได้สิ้นสุดลง เขาเดินเข้าไปใกล้เฉียนหยุนแล้วหยุดยืนตรงหน้า “มีอะไรอยากจะพูดกับผมอีกไหม?”

ทั้งที่เซินเฟยไม่ได้ทำเสียงที่ดุดันน่ากลัวขึ้น ที่สีหน้าของเฉียนหยุนกลับซีดเผือดราวกับรู้ว่าอะไรที่ ‘เรียบร้อย’ ไปแล้ว

“นึกไม่ถึงหรือครับ? เป็นผมเองก็คงนึกไม่ถึงว่าคนของคุณ อืม....” เซินเฟยเว้นจังหวะไปเล็กน้อย

“11 คนครับ”

“ใช่ 11 คนจะดั้นด้นตามมาเอาตัวคุณคืน แต่เพราะคุณแสดงไม่สมจริงผมก็เลยสั่งให้คนของผมออกไปดู” บรรยากาศที่ถูกกดดันเมื่อครู่ถูกสลายไปสิ้น เซินเฟยกลับมายืดตัวเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้ง “เหล่าเฉียน แล้วผมแสดงท่าทางของคนที่ถูกคุณปั่นหัวจนสับสนเหมือนหรือเปล่า?”

“เหล่าเฉียนไม่กล้าขนาดนั้นหรอก” แม้จะอับจนหนทาง แต่เฉียนหยุนก็ยังปากแข็ง เซินเฟยจึงเลิกล้มความตั้งใจที่จะใช้วิธีละมุนละม่อม

“นิ้วเดียวก่อนก็แล้วกัน”

สิ้นคำพูดนั้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเสียงลั่นของกระดูกก็ดังขึ้น นิ้วชี้ข้างขวาของเฉียนหยุนบิดงอผิดรูปไปจากเดิม และเมื่อเซินเฟยมุ่นหัวคิ้วเพียงเล็กน้อยด้วยความรำคาญ ผ้าที่มัดปมตรงกลางจนแน่นผืนหนึ่งก็คาดเข้ากับปากของเฉียนหยุนทำให้เสียงเล็ดรอดออกมาได้เพียงเล็กน้อยและไม่อาจสร้างความรำคาญให้กับเซินเฟยได้อีก และแน่นอน....ตอนนี้เขาไม่ได้อยากจะฟังอะไรอีกแล้ว เพียงแต่การฆ่าโดยทันทีนั้นจะไม่สามารถทำให้ใครรู้สึกหวาดกลัวจนถึงขีดสุดได้ ในเมื่อเขาต้องการจะใช้เฉียนหยุนเป็นตัวอย่างของการคิดทรยศ ก็ต้องทำให้น่าพรั่นพรึงเสียหน่อย พวกที่เหลือจะได้เรียนรู้ถึงการยำเกรงมากขึ้น

“ลูกสาวของเหล่าเฉียนสุขสบายดีใช่ไหม?”

เสียงอึกอักด้วยความโกรธแค้นดังขึ้นทันทีด้วยรู้ความหมายในคำพูดที่เซินเฟยจงใจเอ่ยออกมาก่อนจะแทนด้วยเสียงกระดูกและการกรีดร้องที่อู้อี้ในลำคอ

“เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่นานด้วย” เซินเฟยยังคงพูดต่อไปราวกับไม่เห็นประกายของความเกลียดชังในดวงตาของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า “ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยว่าพ่อของเธอทำงานอะไร ว่าที่ทนายความ....แต่มีพ่อเป็นอาชญากรงั้นหรือ? โลกเรามีความขัดแย้งอย่างที่คุณว่าไว้จริง ๆ”

เสียงในคอของเฉียนหยุนเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอย่างที่เซินเฟยคาดไว้ ถึงเฉียนหยุนจะเลือดเย็นอย่างไรก็ยังรักครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกสาวคนเดียวของตนเอง เขาจึงจงใจหยิบเอาเรื่องนี้มาขู่แม้ไม่คิดจะทำอะไรกับครอบครัวของเฉียนหยุนอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นก็จนกว่าจะถึงวันที่คนพวกนั้นเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา

“ตอนนี้คุณก็เข้าใจแล้วใช่ไหม? ความรู้สึกที่หงส์ตัวหนึ่งมีให้ลูกกาที่เลี้ยงดูมาและทำให้กาตัวนั้นกลายเป็นหงส์”

กร๊อบ!

ครั้งนี้หัวไหล่ซ้ายของเฉียนหยุนถูกดึงจนหลุด เขาดิ้นพร่านไม่ต่างกับถูกโยนลงไปในน้ำมันเดือด

“ตอนนี้มันก็เหมือนว่าคุณเป็นห่านที่ได้แต่คลุกดินคลุกเลน ส่วนลูกสาวคุณเป็นนกพิราบที่เลือกบินไปบนฟ้านั่นแหละ” ว่าไป เซินเฟยก็เดินกลับไปที่เก้าอี้อีกครั้งแล้วนั่งลง “ถ้าลูกสาวคุณรู้ว่าคุณเป็นยังไง เธอก็คงพยายามพาคุณกลับขึ้นไปบนฟ้า มันก็เหมือนกับที่จูเชว่คนก่อนทำให้ผมยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะยังดูถูกว่าลูกสาวคุณโง่เขลาหรือเปล่า เหล่าเฉียน?”

ระหว่างที่เซินเฟยอธิบาย นิ้วก็ถูกหักไปทีละนิ้ว ๆ เสียงเก้าอี้ไม่กระทบพื้นกึกกักทำให้เซินเฟยนึกรำคาญ เพียงแค่สีหน้า ชายชุดดำสองคนก็เข้าไปกดเก้าอี้ของเฉียนหยุนให้นิ่งไม่ขยับอีก

แต่ว่า.....แม้จะเสียเวลาพูดไปถึงขนาดนี้ แววตาเกลียดชังระคนเย้ยหยันของเฉียนหยุนก็ยังไม่หมดไป ทำให้เซินเฟยรู้สึกว่า บางครั้งคนบางคนก็ยากเกินจะเยียวยาจริง ๆ แต่เขาเองก็เหนื่อยกับเรื่องนี้มามากแล้ว ให้มันจบ ๆ ไปเสียก็ดีเหมือนกัน

“แกะผ้านั่นออก ฉันอยากให้เขาพูดอะไรทิ้งท้ายเสียหน่อยจะได้ไม่ค้างคาใจ”

สิ้นคำสั่ง ผ้าผูกปากก็ถูกคลายให้หลวมขึ้น เฉียนหยุนหอบหายใจพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่รุมเร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจ

“ไอ้เด็กนอกคอก อย่างแกน่ะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก!”

ผลั่ก!

การ์ดคนหนึ่งเหวี่ยงหมัดใส่โหนกแก้มของเฉียนหยุนทันที จุดที่โดนชกมีเลือดแตกซิบซ้ำเลือดยังทะลักออกจากปากเล็กน้อยเพราะฟันบางซี่ถูกแรงกระแทกจนหลุด กระนั้นเฉียนหยุนก็ยังไม่หมดสติในทันที และเมื่อเขาคิดจะลุกขึ้นมาพูดต่อการ์ดคนเดิมก็คว้าหมับเข้าที่สันกรามแล้วออกแรงบีบจนกระดูกกรามแตกทำให้ในตอนนี้แม้เฉียนหยุนอยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ได้ ทำได้เพียงร้องด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ

เซินเฟยลุกขึ้นและผินหลังให้ เป็นสัญญาณว่าจบเรื่องได้เลย แต่แล้ว ขณะที่เซินเฟยกำลังจะเดินออกไปฉู่เหวินจือกลับเข้ามาขวางหน้า

“มีอะไร?” เพราะอารมณ์ยังไม่ค่อยดีนักเสียงของเซินเฟยจังดูแข็งกระด้างกว่าเก่า

“ผมขอคุยกับเฉียนหยุนครู่หนึ่งได้ไหม?”

เซินเฟยหันไปมองเฉียนหยุนแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมา

“ระวังมันจะหมดสติก่อนก็แล้วกัน” เมื่อเซินเฟยอนุญาต คนอื่น ๆ จึงถอยออกไปยืนห่าง ๆ ขณะที่ฉู่เหวินจือสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วฉีกยิ้มให้คนที่อยู่ในสภาพปางตาย

“จำผมได้ไหม?” คำถามนั้นทำให้เฉียนหยุนมุ่นคิ้ว ฉู่เหวินจือจึงกระแอมเบา ๆ สองสามครั้งแล้วกดเสียงต่ำอีกนิด “แล้วอย่างนี้ล่ะเหล่าเฉียน?”

ทันใดนั้นเฉียนหยุนก็เบิกตากว้างก่อนจะดิ้นทุรนทุรายราวกับโกรธแค้นฉู่เหวินจือมาเสียหลายชาติแต่เพิ่งรู้ตัว กระนั้นเสียงก็ดังอยู่ไม่นาน ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วชักปืนออกมาก่อนเล็งไปที่ศีรษะ

“ให้ผมช่วยก็แล้วกัน”

แล้ว....ร่างของเฉียนหยุนก็แน่นิ่งไป ชายหนุ่มเก็บปืนแล้วเดินมาสมทบกับคนอื่น ๆ ที่รั้งรออยู่ในโกดังด้วยอารมณ์ชื่นบาน แต่แล้วทันใดนั้นเองที่เสียงปืนดังขึ้นจากอีกที่ ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกใจก่อนจะรีบพากันวิ่งออกไปข้างนอกซึ่งเซินเฟยกับหวางซิงพาการ์ดส่วนมากออกไปรออยู่ แต่เมื่อพวกเขาออกไปถึงก็พบว่าสถานการณ์สงบลงแล้ว การ์ดส่วนใหญ่ยืนถือปืนเฝ้าระวัง แต่ก็มีคนโดนยิงบ้างเหมือนกัน กระนั้นกลับมีบางส่วนออกันเข้าไปที่รถพวกเขาจึงรีบตามเข้าไปดู

“เกิดอะไรขึ้น!?” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนถามผ่านความชุลมุนวุ่นวาย

“ดูเหมือนว่าจะมีคนซุ่มรออยู่ข้างนอก” หวางซิงตอบ ตัวเขาเองโดนยิงเฉียดที่ไหล่ขวานัดหนึ่ง แต่ในอ้อมแขนของเขาคือเซินเฟยที่กำลังกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ที่ขาข้างซ้ายมีรอยถูกกระสุนเจาะเข้าไปและฝังอยู่ข้างใน ลิ่มเลือดไหลทะลักออกมาเมื่อเจ้าตัวพยายามกดแผลเอาไว้

“พาท่านจูเชว่ขึ้นรถ! รีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” เสียงของหัวหน้าการ์ดเอ่ยสั่งลูกน้องที่เฝ้าระวังรอบด้าน “แก! โทรหาหมอจ้าว บอกว่าจูเชว่โดนยิง!”

ขบวนรถสีดำมันปราบเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณโกดังหลังความชุลมันผ่านพ้นและมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกไปนับ 10 กิโลเมตร


TBC



ทอล์ค

เพิ่งรู้วันนี้เองว่าการที่อ.พาไปทัวร์ท่าเรือมันมีประโยชน์! (แต่อ.คงไม่ได้คิดจะให้เป็นประโยชน์ด้านนี้หรอก....)

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
«ตอบ #99 เมื่อ21-02-2011 18:26:41 »

จิ้มๆๆๆ


กรี๊ดดดดดดดดดด  ใครหักหลังจูเชว่
คุณฉู่รึป่าวววว

ไม่น๊าๆๆๆ
ตอนนี้ชอบอ่ะ จิตดี 555

เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก

ป.ล. ญ่าอยากบอกว่าญ่าเป้นแฟนคลับของคนเขียนมา2เรื่องแล้ว  สนุกทั้ง2เรื่องเลยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
« ตอบ #99 เมื่อ: 21-02-2011 18:26:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
«ตอบ #100 เมื่อ21-02-2011 19:16:17 »

ลุ้น จนเกร็งไปหมดแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
«ตอบ #101 เมื่อ21-02-2011 19:24:39 »

โอ้วว จูเชว่ถูกยิงงง
ใครทำกันนะ บังอาจจริงๆ
ลุ้นๆ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #102 เมื่อ22-02-2011 13:44:12 »

-10-



ตั้งแต่เกิดมา เซินเฟยไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมานอนแซ่วอยู่ในโรงพยาบาลเพราะถูกยิง ซ้ำยังโดนยิงที่ต้นขาทำให้เวลาหมอมาดูแผลครั้งหนึ่งก็ต้องร่นกางเกงลงจนเกือบพ้นหัวเข่า ในชีวิตเขาจะมีเรื่องอัปยศมากกว่านี้รออยู่อีกไหมนะ?

ตอนนี้หวางซิงกำลังไปเจรจากับจ้าวผิงเหอเพื่อขอรับตัวเซินเฟยกลับบ้าน ทำให้เจ้าตัวต้องนอนรออยู่บนเตียงเพียงลำพัง แต่อย่างน้อยหน้าประตูก็ยังมีบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ มากร้ำกรายเขาได้ในเวลานี้

เซินเฟยจ้องมองเพดานแล้วพรูลมหายใจออกมา

เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างวุ่นวายหรืออย่างไรกันนะ พอได้อยู่อย่างสงบ ๆ แล้วจึงได้รู้สึกว่างเปล่าถึงขนาดนี้

เสียงประตูเปิดไม่ได้ทำให้เซินเฟยละความสนใจไปจากเพดานห้อง เพราะคนที่จะเข้ามาในเวลานี้ได้ก็คงมีอยู่ไม่มากนัก

ผู้มาเยือนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาข้างเตียงแล้วนั่งลง

“แผลเป็นยังไงบ้างครับ?”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว ทำไมคนที่มาหาในเวลาที่เขากำลังอยู่ตามลำพังอย่างสงบต้องเป็นหมอนี่ด้วยนะ

“นายเอกก็เคยถูกยิง ไม่รู้หรือว่าแผลมันรูปร่างแบบไหน” เขาว่าเสียงขุ่น

“ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นเสียหน่อย” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “ผมหมายความว่าคุณยังเจ็บอยู่หรือเปล่า หวางซิงกำลังทำเรื่องขอให้คุณกลับไปพักที่บ้าน ผมคิดว่าหมอจ้าวคงอยากแน่ใจว่าแผลของคุณจะไม่อักเสบจากการเคลื่อนย้ายและคนที่บ้านจะดูแลแผลได้อย่างถูกต้อง”

“เหล่าซือดูแลแผลนายได้ก็ต้องดูแลแผลฉันได้เหมือนกัน” เซินเฟยเริ่มมุ่นคิ้ว ทั้งที่เขาอยากจะพักผ่อนอย่างสงบ แต่ผู้ชายคนนี้นอกจากจะไม่รู้กาลเทศะแล้วยังไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจอีก

“นั่นสินะครับ....” ฉู่เหวินจือทอดเสียงก่อนจะยิ้มที่มุมปากแล้วตลบผ้าห่มออก

“จะทำอะ......” เสียงของเซินเฟยกลืนหายไปในลำคอเมื่อฝ่ายนั้นลูบปลายนิ้วลงไปที่ต้นขาซึ่งมีแผลเย็บประดับอยู่ ฉู่เหวินจือไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บ เพียงแต่เซินเฟยรู้สึกตกใจที่อีกฝ่ายหาญกล้าถือวิสาสะแตะเนื้อต้องตัวเขาตามใจชอบเท่านั้น

“คุณเซิน คุณน่ะคิดจะใช้ผมแค่นี้จนถึงเมื่อไหร่?”

คำถามของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย

“หมายความว่ายังไง?”

“ก็....หมายความตามนั้น” ชายหนุ่มยิ้มออกมาแล้วทอดสายตาอ่านยากสบกับความสงสัยบนใบหน้าของคนป่วย “คุณไม่คิดจะใช้ผมให้มากกว่านี้หรือ? ใช้ประโยชน์จากผมมากกว่านี้น่ะ”

“ตอนนี้ฉันมีคนให้ใช้เยอะพออยู่แล้ว” เซินเฟยตอบแล้วปัดมืออีกฝ่ายออกจากต้นขา ทันใดนั้น ฉู่เหวินจือก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือแล้วรั้งให้ขยับเข้ามาใกล้ทั้งยังเลื่อนใบหน้าเข้าหาจนแทบชิด เจ้าตัวเท้าแขนข้างที่เหลือกับหัวเตียงแล้วโน้มใบหน้าลงจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดบนปลายจมูก เซินเฟยตกตะลึงกับการกระทำอันอุกอาจจนไม่ทันได้คิดต่อต้านขัดขืน

“ผมทำอะไรได้มากกว่านี้นะ....”

เซินเฟยเบิกตากว้างเมื่อฉู่เหวินจือยังคงเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่เพราะขาเจ็บอยู่ข้างหนึ่งจึงไม่สามารถขยับตัวดังใจคิด ซ้ำมือที่รั้งข้อมืออยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ยังเลื่อนขึ้นมาบีบบังคับให้แหงนลำคอขึ้น

ก๊อก ๆ

เสียงเคาะประตูทำให้การกระทำทั้งหมดชะงักลง ฉู่เหวินจือผละออกมาอย่างนึกเสียดาย

“มีคนมาขัดจังหวะซะแล้วสิ” เจ้าตัวพูดทีเล่นทีจริงทำให้เซินเฟยนึกสะท้านขึ้นมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในใจ สำหรับเซินเฟยแล้ว คนที่อ่านไม่ออกอย่างฉู่เหวินจืออาจจะเป็นคนที่น่าพรั่นพรึงที่สุด

ฉู่เหวินจือเดินไปเปิดประตูและเลี่ยงทางให้โดยเพียงแค่ยิ้มทักทายกับคนที่เดินสวนเข้ามาเท่านั้น

“รอบตัวคุณมีแต่คนแบบนั้นอยู่หรือไงกันนะ?” ผู้มาเยือนรายที่สองเอ่ยถามพลางไหวไหล่แล้วเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ที่ฉู่เหวินจือไม่ได้ลากไปเก็บ

“มู่อี้จิง?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว ไม่นึกว่าผู้ชายอวดดีคนนี้ยังกล้ากลับมาให้เห็นหน้าอีก “มีธุระอะไร”

“ก็หลายอย่าง...” มู่อี้จิงวางช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่อุตส่าห์ไปซื้อมาเยี่ยมลงบนโต๊ะก่อนจะขยับเนคไทให้เข้าที่ “เรื่องแรก ผมกับสารวัตรหรงช่วยเคลียร์เรื่องที่โกดังให้แล้ว ศพของเฉียนหยุนถูกหล่อปูนถ่วงน้ำไปตามระเบียบ ไม่มีใครรู้ใครเห็นและไม่มีข่าวออกมาอย่างแน่นอน แต่ว่าคุณนี่ทารุณอยู่นะ หักนิ้วเขาเสียหมดแบบนั้นทั้งที่ไม่ได้พยายามจะบังคับให้สารภาพอะไรเลยแท้ ๆ”

“คุณมีสิทธิมาวิจารณ์การลงโทษคนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ” เซินเฟยพูดเสียงเข้ม “แล้วเรื่องอื่นล่ะ? มีอะไรก็รีบบอกมาให้ครบแล้วก็กลับไปทำงานของคุณได้แล้ว”

“อย่าเพิ่งไล่กันแบบนั้นสิครับ ผมไม่ได้คิดจะทำให้คุณโกรธหรอกนะ ดังนั้นช่วยนั่งดี ๆ อย่าทำท่าเหมือนพร้อมจะขย้ำคอผมแบบนั้นได้ไหม?” มู่อี้จิงจำต้องยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายเพราะอย่างไรเซินเฟยก็เป็นนายจ้างของเขาและเจ้านายของเขา และเขาเองก็ไม่คิดจะตัดรอนความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายแม้จะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตานัก ที่เขามาครั้งนี้ก็ตั้งใจจะมาผูกมิตรเพื่อที่ต่อไปจะได้ทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นเท่านั้น

เซินเฟยชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะขยับท่านั่งอย่างยากลำบากเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็สามารถพยุงตัวเองให้นั่งกึ่งเอนโดยมีหมอนรองแผ่นหลังอยู่สำเร็จ

“ก่อนอื่น ช่วยปิดผ้าม่านให้ผมที” เขาเอ่ยสั่ง ไม่รู้ว่าเพราะพักผ่อนน้อยเกินไปหรืออย่างไร แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาจึงทำให้รู้สึกแสบตาและเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก ตอนนอนราบอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอขยับตัวเร็ว ๆ เพราะฉู่เหวินจือเข้ามาก็ทำให้สมองโคลงเคลง ตอนนี้แค่นั่งตัวตรงอยู่ได้ก็นับว่าดีแล้ว หากไม่มีคนเข้ามากวนเขาคงจะหลับสักงีบระหว่างที่หวางซิงกำลังดำเนินเรื่องกับหมอจ้าวอยู่ แต่ดูเหมือนคนรอบตัวเขาจะไม่นิยมชมชอบให้เขาได้พักอย่างสบายนักจึงหาจังหวะเข้ามาพูดคุยได้เหมาะเจาะทุกคนไป

มู่อี้จิงเดินไปปิดม่านลง ทำให้ในห้องค่อนข้างสลัวแต่เซินเฟยกลับไม่ได้บอกให้เปิดไฟแต่อย่างใด

นายตำรวจหนุ่มยืนรออยู่นานแต่ไม่เห็นว่ามีคำสั่งใดอีก และเซินเฟยก็เอาแต่นั่งยืดหลังเงียบ ๆ เขาจึงเดินวนกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

“ผมเคยบอกคุณเอาไว้ ถ้าคุณตีค่าของตนเองได้อย่างถูกต้องเมื่อไหร่แล้วค่อยกลับมา ตอนนี้คุณทำได้หรือยัง?”

มู่อี้จิงรู้ว่าจะพูดอะไรออกไปให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียคงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด อย่างไรเสีย สารวัตรหรงก็ย้ำเขาอยู่บ่อย ๆ ว่าเซินเฟยเป็นคนที่พูดคุยด้วยเหตุและผลได้เสมอตราบใดที่ไม่ทำให้เกลียดขี้หน้าไปเสียก่อน ดังนั้นเขาก็ควรยอมสงบศึกเพื่อความสงบในการสนทนาหลังจากนี้

“ครับ ผมคิดได้แล้ว”

“อย่างไรก็ตาม งานที่ผมอยากให้คุณทำก็มีคนทำแทนแล้ว ดังนั้นหากจะให้ผมพิจารณาเกี่ยวกับฝีมือของคุณคงต้องเอาไว้คราวหน้า” เซินเฟยกล่าวเสียงเรียบ เขารู้สึกถูกใจคนที่หาข้อมูลเรื่องเฉียนหยุนให้ไม่น้อย คนที่ทำงานได้รวดเร็วเที่ยงตรงขนาดนั้นหาได้ยากเต็มที

“มีคนทำแทนผม?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว “งานไหนกัน?”

“สารวัตรหรงไม่ได้บอกคุณหรือว่าเรื่องของเฉียนหยุนได้โอนไปให้คนอื่นทำแล้ว?”

“เฉียนหยุน?” มู่อี้จิงยิ่งงงงันหนักกว่าเก่า “คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ? เรื่องของเฉียนหยุนมันเป็นงานที่ผมทำทั้งหมดแล้วก็เป็นคนส่งข้อมูลให้เลขาของคุณกับมือ”

เซินเฟยได้ยินก็นิ่งไปเล็กน้อย

“อะไรนะ?”

“เลขาของคุณมาบอกกับผมว่า คุณจะให้โอกาสผมแก้ตัวด้วยการทำงานนี้ ถ้าผลงานออกมาดีคุณอาจจะยกโทษให้”

“พูดบ้าอะไรกัน ก็อาซิงบอกว่า....” เซินเฟยชะงักไป งานนี้หวางซิงเป็นคติดต่อโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าปลายทางที่รับคำสั่งเป็นใคร รู้เพียงว่าเป็นคนในสารวัตรหรงและระยะนี้เขาก็วุ่นวายจนไม่ได้ติดต่อไปหาอีกฝ่ายเลยทำให้ไม่มีโอกาสได้ถามว่าคน ๆ นั้นที่สารวัตรหรงแนะนำให้ทำแทนมู่อี้จิงเป็นใคร

“คุณ.....เป็นคนทำทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ผมยังเก็บสำเนาเอาไว้ด้วยนะถ้าคุณไม่เชื่อ” มู่อี้จิงทำหน้าเครียดไม่แพ้กัน

“แล้วแปลนคฤหาสน์....”

“นั่นผมก็เป็นคนติดต่อ”

“คุณรับงานผ่านเลขาของผมมานานหรือยัง?”

“ก็ราว ๆ สองอาทิตย์กว่า ๆ พูดง่าย ๆ คือตั้งแต่คุณเริ่มงานผมก็เป็นคนทำมาตลอด” คำตอบของมู่อี้จิงทำให้เซินเฟยรู้สึกปวดขมับขึ้นมา ความง่วงที่มีเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น เขาเริ่มยกมือขึ้นนวดขมับให้เส้นประสาทที่เกร็งเต้นตุบ ๆ คลายตัวออกแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

“ดูเหมือนว่าจะออกได้เช้าวันพรุ่งนี้ครับ......” หวางซิงที่ไม่ได้รู้เรื่องราวการสนทนาเดินเข้ามารายงานตามปกติ แต่กลับพบว่าบรรยากาศในห้องดูตึงเครียดอย่างบอกไม่ถูก และเพื่อมองหาสาเหตุของความตึงเครียดนั้น หวางซิงเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงท่ามกลางแสงสลัวที่ลอดผ่านผ้าม่านบางเข้ามาในห้อง “คุณ....มู่.....”

หวางซิงรู้สึกว่าตนเองทำพลาดไปถนัด เขาควรจะบอกการ์ดหน้าห้องว่าถ้ามู่อี้จิงมาอย่าให้เข้ามาในห้องเด็ดขาด กระนั้นมันก็ไม่ทันเสียแล้ว ใครเล่าจะไปคิดว่าข่าวของเซินเฟยจะแพร่ไปถึงอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้

“คุณเซิน....คือว่า.....”

“ที่มู่อี้จิงพูดออกมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” ก่อนที่หวางซิงจะได้แก้ต่างให้ตัวเอง เซินเฟยก็ชิงถามขึ้นมาพร้อมตวัดสายตาคาดคั้น

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณไปรายงานจูเชว่ว่ายังไง?” มู่อี้จิงวางตัวเป็นโจทก์อีกคน เพราะเขาได้กลายเป็นคนโง่ที่ทำงานงก ๆ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ติดต่อโยนความดีความชอบของเขาไปให้คนที่ไม่มีตัวตน

“......ครับ.....” หวางซิงจำต้องยอมรับ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วและเฉียนหยุนก็ตายไปแล้ว คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกต่อไป “ผมเป็นคนติดต่อกับคุณมู่ให้ทำงานนี้ต่อ แต่ว่า...ผมไม่อยากให้คุณเซินรู้สึกเสียหน้าก็เลย....”

“ก็เลยบอกว่าคนอื่นทำ?” มู่อี้จิงต่อให้ “ทำไมคุณต....”

“เงียบซะ!” เซินเฟยตะคอก ตอนนี้หัวของเขาปวดจี๊ด ๆ จนน้ำตาแทบเล็ด พอได้ยินเสียงมู่อี้จิงก็ยิ่งปวดทำให้ตัดสินใจตะโกนขัด

เซินเฟยพยุงตัวเองให้ลุกจากเตียง แต่เพราะขาข้างที่ถูกยิงยังไม่สามารถหยั่งได้เต็มแรงนักจึงเซถลาไปเล็กน้อย หวางซิงรีบเข้ามาพยุงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงทันที

“อาซิง....ข้อตกลงนั่น...กล้าดียังไงถึงรับด้วยตัวเอง”

“เอ๋?”

เพี๊ยะ!

ยังไม่ทันที่หวางซิงจะกระจ่างในคำพูดนั้น แรงกระทบจากฝ่ามือก็ทำให้หน้าของเขาสะบัดไปทางหนึ่ง ปรากฏรอยแดงขึ้นบนผิวแก้วสีซีดในขณะที่เจ้าของกำลังเบิกตาด้วยความงงงันในความผิดของตนเอง เขาย้อยกลับมามองผู้เป็นนายและในดวงตาคู่สวย เขาได้พบกับความผิดหวังอย่างรุนแรง

หรือเซินเฟยจะคิดว่า....เขายอมนอนกับมู่อี้จิงไปแล้ว!?

ความรู้สึกเหมือนถูกฉีกหน้าโดยคนที่ไว้ใจยิ่งกว่าใคร ๆ ทำให้เซินเฟยผิดหวังและเสียใจอย่างที่สุด

“ออกไปซะ....”

“เดี๋ยวก่อนสิครับ! ผมขออธิบาย....”

“ออกไป!” เซินเฟยไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น แต่พอตะโกนออกไปแล้วอาการปวดหัวก็ยิ่งรุนแรง ตอนนี้ตาของเขาพร่าจนแทบมองข้างหน้าไม่เห็นราวกับเส้นเลือดที่โป่งพองจากความเครียดกำลังกดทับประสาทตากระนั้น ร่างของเขาจึงเซถลาไม่มั่นคง

“คุณเซิน!”

“พอเถอะครับ เจ้านายของคุณดูเหมือนจะอยากพักผ่อน ส่วนคุณยังมีเรื่องต้องอธิบายให้ผมฟัง” มู่อี้จิงจับไหล่รั้งหวางซิงที่คิดจะเข้าไปหาเซินเฟยเอาไว้ แต่ถึงมู่อี้จิงจะพูดแบบนั้น คนที่รู้จักเซินเฟยอย่างหวางซิงก็รู้ว่านั่นไม่ใช่อาการของคนที่อยากพักผ่อนธรรมดา ดังนั้น ถึงอีกฝ่ายจะพยายามดึงตัวเขาออกไปแค่ไหน หวางซิงก็ยังดึงดันที่จะเข้าไปหาเจ้านายของตนให้ได้

“คุณมู่! ผมไม่มีเวลาอธิบายกับคุณหรอกนะ!”

คำพูดของหวางซิงทำให้ตำรวจหนุ่มรู้สึกฉุนขึ้นมาบ้าง หลอกให้เขาทำงานให้แล้วยังบอกว่าไม่มีเวลาอย่างนั้นหรือ!?

“เกิดอะไรขึ้นครับ พวกเราได้ยินเสียงตะโกน....” การ์ดที่อยู่ข้างนอกพากันเข้ามาเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอมีคนเข้ามามากเข้าห้องก็กลายเป็นแออัด ซ้ำเสียงยังก้องดังไปมา เซินเฟยรู้สึกอึดอัดจนหายใจลำบาก ขาก็เริ่มจะไม่ติดพื้น เขาไม่รู้ว่าโลกหมุนวูบกี่ตลบ แต่สุดท้ายแล้วความมืดก็เข้าครอบคลุมสติสัมปปัชชัญญะและเสียงทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เส้นประสาทกระตุกก็ค่อย ๆ เงียบหายไป

--------------------->

“เครียดแล้วก็....นอนไม่พอ....หรือครับ?” หวางซิงฟังผลการวินิจฉัยจากจ้าวผิงเหอด้วยใบหน้าซีดเผือด ตอนเห็นเซินเฟยล้มลงไปต่อหน้าเขารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะตกวูบไปได้

“ก็...ประกอบกับเสียเลือดมากด้วย ผมให้ยานอนหลับไปแล้วคิดว่ากว่าจะตื่นก็คงพรุ่งนี้ที่กลับถึงบ้านพอดี” จ้าวผิงเหอเจอกับกรณีที่คนไข้มีความเครียดสูงอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ เพราะในจำนวนคนไข้ของเขาก็มีพวกนักธุรกิจใหญ่กับพวกวงการใต้ดินอยู่มากกว่าครึ่ง เขาจึงรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรโดยไม่รู้สึกตื่นตกใจ กระนั้น การมีความเครียดสะสมตั้งแต่ยังไม่พ้นช่วงวัยรุ่นอย่างนี้ก็น่ากังวลถึงชีวิตตอนอายุมากขึ้นอยู่เหมือนกัน

“แล้วอาการอย่างอื่นล่ะครับ?”

“ก็อย่าพยายามให้เดินเองมากในช่วงนี้ ทางที่ดีผมว่าควรให้เขาพักอยู่ที่บ้านเฉย ๆ สักระยะจนกว่าแผลจะหายสนิท แล้วก็ให้อยู่ห่างจากสภาวะที่ต้องเผชิญความกดดันทางอารมณ์ด้วย” จ้าวผิวเหอแนะนำก่อนจะยื่นใบจ่ายยาให้ “นี่เป็นรายการยาที่ผมสั่งจ่าย บางอย่างมันก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของผมหรอกนะ อย่างพวกยาคลายเครียดกับยาระงับประสาท แต่อย่างน้อยเส้นสายตระกูลเซินก็ช่วยให้ผมเจรจากับทางเภสัชกรได้ง่ายขึ้นเยอะ”

“ยาคลายเครียด....ยาระงับประสาท?” หวางซิงทวนคำพลางก้มลงมองรายการยาที่เขียนตวัดเสียจนเขาแทบจะอ่านไม่ออก

ยาคลายเครียดมันก็อย่างหนึ่ง แต่ยาระงับประสาทนี่มัน...

“เผื่อไว้ในกรณีเลวร้ายน่ะ” จ้าวผิวเหอไหวไหล่

“งั้นหรือครับ....ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่เป็นธุระให้” หวางซิงกล่าวก่อนจะเดินออกมาจากห้องของจ้าวผิวเหอ แล้วเขาก็พบมู่อี้จิงกำลังรออยู่ด้านนอก อีกฝ่ายดูท่าทางหัวเสียเอาเรื่องทีเดียว


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #103 เมื่อ22-02-2011 13:44:41 »

“สรุปว่าคุณหลอกใช้ผมจริง ๆ สินะ”

“ผมทำทุกอย่างเพื่อให้คุณเซินสบายใจเท่านั้นเอง แต่ผมไม่คิดว่าผลจะออกมาอย่างนี้” ชายหนุ่มสารภาพตามจริงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ มู่อี้จิง

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ แต่คุณโกหกผมด้วย ทำไมกระทั่งผมคุณก็ยัง....ฮึ่ย! ถามไปคุณก็คงจะตอบว่า ‘เพื่อจูเชว่แล้ว ผมทำได้ทุกอย่าง’ อีกล่ะสิ” มู่อี้จิงขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่เถียงอะไรก็ยิ่งโมโห ให้ตายสิ ตรรกะของคนพวกนี้มันบกพร่องหรือยังไงกันนะ!

“เด็กหนุ่ม ๆ อย่างคุณไม่น่าจะขี้งอนได้เลยนะครับ”

เด็กหนุ่ม ๆ ?

“คุณเองแก่นักหรือยังไง?” มู่อี้จิงทำหน้าบูด

“อืม....ตอนนี้ก็ 30 พอดีครับ” หวางซิงตอบหน้าตาย แต่ผู้ฟังกลับอ้าปากค้าง เพราะดูมุมไหนหวางซิงก็ไม่น่าจะอายุขนาดนั้นได้เลย

“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ ผมน่ะถึงจะถูกหลอกใช้แต่ขอแค่ได้ความดีความชอบคืนก็พอแล้ว ส่วนคุณน่ะ จูเชว่ท่าทางโกรธเอาเรื่องเลยไม่ใช่หรือ?” พอมู่อี้จิงพูดอย่างนั้นออกมา หวางซิงก็ทำหน้าสลดในทันที

“ถึงยังไงผมก็จะรับใช้คุณเซินต่อไปครับ”

มู่อี้จิงกลอกตาขึ้นด้านบนก่อนจะเอนคอพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือกุมขมับ นึกอยากขอแบ่งยาคลายเครียดของเซินเฟยมากินสักเม็ด

“อา.....อยู่กับคุณแล้วผมเหนื่อยชะมัด”

------------------------->

เซินเฟยลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าถูกปลุกขึ้นมากินยาอะไรบางอย่าง ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเบลอจนกระทั่งตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขารู้สึกราวกับถูกบางอย่างรั้งเอาไว้ทำให้ไม่อาจขยับได้ตามใจชอบ เซินเฟยจ้องมองเพดานห้องที่คุ้นเคยทำให้รู้ว่าตนเองอยู่ที่บ้านแล้ว และแผ่นหลังของเขาก็กำลังแนบเตียงนุ่มของตนเองจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

“.....”

พอคิดจะออกเสียงเรียกใครให้เข้ามา เสียงที่เปล่งก็แหบแห้งจนแทบจะไม่เป็นคำ

นี่เขาหลับไปนานแค่ไหนนะ?

เซินเฟยเอี้ยวคอไปทางผนังด้านหนึ่งอย่างยากลำบาก สายตาของเขาโฟกัสไม่ชัดเจนนักแต่พอจะเห็นภาพราง ๆ ของนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลา 6 โมง แต่....เช้าหรือเย็นล่ะ? มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเวลาเย็น เพราะโรงพยาบาลคงไม่อนุญาตให้พาคนไข้กลับตั้งแต่เช้ามืด

ห้องของเขามีหน้าต่างแต่ตอนนี้มันถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าม่าน ห้องของเขาก็ปิดไฟเอาไว้ทำให้มืดสนิทไปหมด

มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง แต่เซินเฟยก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะหันกลับไปมองยังปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้และยืนอยู่อย่างนั้น

“ผมไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสินะ”

ฉู่เหวินจือ?

“มีธุระอะไร?” เซินเฟยกลั้นใจเปล่งเสียงออกมา แต่เสียงนั้นกลับเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน

“ผมเอายามาให้ ก็แบบว่า....หวางซิงเห็นว่าคุณยังโกรธเขาไม่หาย ก็เลยวานผมเอายาขึ้นมาให้แทน” ฉู่เหวินจือว่าจบก็วางยากับแก้วน้ำลงที่โต๊ะใกล้ ๆ ก่อนพยุงเซินเฟยให้ลุกขึ้นนั่งอิงหมอน “แค่ยาแก้อักเสบน่ะ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะวางยาพิษหรอก” ฉู่เหวินจือพูดเสียงทีเล่นทีจริงก่อนจะหัวเราะแล้วยื่นยาให้ เซินเฟยมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจ ทำไมเขาถึงต้องตื่นมาเจอคนที่ไม่อยากจะเห็นหน้าด้วยนะ

“เรื่องของนายฉันก็ยังไม่ได้อภัยให้”

“อ้อ เรื่องหมอจือ” ฉู่เหวินจือพยักหน้าขณะมองเซินเฟยกลืนยาลงคอ อีกฝ่ายยื่นมือมาขอแก้วน้ำ ทว่า....ฉู่เหวินจือกลับไม่ได้ยื่นให้ เขากระดกน้ำแก้วนั้นดื่มเสียเองก่อนจะคว้าตัวเซินเฟยเข้ามาแล้วประกบริมฝีปากป้อนน้ำให้ล่วงลงคอทั้งอย่างนั้น

เซินเฟยเบิกตากว้างพยายามดิ้นรนด้วยความตกใจ ทว่าเรี่ยวแรงของเขากลับไม่อำนวย สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงส่งเสียงอึกอักจนสำลักน้ำหน้าแดง

“แค่ก....น....นายทำบ้าอะไร...” อย่างน้อยการได้ดื่มน้ำก็ทำให้เสียงของเขาดีขึ้นเล็กน้อย

ฉู่เหวินจือพาตัวเองขึ้นนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะแล้วกดร่างของเซินเฟยให้จมลงไปในเตียงนุ่ม ด้วยแรงที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดทำให้เซินเฟยไม่สามารถขัดขืนได้ คิดจะชกยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ...

“ยาคลายเครียดทำให้อ่อนแรงใช่ไหมครับ?”

ยาคลายเครียด....

เซินเฟยทวนคำในหัว สมองของเขาดูเฉื่อยชาลงชอบกล

“งั้นเอาแค่ฟังที่ผมพูดก็แล้วกัน” ฉู่เหวินจือสรุป “อย่างที่ผมบอกไปแล้วที่โรงพยาบาล ผมทำอะไรได้มากกว่าที่คุณรู้แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ได้คิดจะให้ผมแสดงความสามารถเลย การทำตามคำสั่งมันก็สนุกอยู่หรอกนะ แต่ว่า ผมเองก็อยากลองสนุกกับการทำตามใจด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจะทำให้คุณเห็นก็แล้วกันว่าผมทำอะไรได้บ้าง และทำได้ดีกว่าหมอจือของคุณด้วย”

ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็ละมือออกไป แต่เซินเฟยก็ได้จังหวะหายใจไม่นานนักเมื่ออีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในกางเกงของเขา

“จะทำอะไร!” เซินเฟยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตระหนก เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องตกอยู่ในสภาพที่ควบคุมอะไรไม่ได้อย่างนี้

“ก็....หมอบอกว่าคุณมีระดับความเครียดสูงมาก ดังนั้น...ผมก็จะช่วยคลายเครียดยังไงล่ะ ไม่ต้องใช้ยาด้วย ดีใช่ไหมครับ?” ถึงคำพูดจะเหมือนเรื่องดี แต่การกระทำไม่ได้ชวนให้คิดเช่นนั้นเลย ฉู่เหวินจือดึงเซินเฟยให้ขึ้นมาเอนบนตักก่อนจะขยับมือสัมผัสสิ่งที่ซุกซ่อนภายใต้กางเกงนอนตัวบางและไม่มีกระทั่งชั้นใน “เวลาคุณอ่อนแออย่างนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะ”

“ย....หยุดนะ......อึก.....” ความอับอายถาโถมใส่เซินเฟยเป็นระลอก ตั้งแต่เกิดมากระทั่งช่วยตัวเองก็ยังไม่เคย ผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงถึงได้....

“คุณรู้ไหม เซ็กส์เป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่งนะ แพทย์ยังรับรอง ดังนั้นไม่เป็นอันตรายหรอก” ฉู่เหวินจือยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า คำพูดหว่านล้อมนั้นไม่ได้ทำให้เซินเฟยรู้สึกดีขึ้นสักนิด ซ้ำยังรู้สึกอับอายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาจึงกัดริมฝีปากแน่นิ่งและหลับตากลั้นลมหายใจ

“ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ขาดใจหรอก” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็จ้วงริมฝีปากลงมาบังคับให้เซินเฟยอ้าปากและสอดปลายลิ้นเข้าไปเก็บเกี่ยวความหอมหวานอย่างชำนิชำนาญทั้งยังกระตุ้นเร้าให้มีอารมณ์ร่วมอีกทางหนึ่ง

เพราะฤทธิ์ยาที่ยังตกค้างหรืออย่างไรไม่ทราบ เซินเฟยจึงรู้สึกเหมือนร่างกายลอยคว้างอยู่กลางอากาศท่ามกลางคลื่นลมที่โถมซัดเข้ามา

“อ๊ะ!” เขาเผลอร้องออกมาครั้งหนึ่งเมื่อความเสียวซ่านถูกปลดปล่อยออกไปจากร่างกาย
ฤทธิ์ยาผสมกับความหวาบหวามทำให้เซินเฟยไม่อาจดึงสติคืนมาได้ในทันที เขามองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอยก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

“ผมทำได้ดีกว่าหมอจืออีกจริงไหม?”

“หมอจือ...” เซินเฟยทวนคำ “ฉันกับเขาไม่ได้....อ๊ะ!” ไม่ทันที่เซินเฟยจะได้ตั้งตัว ฉู่เหวินจือก็รูดกางเกงผ้าเนื้อบางออกไปจากสะโพก ทำให้ความชื้นแฉะสัมผัสกับอากาศให้รู้สึกหนาวสะท้านที่หว่างขา เซินเฟยหนีบขาลงตามสัญชาตญาณขณะที่ฉู่เหวินจือแตะปลายนิ้วลงบนบาดแผลที่ตอนนี้เหลือแต่รอยเย็บขนาดเล็ก

“น่าเสียดายจริง....” ว่าแล้ว ฉู่เหวินจือก็ยกขาซ้ายที่มีแผลนั้นขึ้นมาจูบเบา ๆ เขาเลียผิวเนื้อสวยราวกับกำลังลิ้มรสอาหารแล้วยิ้มออกมา “ผิวของคุณสวยออกอย่างนี้ มีแผลเสียแล้วสิ”

ความมึนงงจากฤทธิ์ของยาทำให้เซินเฟยไม่อาจคิดคำนวนได้ว่าตนเองควรจะเรียกการ์ดข้างนอกมาหิ้วผู้ชายอวดดีคนนี้ไปลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ ด้วยสมองของคนปกติที่ทื่อสนิทย่อมคำนวนได้แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญเท่านั้นและเซินเฟยเองก็เช่นกัน ตอนนี้เขาจึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยแววตาสับสนไม่อาจตีความคำพูดที่ได้ยินผ่านหูได้ชัดเจนนัก

“ทำหน้าแบบนั้นผมจะอดใจไม่ไหวเอานะ” ชายหนุ่มกล่าว “ผมรอมาตลอดเลยรู้ไหมจูเชว่ เวลาที่คุณจะไม่สามารถต่อกรกับใครได้อย่างนี้น่ะ และโชคดีจริง ๆ ที่คุณเป็นแบบนี้จนได้ ถึงจะเร็วกว่าที่ผมคำนวนไว้ก็เถอะ”

“คำนวน....อะไร?”

“ก็คำนวนว่าคุณจะล้มลงมาหาผมเมื่อไหร่น่ะสิ” คำตอบที่ได้ยังไม่แจ่มชัด ฉู่เหวินจือหัวเราะเสียงลึกในคอ “ยิ่งหวางซิงกลัวการเข้าใกล้คุณแบบนี้ก็ยิ่งเข้าทาง” เขากล่าวพร้อมกับพาร่างที่อ่อนแรงของเซินเฟยนอนราบลงบนเตียง เวลาที่หาได้ยากแบบนี้มันก็ต้องคว้าเอาไว้ ฉู่เหวินจือคิดกับตัวเองขณะมองร่างกึ่งเปลือยที่ตอบสนองเขาได้เชื่องช้าเกินคาด ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่ยาคลายเครียดตัวเดียวที่แอบป้อนให้ตอนหลับจะมีผลได้ถึงขนาดนี้

“จ....จะทำอะไร?” เซินเฟยเริ่มรู้สึกไม่ดีกับแววตาของอีกฝ่าย เขาจึงพยายามขยับหนี

“ทำสิ่งที่ผมทำได้ยังไงล่ะ” คำพูดของฉู่เหวินจือเหมือนวกวนยอกย้อนไปมาทำให้เซินเฟยงุนงงจับใจความไม่ได้ เขาจับข้อเท้าของเซินเฟยไว้ไม่ให้หนีพ้นก่อนดึงกางเกงให้หลุดออกจากปลายเท้า

ชายหนุ่มพาตนเองขึ้นคร่อมเหนือร่างที่ไร้เรี่ยวแรงต่อกร ถอดเสื้อตัวบางออกและกดข้อมือทั้งสองไว้เหนือหัว

“อ....เดี๋ยว....อือ...” เสียงครางพ้นริมฝีปากออกมาเมื่อฉู่เหวินจือใช้เพียงขากระตุ้นความปรารถนาที่อ่อนตัวอยู่แต่เดิม ด้วยความอ่อนเดียงสา แค่กระตุ้นไม่นานก็ตื่นตัวอย่างง่ายดาย แม้เซินเฟยจะพยายามผลักไสอย่างไรก็ไร้ผล ด้วยกำลังของคนที่มึนเมากับฤทธิ์ยา กอปรกับยาแก้อักเสบที่เพิ่งกินเข้าไปก็เริ่มออกฤทธิ์ตามหน้าที่ทำให้เขาไม่อาจต่อต้านการกระทำอันอุกอาจได้เลย

เซินเฟยบิดกายเร่าภายใต้การเกาะกุมของฉู่เหวินจือที่มองดูด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างเมื่อความร้อนรุ่มสัมผัสอยู่ที่หว่างขา

ฉู่เหวินจือเปลี่ยนมาใช้มือข้างเดียวยึดข้อมือของเซินเฟยไว้ มืออีกข้างลดลงไปปลดเข็มขัดก่อนจะใช้เข็มขัดหนังนั้นรัดรวบข้อมือทั้งสองไว้ด้วยกัน เซินเฟยยิ่งตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก่อนจะได้ตะโกนเรียกใคร ฉู่เหวินจือก็บดขยี้จูบลงมาอย่างหนักหน่วงจนเซินเฟยเกือบลืมหายใจ

เมื่อมือทั้งสองข้างไม่มีภาระผูกพัน ฉู่เหวินจือจึงปลดเสื้อและกางเกงตัวเองก่อนแนบเข้ากับปากทางเล็กแคบที่ไม่เคยรองรับกามารมณ์ของใคร

เซินเฟยตีความหมายของการกระทำได้ไม่ยาก เขาพยายามขัดขืนเต็มกำลังทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่การส่งขาของตัวเองไปไว้ในวงแขนของอีกฝ่ายเท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้ขั้นตอนเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น รอยยิ้มของฉู่เหวินจือลอยเด่นตรงหน้าขณะที่ริมฝีปากเริ่มขยับเป็นคำพูด

“ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีจนลืมไม่ลงเลย”


TBC

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #104 เมื่อ22-02-2011 14:07:33 »

ญ่าจิ้มไรเตอร์อีกแว้วววววววววว  5555


โอ้ย!ๆๆๆๆ
ตอนหน้าNCครบเซ็ทใช่ไหม  อิอิ

คุณฉู่โดนใจมากเลยอ่ะ
เซินเฟยน่ารักอ่ะเวลาไม่สบาย  อิอิ

อยากอ่านตอนต่อไปไวไวแล้วววว

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #105 เมื่อ22-02-2011 14:58:24 »

 o18รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #106 เมื่อ22-02-2011 16:37:26 »

กรี๊ดดด ดังๆ
อย่าตัดฉับเหมือนเรื่องที่แล้วนะคุณเซียร์ อิอิ

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #107 เมื่อ22-02-2011 16:55:25 »

me too. คริๆ

mete

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #108 เมื่อ22-02-2011 17:36:36 »

เย้ :mc4:

มีเรื่องใหม่มาให้อ่านอีกแล้ว

สนุกมากคับ o13 เพิ่งจะมาอ่านก็ติดซะแล้ว

อ่านตอนนี้แล้วค้างจัง

จะรอตอนต่อไปนะคับ :bye2:(อัพทุกเลยเหรอคับ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีไปลยคับ )

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #109 เมื่อ22-02-2011 18:02:00 »

กรี้ด!!!!!!!!!!! อีตาฉู่
ทำแบบนี้ เซินเฟย ก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่
นิสัยไม่ดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
« ตอบ #109 เมื่อ: 22-02-2011 18:02:00 »





ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #110 เมื่อ22-02-2011 18:11:34 »

เฮือก... อยู่ ๆ ก็มี "เลิฟซีน" มาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง !!!

นึกไม่ถึงว่าตาคุณฉู่จะกล้าถึงเพียงนี้ (จับกดเจ้าพ่อ) แต่จะทำการสำเร็จรึเปล่า? ต้องรอลุ้น
เรื่องนี้คาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ

Mirena

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #111 เมื่อ22-02-2011 18:31:01 »

*แวะเข้ามาเยี่ยม*

แมวจ๋าาาาาา คิดถึงนะตัว มามะมากอดที  :กอด1:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
«ตอบ #112 เมื่อ22-02-2011 23:00:18 »

-11-



ปวด....ปวดตัวอะไรอย่างนี้....

นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากที่เซินเฟยลืมตาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งสันหลังราวกับออกกำลังกายอย่างหนักมาก็ไม่ปาน กระนั้นเซินเฟยก็รู้ว่าตนไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย และเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาก็แจ่มชัดในความทรงจำเกินกว่าจะปฏิเสธได้

หลังการพักผ่อนคืนหนึ่ง สติของเซินเฟยก็เจ่มใสสมบูรณ์ เขากัดฟันพาตนเองลุกขึ้น ร่างกายของเขายังคงเปลือยเปล่าปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ตัวการกลับไม่อยู่ในห้องแล้ว

เซินเฟยฝืนแรงลุกขึ้นสวมเสื้อที่ถูกถอดลงไปนอนอยู่บนพื้น แล้วปัดกางเกงเข้าไปซ่อนใต้เตียงก่อนขึ้นนั่งบนเตียงแล้วห่มผ้าขึ้นมาถึงเอว

“ใครอยู่ข้างนอกนั่นบ้าง” เขาออกเสียงเพียงพ้นบานประตูไปเท่านั้น การ์ดคนหนึ่งก็เดินเข้ามาราวกับยืนอยู่ข้างนอกตลอด แน่นอน ช่วงนี้เขาขยับตัวเองไม่สะดวกนักจึงต้องมีคนคอยรอดูว่าเขาจะใช้อะไรหรือไม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงที่ฉู่เหวินจือกระทำการอุกอาจคงจะหลอกล่อคนเฝ้าให้ไปทำธุระที่อื่นเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นมีหรือจะทำเรื่องแบบนั้นได้โดยที่การ์ดไม่รู้

“มีอะไรหรือครับ?”

“ฉู่เหวินจืออยู่ไหม?” เซินเฟยพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เขาไม่อยากอธิบายอะไรให้มากความ

“อยู่ข้างล่างครับ จะให้ผมเรียกขึ้นมาให้ไหม?”

ยังอยู่อย่างนั้นหรือ?

คำตอบนั้นนอกจากจะไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีขึ้นแล้วกลับทำให้เซินเฟยโกรธมากกว่าเดิม เพราะนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้นึกกลัวเกรงเขาเลยสักนิด

“ไม่ต้อง” ว่าแล้ว เซินเฟยก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะสั่ง “เข้ามานี่”

บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าหน้าห้องในกะนี้เดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายก่อนจะค้อมตัวลงจนกระทั่งใบหูอยู่ใกล้กับริมฝีปากมากพอที่จะได้ยินเสียงกระซิบคำสั่ง เจ้าตัวดูจะสงสัยต่อคำสั่งนั้นเล็กน้อย แต่ด้วยหน้าที่ของเขาไม่มีข้อไหนที่บอกให้ถามได้ ดังนั้น การ์ดคนนั้นจึงเพียงแค่โค้งตัวเพื่อน้อมรับคำสั่งที่ได้มา

“อย่าให้นายหญิงรู้เด็ดขาด”

“รับทราบครับ”

หลังประตูปิดลง เซินเฟยจึงค่อย ๆ ผ่อนร่างกายที่เอนลง การนั่งเกร็งตัวเอาไว้ทำให้สะโพกของเขาปวดระบม แต่ว่า....ในเมื่อสั่งการไปแล้วเขาก็ไม่อยากจะทิ้งช่วงให้อารมณ์เย็นเหมือนกัน ตอนกำลังเดือดอย่างนี้แหละถึงจะดี เซินเฟยคิดเช่นนั้นจึงกัดฟันฝืนกลั้นความปวดร้าวที่กัดกินร่างรวมไปถึงความเจ็บจากบาดแผลบนขาแล้วเดินลากสังขารไปยังห้องน้ำส่วนตัวที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอน

เซินเฟยปิดประตูก่อนนั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ขาของเขาสั่นเทาจนแทบจะหงายตกลงไปในอ่าง แต่จะเรียกคนอื่นมาช่วยในสภาพอย่างนี้....ฝันไปเถอะ....

เขาจำต้องอาบน้ำด้วยฝักบัวเสียกระมัง....เพราะหากลงไปแช่ในอ่างแผลอาจจะเปื่อยเน่าได้ เซินเฟยตัดสินใจลากเก้าอี้ที่อยู่ในห้องน้ำมานั่งแล้วดึงฝักบัวลงมาจากที่พักก่อนจะเปิดน้ำให้อยู่ห่าง ๆ ตัวก่อนแล้วจึงค่อยราดที่ขาขวาเป็นที่แรกตามด้วยส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก่อนจะวนมาที่ขาซ้ายโดยเว้นจุดที่เป็นแผล กระนั้นส่วนที่มีปัญหาที่สุดกลับไม่ใช่เรือนร่างภายนอก ทว่าเป็นสิ่งที่ฉู่เหวินจือทิ้งเอาไว้ข้างใน....

การอาบน้ำที่ทุลักทุเลผ่านไปด้วยเวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมง เซินเฟยพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำแล้วค้นตู้เสื้อผ้าฉวยเอาเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแลคที่ใกล้มือที่สุดออกมา โชคดีที่เป็นเชิ้ตขาวและกางเกงดำจึงไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องความเข้ากันของสีเวลาสวมใส่

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในจังหวะที่เซินเฟยแต่งตัวเสร็จพอดี

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เซินเฟยเงยหน้ามองนาฬิกา ใช้เวลาไป 45 นาทีเชียวหรือ? แสดงว่าฉู่เหวินจือระวังตัวอยู่สินะถึงได้หาจังหวะยากขนาดนี้

“เดี๋ยวฉันลงไป บอกทุกคนว่าให้ทำตัวเป็นปกติซะด้วย”

“ครับ”

เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึก เขาเองก็ต้องทำตัวเป็นปกติเหมือนกัน เรื่องนี้จะให้เผยแพร่ออกไปไม่ได้เด็ดขาด มีแค่เขากับฉู่เหวินจือเท่านั้นที่รู้ความอัปยศครั้งนี้ ส่วนการ์ดของเขานั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คนเหล่านั้นถูกฝึกมาไม่ให้อยากรู้อยากเห็น ไม่ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม และจะรับรู้เฉพาะสิ่งที่มีอยู่ในหน้าที่เท่านั้น ที่ต้องห่วงคงจะเป็น.....อาสะใภ้ของเขา เธอจะรับเรื่องอย่างนี้ได้แค่ไหน....จะรังเกียจเขาหรือเปล่า....และเธอจะรู้สึกอับอายมากเพียงใด

เซินเฟยพยายามเดินช้า ๆ ให้ไม่กระทบกับบาดแผลและอาการปวดร้าวมากนัก เมื่อออกมาถึงนอกห้อง การ์ดที่รับคำสั่งไปก็โค้งให้แล้วเดินนำทาง

“ขออภัยที่ช้าครับ” เขากล่าว

“ไม่เป็นไร แค่จับได้ก็พอ” เด็กหนุ่มไม่คิดมากกับเวลา เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ทำงานได้ดีเสมอ “นายหญิงรู้หรือเปล่า?”

“วันนี้นายหญิงออกไปข้างนอกครับ”

“งั้นหรือ....”

ช่วงนี้ซากุระดูจะวุ่นวายกับบางเรื่องอยู่ เธอออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้งและบางครั้งก็สีหน้าไม่ค่อยดีนัก เซินเฟยคิดว่าบางทีอาของเขาอาจจะเหนื่อยใจกับญาติ ๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียทีเดียว เขาสังหรณ์เช่นนั้น

การ์ดในชุดสูทสีดำเดินนำเซินเฟยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงส่วนหนึ่งของบ้านที่ไม่ค่อยมีคนเดินมาเท่าใดนัก ประตูบานหนึ่งปิดสนิทอยู่ เขาดึงให้เปิดออกเซินเฟยจึงเห็นบันไดทอดลงไปด้านล่าง

“รอตรงนี้แหละ แล้วของที่ฉันสั่งล่ะ?”

“อยู่ข้างล่างครับ”

“ดีมาก” เซินเฟยกล่าวแล้วจึงเดินลงไป บอดี้การ์ดจึงปิดประตูลงเช่นเดิมและยืนเฝ้าไม่ให้คนลงไปด้านล่างตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

ห้องใต้ดิน...สถานที่ที่เหมาะสมอย่างที่สุดที่จะกักขังใครบางคนไว้ทรมาน เพราะไม่ว่าเสียงใด ๆ ก็จะไม่เล็ดรอดออกไปให้คนอื่นได้ยิน แต่เดิมทีห้องนี้เป็นห้องเก็บของเท่านั้น แต่จูเชว่สองรุ่นที่แล้วเกรงว่าความชื้นจะทำให้ของเสียหายจึงโละออกและไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ตอนนี้มันจึงเป็นห้องโล่งกว้างที่มีเก้าอี้กับโต๊ะอยู่ชุดหนึ่งซึ่งจูเชว่รุ่นที่แล้วมักจะใช้เก็บตัวเพื่อคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง ตอนนี้เซินเฟยจึงเติมของเข้าไปอีกชิ้น เป็นคานที่ยึดกันเป็นสี่เหลียม สูงกว่าส่วนสูงของผู้ชายโตเต็มวัย มีฐานมั่นคงเพื่อไม่ให้ล้มเมื่อมีการดิ้นรน

เซินเฟยกดเปิดสวิตช์ไฟทำให้ห้องโล่งกว้างนั้นสว่างไสวขึ้น

ที่กลางห้อง จุดที่วางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ของเซินเฟย มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกแขวนขึงอยู่ตรงกลางโครงสี่เหลียมนั้น ชายคนนั้นเปลือยท่อนบนและหันหลังให้กับเขา ขาสองข้างถูกล็อคไว้กับคานด้านล่าง แขนสองข้างตรึงไว้ด้วยเชือกเส้นหนากับคานด้านบน

“สบายดีไหม?” เขาเอ่ยถาม

“นั่นผมควรจะถามคุณนะ” ฉู่เหวินจือหัวเราะ แม้จะถูกจับมาอย่างนี้เขาก็ยังไม่แสดงความหวาดกลัว วันนี้เขาไม่ได้สงสัยเลยว่าทำไมอยู่ ๆ จึงมีการ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเขา ซ้ำยังถูกตามอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงเพื่อรอจังหวะที่เขาอยู่ห่างจากคนอื่น ๆ แล้วชกเขาจนสลบก่อนพามาที่นี่ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะแรงหมัดเขาก็พบว่าตนเองโดนขึงไว้เสียแล้ว พูดตามตรงว่าเขารู้สึกตกใจกับรสนิยมของเซินเฟยนิดหน่อย

“นายนี่ไม่เคยกลัวตายเลยใช่ไหม? หรือว่าฉันใจดีกับนายเกินไปนะ?” แม้น้ำเสียงของเซินเฟยจะดูเรียบนิ่งเสมือนไม่ได้นึกถือสา ทว่าในความเป็นจริงเขากำลังโกรธจนแทบคลั่ง เพียงแต่เก็บกักอารมณ์นั้นไว้ภายในไม่ให้แสดงออกมาเป็นเครื่องมือให้อีกฝ่ายปั่นหัวเท่านั้น

“คุณฆ่าผมไม่ได้หรอก” ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังมุ่นคิ้ว

“หมายความว่ายังไง?”

“หึ ๆ นี่คุณไม่รู้จริง ๆ หรือ จำกฎของพวกคุณไม่ได้หรือครับ ที่ว่า...ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คุณคิดว่าทำไมท่านไป๋หู่ถึงต้องอุตส่าห์ส่งผมมารับใช้คุณด้วย แค่เพื่อจับตาดูเท่านั้นจริง ๆ น่ะหรือ? คุณช่างเดียงสาเสียจริง” ว่าไป ฉู่เหวินจือก็ทำเสียงเหมือนกำลังล้อกับเด็ก ๆ

เซินเฟยรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาเมื่อได้ยิน

“ไป๋หู่....” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มเย็น “เขาไม่ได้ฆ่าคนของจูเชว่ที่ไปข่มขืนเขาก่อนหรือยังไงฉันถึงฆ่านายไม่ได้”

“เขาบอกผมว่าเขาแค่ลงโทษนิดหน่อย”

“อ้อ....” เซินเฟยส่งเสียงตอบรับในคอก่อนจะเดินไปที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องก่อนหยิบของที่สั่งให้คนเตรียมไว้ขึ้นมา เขาสะบัดมันครั้งหนึ่ง เสียงของเส้นหนังหวดแหวกอากาศกระทบกับพื้นก็ดังขึ้น “แปลว่าฉันลงโทษนายได้ งั้นก็ดี....ฉันจะได้สอนให้นายรู้สำนึกเสียบ้าง” สิ้นคำ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปลายเส้นหนังไม่ได้กระทบกับพื้น สิ่งที่ถูกกระทบคือแผ่นหลังเปลือยเปล่าของฉู่เหวินจือที่เกิดรอยถากสีแดงเข้มทันทีที่เส้นหนังสะกิดผ่าน ชายหนุ่มสะดุ้งเกร็งเพราะไม่ทันเตรียมใจรับ ทว่าไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา

“รสนิยมคุณน่าสนใจดี...อึก!” โดยไม่สนใจคำพูด เซินเฟยก็หวดแส้ลงไปอีกครั้งและอีกครั้งบนแผ่นหลังที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ

เสียงหวดดังหวีดหวิวถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เปลวเพลิงในดวงตาของเซินเฟยไม่ได้ลดลงตามจำนวนครั้งการหวดเลย กลับยิ่งลุกโหมมากขึ้นเมื่อีอกฝ่ายไม่แสดงอาการเจ็บปวดตอบรับการลงโทษของเขาแม้สักนิด

“อา....หึ ๆ คุณโกรธที่ผมรุนแรงกับครั้งแรกของคุณหรือครับ?” แม้จะถูกฟาดจนหลังยับ ทั้งบางแผลยังแตกจนเลือดไหลซิบ แต่ฉู่เหวินจือก็ไม่อนาทรร้อนใจต่อบาดแผลของตน เขายังคงยิ้มและพูดจาอ้อล้อเสมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกลงโทษเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เซินเฟยเดือดยิ่งขึ้น หลังจากพักยกเพราะรู้สึกเหนื่อยและเจ็บแผลที่ขาเนื่องจากการหยั่งรับน้ำหนักตัวเป็นเวลานาน เขาก็กระหน่ำแส้ลงไปบนแผ่นหลังนั้นอีกครั้งโดยไม่คิดยั้งมือ

ร่างที่ถูกขึงรับอารมณ์กระตุกตามแรงหวดที่กระทบกับผิวเนื้อ ทว่าถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่มีเสียงร้องออกมาทำให้เซินเฟนโกรธจัดจนหน้าแดง เขากัดฟันแน่นจนขมับเริ่มปวดและรู้สึกว่าสันประสาทกำลังเต้นตุบ ๆ อยู่ในหัว นึกอยากจะเชือดเนื้อออกมาทีละชิ้น ๆ ให้ทรมานจนตายแต่ก็ไม่อาจทำได้เนื่องจากกฎที่ค้ำคออยู่

“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน...ว่านายจนทนได้แค่ไหน”

เซินเฟยว่าแล้วเดินเข้าไปแตะปลายนิ้วบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแตก เหงื่อจากฝ่ามือสะกิดโดยแผลทำให้ฉู่เหวินจือสะดุ้งเฮือกและส่งเสียงออกมาเล็กน้อย เพียงเท่านั้นเซินเฟยก็ยิ้มออกมา

ทำไมเขาถึงลืมคิดไปได้นะ...

เมื่อผิวหนังถูกกระทบมากเข้าก็จะเริ่มเจ็บจนชา เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ย่อมไม่แปลกที่อีกฝ่ายสามารถทนทานกับแส้หนังได้ ทว่า.....

“ใครอยู่ข้างบนบ้าง” เขาตะโกนขึ้นไป แล้วการ์ดที่เฝ้าอยู่ก็เปิดประตูออกเพื่อรับคำสั่งทันที “เอาน้ำเกลือมา สั่งให้คนในครัวเอาเกลือละลายน้ำเข้ม ๆ ล่ะ”

“ครับ”

เสียงรับคำดังขึ้นพร้อมเสียงปิดประตู เซินเฟยค่อย ๆ นั่งลงบนขั้นบันไดเพราะแผลที่ขาของเขาเริ่มจะปวดขึ้นมา ซ้ำสมองของเขายังเหมือนถูกบีบคั้น เวลาที่อารมณ์เสียอย่างนี้อาการปวดไมเกรนมักจะย้อนมาเล่นงานเสมอ แต่ว่า....ขอลงโทษฉู่เหวินจือให้หนำใจ เส้นเลือดจะโป่งพองจนแตกก็ช่างหัวมันปะไร!

ใช้เวลาไม่นานเกินรอ การ์ดในชุดสูทดำก็นำน้ำเกลือที่บรรจุในขวดพลาสติกลงมาส่งให้ก่อนเดินกลับขึ้นไปเฝ้าประตูเช่นเดิม

เซินเฟยจ้องมองน้ำที่มองดูภายนอกคงไม่รู้ว่าเป็นอะไร มองผาด ๆ แล้วก็เหมือนน้ำเปล่าธรรมดา แต่สำหรับฉู่เหวินจือมันจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่านะ?

หลังจากนั่งจนแผลเริ่มหายระบม เซินเฟยก็ลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินอ้อมไปตบหน้าฉู่เหวินจือครั้งหนึ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้ว แรงตบที่มากพอจะปลุกให้ได้สติคืนมาเรียกให้ฉู่เหวินจือมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเลื่อนมองขวดน้ำที่อยู่ในมือ

“คุณกลัวผมคอแห้งหรือ?” เสียงของฉู่เหวินจือแหบแห้งลง อาจเพราะการได้พักแส้ทำให้หลังของเขาเริ่มปวดร้าวขึ้นมาจริง ๆ และอาการชาก็เริ่มหายไปเรื่อย ๆ

“เปล่า” เซินเฟยคว้าคออีกฝ่ายแล้วบีบโดยแรง “ฉันจะช่วยล้างแผลให้ต่างหาก” หลังกล่าวจบ เซินเฟยก็ผละออกแล้วเดินอ้อมไปด้านหลัง เขาเปิดฝาเกลียวแล้วเดินทิ้งระยะออกมาก่อนจะสาดน้ำในขวดนั้นลงไปบนบาดแผลทั้งแผ่นหลัง ทันใดนั้นเองร่างของฉู่เหวินจือก็ดิ้นพลาดราวกับโดนทอดในน้ำมันเดือด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องสะท้อนในห้องสร้างความพึงพอใจอย่างยิ่งยวดให้เด็กหนุ่มที่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการในที่สุด

เซินเฟยเฝ้าดูอาการทุนรทุรายจนกระทั่งฉู่เหวินจือสงบลงก่อนจะสาดน้ำเกลือที่เหลืออีกครึ่งขวดลงไปอีกครั้ง เสียงของฉู่เหวินจือแม้จะสร้างความพึงพอใจได้แต่ก็สร้างภาระให้ประสาทหูเช่นกัน เซินเฟยรู้สึกปวดหัวหนักขึ้นจนไม่อาจทนฟังได้จนจบ เขาพาตนเองเดินกะเผลกขึ้นมาข้างบนแล้วส่งขวดเปล่าคืนแก่การ์ดที่มีสีหน้าซีดเซียวเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมานดังลอดขึ้นมา

“บอกทุกคน ห้ามเข้าไปในห้องนี้ถ้าฉันไม่อนุญาต” เขาออกคำสั่งก่อนจะค่อย ๆ เดินลากขาจากไป และตอนนั้นเองที่เขาเห็นหวางซิงเดินสวนมา

“คุณเซิน....ทำไมถึงออกมาเดินอย่างนี้ล่ะครับ?” เสียงของหวางซิงดูประหวั่นพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด

“เอายาไปทาให้ฉู่เหวินจือซะ ถ้ามันตายขึ้นมาฉันจะลำบาก แล้วก็หาข้าวหาน้ำไปให้สามเวลา แต่อย่าปล่อยเด็ดขาด เข้าใจไหม?” เซินเฟยสั่งโดยไม่มองหน้าเลขาส่วนตัว เขาใช้กำแพงพยุงให้เดินต่อไปก่อนจะหันมาถาม “ยาของฉันอยู่ที่ไหน?”

“ในห้องนอนผมครับ” หวางซิงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงได้แต่ส่งคำถามด้วยสายตาว่าทำไมจึงต้องให้เขาไปดูแลฉู่เหวินจือ กระนั้นเซินเฟยก็ไม่ตอบอะไร

เด็กหนุ่มพยุงตัวให้เดินต่อไป อาการของเขาดูท่าจะหนักหนาสาหัสกว่าก่อนหน้านี้ เพียงแค่อาละวาดหน่อยเดียวกลับปวดหัวจนตาลายซ้ำมือยังสั่นราวกับคนติดยา เซินเฟยพาตนเองไปยังห้องของหวางซิงได้ในที่สุด เขาเปิดเข้าไปแล้วค้นลิ้นชักที่อยู่ใกล้โต๊ะอ่านหนังสือเนื่องจากหวางซิงมักเก็บของสำคัญไว้ในนั้น แต่เพราะไม่มีแรงที่จะพยุงให้ยืนต่อไปไหว และอาการปวดชักจะรุมเร้ามากขึ้น เซินเฟยจึงกระชากลิ้นชักให้หลุดลงมากองบนพื้นก่อนจะหยิบยาสารพัดขึ้นมาพยายามอ่านฉลากที่หวางซิงเขียนใหม่เป็นภาษาที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้

อะไรน่ะ....ยาระงับประสาท....

สายตาของเซินเฟยกวาดไปบนฉลากของแผงยาที่ไม่คุ้นตาก่อนจะหัวเราะออกมา

นี่เขาต้องใช้ของพรรค์นี้เสียแล้วหรือ?

ทั้งที่ความจริงแล้วอาการของเซินเฟยยังไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาระงับประสาทและจ้าวผิงเหอก็เพียงสั่งมาในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่เพราะไม่เคยจัดยาด้วยตนเองเขาจึงไม่เคยรู้ว่ายาตัวไหนต้องใช้ในภาวะใด เซินเฟยจึงเปิดยาทุกอย่างอย่างละเม็ดและกลืนทั้งหมดลงคอไปรวดเดียวโดยไม่รู้ว่ามันมียาอะไรบ้าง เพียงแต่เขาอยากจะหยุดความทรมานจากความปวดร้าวที่กดทับสมองเขาไว้เท่านั้น

ห้องของหวางซิงไม่มีตู้เย็นหรือกระติกน้ำร้อน เซินเฟยที่ฝืนกลืนยาเป็นกำมือจึงสำลักเป็นการใหญ่เพราะหลอดอาหารบีบตัว

เซินเฟยผลักลิ้นชักไปใต้โต๊ะแล้วพลิกตัวนั่งพิงกำแพง ยาที่กินเข้าไปออกฤทธิ์เร็วเกินคาด เพียงไม่นานนักสมองก็เริ่มทื่อชา หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำให้รู้สึกเครียดจนแทบบ้ากลับกลายเป็นสิ่งที่ล่องลอยไปมาไม่ต่างกับปุยนุ่นบางเบาในอากาศ

ดูเหมือนในตัวยาบางตัวหรืออาจจะทั้งหมดมียานอนหลับผสมอยู่ เขาจึงรู้สึกง่วงจนเกินจะฝืนไหว ในที่สุดเซินเฟยจึงนั่งหลับไปทั้งอย่างนั้น

--------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
«ตอบ #113 เมื่อ22-02-2011 23:01:15 »

“คุณเซิน....คุณเซิน...”

เซินเฟยรู้สึกเหมือนตนเองหลับไปนานจนเกือบจะลืมวิธีตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาแต่ภาพเบื้องหน้าก็ยังพร่าเบลอจนจับโฟกัสสิ่งใดไม่ได้

“คุณเซิน! ตื่นสิครับ ได้โปรดเถอะ!” หวางซิงทั้งเขย่าทั้งตบหน้าเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมีสติ

ก่อนหน้านี้หลังจากได้รับคำสั่ง เขาก็เดินตรงไปยังจุดที่คาดว่าเซินเฟยจากมาพร้อมกับยาทาสารพัดชนิดเนื่องจากไม่รู้ว่าฉู่เหวินจือไปโดยอะไรมา แต่ถึงกับบอกว่า ‘อย่าให้ตาย’ แสดงว่าแผลน่าจะร้ายแรง เขาจึงเตรียมผ้าพันแผลและแอลกอฮอล์มาด้วย แต่พอถึงหน้าห้องเขากลับพบการ์ดคนหนึ่งที่ห้ามเขาเข้าไป แต่เมื่อเขาบอกว่าได้รับคำสั่งมาอีกฝ่ายก็เปิดทางอย่างง่ายดาย

ตอนที่เขาลงไปก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ไฟนีออนของห้องใต้ดินถูกเปิดทิ้งไว้ และยิ่งตกใจมากขึ้นจนถึงขั้นตกตะลึงเมื่อเห็นร่างหนึ่งถูกแขวนไว้กับกรอบคานสี่เหลียม แผ่นหลังที่คุ้นตาแตกยับและเปียกชื้นด้วยน้ำบางอย่างที่ไหลซึมจนถึงกางเกงที่สวมใส่ บนพื้นก็มีหยดน้ำกระจายวงกว้างและแส้หนังเส้นหนึ่งนอนนิ่งอยู่ เซินเฟยเดินเข้าไปใกล้และลองแตะน้ำบนพื้นดูแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่าจมูกเขากลับกระสากลิ่นเกลือจาง ๆ

ฉู่เหวินจือหมดสติไปแล้วตอนที่เขาลงมาถึง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ครั้งนี้เป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาหากไม่นับที่ทำกับเฉียนหยุนก่อนหน้านี้

มองไปแล้วยังไงก็เป็นรอยแผลจากแส้ไม่ผิดแน่ หวางซิงถอนหายใจออกมาก่อนจะลากเก้าอี้มาวางกล่องยาแล้วเปิดขวดแอลกอฮอล์และใช้สำลีค่อย ๆ เช็ดแผล หลังจากนั้นจึงใส่ยาแล้วพันผ้าพันแผลจนเรียบร้อย

เมื่อหมดธุระตามคำสั่ง หวางซิงจึงเดินขึ้นมาแต่ไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองในทันที เขาถูกหวางซานเรียกตัวไปช่วยงานบ้านเล็กน้อยเพราะหวางซือแก่แล้วสุขภาพจึงไม่ค่อยดีนัก จากนั้นเวลาเที่ยงเขาก็นำอาหารลงไปให้ฉู่เหวินจือทีได้สติแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟัง เพียงแต่กินข้าวกินน้ำจนอิ่มแล้วหลับไปอีก หวางซิงกลับขึ้นมาและหาหนังสืออ่านเล่น กระนั้นเขาก็รู้สึกผิดสังเกตเมื่อรอจนเย็นแล้วเซินเฟยก็ยังไม่ลงมา ทั้งที่ปกติเซินเฟยจะชอบมานั่งอยู่ในห้องทำงานมากกว่านอนอยู่ในห้องเวลาที่ป่วยไข้

ตอนที่หวางซิงขึ้นมาถึงบนห้องเขาแทบจะลมจับเมื่อเห็นลิ้นชักตนเองถูกค้นยาออกมาจนกระจัดกระจาย ซ้ำยาทุกชนิดยังมีร่อยรองการถูกแกะออกไปอย่างละเม็ด ข้าง ๆ โต๊ะ เซินเฟยนั่งพิงกำแพงหลับอยู่อย่างสงบจนเขาใจหายวาบรีบปราดเข้าไปเขย่าตัวทันทีแต่เซินเฟยก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา

“คุณเซินได้ยินผมไหม!” หลังจากปลุกอยู่นานสองนาน หวางซิงเริ่มจะใจไม่ดี แต่แล้วเซินเฟยก็ปรือตามองเขาอย่างเลื่อนลอยราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ก็กินเข้าไปทั้งยาคลายเครียดกับยาระงับประสาทแบบนั้น มันก็น่าจะลอยอยู่หรอก....

“คุณเซิน มองผมสิ ได้ยินผมหรือเปล่า?” หวางซิงประคองเซินเฟยเข้ามาพิงอกแล้วบีบมือโดยแรง

“อา....หึ ๆ.....” อยู่ ๆ เซินเฟยก็หัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผลแล้วคอพับคออ่อนเอนพิงหวางซิงทำท่าเหมือนจะหลับไม่หลับแหล่ ซ้ำยังยกแขนขึ้นพาดบ่าหวางซิงเสมือนต้องการที่พึ่งพิง

หวางซิงเบาใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นแล้ว จึงอุ้มขึ้นแล้ววางให้นอนบนเตียงในท่าสบาย ปลดกระดุมเสื้อและตะขอกางเกง ก่อนเดินออกไปและกลับมาพร้อมอ่างน้ำ เขานั่งลง เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้เซินเฟยรู้สึกดีขึ้นก่อนจะเลื่อนลงมาเช็ดแขนขา

น้ำเย็น ๆ กับการเอาใจใส่ทำให้เซินเฟยรู้สึกตัวมากขึ้นกว่าเดิม เขากวาดตามองรอบตัวด้วยสมองที่ยังไม่เป็นปกตินัก

“....อาซิง....”

“ครับ ผมอยู่ตรงนี้”

“ฉัน...หลับไปงั้นหรือ?”

“ครับ...คุณเซินทานยาผิดก็เลยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาน่ะครับ” หวางซิงรายงานตามจริงเพื่อให้อีกฝ่ายระวังตัวมากขึ้นเวลาหยิบยากินเอง ถ้ากินยาผิดชุดโดยกวาดหมดแบบนี้บ่อย ๆ เขาคงได้หัวใจวายเข้าสักวันหนึ่ง แค่วันนี้หัวใจเขาก็เกือบหยุดเต้นไปแล้ว

“....กินยาผิด...” สมองของเซินเฟยยังตีความได้ไม่ดีนักจึงต้องทวนคำซ้ำแล้วมุ่นคิ้ว “บ้าจริง....” เขาสบถเพราะรู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมา ยาพวกนี้ทำให้สมองของเขาเฉื่อยชาไปหมด

หวางซิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเป็นคนเลี้ยงดูเซินเฟยมาจึงรู้ว่าเมื่ออีกฝ่ายกำลังโกรธก็ไม่ควรพูดให้มากนัก เมื่อปล่อยไปสักพักเดี๋ยวก็จะหายโกรธไปเอง แต่น่าเสียดายที่ฉู่เหวินจือดูจะไม่เข้าใจนิสัยเช่นนี้จึงขยันทำให้โกรธจนความเครียดพุ่งทะลุปรอททุกทีไป

“อาซิง....เรื่องของมู่อี้จิง....”

อย่างเช่นตอนนี้ที่เซินเฟยเริ่มจะอารมณ์เย็นลงจึงเปิดโอกาสให้อธิบาย

หวางซิงยิ้มกว้าง เจ้านายของเขาเหมือนจะเอาใจยากแต่ความจริงแล้วสามารถมองอารมณ์ได้ง่ายมาก ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ในเวลางานและอยู่ในหมู่คนสนิทเท่านั้น เซินเฟยก็จะแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ ไม่ปิดบัง

“ผมเจรจากับเขาแล้วครับ เขาไม่ได้เรียกร้องผมเป็นค่าตอบแทนแล้ว คุณเซินไม่ต้องห่วงครับ”

“อือ.......” เสียงครางในคอเสมือนเสียงตอบรับกลาย ๆ “หน้ายังเจ็บอยู่ไหม?”

“ไม่แล้วครับ”

“งั้นหรือ” เซินเฟยกล่าวออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบไปอีก ดูก็รู้ว่าสติสตังยังกลับมาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี อาจจะต้องรอให้ทิ้งระยะอีกสักพัก

“คุณเซินหิวไหมครับ?” หวางซิงถามขึ้นเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา 6 โมงเย็น

“นิดหน่อย....”

“ถ้าอย่างนั้นผม....”

“พยุงฉันลงไปที” โดยไม่รอให้หวางซิงเสนอบริการ เซินเฟยก็สั่งพร้อมพยุงตัวเองขึ้นนั่งทำให้หวางซิงต้องรีบทิ้งผ้าในมือแล้วช่วยออกแรงพยุง เซินเฟยรู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับไปมาแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นยืน ด้วยไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไรหวางซิงจึงจำต้องช่วยพาเดินไปโดยคิดเสียว่าตนเองเป็นขาสำรอง

ตอนแรกทั้งสองคิดว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่เมื่อพวกเขาลงมาถึงกลับพบว่าซากุระกลับมาถึงบ้านแล้วแต่เธอดูผิดไปจากปกติ

หญิงสาวดูโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอนั่งกุมหน้าอยู่บนโซฟา โต๊ะกาแฟด้านหน้าเต็มไปด้วยกระดาษที่แผ่เกลื่อนจนเกือบตกลงมาบนพื้น หญิงสาวยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแสดงว่าเพิ่งจะกลับมาถึง

เสียงบันไดลั่นทำให้ซากุระเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์อ่อน ๆ เลอะไปด้วยคราบน้ำตา

“อา...เสี่ยวเฟย อาการเป็นยังไงบ้าง?” หญิงสาวหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาแล้วแย้มยิ้มสอบถามอาการผู้เป็นหลานด้วยความเป็นห่วง หวางซิงจึงพยุงเซินเฟยให้นั่งลงข้าง ๆ แล้วขอตัวออกไปอย่างเงียบ ๆ

“ดีขึ้นแล้วครับ แต่ยังมึนอยู่นิดหน่อย” เซินเฟยตอบ แต่ข้อหลังนั้นเขาไม่ได้บอกเหตุผลว่าเป็นเพราะเขาหยิบยากินเองโดยไม่อ่านฉลากให้ดี

“งั้นหรือ? แล้วมื้อเย็นกินหรือยัง จะได้กินยาอีกรอบ”

เด็กหนุ่มแค่นยิ้มกับความเป็นห่วงนั้น เขาคิดว่าคืนนี้คงไม่ต้องกินยาตัวไหนเสริมอแกแล้วเพราะเท่าที่กินเข้าไปก็น่าจะมีผลจนถึงเช้า เพราะตอนนี้เขายังมึนงงไม่หาย

“คุณอาไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ แล้วคุณอาทานมาหรือยัง? ผมจะไปเร่งห้องครัวให้ดีไหม?”

“ไม่ต้องหรอก อาทานมาแล้วล่ะ” หญิงสาวยังคงซับน้ำตาเป็นระยะ แม้เธอจะไม่ตั้งใจร้องไห้ให้เด็กหนุ่มเห็น ทว่าเธอก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลหยดลงมาอย่างต่อเนื่องได้

“แล้ว....ใครทำอะไรคุณอาหรือครับ? หรือว่าพวกญาติ...” เซินเฟยจำต้องเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านใหญ่ เขายังไม่เคยเห็นอาสะใภ้ของเขาร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว สำหรับเขา ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาหากไม่นับรวมเสวียนอู่ที่เขาได้พบเพียงไม่กี่ครั้ง

“เปล่าหรอก” ซากุระโบกไม้โบกมือ “พอดี....มีเรื่องทางญี่ปุ่นนิดหน่อย”

“บอกผมได้หรือเปล่าครับ?”

หญิงสาวชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยิ้มเศร้า

“เสี่ยวเฟย หลานเองก็โตแล้วนะ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หลานแสดงให้อาเห็นแล้วว่าหลานสามารถจัดการอะไรด้วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาคอยหนุนหลังอีกแล้ว” ซากุระเกริ่นนำ “ต่อจากนี้ไปมันคงจะกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เสี่ยวเฟยก็อย่ายอมแพ้นะ ก็หลานของอาน่ะ เข้มแข็งถึงขนาดนี้ ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี อาเชื่ออย่างนั้น” กล่าวไป ซากุระก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเซินเฟยอย่างเอ็นดูระคนโหยหา เป็นเพราะสามีของเธอที่เคารพกันเป็นเพื่อนที่ดีไม่เคยคิดต่อกันฉันท์ชู้สาวทั้งสองจึงไม่มีลูกด้วยกันแม้สักคนเดียว สำหรับซากุระแล้วแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซินเฟยด้วยสายเลือด ทว่าเธอก็เอ็นดูเด็กหนุ่มไม่ต่างจากลูกในไส้

“คุณอา...หมายความว่ายังไงครับ?” เซินเฟยรู้สึกเหมือนฤทธิ์ยายังไม่คลายตัว เขาไม่สามารถตีความคำพูดของซากุระได้ชัดเจนนัก เขารู้แต่เพียงว่าเวลาที่เธอพูดน้ำตาก็ไหลหยดลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้กระโปรงของเธอยังเปรอะด้วยเม็ดน้ำตาที่หยาดหยดลงไป

“พ่อของอา....เสียแล้วล่ะ เสี่ยวเฟย” ซากุระตอบแล้วบีบมือเซินเฟยแน่นขึ้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่านั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวของความทุกข์ใจ

ทำไมเวลาอย่างนี้สมองของเขาถึงได้เชื่องช้านักนะ...

เซินเฟยคิดกับตนเองอย่างขัดใจ ทั้งที่ก่อนหน้าแค่คำพูดพวกนี้เขาก็ตีความได้ถึงไหนต่อไหนแต่เวลานี้เขากลับไม่อาจคิดอะไรได้เลย เสมือนมีเมฆหมอกบดบังสติอยู่ตลอดเวลา

“ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่อาก็เป็นลูกคนเดียวตามกฏหมายที่มีสิทธิในมรดก....อาต้อง....กลับไปดูแลกิจการทางนั้น.....” ถ้อยคำหลัง ๆ เจือด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา เซินเฟยนิ่งอยู่นานเพื่อตีความคำพูดเหล่านั้นด้วยความตกตะลึงก่อนที่ปากของเขาจะเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อไหร่ครับ....”

“....อาทิตย์หน้า.....”

TBC

-------------------------

ขออภัยสำหรับคนขอ NC นะคะ~ แต่แบบว่า....เซียร์ทำใจทำร้ายน้องเฟยเฟยไม่ได้~ (เพราะหลังจากนี้จะทำร้ายอีกเยอะ /เผ่น)

/กอดเรย์จังจ้า

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
«ตอบ #114 เมื่อ22-02-2011 23:35:34 »

อ้ากกกกกกเซินเฟยพลาดเสียแล้ว


ง่ะโดนซะขนาดนั้นเลยอู้ยเซินเฟยแก้แค้นอย่างไวอ่ะ



ค้างอ่ะรออ่านตอนต่อไปค้าบบบ

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
«ตอบ #115 เมื่อ22-02-2011 23:49:31 »

เฮ่ยยยยยยย
แล้วถ้ายาหมดฤทธิ์ ฉู่เหวินจือตายแน่เลย

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
«ตอบ #117 เมื่อ23-02-2011 13:10:55 »

เป็นการเอาคืนที่รวดเร็ว และสะใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่คุณน้องจะอายุถึง 30 ไหมค่ะเนี่ย 

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
«ตอบ #118 เมื่อ23-02-2011 13:45:32 »

 o18ฉู่เหวินจือจะตายก่อนไหมเนี่ย

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
«ตอบ #119 เมื่อ23-02-2011 14:59:11 »

คุณฉู่นี่เป็นตัวละครที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งที่มาที่ไป พฤติกรรม ความนึกคิด และจุดประสงค์
แต่มั่นใจว่ามีแผน(ชั่วรึเปล่าไม่รู้?) ว่าแต่คุณเซินจะเส้นโลหิตในสมองแตกก่อนจบเรื่องรึเปล่าเนี่ย???

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด