บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245656 ครั้ง)

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #60 เมื่อ17-02-2011 21:37:23 »

 :sad4: สงสารเซินเฟยอ่ะค่ะ

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #61 เมื่อ17-02-2011 23:52:20 »

อ้าวคุณหมอมีแฟนแ้ล้วน่าสงสารเซินเฟย

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #62 เมื่อ18-02-2011 01:44:41 »

นิยายของพี่เซียร์มันส์มาก

ตาฉู่นี่กวนได้ใจ 55
คุณเฟยจะทำยังไงต่อไปน้า

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #63 เมื่อ18-02-2011 10:04:20 »

อาหญิงแน่ๆ...รึเปล่า?? 55
คุณฉู่รีบทำคะแนนหน่อยเร้วว

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #64 เมื่อ18-02-2011 12:05:26 »

คุณหมอกับอาหญิงแอบมีซัมทิ่งกันป่ะเนี่ย
น่าสงสัยๆๆ
ตอนนี้อาซิงน่ารักกอ่ะ ขี้โวยวายจริงๆเลย :laugh:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #65 เมื่อ18-02-2011 12:56:59 »

-6-



“แน่ใจหรือ?” เซินเฟยเอ่ยผ่านโทรศัพท์มือถือ วันนี้สารวัตรหรงโทรหาเขาผ่านเบอร์ของหวางซิงแต่เช้า และสิ่งที่เซินเฟยรออยู่ก็ได้คำตอบ

“ไม่ผิดแน่คุณเซิน ผมจะสำเนาเอกสารทั้งหมดไปให้คุณดูอีกทีก็แล้วกัน” สารวัตรหรงกล่าวยืนยันในข้อสงสัยของตนเพราะเขาได้หลักฐานที่แน่นหนาพอจะหาขอโต้แย้งไม่ได้ กระนั้นเขาก็รู้ว่าคนอย่างเซินเฟยมักต้องการความมั่นใจอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงลมปากของนายตำรวจคนหนึ่ง ดังนั้นการส่งหลักฐานไปให้เห็นถึงที่จึงควรจะเป็นเรื่องที่สมควรแล้วและนั่นคงจะเป็นสิ่งที่เซินเฟยคิดจะเอ่ยปากอยู่

“ให้คนของผมไปรับที่กรมไหม?”

“อย่าเลย” สารวัตรวัยกลางคนหัวเราะร่า การที่คนของมาเฟียใหญ่มาเยือนถึงกรมตำรวจมันคงไม่ดีต่อฐานะการงานของเขามากนัก “ให้คนของผมนำไปส่งดีกว่า ผมอยากจะแนะนำเขาให้คุณรู้จักด้วยแต่ไม่มีเวลาได้พบกันเสียที ขอเอาโอกาสนี้เลยคุณคงไม่ถือสานะ”

“ไม่เป็นไร คุณเองก็ให้ ‘ความร่วมมือ’ กับทางเราอย่างดี เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือสาหรอก” เซินเฟยจงใจใช้คำว่า ‘ความร่วมมือ’ เพราะคนเช่นจูเชว่ไม่มีทางใช้คำว่า ‘ความช่วยเหลือ’ กับใคร เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากใคร แต่คนอื่นต่างหากที่ต้องร่วมมือกับเขา

“คุณนี่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผมบ้างเลยนะ” สารวัตรหรงหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ใช่ด้วยความหยันเช่นคนอื่น ๆ เพียงแต่เป็นนิสัยอารมณ์ดีส่วนตัวเท่านั้น

“คนของคุณจะมาถึงกี่โมง?” การสนทนากับสารวัตรหรงไม่ได้ทำให้เซินเฟยอารมณ์เสียแต่อย่างใดแม้ฝ่ายนั้นจะขยันหัวเราะเสียเหลือเกินเพราะรู้จักนิสัยกันเป็นอย่างดี

“อืม....คิดว่าคงจะถึงบริษัทของคุณตอนประมาณ 10 โมง” สารวัตรหรงว่าขณะยกนาฬิกาขึ้นดู กรมตำรวจอยู่ไม่ห่างจากสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเครือตระกูลเซินมากนัก แต่หากออกไปตอนนี้รังแต่จะติดอยู่บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะขันแข่งกันไปให้ถึงสถานที่ทำงานของแต่ละคน ดังนั้นให้ออกสาย ๆ หน่อยคงจะดีกว่า ไม่เปลืองเวลาและพลังงานโดยใช่เหตุ

“ผมจะแจ้งคนของผมไว้อย่างนั้น”

“ได้ครับ แล้วอย่าลืมเรื่องที่คุณจะตอบแทนผมเสียล่ะ” สารวัตรหรงยังไม่วายหยอดคำทวงถึงสัญญาก่อนหน้านี้

“ทบรวมกับเรื่องที่สืบคราวนี้เลยก็แล้วกัน” เซินเฟยเองก็ใช่จะชอบใช้งานใครฟรี ๆ เป็นคนของตนก็จะให้ความชอบไปตามโอกาสแต่หากเป็นคนนอกก็จะมีค่าตอบแทนให้เทียบได้กับแรงที่เสียไป

“ทราบแล้วครับ” หลังจบคำตอบรับ เซินเฟยก็ตัดสายแล้วส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้แก่เจ้าของ หวางซิงฟังคำสนทนาเหล่านั้นแล้วก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้อยู่

“ถ้าเป็นอย่างที่คิด คุณเซินจะทำยังไงต่อไปครับ?”

เซินเฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหนักใจพอสมควรการจะคิดจัดการอะไรทันทีจึงเป็นเรื่องยาก หรือว่าเขาจะไม่เด็ดขาดพอกันนะ?

“ยังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้” เขาตัดสินใจในที่สุด

“จะบอกคนอื่น ๆ ไหมครับ?” หวางซิงนึกเป็นกังวลแทนเซินเฟยอย่างมาก เพราะเพียงไม่ได้ขยับตัวทำอะไรก็ถูกจับตามองทุกฝีก้าวอยู่แล้ว ในระยะนี้กลับมีเรื่องเข้ามาหาไม่หยุดหย่อนราวกับมีคนคอยป้อนปัญหาให้อย่างต่อเนื่อง พวกหัวหน้าแก๊งค์ใต้ปกครองคงจะกำลังมองูอยู่เป็นแน่ หากก้าวพลาดเพียงสักก้าวก็อาจจะโดนตลบหลังได้ทุกเมื่อ ต้องอยู่ท่ามกลางความกดดันจากคนในและคนนอกไม่พอ ยังมีเรื่องให้จัดการถาโถมใส่ราวกับคลื่นราวกับจงใจทดสอบความเหมาะสมต่อตำแหน่งจูเชว่ก็ไม่ปาน

เด็กอายุ 18 ที่ไหนบ้างที่ต้องรับภาระอย่างนี้?

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?” เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อเห็นหวางซิงกำลังทำท่ากระอักกระอ่วนพลางขยับแว่นเหมือนทำอะไรไม่ถูก “รำคาญแว่นหรือ?”

“ก็....เปล่าหรอกครับ” หวางซิงทำเป็นดึงแว่นออกมาเช็ดอย่างเก้อ ๆ กับเรื่องแว่นตานี่เขาก็เริ่มจะชินกับมันบ้างแล้ว ถึงจะโดนคนมองแปลก ๆ อยู่บ้างก็เถอะ

เซินเฟยไม่ได้ต่อคำ เขาเดินวนกลับไปที่โต๊ะทำงานพลางมองดูเอกสารอนุมัติโครงการของฉู่เหวินจือที่ส่งมาถึงเขาเมื่อวานนี้ ฝ่ายนั้นสามารถโน้มน้าวผู้บริหารให้พิจารณาโครงการด้วยแผนจำลองได้อย่างดีเยี่ยม มีหลายคนโทรมาหาเขาและเอ่ยชื่นชมจนออกหน้าออกตาและเซินเฟยเดาว่าหลายคนในกลุ่มนั้นคงอยากจะเสนอตัวเป็นคนหนุนหลังให้ฉู่เหวินจือเพื่อตักตวงส่วนแบ่งเสียด้วยซ้ำ กระนั้น คนเหล่านั้นก็ยังเกรงใจเขาอยู่บ้างที่ไม่พูดออกมาเพราะรู้ดีว่าฉู่เหวินจือเป็นคนติดตามของเขา

คนที่มีความสามารถย่อมคู่ควรต่อการให้โอกาส

เซินเฟยมองเห็นว่าตลอดเวลาที่ทำงานกับเขามา ฉู่เหวินจือแสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองสามารถแบกภาระรับผิดชอบได้ ด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงไม่คลางแคลงใจอีกต่อไปว่าฝ่ายนั้นจะทำให้โครงการล่มกลางครันหรือไม่ ทั้งในตอนนี้เขาก็ยกบริเวณที่เฉียนหยุนเคยดูแลให้คนที่เหมาะสมจัดการต่อแล้ว พื้นที่ที่หมายตาไว้ก็จะไม่มีอะไรให้ห่วงกังวล

เพียงแต่....สิ่งที่สารวัตรหรงบอกมาทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

เซินเฟยหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นอนุมัติแล้วปิดแฟ้มลง

วันนี้ฉู่เหวินจือออกไปดูสถานที่จริงเพื่อวางแผนต่อ เขาคิดว่าจะสนับสนุนงบประมาณส่วนตัวเข้าไปให้อีกสักเล็กน้อยเพื่อจะได้ดำเนินการได้สะดวกขึ้น บริษัทก่อสร้างที่รู้จักกันในวงการก็ยินดีจะตอบรับงานนี้ หากทุกอย่างราบรื่นอย่างนี้หมดก็คงจะดีทีเดียว

“จริงสิ อาซิงช่วยลงไปบอกข้างล่างด้วยว่า ถ้ามีตำรวจมาหาฉันตอน 10 โมงให้เชิญไปรอที่ห้องรับแขกด้วย”

“ครับ” หวางซิงรับคำแข็งขัน คำสั่งของนายเปรียบเสมือนสวิตช์เปิดการทำงาน แม้จะอยู่ในอารมณ์ไหนเมื่อได้รับคำสั่ง หวางซิงก็จะรับและนำไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วและกะตือรือร้นไม่เสียชื่อเลขายอดเยี่ยมที่ตนเองแสนภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย

เซินเฟยผ่อนลมหายใจออกมา เขามองออกไปนอกกระจกใสเห็นตึกสูงมากมาย เป็นทิวทัศน์แสนธรรมดาของเขตเศรษฐกิจในฮ่องกงที่ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งมันก็ไม่ได้แปลกตาไปจากเดิม อาจมีบางตึกหายไปและบางตึกงอกเงยขึ้นมาเป็นวัฏจักรแสนปกติ พื้นที่ตรงนั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อกิจการหนึ่งล้มไป อีกหนึ่งก็จะเข้าแทนที่ เขตเศรษฐกิจนี้คือรากฐานของเกาะเล็ก ๆ ที่มีอิทธิพลระดับสากล มันมีแต่จะขายตัวมากขึ้นทุกวันแต่ไม่มีทางเลยที่จะหดตัวลงนอกจากว่าธุรกิจการค้าขายและเงินตราจะหมดไปจากโลกใบนี้ ด้วยเหตุนั้น การปกครองของผู้มีอำนาจในเขตนั้น ๆ จึงต้องแผ่ขายตามไปด้วย

การที่คน ๆ เดียวจะดูแลทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่ใช่เฉพาะพื้นที่แต่เป็นตัวบุคคลด้วย เซินเฟยรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ นึกถามตนเองว่าเขามายืนอยู่ในจุดนี้เพื่ออะไร เป็นหงส์บนบัลลังก์ทองที่แสนเยือกเย็นและเหน็บหนาว ไร้อิสรภาพโดยสิ้นเชิง

บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่อาของเขาละทิ้งทุกอย่างไป แม้แต่ตระกูลเซินก็ยังยอมละทิ้งไปพร้อมกับตำแหน่งที่เปรียบเสมือนโซ่ตรวนนี้

เซินเฟยพาตนเองออกจากภวังค์พลางมองนาฬิกา ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนคนของสารวัตรหรงจะมาถึง ดังนั้นแทนที่จะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปอย่างไร้ค่า เขาจึงเริ่มหยิบงานขึ้นมาทำต่อ

เวลาเซินเฟยทำงานมักจะหลงลืมเวลา เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อหวางซิงมาเคาะประตูเรียก

“คนของสารวัตรหรงมาแล้วครับ”

เซินเฟยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เมื่อเห็นว่าเข็มสั้นบนหน้าปัดเลยเลข 10 ไปเล็กน้อยแล้วจึงยอมถอยออกมาจากงานที่ทำ ปกติแล้วนาฬิกาของเขาตั้งไว้เร็วกว่าปกติถึง 10 นาที ดังนั้นหากนับตามเวลาทั่วไป ตอนนี้จึงเป็นเวลา 10 โมงพอดี

“เป็นยังไงบ้าง?” เซินเฟยหมายถึงลักษณะท่าทางของคนที่มาขอพบ

“ดูรูปร่างเหมือนนักกีฬาแต่สวมเสื้อสูท คงจะเป็นตำรวจแผนกสืบสวนสอบสวนครับ”

ตามปกติแล้วตำรวจที่สังกัดแผนกสืบสวนสอบสวนจะไม่สวนเครื่องแบบ แต่จะสวมชุดสูทในการทำงานแต่ก็จะมีบัตรประจำตำแหน่งสำหรับแสดงตัวเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในพื้นที่

“แต่ว่า ดูจะเป็นคนมุทะลุอยู่พอดู ผมดูหน้าตาเขาแล้วค่อนข้างบ่งบอกแบบนั้นนะครับ” หวางซิงมักพึ่งพาได้เรื่องการดูคน สายตาของคนเป็นเลขามักเฉียบคมกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนั้นเซินฟยจึงเชื่อถือสายตาของหวางซิงมากและมักจะให้ดูลักษณะคนก่อนพบกันเสมอ

“อาวุธล่ะ?”

“ฝากเอาไว้ที่ประชาสัมพันธ์ครับ”

“ค้นตัวหรือยัง?”

“ค้นแล้วครับ ไม่มีอาวุธอย่างอื่นนอกจากปืนพก” หวางซิงยืนยันความมั่นใจ เพราะตอนค้นอาวุธเขาเป็นคนลงไปดูด้วยตัวเอง ในสมัยนี้จะไว้ใจคนเป็นเรื่องยาก ทั้งคนข้างตัวเขายังเป็นถึงจูเชว่ที่มีคนหมายหัวมากมาย การรักษาความปลอดภัยจึงต้องเข้มงวดกว่าปกติ

ห้องรับแขกที่ใช้รับรองนายตำรวจของสารวัตรหรงเป็นห้องขนาดเล็กสำหรับพบปะแขกที่ไม่เป็นทางการ ถึงอย่างนั้นการตกแต่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าห้องอื่น

“ขอโทษด้วยที่ให้รอ” เซินเฟยเอ่ยเมื่อเดินเข้าไปในห้อง เขาพบชายหนุ่มในชุดสูทดังที่หวางซิงกล่าวไว้กำลังนั่งอยู่บนโซฟารับแขก บนโต๊ะกระจกมีซองเอกสารวางอยู่ซองหนึ่ง ชายหนุ่มเจ้าของซองเอกสารลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาแต่ไม่ได้เข้าใกล้เกินไปจนต้องระแวง

“คุณคือคุณเซินที่สารวัตรหรงวานให้ผมมาหาสินะครับ?” ฝ่ายนั้นดูสุภาพเกินกว่าจะเป็นคนมุทะลุดังที่หวางซิงวิจารณ์ กระนั้นคนเราก็ไม่อาจมองกันเพียงภายนอกได้ เซินเฟยจึงยังไม่ไว้วางใจกับการแสดงออกที่เป็นมิตรนั้นในทันที

“ใช่ครับ” เซินเฟยตอบกลับแล้วพยักหน้าให้หวางซิงจัดการสนทนาต่อ

“ผมชื่อหวางซิง เป็นเลขาของคุณเซินครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” หวางซิงรู้หน้าที่ดี เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้าและจับมือกับนายตำรวจหนุ่ม

“ผมชื่อมู่อี้จิง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ฝ่ายนั้นตอบรับมือของหวางซิงโดยไม่แสดงอาการตะขิดตะขวงใจทำให้เซินเฟยพึงพอใจต่อการรับรู้สถานะนั้น

“เชิญนั่งก่อนเถอะครับ เราจะได้คุยกัน” หวางซิงเชิญมู่อี้จิงให้นั่งลงก่อนจะหันมาเชิญให้เซินเฟยนั่งฝั่งตรงข้าม ส่วนเขาเดินไปยืนเยื้องหลังของเซินเฟยอีกที

“นี่คือเอกสารที่สารวัตรหรงฝากผมมา” มู่อี้จิงเลื่อนซองเอกสารไปตรงหน้าเซินเฟย เด็กหนุ่มเพียงเหลือบสายตาลงมองก่อนจะหยิบแล้วส่งให้หวางซิงรับเอาไว้

“สารวัตรหรงสบายดีหรือครับ?” เซินเฟยเลือกที่จะคุยถึงเรื่องสัพเพเหระก่อน ในเมื่อสารวัตรหรงบอกว่าต้องการจะแนะนำให้เขารู้จักแสดงว่าจะได้มีโอกาสได้ใช้บริการในเร็ว ๆ นี้ เขาควรจะรู้จักอีกฝ่ายให้มากไว้

“ครับ แต่ระยะนี้ชอบบ่นว่าปวดหลังบ่อย ๆ” มู่อี้จิงตอบแล้วหัวเราะ กระนั้นเสียงหัวเราะของนายตำรวจคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งจริงใจเหมือนสารวัตรหรงเลยแม้แต่น้อย เซินเฟยมุ่นคิ้ว เขารู้สึกว่าคิดถูกที่เชื่อสายตาของหวางซิง

“งั้นหรือ....ผมเคยเตือนให้เขารักษาสุขภาพอยู่บ้าง” เซินเฟยตอบโต้กลับไปก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองหน้า “ผมเคยแนะนำให้สารวัตรไปหาหมอคนหนึ่ง เขาได้ไปไหม?”

“อ้อ หมอจือ สารวัตรบอกว่าหมอจือแนะนำให้ไปลองฝังเข็มน่ะครับ”

ตอบได้อย่างนี้แสดงว่าเป็นคนของสารวัตรหรงจริง ๆ

เซินเฟยพยักหน้ารับอย่างสุขุม ตอนนั้นเอง พนักงานคนหนึ่งก็นำน้ำชาเข้ามาให้ก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ มู่อี้จิงจิบชาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ไม่มีอาการเกร็งเครียด หากไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีตลอดเวลาอย่างสารวัตรหรง หรือมั่นใจในตัวเองสูง ก็คงจะเป็นคนที่เก็บอาการประหม่าได้อย่างดีเยี่ยม เพราะแม้จะอยู่ต่อหน้านักธุรกิจใหญ่และหัวหน้าองค์กรมาเฟียฮ่องกง เจ้าตัวก็ยังทำตัวเหมือนกับอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิทมิตรสหาย

“ดูเหมือนสารวัตรจะชื่นชมคุณมากเลยนะครับ” หวางซิงเริ่มบทสนทนาใหม่

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมว่าสารวัตรชื่นชมคุณมากกว่า”

“ผม?” คำตอบของมู่อี้จิงทำให้หวางซิงอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยไม่คิดว่าจะได้รับกลับมาเช่นนี้

“แน่นอนครับ หวางซิงเป็นเลขาที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในฮ่องกง” เมื่อเห็นว่าเลขาตนเองสะดุดไปเสียแล้ว เซินเฟยจึงต้องแก้มือแทน

“ครับ ผมเข้าใจ” มู่อี้จิงหัวเราะ

มีคนที่ติดนิสัยหัวเราะกับการสนทนาไม่มากที่เซินเฟยจะรู้สึกดีด้วย และมู่อี้จิงก็ดูเหมือนจะไม่ใช่หนึ่งในนั้น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมีวิธีหัวเราะอย่างผู้ชนะได้เสมอ และนั่นทำให้อารมณ์ของเซินเฟยกรุ่น ๆ ขึ้นมา

“งานครั้งนี้เป็นฝีมือของคุณสินะครับ” เซินเฟยเริ่มหัวข้อใหม่อีกครั้ง

“หมายถึงเรื่องนั้นสินะครับ” มู่อี้จิงถามย้ำแล้วเบือนสายตาไปทางซองเอกสาร กระนั้นหวางซิงกลับรู้สึกเหมือนสายตาคู่นั้นกำลังจู่โจมเขามากกว่า

“สารวัตรหรงไม่ถนัดเรื่องงานสืบสวน มีคุณเป็นลูกมือคงจะสะดวกขึ้นมาก”

“ก็ทำนองนั้น คุณพูดถูกเรื่องสารวัตรหรง เขาชอบวิ่งไล่จับผู้ร้ายมากกว่านั่งตรวจเอกสาร” ชายหนุ่มผู้เป็นแขกไหวไหล่ “ความจริงผมก็ชอบแบบนั้นมากกว่า แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ผมถูกบรรจุเข้าแผนกนี้เพราะวิทยานิพนธ์ตอนจบจากวิทยาลัยตำรวจ ผมแค่พยายามจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของอาชญากรเท่านั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้น นี่คงเป็นงานที่เหมาะกับคุณ และผมเป็นด้วยที่พวกเขาบรรจุคุณเข้ามาในแผนกนี้” เซินเฟยตอบกลับไปก่อนจะจิบชาอึกหนึ่ง

“แต่ว่า....” อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็เปลี่ยนท่านั่งจากตัวตรงเป็นค้อมลงและจดจ้องใบหน้าของคู่สนทนา “ที่ผมสนใจจริง ๆ น่ะ คือพฤติกรรมของอาชญากรที่กระทำกันเป็นองค์กรระดับประเทศมากกว่า”

“อ้อ” เซินเฟยไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับคำกล่าวของมู่อี้จิงราวกับมันเป็นเพียงการบอกหัวข้อที่สนใจอย่างปกติธรรมดา

ในประเทศที่มีการพึ่งพาเศรษฐกิจสากลเป็นหลักใหญ่ ย่อมหลีกเลี่ยงการมีอยู่ขององค์กรใต้ดินไม่ได้ ในขณะที่ประเทศเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ องค์กรใต้ดินก็ขยายขนาดตามไป ตำรวจแม้จะเป็นผู้รักษากฏหมายแต่ก็มีสถานที่ที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ด้วยเหตุนั้นการปกครองขององค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ความสัมพันธ์ขององค์กรใต้ดินและตำรวจเป็นแบบพึ่งพาอาศัย ซึ่งหมายความว่าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #66 เมื่อ18-02-2011 12:57:30 »

โลกของเราแท้จริงก็เป็นเช่นนั้น แม้จะมีคนที่คิดว่าความยุติธรรมและความดีงามคือสิ่งที่จะทำให้เกิดความสงบสุขและมุ่งมั่นปราบอาชญากรอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทว่าแท้จริงแล้วคำพูดเหล่านั้นก็เป็นแค่การหลอกลวงตนเองของคนที่ไม่อาจยอมรับถึงด้านมืดของบางสิ่งบางอย่างได้

เหรียญมีสองด้าน กระจกสะท้อนเงา ทุก ๆ อย่างต้องมีด้านตรงข้ามจึงจะสมบูรณ์

และด้วยเหตุนั้น แม้ตำรวจและผู้รักษากฏหมายทุกคนจะรู้ดีถึงการมีอยู่ของพวกเขาอย่างเต็มอก แต่ก็ไม่อาจทำให้สูญสลายไปได้ ทำได้เพียงปรามปราบพวกกลุ่มเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้เพื่อยืนยันถึงการมีอยู่ของหน้ากากของความยุติธรรมเท่านั้น

สารวัตรหรงเป็นคนดี ครั้งหนึ่งเคยเป็นตำรวจที่มีอุดมการณ์สูงส่ง แต่ก็หลีกหนีวัฏจักรนี้ไม่พ้น

มู่อี้จิงเองก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่งทั้งยังเป็นคนที่สารวัตรหรงไว้วางใจย่อมรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นคำที่พูดออกมาแม้ไม่ต้องตีความก็รู้ว่าเป็นเพียงแค่คำขู่เท่านั้น

“สารวัตรบอกผมว่าคุณเป็นคนเก่งถึงจะอายุยังน้อย ผมว่าผมเชื่อเขา” มู่อี้จิงกล่าวเมื่อเห็นว่าเซินเฟยเงียบไป

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชม” เซินเฟยวางแก้วชาลงพลางมองดูควันกรุ่นที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย อากาศเย็นในฤดูนี้ทำให้ชาเย็นเร็วกว่าปกติ

“ก็ชมน่ะสิครับ” มู่อี้จิงรีบแก้ไขความเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายอาจคิดว่าเขาประชด

“คุณเซิน จะถึงเวลานัดแล้วครับ” หวางซิงกระซิบกระซาบแต่จงใจให้มู่อี้จิงได้ยิน เซินเฟยพยักหน้ารับ หวางซิงรู้ช่วงจังหวะที่จะขัดอย่างพอเหมาะเสมอ และเที่ยงนี้เขาก็มีนัดอยู่จึงไม่อาจเสียเวลาพูดคุยกับมู่อี้จิงมากกว่านี้ได้ หลังจากนี้คงต้องปล่อยให้สารวัตรหรงจัดการต่อไป

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เซินเฟยเอ่ยลา มู่อี้จิงจึงลุกขึ้นตาม หวางซิงสั่งให้คนไปส่งนายตำรวจหนุ่มก่อนจะเดินตามเซินเฟยกลับไปยังห้องทำงาน

เอกสารในมือหวางซิงถูกเก็บไว้ในกระเป๋า เซินเฟยสั่งว่าเอกสารซองนี้ห้ามให้คลาดสายตาเด็ดขาดด้วยเขาไม่อยากให้ข่าวลือแพร่สะพัดออกไป เพราะข่าวลือจากปากคนนั้นนับเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จะพึงนึกได้ มันสามารถทำให้เกิดผลสะท้อนได้หลายอย่างดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นจึงเป็นการดีที่สุด

------------------>

ในขณะที่เซินเฟยกำลังต่อกรกับนายตำรวจหน้าใหม่ ฉู่เหวินจือก็กำลังยืนอยู่หน้าสถานที่ซึ่งถูกเคลียร์จนโล่งไม่เหลือกระทั่งซากของอาคารที่เคยตั้งอยู่ ความจริงอาคารของคนแซ่หวู่ก็ค่อนข้างจะไม่ถูกรสนิยมของเขาอยู่แล้ว การที่มันถูกทุบทิ้งไปเสียได้จึงทำให้รู้สึกสบายตาสบายใจขึ้นไม่น้อย เมื่อเคลียร์อาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากบริเวณ เขาก็พบว่าพื้นที่ตรงนี้กว้างขวางจนสามารถใช้สอยได้สารพัดอย่าง สถาปนิกที่มาด้วยกันกำลังยืนมองพื้นที่พลางคิดคำนวนถึงสิ่งปลูกสร้างใหม่ในหัว

“คุณคิดว่ายังไง?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามสถาปนิกที่มาด้วยกัน เจ้าตัวเป็นคนที่เซินเฟยแนะนำให้คงจะเคยทำงานเกี่ยวกับอาคารเพื่อการทำธุรกิจใหญ่ ๆ มามาก

“ผมคิดว่าคุณตาแหลมมากนะคุณฉู่ที่ได้พื้นที่ตรงนี้มา ดูทำเลรอบข้างแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะสร้างเป็นโรงแรมที่ออกไปทางโมเดิร์นเน้นโทนสีเรียบ ๆ ให้เข้ากับบุคคลระดับสูง” สถาปนิกผู้มากประสบการณ์ออกความเห็นโดยดูจากความเหมาะสมกับสถานที่และกลุ่มเป้าหมาย

“เรื่องนี้เราคงต้องไปคุยกันตอนที่โครงการผ่านด้วยดีล่ะนะ” เมื่อฉู่เหวินจือพูดเช่นนั้นคู่สนทนาก็มองเขาด้วยความแปลกใจ “มีอะไรหรือครับ?”

“ทำไมคุณถึงคิดว่ามันจะไม่ผ่านล่ะครับ?”

“อืม....ความจริงผมก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงหรอกนะ” ชายหนุ่มเกาหัวเก้อ ๆ “แต่คุณเซินไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ก่อนโครงการจะผ่านผมอาจจะรากเลือดก็ได้”

“คุณคิดมากเกินไปแล้ว” นายสถาปนิกโบกไม้โบกมือ “ถึงคุณเซินจะอายุน้อยดูใจร้อนไปหน่อย แต่เขาก็เป็นคนมีเหตุมีผล อีกอย่าง การที่คุณเซินระบุให้ผมมากับคุณให้ได้แสดงว่าเรื่องนี้น่ะเขาอนุมัติผ่านแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะให้หัวหน้าอย่างผมมาถึงที่ทำไมกัน”

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นนะ” ฉู่เหวินจือล้วงมือกลับเข้าไปในกระเป๋าพลางหันกลับไปมองพื้นที่ว่างเปล่าที่ถูกติดป้ายแสดงความเป็นเจ้าของของเครือตระกูลเซินอย่างชัดเจน

พวกเขาให้ความสนใจกับพื้นที่ตรงหน้าเสียจนไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติรอบข้าง ห่างไกลออกไปฝั่งหนึ่งของถนนบนตึกสูงมีกล้องตัวหนึ่งกำลังจับจ้องมายังศีรษะของฉู่เหวินจือ สิ่งที่อยู่ใต้กล้องนั้นคือกระบอกปืนขนาดยาวที่สามารถสังหารเป้าหมายได้ภายในนัดเดียวหากยิงถูกจุดตาย มือที่สวมถุงมือหนังสีดำประคองปืนและเตรียมเหนี่ยวไก เขาต้องแน่ใจว่าเป้าหมายจะตายอย่างแน่นอน

แต่ทว่าขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไกนั้นเอง เป้าหมายกลับเดินเคลื่อนที่ กล้องของเขามองเห็นได้เพียงศีรษะของสถาปนิกที่ยืนด้วยกันเพราะฉู่เหวินจือใช้อีกฝ่ายซ้อนตัวเองเอาไว้ เขาไม่อยากคิดว่าอีกฝ่ายรู้ตัว ได้แต่ปลอบว่ามันเป็นเพียงความบังเอิญแล้วกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจก่อนจะถอนตัวไปอย่างน่าเสียดายเพราะเขารู้สึกว่าการ์ดจำนวนหนึ่งมองเห็นเขาเสียแล้ว การใช้ปืนตอนกลางวันแสก ๆ อย่างนี้มีความเสี่ยงที่การสะท้อนของแสงอาทิตย์จึงทำให้มองเห็นง่าย เขารีบเก็บของก่อนที่การ์ดชุดดำจะวิ่งมาถึงอาคาร

ทางด้านฉู่เหวินจือ ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มลึกลับเมื่อเห็นจุดที่อยู่ห่างไกลเกินความเคลื่อนไหว

“มีอะไรหรือครับ?” สถาปนิกคู่สนทนาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ความจริงอยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เดินมาประชิดด้านหน้าเขาก็นับว่าประหลาดแล้ว ไม่ทันได้พูดอะไรก็ยิ้มแปลก ๆ ออกมายิ่งทำให้สงสัยกว่าเดิม

“เปล่าครับ ผมแค่นึกเรื่องตลกออกมาได้”

ผู้ฟังได้แต่พยักหน้ารับโดยไม่ได้ถามต่อ พวกเขากลับหลังและเดินคุยกันไปยังรถกำลังคิดว่าถึงเวลากลับไปรายงานผลกับเซินเฟยเสียที ทว่าอยู่ ๆ เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกลตัวนัก ร่างของฉู่เหวินจือทรุดฮวบลงเพราะความเจ็บที่แทงเข้ามาจากสีข้าง เสียงฝีเท้าของคนๆ หนึ่งวิ่งจากไปท่ามกลางกลุ่มคนที่คลาคล่ำเริ่มทยอยกันเข้ามาดูเหตุการณ์ด้วยความตระหนก
ฉู่เหวินจือกัดฟันกรอด ไม่นึกว่าจะมีมือปืนอีกคนรออยู่ด้านล่างรอเวลาที่พวกการ์ดตามอีกคนไปแล้วจึงปรากฏตัว

เสียงเซ็งแซ่ดังไม่ได้ศัพท์อยู่รอบตัว สติของเขายังครบถ้วนทั้งที่เลือดยังคงไหลออกมาจากจุดที่โดนยิง แต่ฉู่เหวินจือรู้ว่าฝ่ายนั้นพลาดจุดอันตรายไปอย่างหวุดหวิด คงเพราะมีสถาปนิกยืนกั้นตัวและมีการเคลื่อนไหวอยู่นั่นเอง ไม่อย่างนั้นปืนนัดนี้อาจพุ่งเข้าปอด หัวใจ หรือสมองของเขาก็ได้ การที่ไม่อาจยิงจุดสำคัญได้ทำให้มือปืนยิงจุดที่คาดหวังได้มากที่สุด สีข้างเป็นบริเวณที่มีอวัยวะภายในสำคัญอยู่มากมาย ดูจากจำนวนเลือดแล้วคงจะไม่ได้เข้าไปถึงกระเพาะ ตับ หรือลำไส้ แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะหัวกระสุนฝังอยู่ด้านในและเขาก็เจ็บร้าวไปหมดจนไม่อาจกำหนดได้แน่นอนว่าสิ่งแปลกปลอมอยู่ตรงจุดไหนของร่างกาย

ให้ตายสิ....

พอเวลาผ่านไป สติของเขาก็เริ่มจะลางเลือนอยู่เหมือนกัน เลือดที่ไหลออกมาเรื่อย ๆ ดูจะไม่มากมายในตอนแรก ตอนนี้กลับนองไปทั่วพื้นซีเมนต์ เสียงรถพยาบาลดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คงจะมีใครสักคนโทรเรียกกระมัง

“คุณฉู่! ทำใจดี ๆ ไว้!” เสียงของสถาปนิกดูจะเบาลงทั้งที่เขาเห็นอีกฝ่ายตะโกนสุดเสียง

ฉู่เหวินจือรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะฝืนจึงค่อย ๆ หลับตาลง ในเมื่อรถพยาบาลมาถึงแล้วเขาไม่น่าจะต้องห่วงอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอและพยาบาลไปก็แล้วกัน เพียงแต่....เซินเฟยคงไม่พอใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาหวังว่าอีกฝ่ายคงไม่มาชกเขาถึงโรงพยาบาลก็เท่านั้น...

------------------>

“คุณเซิน!” ในระหว่างที่กำลังคุยงานอยู่นั้น หวางซิงก็พรวดพราดเข้ามาหลังจากขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ “คุณฉู่โดนยิงครับ!”

ชั่ววินาทีหนึ่งที่ได้ยิน เซินเฟยทำหน้าราวกับว่าหวางซิงกำลังเล่นตลกร้ายก่อนจะนึกได้ในวินาทีต่อมาว่าเป็นเรื่องปกติที่คนของเขาจะถูกยิงจึงรีบดึงสติกลับมายังปัจจุบัน เขารีบเอ่ยลาคู่สนทนาก่อนรุดไปยังโรงพยาบาลในทันที

ระหว่างทาง หวางซิงก็รายงานตามที่ได้รับรู้จากบอดี้การ์ดที่ติดตามไปเป็นฉาก ๆ เซินเฟยได้แต่นึกหงุดหงิดที่การ์ดของตนหลงกล แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะแม้แต่เขาเองก็คงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนแอบซุ่มอยู่ใกล้ถึงขนาดนั้นทั้งที่การ์ดยืนเฝ้าอยู่ทั่วบริเวณ แต่ว่า....นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วไม่ใช่หรือ? ที่มีมือปืนเข้ามาใกล้ถึงเกือบจะถึงตัวแต่การ์ดกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่า....

เซินเฟยกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

ราวกับว่ามือปืนรู้จักสถานที่นั้นดีกว่าพวกเขา รู้ว่าตรงไหนที่สามารถซุกซ่อนตัวจากสายตาของบอดี้การ์ดจำนวนมากได้แนบเนียนที่สุด...

เมื่อรถจอดที่หน้าอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาล เซินเฟยก็ก้าวลงไปในทันที

“ฉู่เหวินจืออยู่ที่ไหน?” เขาถามการ์ดที่ออกมารอรับ

“ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัดครับ”

เซินเฟยได้ยินก็เดินจ้ำเข้าไปด้านในโดยไม่ฟังคำทัดทานของนางพญาบาล และแน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกจับตัว เพราะทางที่เขาเดินผ่าน การ์ดรอบตัวก็กันคนอื่นออกห่างโดยอัตโนมัติ ทำให้เส้นทางของเซินเฟยเปิดโล่งมาจนถึงหน้าห้องผ่าตัด

ไฟหน้าห้องผ่าตัดบ่งบอกว่ากำลังใช้งานและห้ามคนนอกเข้าไปเด็ดขาด

หวางซิงขอให้เซินเฟยนั่งลงรอที่เก้าอี้ด้านหน้า

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับการรอคอย ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเซินเฟยก็นิ่งเงียบจนดูน่ากลัวสำหรับการ์ดที่ทำงานพลาดด้วยไม่รู้ว่าเจ้านายจะลงโทษพวกเขาอย่างไร

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกในที่สุด ร่างไร้สติเพราะฤทธิ์ยาสลบถูกเข็นออกมาจากห้องตามด้วยศัลยแพทย์ที่ทำหน้าที่ผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก เคสนี้ถือว่าไม่ได้ยากนักสำหรับเขาเพราะผู้ชายคนนี้ดวงแข็งพอที่จะไม่ถูกจุดตายหรืออวัยวะสำคัญเลย

“คุณคงเป็นเจ้านายของเขา?” นายแพทย์หนุ่มเลิกผ้าคาดปากออก

“ครับ”

“คุณเซินใช่ไหม? ผมเคยได้ยินเรื่องของคุณจากจือหยิน” เซินเฟยมุ่นคิ้วไม่นึกว่าคน ๆ นี้จะรู้จักเขาถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลที่จือหยินทำงานก็ตาม

“คุณรู้จักผมอย่างนั้นหรือ?” เซินเฟยหรี่ตาลงอย่างจับผิด

“ผมชื่อจ้าวผิวเหอ คุณคงเคยได้ยินมาบ้างซึ่งถ้าเคยก็ไม่น่าจะแปลกใจนะที่ผมจะรู้จักคุณกับ....คนอื่น ๆ” คำตอบของนายแพทย์ทำให้เซินเฟยนึกได้ถึงที่อาสะใภ้ของเขาบอกเอาไว้ เธอเคยบอกว่า โรงพยาบาลแห่งนี้มีหมอคนหนึ่งที่นอกจากจะเป็นศัลยแพทย์แล้วยังเป็นหมอที่ทำหน้าที่รักษาให้กับพวกคนป่วยที่ไม่สามารถเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองได้อีกด้วย ทั้งยังมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับชิงหลง ซึ่งหากเรื่องเหล่านั้นเป็นจริงจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่หมอคนนี้จะรู้จักเขา อีกทั้งไม่ใช่ความบังเอิญที่ฉู่เหวินจือถูกส่งมาฝากชีวิตในมือหมอคนนี้

“ตอนนี้คนของคุณปลอดภัยดี พอแผลปิดก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ”

“งั้นหรือ” เซินเฟยรับคำก่อนจะมุ่นคิ้ว

“ยาสลบอีกสักพักจะหมดฤทธิ์ ถ้าคุณไปรอที่ห้อง อีกสัก 10 นาทีเขาน่าจะลืมตามาให้คุณสอบสวนได้” จ้าวผิงเหอกล่าวพลางดึงหมวดคลุมผมออกแล้วเสยผมชื้นเหงื่อของตน

เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วรีบเดินตามรถเข็นเตียงไปโดยไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณแม้แต่คำเดียว จ้าวผิงเหอเกาศีรษะแกรก ๆ นึกเชื่อคำพูดของจือหยินที่เคยกล่าวถึงอีกฝ่ายขึ้นมา ที่ว่าจูเชว่คนปัจจุบันเป็นเด็กที่เข้าถึงได้ยาก

หมอหนุ่มไหวไหล่

เอาเถอะ นิสัยส่วนตัวของพวกมาเฟียกับคนใหญ่คนโตเขาเองก็เจอที่แปลก ๆ มาเยอะแล้ว สำหรับเขา เซินเฟยก็แค่เป็นเด็กที่ดูจะพูดน้อยเกินไปหน่อยเท่านั้น

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #67 เมื่อ18-02-2011 14:21:06 »

อ้าวๆ คุณฉู่พลาดเสียได้นะ อิอิ
จะเป็นไงต่อรอลุ้นต่อไป

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #68 เมื่อ18-02-2011 14:40:27 »

อ้าวพลาดเสียได้โดนยิงซะงั้นอ่ะ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
ลึกลับดีจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #70 เมื่อ18-02-2011 18:23:56 »

ตามทันแล้วค่ะ

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #71 เมื่อ18-02-2011 19:18:03 »

 o18คุณฉู่ถูกยิงซะแล้ว

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #72 เมื่อ18-02-2011 22:17:17 »

มีสายจากอีกฝั่งปลอมมาอยู่ในเครือเปล่าหว่า เลยรู้ที่ซ่อนดีๆ แถมหลบการ์ดได้ :m32:

aekporamai2

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #73 เมื่อ19-02-2011 10:58:05 »

แล้วเซินจะจัดการยังไงเน้ออออออออออ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #74 เมื่อ19-02-2011 11:02:59 »

เข้ามารอดูค่ะ อิอิ

pigg

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
«ตอบ #75 เมื่อ19-02-2011 11:11:55 »

คลานออกจากกองงานมานั่งอ่านแก้เครียด//;_;

น้องเซินช่างเป็นเคะราชินีมากมาย55
ว่าแต่ใครเป็นพระเอกกันหละเนี้ย ใช่ผู้ติดตามแสนกวนไหม!?
หรือว่าจะเป็นเลขาหนุ่มแว่น (เย้ย!?)

รออัพอยู่นะฮะวันนี้:):)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #76 เมื่อ19-02-2011 13:50:25 »

-7-



เพดานสีขาวลอยอยู่เบื้องหน้าเมื่อแรกลืมตาตื่น ฉู่เหวินจือไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะก่อนหมดสติเขาก็ได้ยินเสียงรถโรงพยาบาลอยู่เต็มสองหู เพียงแต่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่น่ามีอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ข้างตัวเขาและมันทำให้เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ฉู่เหวินจือค่อย ๆ หันหน้าไปยังทิศที่มีประตูอยู่ และเขาก็ได้รู้คำตอบชัดเจนว่าทำไมจึงได้เสียวสันหลังนัก

เซินเฟยกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับว่าหากเขาไม่ตื่นขึ้นมาในสองสามนาทีหลังจากนี้ เจ้าตัวจะจัดการส่งเขาไปนรกตลอดกาล

“มันไม่ใช่ความผิดของผมนะ” เขารีบแก้ตัว

เซินเฟยยังคงเงียบและเม้มปากนิ่งจนแทบจะเป็นเส้นตรง

“เฮ้อ....ผมไม่ตายก่อนทำงานให้คุณเสร็จหรอก” พอเขาพูดแบบนั้นออกไปสีหน้าของเซินเฟยก็คลายความตึงเครียดลงทำให้ฉู่เหวินจือนึกสมเพชตัวเอง นี่อีกฝ่ายถ่อมาหาเขาถึงโรงพยาบาลเพียงเพราะกลังเขาตายก่อนทำงานสำเร็จหรอกหรือ?

“เห็นหน้าคนยิงไหม?”

“ไม่ครับ”

“ไร้ประโยชน์จริง ๆ” เซินเฟยว่าแล้วกลับไปทำหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิม

ในขณะที่บรรยากาศกำลังถูกปกคลุมด้วยความเงียบนั้น ฉู่เหวินจือก็เลื่อนมือมาแตะหัวเข่าของเซินเฟยที่อยู่ใกล้กับเตียง ความจริงแล้วมันน่าจะดูโรแมนติกเหมือนในละครน้ำเน่ามากกว่านี้ถ้าเซินเฟยไม่เอาแต่กอดอกหน้าบึ้ง อย่างน้อยก็น่าจะวางมือลงมาบนเตียงสักหน่อย ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดอารมณ์ของฉู่เหวินจือแต่อย่างใด เขายิ้มกว้างเมื่อเซินเฟยมองแล้วเลิกคิ้ว

“คุณเป็นห่วงผมอย่างนี้น่าดีใจจัง”

เวลาผู้ชายตัวโต ๆ พูดออกมาอย่างนี้นอกจากจะฟังไม่น่าเอ็นดูแล้วกลับยิ่งทำให้ขนลุกเสียมากกว่า และทำให้ขนลุกมากขึ้นเมื่อมือนั้นเริ่มจะขยับลูบหัวเข่าที่ตนเองกุมไว้ เซินเฟยบิดริมฝีปากอย่างหงุดหงิดก่อนจะตัดสินใจเงื้อเท้าข้างที่โดนลูบนั้นถีบเข้าชายโครงเท่าที่แรงง้างจะทำได้

ฉู่เหวินจือร้องซี๊ด เพราะถึงข้างที่ถีบจะไม่ใช่ข้างเดียวกับที่โดนยิง แต่มันก็กระทบไปถึงเหมือนกัน

“สังวรณ์ตัวเองไว้ซะ ถ้านายไม่มีประโยชน์ฉันจะปล่อยให้ตายข้างถนนยังได้” เซินเฟยเสียงเย็นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่มีอารมณ์จะเล่นลิ้น

“ขอโทษครับ” หวางซิงเข้ามาขัดโดยไม่รู้ว่าด้านในกำลังเกิดอะไรขึ้นจึงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเซินเฟยตวัดตามองเยียบเย็น พอเห็นท่าทางเหมือนเสียความมั่นใจของอีกฝ่าย เซินเฟยก็จำต้องลดดีกรีของอารมณ์ลงเล็กน้อย เขาลุกขึ้นขยับเสื้อสูทเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่ง

“ไปบอกหมอจ้าวว่าผมต้องหารให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านในวันนี้”

“ได้ครับ” หวางซิงถอนหายใจพลางส่งสายตาแสดงความเห็นใจให้ฉู่เหวินจือ

“ผมขยับตัวตอนนี้ไม่ไหวหรอกครับ” คนเจ็บทำเสียงน่าเวทนาเซินเฟยจึงเหลือบตามองก่อนจะบิดรอยยิ้มให้จุดบนริมฝีปาก

“ถ้านายอยากนอนเป็นเป้านิ่งให้พวกนั้นมาตามเก็บให้เรียบร้อยก็ตามใจ”

คำพูดของเซินเฟยทำให้ฉู่เหวินจือเถียงไม่ออก พอทุกอย่างเงียบดังที่ควรจะเป็น เซินเฟยจึงกลับหลังหันและเดินออกไปจกาห้องพร้อมกับหวางซิง

ฉู่เหวินจือผ่อนลมหายใจแล้วลูบชายโครงตนเองก่อนยิ้มออกมา เจ้านายของเขาชักจะมือเท้าหนักขึ้นทุกวันแต่เอาเถอะ เขาคงจะไม่ช้ำในตายเสียก่อนหรอก สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือมือปืนพวกนั้น เขาไม่คิดว่าตนเองจะเป็นเป้าสังหารอย่างออกหน้าออกตาแต่เขาก็คิดผิดไปถนัด บางทีเรื่องกิจการของคนแซ่หวู่นั่นคงจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ แต่ว่า...คิดจะกำจัดเขามันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก....

ฉู่เหวินจือหัวเราะกับตัวเอง ทิศทางของเรื่องนี้กำลังเดินไปอย่างที่เขาคาดไว้ อีกไม่นานเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นต้องโดนลากหางออกมาอย่างแน่นอน

------------------>

เซินเฟยนั่งมองเอกสารที่เปิดอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถึงจะมองย่างไร ข้อมูลด้านในก็ไม่มีอะไรที่สามารถโต้แย้งได้เลยซึ่งเพราะเหตุนั้นเขาจึงยิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น เซินเฟยกุมขมับก่อนวางเอกสารลงบนโต๊ะ แม้การที่ฉู่เหวินจือนอนลุกไปไหนไม่ได้จะทำให้เขารู้สึกสบายหูสบายตาขึ้น แต่การที่มีเรื่องน่าปวดหัววิ่งเข้ามาแทนทำให้เขารู้สึกว่าหากเอาเรื่องนี้ออกไปได้แล้วเอาฉู่เหวินจือมาแทนที่จะดีกว่า

“คุณเซิน” หวางซิงทำเสียงเป็นกังวลเมื่อเห็นเซินเฟยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เป็นคนของเฉียนหยุนจริง ๆ หรือครับ? มือปืนที่ยิงเด็กตอนนั้น”

เรื่องการอาละวาดข้ามถิ่นของอันธพาลระดับปลายแถวก่อนหน้านี้ เซินเฟยโอนเรื่องไปให้สารวัตรหรงจัดการทั้งหมดรวมถึงศพของมือปืนที่ยิงตัวตายก่อนได้สอบสวนด้วย ซึ่งการสืบอย่างลับ ๆ ของตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาเฟียทำให้ได้ข้อมูลมาในที่สุด ซึ่งข้อมูลนั้นได้บอกว่า มือปืนคนนั้นมีรูปพรรณสันฐานตรงกับลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มของเฉียนหยุนทุกประการ เพียงแต่เป็นลูกน้องระดับล่างที่เอาแต่วิ่งทำงานงก ๆ ไม่ได้ชูหน้าชูตามาให้คนด้านบนเห็นเลยจึงไม่น่าแปลกที่พวกเขาจะไม่รู้จัก

ส่วนเด็กหนุ่มที่ถูกยิงตายระหว่างการสอบปากคำก็มีหลักฐานเป็นสำเนาสมุดบัญชีว่ามีช่วงหนึ่งที่จำนวนเงินพุ่งพรวดผิดปกติ ไม่น่าจะเป็นจำนวนเงินที่เด็กข้างถนนกลุ่มหนึ่งจะสามารถหามาได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงสามารถตีความได้ว่าถูกว่าจ้างจากใครบางคน และประจวบเหมาะกับที่ช่วงเวลาที่เงินในบัญชีเพิ่มกะทันหันก็เป็นเวลาก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายในเขตนั้นไม่นาน

“ตอนนี้เฉียนหยุนอยู่ที่ไหน?”

“ไม่ทราบครับ หลังจากลาออกจากแก๊งค์ เขากับลูกน้องที่ภักดีทั้งหมดก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างกับว่า....”

“มีคนช่วยปกปิด” เซินเฟยช่วยต่อคำที่ขาดหายไป “แล้วคนที่ยิงฉู่เหวินจือล่ะ?”

“เรื่องนี้ยังจับเค้าไม่ได้ครับเพราะทางนั้นไม่เหลือหลักฐานไว้เลย ส่วนกระสุนก็เป็นกระสุนของปืนพกธรรมดาที่หาได้ทั่วไป” หวางซิงถอนหายใจออกมา

“อย่างนั้นหรือ....” เซินเฟยปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมห้องทำงานและตกลงสู่ภวังค์ความคิด เขานึกสงสัยนักว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถให้ที่ซ่อนตัวกับเฉียนหยุนและพรรคพวกได้อย่างสนิทแนบเนียนขนาดนี้

อำนาจของเฉียนหยุนในองค์กรนั้นหมดไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการส่งใบลาออก เซินเฟยก็จัดการโอนลูกน้องบางส่วนที่ไม่ได้ลาออกไปพร้อมกับเฉียนหยุนไปให้คนอื่นจัดการดูแลต่อเพราะถือว่ามีความภักดีพอที่จะไม่ลาออกไปพร้อมคนไร้ประโยชน์ จำนวนคนที่ไปพร้อมกับเฉียนหยุนนั้นมีราว ๆ 10-15 คน ล้วนแต่เป็นผู้ที่ช่วยเฉียนหยุนก่อตั้งแก๊งค์ขึ้นมาก่อนจะต้องตกอยู่ใต้อาณัติของจูเชว่สองรุ่นก่อนหน้านี้เมื่อมีการขยายอาณาเขต

จะอนุมานว่าเกลือเป็นหนอนได้ไหม?

มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเช่นนั้น ซึ่งหากคิดจะตรวจสอบคงจะเป็นเรื่องยากเพราะคนในปกครองมีจำนวนมากจนแทบจะจำไม่หวาดไม่ไหว หากจะโฟกัสเพียงคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมก็มีจำนวนน้อยลง ทว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นหัวหน้าระดับรอง ๆ เช่นเดียวกับเฉียนหยุนและเพิ่งจะมาประชุมกันที่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่เขาก็ไม่เห็นว่าใครจะมีท่าทางผิดปกติหรือมีพิรุธ

แล้วถ้าหากว่าผู้บริหารของเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอีกล่ะ?

ในกลุ่มผู้บริหารที่ถือหุ้นของเครือตระกูลเซินมีอยู่หลายคนที่เฉียนหยุนมีบุญคุณด้วย ผู้ชายแซ่เฉียนคนนั้นฉลาดมากพอที่จะหาที่พึ่งพิงตั้งแต่ตอนที่ตนเองยังไม่ต้องการแต่เผื่อไว้ในอนาคตด้วยการสร้างบุญคุณกับคนอื่น ๆ และกลายเป็นที่เคารพยำเกรง หลังจากเฉียนหยุนลาออกไปมีผู้บริหารหลายคนที่เริ่มแข็งข้อใส่เขาแต่นั่นเป็นเรื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับการส่งมือปืนมาอย่างนี้

การแข็งข้อต่อหน้ายังสามารถควบคุมได้ แต่แข็งข้อลับหลังจะควบคุมได้อย่างไร? ความรู้สึกเหมือนถูกจับตามองและปองร้ายโดยไม่อาจรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเป็นสิ่งที่เซินเฟยไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ด้วยฐานะของเขาทำให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์อย่างนี้ได้ยากยิ่ง

“คนที่ยิงฉู่เหวินจือได้ยินว่าสวมแว่นตาดำและบนใบหน้าไม่มีตำหนิ แต่ก็บอกชัดเจนไม่ได้เพราะตอนนั้นทุกคนอยู่ในภาวะตื่นตระหนก” หวางซิงรายงานต่อ

“แล้วสารวัตรหรงพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?” การมีเหตุยิงกันกลางเมืองตำรวจต้องเข้ามาเกี่ยวข้องได้อยู่แล้ว เรื่องคราวก่อนยังไม่ได้ตอบแทนก็มีเรื่องให้เข้ามาจัดการอีก เซินเฟยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่โดนรุมเร้าจนต้องวิ่งไปพึ่งผู้ใหญ่ไม่มีผิด

“ไม่ได้ติดต่อมาเลยครับ”

“แล้วที่ฉันสั่งให้ตรวจสอบ?”

“เอ่อ......” หวางซิงนิ่งไปก่อนจะกลั้นใจตอบคำถาม “ไม่มีเบาะแสเลยครับ”

“งั้นหรือ....” ขมับของเซินเฟยเริ่มปวดขึ้นมาอีกแล้วแต่ก็อยู่ในระดับที่พอจะทนได้เขาจึงไม่ได้บอกให้หวางซิงนะยาเข้ามาให้แต่อย่างใดเพียงแต่ยกมือขึ้นนวดให้อาการปวดค่อย ๆ หายไปเอง

“ประชุมวันนี้...เลื่อนไปก่อนดีไหมครับ?” ด้วยห่วงใยในสุขภาพของผู้เป็นนาย หวางซิงจึงไม่อยากให้เผชิญกับความเครียดไปมากกว่านี้

“ไม่ต้อง” เซินเฟยรู้ดีว่าเขาไม่มีโอกาสได้เลือกมากนัก หากเขาเลื่อนการประชุมการพิจารณาโครงการออกไปรังแต่จะทำให้เสียเรื่องเท่านั้น โครงการนี้ถึงฉู่เหวินจือจะเป็นคนคิดแต่ในเมื่อเขาเซ็นอนุมัติไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบกึ่งหนึ่ง อย่างน้อยการเข้าประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของผู้บริหารก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ประธาน เพียงแค่ที่ฉู่เหวินจือบาดเจ็บจนมาประชุมไม่ได้ก็เป็นประเด็นให้โดนขย้ำคอได้อยู่แล้ว

“แต่ว่า....”

“อาซิง ผมอยากได้น้ำสักแก้ว” เซินเฟยรู้ว่าหวางซิงคงจะไม่ยอมง่าย ๆ หากเอาแต่ยืนพะวงอย่างนี้จึงตัดบทไปเสีย

หวางซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเดินออกไปเพื่อให้เซินเฟยได้พักสักครู่ เมื่อลับหลังเลขาไปแล้ว เซินเฟยกลับยกเอกสารขึ้นมาเปิดอ่านโดยละเอียดอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะจับผิดหาจุดแย้ง ทว่าเป็นการมองหาความเป็นไปได้ในเหตุผลของเฉียนหยุนรวมถึงสถานที่ที่อาจไปกบดานอยู่

จะเกี่ยวข้องกับคนแซ่หวู่ไหมนะ?

นั่นเป็นคำถามที่น่าคิดอีกข้อหนึ่ง

เซินเฟยเสยผมพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของเฉียนหยุนจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้การประชุมในวันนี้ เซินเฟยจำต้องปล่อยใจให้ว่างครู่หนึ่งเพื่อเอาเรื่องของเฉียนหยุนออกไปให้หมดสิ้นจากสมอง มิเช่นนั้นเขาคงจะตามเกมพวกผู้บริการเจ้าเล่ห์พวกนั้นไม่ทันเป็นแน่

ช่วงบ่าย เซินเฟนก็ข้าประชุมตามปกติ ใบหน้าของเขาไม่มีเค้าของความหนักใจก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย นับเป็นพรสวรรค์ของนักธุรกิจก็ว่าได้ที่จะเก็บอารมณ์ทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อถึงคราวจำเป็น

การประชุมดำเนินไปด้วยดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้ เซินเฟยไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายเกินไปนักแต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นคนหล่านี้ตีหน้ายิ้มแย้มและให้ความร่วมมืออย่างดี เบื้องหลังมักมีลับลมคมในซ่อนอยู่ หนึ่งในคนเหล่านี้อาจจะมีคนหนึ่งหรือหลายคนก็เป็นได้ที่ร่วมมือกับเฉียนหยุน และอาจจะมีอีกหลายคนที่หวังจะใช้ฉู่เหวินจือผลักดันตัวเองเพราะคิดว่าเป็นคนโปรดของเขา

เซินเฟยนั่งอยู่ในห้องประชุมเย็นเฉียบพลางมองดูการปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยสนทนาวิสาสะของบอร์ดบริหาร

ทุก ๆ คนต่างมีสำเนาโครงการอยู่ในมือ มีบ้างที่เอ่ยวิจารณ์ถึงจุดบกพร่องที่ควรนำไปแก้ไขซึ่งหวางซิงก็คอยบันทึกอยู่ตลอดเวลา

ฉู่เหวินจือถูกถามถึงเป็นระยะ เขาก็ได้แต่บอกปัดไปว่าติดธุระสำคัญ

สถาปนิกที่ส่งไปดูสถานที่ส่งแปลนโครงสร้างคร่าว ๆ มาให้แล้ว เซินเฟยกำลังนั่งพิจารณาขณะฟังการประชุมอันน่าเบื่อหน่ายที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ

ในแปลนนั้นไม่ได้เขียนว่าโรงแรมจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่วาดเป็นพื้นที่มุมสูงและวางกรอบว่าจะตั้งอะไรไว้จุดไหนเท่านั้น

ดูเหมือนทางสถาปนิกจะต้องการให้มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กลางแจ้งตั้งอยู่บนพื้นดิน ในแนบระบุว่าเป็นจุดเด่นของโรมแรมที่มีพื้นที่ใช้สอยมากพอ เพราะโรงแรมส่วนใหญ่ต้องยกสระว่ายน้ำขึ้นไปอยู่ด้านบนเนื่องจากพื้นที่บนพื้นดินมีอยู่น้อยเกินกว่าจะใส่ทุกอย่างลงไปได้

อย่างไรก็ตาม เซินเฟยก็ทำได้เพียงแค่พิจารณาเท่านั้น เรื่องนี้ฉู่เหวินจือเป็นคนรับผิดชอบก็ต้องให้ฉู่เหวินจือเอาไปจัดการเองว่าตกลงใจจะเอาอย่างนี้หรือไม่

เมื่อการประชุมจบลง เวลาก็ผ่านไปจนเกือบจะเย็นแล้ว บันทึกการประชุมทั้งหมดในมือหวางซิงถูกโหลดเข้าเครื่องของเซินเฟยที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานในออฟฟิศ เซินเฟยกวาดตาดูอย่างคร่าว ๆ และใช้สมองประมวลผลไปพลาง อะไรที่ดูไม่สำคัญก็ตัดออกไปเสียก่อนจะบันทึกลงโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับอีเมลล์และส่งเข้าบัญชีของฉู่เหวินจือ

ถึงจะเจ็บป่วยแต่สมองยังใช้งานได้ตามปกติ เซินเฟยก็ไม่คิดจะปล่อยให้นอนเฉย ๆ ให้เสียข้าวสุกไปเปล่า ๆ ระหว่างการพักรักษาตัวเซินเฟยจึงส่งงานไปให้ทำทางอีเมลล์ เรียกได้ว่า แม้จะใช้ร่างกายไม่ได้ก็ยังต้องใช้สมองทำงานแทนอยู่ดี

จดหมายอิเล็กทรอนิกส์เดินทางได้เร็วเท่าที่ความเร็วของอินเทอร์เน็ตจะทำได้ ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาที ข้อความทั้งหมดที่นำมาจากบันทึกของหวางซิงและผ่านการกลั่นกรองของเซินเฟยก็วิ่งตามสัญญาณเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของฉู่เหวินจือเรียบร้อย

เซินเฟยปิดเครื่องของตนเองลงแล้วเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ น้ำผลไม้เย็น ๆ ของหวางซิงช่วยให้คลายความเมื่อยล้าจากการใช้สมองมากกว่าปกติได้มาก

ในช่วงที่เซินเฟยกำลังพักผ่อนนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของหวางซิงที่ทำงานอยู่ใกล้ ๆ ก็ดังขึ้น เจ้าตัวเห็นเบอร์โทรก็กดรับทันที

“สวัสดีครับสารวัตรหรง”

คำทักทายนั้นทำให้เซินเฟยหันมองนึกแปลกใจว่าสารวัตรจะโทรมาทำไมในเวลานี้

“คุณเซิน สารวัตรหรงเชิญออกไปทานอาหารค่ำด้วยกันน่ะครับ” หวางซิงหันมาช่วยไขความกระจ่างโดยที่เซินเฟยไม่ต้องออกปากถาม

“แค่สารวัตรหรงหรือ?” ไม่บ่อยนักที่เซินเฟยจะมีโอกาสออกไปกินอาหารนอกบ้านโดยไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาเดาว่าสารวัตรหรงคงจะต้องการให้เขามีโอกาสพบปะสนทนากับนักสืบที่ชื่อมู่อี้จิงอีกครั้ง

“เอ่อ....มู่อี้จิงด้วยครับ”

คิดไม่ทันจบหวางซิงก็บอกความตามที่คิดออกมา

“เข้าใจแล้ว...ช่วยหาสถานที่ให้ด้วยก็แล้วกัน แล้วก็โทรบอกคุณอาด้วยว่าวันนี้ผมไม่กลับไปทานมื้อเย็น” เซินเฟยคร้านจะหาข้ออ้าง แม้เขาจะไม่ถูกใจคนอย่างมู่อี้จิงนักแต่อีกฝ่ายคงจะมีดีมากพอที่จะเสียเวลาด้วย หวางซิงถ่ายทอดการตอบรับของเซินเฟยให้สารวัตรรับรู้ก่อนจะจัดการโทรหาโรงแรมในเครือขอจองโต๊ะในภัตตาคารล่วงหน้า เมื่อได้สถานที่แล้วก็โทรกลับไปแจ้งที่บ้าน หวางซิงสามารถทำตามคำสั่งได้อย่างเรียบร้อยในเวลาไม่นานและไม่ต้องสั่งซ้ำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็เก็บมือถือใส่กระเป๋าเช่นเดิม

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับเนือย ๆ

“กี่โมง?”

“1 ทุ่มครับ”

“ก็เหลือเวลาอีกนาน” เซินเฟยว่าพร้อมมองนาฬิกาที่เพิ่งบอกเวลา 5 โมงเย็น เวลา 2 ชั่วโมงที่เหลือเขาน่าจะใช้พักผ่อนได้ พร้อมกับที่คิดเช่นนั้นเซินเฟยก็หลับตาลง สัญญาณการกระทำทำให้หวางซิงรู้งานโดนทันที เขาจึงค่อย ๆ ถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ และรอให้ใกล้เวลานัดจึงมาเรียกอีกครั้ง

------------------->


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #77 เมื่อ19-02-2011 13:51:27 »

ภัตตาคารหรูหราในโรงแรมระดับห้าดาวอาจเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับคนหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่สำหรับเซินเฟยที่เทียวเข้าออกที่เช่นนี้บ่อยครั้งตั้งแต่ถูกรับตัวเข้าบ้านใหญ่ เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ก้าวเข้าไปในสถานที่เช่นนี้โดยเดินตามหลังอาสะใภ้ เขาเองก็เอาแต่จ้องมองรอบข้างอย่างตื่นเต้นราวกับว่าทุก ๆ อย่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ แต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรู้สึกเฉย ๆ กับมัน และรู้สึกเหมือนสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

บริกรคนหนึ่งนำพวกเขาไปยังโต๊ะที่จองไว้ เป็นโต๊ะ v.i.p. ที่ตั้งอยู่ในมุมสงบมุมหนึ่ง ติดกับกระจกใสบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ยามราตรีเบื้องนอก

สารวัตรหรงและมู่อี้จิงมาถึงก่อนแล้วไม่นาน พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะและสั่งเพียงเครื่องดื่มคนละแก้วเพื่อรอเวลา เมื่อเซินเฟยและหวางซิงมาถึง ทั้งสองก็ลุกขึ้นและเอ่ยทักทาย

สารวัตรหรงเป็นนายตำรวจกลางคนรูปร่างท้วมเตี้ย หัวล้านไปเกือบครึ่งแต่ท่าทางอารมณ์ดี วันนี้เจ้าตัวสวมชุดสูทเนี้ยบสมสถานที่ เช่นเดียวกับมู่อี้จิงที่บรรจงแต่งผมแต่งตัวอย่างดี เซินเฟยเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่ชินกับสถานที่เช่นนี้เท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าการสนทนาครั้งนี้เขาอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

หวางซิงเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้านายก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ และหันไปสั่งอาหารกับบริกรโดยที่เซินเฟยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ สารวัตรหรงสั่งสำทับไปอีก 2-3 อย่าง

“โชคดีจริง ๆ ที่คุณว่าง ผมคิดว่าจะแห้วเสียอีก” สารวัตรหรงว่าพลางยิ้มกว้าง แก้มอวบ ๆ ของเจ้าตัวเป่งใสจนแทบจะปริ เป็นวิธียิ้มที่มองแล้วไม่ขัดหูขัดตาเลย

“ผมเสร็จธุระพอดี” เซินเฟยตอบพลางพับผ้าเช็ดปากวางบนตักอย่างพิถีพิถันและชำนาญ

“น่าเสียดายนะครับ เรื่องฉู่เหวินจือ ผมอยากจะลองเจอเขาสักครั้งเหมือนกัน” ไม่น่าแปลกที่สารวัตรหรงจะได้ยินเรื่องของฉู่เหวินจือมาบ้าง แต่จะรู้ตื้นลึกหนาบางแค่ไหนก็ยังเป็นปริศนา กระนั้นสารวัตรหรงก็เป็นคนฉลาดพูดมากพอที่จะไม่พูดไปมากกว่านั้น และมู่อี้จิงก็ยังสงบปากสงบคำเช่นกัน หากเทียบกันแล้ว คนปากเปราะเช่นฉู่เหวินจือคงจะหาเรื่องพูดให้อารมณ์เสียเป็นแน่

“ผมเสียดายแค่เขามองไม่เห็นหน้าคนยิงเท่านั้น” เซินเฟยยกไวน์ขึ้นจิบ อาหารบางอย่างเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะทั้งที่เวลาผ่านไปไม่นานนัก

โดยปกติแล้วถึงจะเป็นภัตตาคารใหญ่ ๆ แต่มีลูกค้ามากก็ต้องรอคิวตามออร์เดอร์ แต่เมื่อมีแขกพิเศษเช่นประธานเครือธุรกิจมา ออร์เดอร์มักจะถูกลัดคิวให้เป็นพิเศษ

“ได้ยินว่าต้องเข้าโรงพยาบาลแต่คุณก็พาเขาออกมาในวันนั้นเลยใช่ไหมครับ?” มู่อี้จิงเริ่มเปิดปากพูดบ้าง

“สำหรับผม คนที่มีชีวิตเท่านั้นถึงจะใช้ประโยชน์ได้ ในเมื่อเขายังทำงานได้ทำไมผมต้องปล่อยให้เขาเป็นเป้าปืนอยู่ในโรงพยาบาลด้วย” บางครั้งการตอบในรูปแบบของนักธุรกิจก็มักจะฟังเย็นชาไร้หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักธุรกิจคนนั้นเป็นหัวหน้าองค์กรใต้ดินขนาดใหญ่ มู่อี้จิงแค่นยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเองก็ไม่ใคร่ชอบเซินเฟยอยู่เหมือนกัน

“การที่พวกคุณเรียกผมออกมาอย่างนี้ ผมหวังว่าจะมีธุระสำคัญพอใช่ไหม?” เซินเฟยเริ่มเข้าเรื่อง ตั้งแต่เขาเริ่มทำงานในฐานะจูเชว่ เวลาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผูกมัดเขามากที่สุด ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพยายามจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่ามากเกินไปนัก

“อืม....จะว่าอย่างนั้นก็ได้” สารวัตรหรงพยักหน้า “อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าผมอยากแนะนำมู่อี้จิงให้คุณเซินรู้จักเพราะต่อจากนี้ไปเขาคงจะเข้ามาทำงานส่วนนี้แทนผม”

คำว่า ‘ส่วนนี้’ ของสารวัตรหรง หมายถึง การทำงานให้กับจูเชว่

“ผมอายุเริ่มมากแล้วอีกไม่กี่ปีก็คงจะเกษียณ ถ้าไม่มีคนเข้ามาทำแทนผมก็ไม่ค่อยจะวางใจ” สารวัตรหรงเกริ่นขึ้นมาถึงอุปสรรคส่วนตัวที่มีผลต่อการทำงาน “มู่อี้จิงเป็นนายตำรวจที่มีความสามารถ ยังหนุ่มยังแน่น แถมยังเป็นตำรวจสายสืบ คงเหมาะจะทำงานให้คุณต่อจากนี้ไป”

“หมายความว่าคุณจะรามือหรือครับ?” หากจะว่าตามจริง เซินเฟยมีความเคารพยกย่องให้กับสารวัตรหรงอยู่มาก นายตำรวจวัยกลางคนคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถและอุดมการณ์ที่ชัดเจน แม้ความเป็นจริงของโลกจะทำให้อุดมการณ์นั้นไม่อาจเป็นจริงแต่ก็ยืดอกยอมรับโดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป แม้ตอนนี้จะต้องก้าวขาหนึ่งลงมาทำงานให้องค์กรใต้ดิน
แต่งานตามหน้าที่ก็ไม่มีความบกพร่อง นอกจากนี้ เพราะมีสารวัตรหรงอยู่เซินเฟยจึงวางใจที่จะปล่อยให้จัดการเรื่องที่ยื่นมือลงไปเองไม่ได้ การได้ยินว่าคนที่มีความสามารถอย่างสารวัตรหรงจะวางมือจากวงการก็ทำให้เซินเฟยใจหายอยู่ไม่น้อย

“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก” สารวัตรหรงกล่าวตอบ “ผมก็จะคอยดูแลอยู่แต่จะลงมือเองน้อยลง ต่อไปนี้ผมจะให้มู่อี้จิงทำงานแทนอย่างจริง ๆ จัง ๆ เพื่อเวลาผมเกษียณไป เขาจะได้เข้ามาแทนที่ได้ทันที”

“งั้นหรือ.....” เซินเฟยรับคำแล้วหันไปมองนายตำรวจคนใหม่ที่จะต้องเจอกันบ่อยครั้งขึ้นจากนี้ไป

“คุณกำลังมีปัญหาเรื่องเฉียนหยุนอยู่ใช่ไหม?” สารวัตรวัยกลางคนว่าต่อ

“ครับ”

“เขาบอกว่าจะขอลองงานนี้เป็นงานแรก คุณคิดยังไง?”

เซินเฟยเงียบไปช่วงหนึ่ง จะให้เขาตัดสินใจวางเรื่องนี้ให้มือใหม่จัดการออกจะเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่มาก เพราะหากเฉียนหยุนรู้ตัวเสียก่อนก็จะยิ่งลำบากกว่าเดิม

เฉียนหยุนทำงานในวงการมานาน ย่อมรู้ว่าตำรวจเป็นส่วนหนึ่งที่มาเฟียจะใช้ประโยชน์ได้ มีหรือที่เฉียนหยุนจะไม่ระวังตัว
“เรื่องนี้ผมว่า....” หวางซิงเห็นสีหน้าของเจ้านายก็ตีความได้จึงตั้งใจจะบอกปฏิเสธ แต่ก็ถูกขัดขึ้นมา

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณจะต้องกังวล แต่ว่า...มือปืนของเฉียนหยุนก็เป็นฝีมือของมู่อี้จิงนี่แหละที่ช่วยสืบให้จนได้ข้อมูลเร็วขนาดนั้น” สารวัตรหรงช่วยยืนยันความมั่นใจ

“รบกวนคุณมากเกินไป” เซินเฟยตัดสินใจกล่าวตอบเองด้วยการบอกปัดอย่างสุภาพ “เรื่องคราวก่อนผมยังไม่ได้ตอบแทน คงเสียมารยาทถ้าหากผมจะโยนงานให้เพิ่ม”

“สำหรับผมแล้วแค่คุณเลี้ยงอาหารมื้อนี้ก็พอแล้วล่ะ” สารวัตรหรงตอบอย่างอารมณ์ดี “ส่วนของมู่อี้จิงคุณก็ลองพิจารณาคำขอของเขาดูก็แล้วกัน เพราะเขาก็ขอตามมาเพราะอยากคุยกับคุณพอดี”

“อ้อ...อย่างนั้นหรือ?” เซินเฟยหลุบตาลงมองอาหารในจานที่กำลังเถือมีดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

“ผมจะขอทบเรื่องมือปืนกับคราวนี้เข้าด้วยกันเลยคุณคงไม่ว่าใช่ไหม?” มู่อี้จิงเอ่ยถามหยั่งเชิงก่อน

“นั่นแปลว่าคุณจะขอค่าแรงล่วงหน้าทั้งที่ผมยังไม่เห็นผลงาน” คนอย่างเซินเฟยไม่เคยตอบรับอะไรในทันทีเมื่อนั่นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และผลลัพธ์ที่จะตามมาไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เขาไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ใครโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นการจะขอค่าตอบแทนล่วงหน้าจะต้องมีเหตุผลที่เขายอมรับได้ และหากทำงานได้ดีอาจจะมีโบนัสพิเศษเมื่องานสำเร็จให้อีกด้วย

“เรื่องที่ผมสืบให้คุณไม่ละเอียดพอหรือครับ?”

นั่นพอจะเป็นเหตุผลได้....

เซินเฟยพยักหน้ารับ เพราะในเอกสารสืบสวนนั้นเขามองไม่เห็นช่องว่างที่จะหาข้อโต้แย้งได้เลย เขาคิดว่าหากค่าตอบแทนที่ขอพอจะสมน้ำสมเนื้อก็น่าจะลองเสี่ยงดูกับคนที่สารวัตรหรงคิดจะมอบภาระต่อให้

“ผมจะลองพิจารณาดู” เขาไม่ได้ตอบรับในทันทีว่าจะให้ แต่จะลองฟังคำขอดูก่อน

“อืม....ถ้าอย่างนั้น” มู่อี้จิงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ความจริงเขาคิดของที่จะขอมาตั้งแต่แรกแล้วแต่เขาอยากจะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเซินเฟยและหวางซิงจึงได้ทอดเวลาออกไปสักเล็กน้อย “ผมขอเขาจะได้ไหม?”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว มองตามปลายนิ้วของมู่อี้จิงที่ชี้ตรงไปยังหวางซิง

“เอ๋? ผ....ผม?” ว่าที่ค่าตอบแทนอ้าปากค้างแล้วชี้ตัวเองด้วยความตกตะลึง

“หมายความว่ายังไง?” เซินเฟยกดเสียงลงต่ำด้วยความไม่พอใจขณะหวางซิงรีบขยับแว่นตัวเองด้วยความประหม่า ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาอย่างนี้

“แหม ผมก็ไม่อยากจะบอกรสนิยมตัวเองหรอกนะครับ แต่ว่าผมรู้สึกถูกใจเลขาของคุณมากทีเดียว ถ้าได้นอนกับเขาสักคืนคงจะมีกำลังใจทำงานขึ้นอีกโข” คำพูดของมู่อี้จิงทำให้สารวัตรหรงรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขารู้สึกว่าตนเองอาจจะต้องผมร่วงหมดหัวเอาวันนี้ก็ได้ ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดเรื่องอย่างนี้ออกมาตรง ๆ ไม่ไว้หน้ากระทั่งเจ้านายตัวเองที่นั่งข้าง ๆ

“มู่อี้จิง เรื่องนี้มันพูดยากนะ....” สารวัตรหรงปราม

“ไม่ยากหรอกครับ” เซินเฟยตัดคำขึ้นมาแล้วนั่งเอนตัวเท้าศอกไว้บนที่พักแขน อีกมือหนึ่งยกนิ้วขึ้นมาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ สายตาเฉียบคมจ้องมองใบหน้าคนอวดดีอย่างรังเกียจ “แต่ดูเหมือนว่า คุณมู่จะตีค่าตัวเองสูงเกินไปมันก็เท่านั้น”

“สูงตรงไหนกันครับ? ผมทำงานให้คุณแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แค่ขอตัวเลขาคุณไปเสพสุขสักคืนไม่น่าจะมีปัญหานะ”

“คุณพูดผิดแล้ว” เซินเฟยกล่าว “หวางซิงเป็นเลขาที่ดีที่สุดของผม ถึงขนาดที่ถึงคุณจะค้นหาตลอดชาตินี้คุณก็ไม่มีทางหาได้ ผมบอกตามตรงว่าถึงคุณจะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนพิการหรือเสียชีวิต ค่าการทำงานของคุณมันได้แค่ซื้อสุนัขที่ชนะการประกวดประเทศเท่านั้น ซื้อสุนัขที่ชนะการประกวดระดับโลกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าการเสียงชีวิตของคุณมีค่ามากพอจะได้เลขาของผมสักคืนล่ะก็ คุณคิดผิด”

หวางซิงหันมองเจ้านายตนเองอย่างไม่เชื่อหู ตามปกติแล้วพวกผู้นำองค์กรหรือกระทั่งมาเฟียระดับล่างลงไปมักพร้อมจะขายกระทั่งลูกเมียตัวเองเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ในตอนแรกเขาคิดว่าเซินเฟยคงจะตอบรับ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเด็ดขาดโดยไม่ต้องคิดซ้ำอย่างนี้

“คุณเซิน....”

เขารู้ว่าไม่ใช่การดีเลยที่ตัดรอนความสัมพันธ์กับตำรวจที่จะเข้ามาทำงานให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีฝีมือดีหวังผลได้อย่างมู่อี้จิง

“เงียบซะ” หวางซิงได้ยินคำสั่งก็หุบปากสนิทไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมองฝั่งตรงข้ามก่อนจะเช็ดปากแล้วลุกขึ้นยืน

“เอาเป็นว่า ถ้าคุณสามารถตีค่าตัวเองอย่างเหมาะสมได้เมื่อไหร่ ผมจะลองพิจารณาอีกครั้ง” ว่าจบ เด็กหนุ่มก็มองเลขาตนเองแล้วสั่ง “กลับ”

ดูก็รู้ว่าเซินเฟยต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้เอามาก ๆ สารวัตรหรงรีบลุกขึ้นมาขอโทษทั้งที่เซินเฟยเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง หวางซิงรีบวิ่งตามเจ้านายไป เขาไม่กล้าที่จะเหลือบมองมู่อี้จิงเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตำรวจคนนี้คิดอะไรอยู่จึงหาญกล้าเอ่ยขอออกมาอย่างนั้น น่าจะรู้อยู่ว่าจูเชว่มีวิธีมากมายที่จะทำให้คนอวดดีหายไปจากโลกนี้ ทั้งทำให้หายไปด้วยตัวเอง หรือลงมือทำให้หายไป แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมู่อี้จิงก็ยังกล้า หวางซิงไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจหรือเซินเฟยกำลังคิดอะไรจึงไม่ส่งเขาไปทำประโยชน์....

ทั้งสองกลับมาถึงรถก็สั่งให้คนขับพากลับบ้านทันที

เซินเฟยนั่งทำสีหน้าตึงเครียดแล้วมองออกไปนอกกระจก หวางซิงทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ และมองดูผู้เป็นนายอย่างนึกกังวล
“เรา...”

“คุณคิดจะตอบรับใช่ไหม?” ก่อนที่หวางซิงจะได้พูดอะไรออกมา เซินเฟยก็ชิงพูดก่อนทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเฮือกเหมือนเด็กที่ถูกจับผิด

“เราจำเป็นต้องใช้เขานะครับ” หวางซิงแจกแจง “มู่อี้จิงเป็นคนมีฝีมือ เรื่องนั้นผมยืนยันได้ คุณก็เห็นว่า...”   

“คนมีฝีมือที่รู้จุดยืนของตัวเองหาไม่ยากนักหรอก”

ในชีวิตของมาเฟีย เขาใช้ประโยชน์จากคนจำนวนมากในกำมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าในโลกนี้จะหาคนที่ใช้งานได้ตามใจง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ขอเพียงแค่รู้วิธีที่จะใช้คนเหล่านั้นได้ก็พอ อย่างเช่น สำหรับคนโลภก็จ่ายเงิน สำหรับคนมักมากก็ให้ผู้หญิง เมื่อคนเราได้สิ่งที่พึงพอใจและเติมเต็มความปรารถนาก็จะยอมทำงานอย่างถวายหัวเพื่อไม่สูญเสียบำเน็จรางวัลเหล่านั้นไป

“คุณเซิน แบบนี้จะดีหรือครับ? เรื่องของเฉียนหยุน”

“ก็แค่ใช้เวลามากสักหน่อย ยังไงก็ต้องอยู่ใต้จมูกผมแน่ ๆ ผมมั่นใจ” เซินเฟยรู้จักเฉียนหยุนดีพอที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะท้าทายเขาอย่างถึงที่สุด ดังนั้นจะต้องหนีไปไม่ไกลอย่างแน่นอน ไม่แน่....ตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะจับตาดูเขาอยู่จากที่ไหนสักแห่ง

“ยังไงก็ตาม ผมไม่อนุญาตให้คุณไปหามู่อี้จิง เข้าใจไหมอาซิง”

“...ครับ....” หวางซิงรับคำอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าการตอบรับของเขาทำให้สีหน้าของเซินเฟยดีขึ้นเขาจึงไม่พูดอะไรออกมาอีกตลอดทาง


TBC

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #79 เมื่อ19-02-2011 14:57:17 »

 :o8: เลขาจะโดนกินแล้ว แหมๆ เกือบไป เมื่อไหร่เจ้านายจะโดนบ้างเนี่ย ฮิๆ :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
« ตอบ #79 เมื่อ: 19-02-2011 14:57:17 »





ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #80 เมื่อ19-02-2011 15:58:16 »

เล่นเอ้าลุ้นจนเหนื่อย

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #81 เมื่อ19-02-2011 16:15:53 »

ทางด้านเจ้านายนี่ท่าทางจะไม่ได้พัฒนาอะไรเลยนะเนี่ย
อิอิ ลดความโหดลงบ้างก้ได้นะคะคุณเซิน

aekporamai2

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #82 เมื่อ19-02-2011 18:21:57 »

ต่อๆๆ..^^

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #83 เมื่อ19-02-2011 18:46:43 »

ในที่สุดก็เห็นวี่แววคนมีคู่ในเรื่องสักที คุณตำรวจมุทะลุกับคุณเลขาแสนดี อ๊าย...โดนอ่ะ ~~
แต่เล่นมาขอโต้ง ๆ แบบคืนเดียวจบ เจ้านายเค้าก็วีนสิ ( เป็นเราก็วีน )
ลองมาขอใหม่ เอาแบบรับผิดชอบตลอดชีพ อาจจะได้รับการพิจารณาใหม่ เชื่อว่าคุณตำรวจมู่อี้จิิงไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ !!!


ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #84 เมื่อ19-02-2011 22:19:03 »

วันหลังถ้าจะขอ ก็หอบสินสอดมาด้วยสิ

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
«ตอบ #85 เมื่อ20-02-2011 05:35:59 »

เรื่องฃองเรื่อง คืออาซิงเสียดายซิมิหล้า อิอิ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #86 เมื่อ20-02-2011 12:17:25 »

-8-



หลังแยกย้ายกับเซินเฟย มู่อี้จิงก็โดนสารวัตรหรงเทศนายกใหญ่ แถมยังสำทับว่าหากเซินเฟยไม่ใช่เด็กที่ยังอ่อนต่อวงการแล้วอาจจะโดนเก็บเอาง่าย ๆ มู่อี้จิงเองก็รู้ดีว่าเขาทำเรื่องใหญ่ลงไป แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหากพูดคุยกับคนระดับสามัญก็ตามที กระนั้นเขาก็ยังอยากจะลองดู ไหน ๆ เขาก็ต้องทำงานให้อยู่แล้ว จะขอลองทดสอบความคิดและอารมณ์ของเจ้านายสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ได้เจออีกฝ่ายครั้งแรก เขาค่อนข้างแน่ใจอยู่พอสมควรว่าเซินเฟยไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดจะฆ่าใครได้ง่าย ๆ

ดังนั้น...โอกาสที่เขาจะถูกฆ่าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้จึงเป็นไปได้น้อยมาก

อย่างไรก็ตาม เซินเฟยไม่พอใจการแสดงออกของเขาอยู่มาก หลังจากนี้อาจต้องเอาผลงานเข้าแลกเพื่อเอาใจเสียหน่อย มิเช่นนั้นคงถูกตัดหางปล่อยวัด

จริงอยู่ว่าตำรวจและมาเฟียจำต้องพึ่งพาอาศัยกันตามสัจธรรมของโลกในยุคปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นอำนาจมืดก็ง่ายต่อการถลำลึก ตำรวจที่จะประสานงานด้วยจึงควรจะเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งไม่หลงไปกับแรงยั่วยุของอิทธิพลเหล่านั้น มู่อี้จิงไม่สงสัยว่าทำไมจูเชว่จึงเลือกสารวัตรหรง ตำรวจที่ถูกชักจูงเข้าสู่องค์กรจะกลายเป็นแค่มาเฟียกระจอกที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลย สารวัตรหรงแม้จะทำงานกับจูเชว่มานานแต่ก็ไม่ละเลยต่อหน้าที่ประจำทำให้สามารถรักษาสมดุลของการปกครองได้ทั้งสองทาง

งานนี้ใช่ว่าใครก็ทำได้ ดังนั้นถึงจูเชว่จะไม่ต้องการให้เขาทำงานด้วยต่อ เขาก็ต้องดันทุรังทำต่อเองอยู่ดี

สารวัตรหรงบอกว่าจูเชว่คนนี้เป็นคนที่มีเหตุมีผล ดังนั้นหากเขาทำผลงานได้เข้าตา ถึงจะไม่พอใจหรือไม่ถูกชะตาก็ต้องยอมให้เขาทำงานด้วยอยู่ดี

มู่อี้จิงเริ่มคิดว่าเขาควรจะทำอะไรต่อ เริ่มจากการสืบเรื่องของเฉียนหยุนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

การสืบหาตัวคนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง มู่อี้จิงเจองานอย่างนี้มาก็เยอะแล้ว ทั้งอีกฝ่ายยังเคยมีอิทธิพลดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะซุกหัวอยู่กับคนที่ภักดีต่อตนเอง

ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอพาร์ทเมนท์ที่เช่าอยู่แล้วเดินเข้าไปด้านใน ห้องดูสะอาดสะอ้านตามแบบที่ผู้ชายโสดคนเดียวจะทำได้

มู่อี้จิงเดินไปที่โต๊ะทำงานมุมห้องแล้วเปิดลิ้นชักค้นเอาข้อมูลที่สืบได้ก่อนหน้านี้ออกมา ความจริงแล้วระหว่างที่สืบเรื่องมือปืน เขาได้สืบเรื่องเฉียนหยุนไปด้วยทำให้ได้รายชื่อของคนที่น่าจะให้ที่ซุกซ่อนในเวลานี้มาอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก คิดแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ช่างมองการณ์ได้ไกลจริง ๆ ราวกับรู้ว่าวันนี้จะมาถึงจึงโปรยบุญคุณไปทั่วราวกับหว่านเมล็ดในนาข้าว

หากจะสืบทั้งหมดนี้จูเชว่คงไม่มีทางทำได้ก่อนที่เฉียนหยุนจะรู้ตัว ดังนั้นตำรวจสายสืบอย่างเขาจึงมีความจำเป็น

มู่อี้จิงทิ้งปึกเอกสารกลับลงไปในลิ้นชักแล้วปิดล็อค ก่อนเดินไปที่โทรทัศน์

การเอาแต่ทำงานคร่ำเคร่งทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่นิสัยของเรา สมองคนเรามีขีดจำกัดการทนต่อแรงกดดันได้ไม่เท่ากัน และทนต่อการทำงานหนักไม่เท่ากัน สำหรับเขา การรักษาสมองให้สามารถทำงานได้นาน ๆ ดีกว่าบีบคั้นให้ทำงานหนักจนลำบากตอนแก่เป็นไหน ๆ

ช่วงค่ำแบบนี้ถึงจะดูโทรทัศน์ไปก็ใช่จะมีอะไรให้ดูมากมายนัก มู่อี้จิงเพิ่งจะขอยืมแผ่นหนังจากเพื่อนตำรวจมาจำนวนหนึ่งจึงลองเปิดดูโดยไม่ได้สนใจหน้าแผ่น แต่ในเมื่อทุกคนพร้อมใจกันบอกว่าสนุกและยัดเยียดให้เขาก็คงต้องลองดูเสียหน่อย

ฉากในหนังดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพยนตร์ระดับที่จะฉายในโรงได้ มองแสงสีแล้วก็คล้ายจะเป็นหนังเกรด C เสียมากกว่า กระนั้นมู่อี้จิงก็ยังนั่งดูต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นหนังประเภทไหนกัน แต่ว่า....พอเริ่มมีคนเดินเข้าฉาก อะไร ๆ มันก็คุ้นตาคุ้นใจขึ้น ทั้งการวางกล้องนิ่ง ๆ โดยไม่เล่นมุม การใช้แสงแบบตามมีตามเกิน อีกทั้งยังหน้าตาคนแสดงฝ่ายชายที่เห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก...

ตัวแสดงฝ่ายหญิงเป็นนักเรียนม.หลาย มู่อี้จิงอนุมานว่าเช่นนั้น

เด็กนักเรียนหญิงม.ปลายเข้ามาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ตัวละครฝ่ายชายนั่งอยู่ ทั้งสองคนทำความรู้จักกันเล็กน้อยก่อนที่ฝ่ายหญิงจะโดนวางยา

มู่อี้จิงพ่นลมหายใจออกมา นี่พวกเพื่อนร่วมงานเขาขาดคู่ถึงขนาดต้องดูของพรรค์นี้กันเลยหรือนี่?

แต่เอาเถอะ....เขาเองก็ดูบ้างเป็นงานอดิเรก ธรรมดาของผู้ชายที่จะชอบดูเรื่องแบบนี้ถึงจะมีแฟนแล้วก็เถอะ

เด็กสาวม.ปลายโดนหิ้วเข้าโรงแรมทั้งที่เวลาตั้งแต่เปิดเรื่องจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปเพียง 15 นาที เป็นเรื่องสามัญของหนังแนวนี้ที่รายละเอียดปลีกย่อยถูกลดทอนความสำคัญลงจนแทบไม่จำเป็นต้องมี

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างที่หนังแนวนี้มักจะเป็น ฉากการร่วมเพศที่โจ่งแจ้งไม่มีการปิดบัง นึกสงสัยอยู่เหมือนกันที่เพื่อนของเขาหาฉบับ Non-censor มาได้ เสียงร้องครางของเด็กสาวม.ปลายดังออกมาจากลำโพง โชคดีที่อพาร์ทเมนท์นี้กำแพงหนาพอสมควร ดังนั้นถึงจะเปิดดังหน่อยก็ไม่ไปรบกวนห้องข้าง ๆ แต่อย่างใด กระนั้น....การดูเรื่องพวกนี้ก็ทำให้ผู้ชายหนุ่มแน่น โสด และร่างกายแข็งแรงอย่างเขาเกิดกลัดมันขึ้นมาได้เหมือนกัน ดูไปได้ไม่เท่าไหร่มู่อี้จิงก็รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอยากระบาย

นายตำรวจหนุ่มกดปิดหนังไปก่อนจะเก็บแผ่นเข้าถุงเพราะได้ยินเสียงออดจากประตู นึกสงสัยปนหงุดหงิดนิดหน่อยว่าใครกันจะมาเอาเวลาอย่างนี้ เขาจำต้องพยายามสงบจิตสงบใจขณะเดินไปเปิดประตู

“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”

ผู้มาเยือนทำให้มู่อี้จิงอ้าปากค้างตอบกลับไปไม่ถูก ได้แต่ยืนอยู่ตรงประตูนิ่งอย่างนั้น

“คุณมู่?” ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้งทำให้สติหวนหลับเข้าร่าง

“คุณหวาง? ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” มู่อี้จิงกลั้นใจยิ้มตอบแล้วถาม เขาหวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ที่โต๊ะอาหาร

“ผมเข้าไปได้ไหม?” หวางซิงถามอย่างไม่แน่ใจ

“อ้อ ได้สิ เข้ามาเลย” ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงที่แล้ว มู่อี้จิงก็รู้สึกว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากไม่เชิญเข้าห้อง เพียงแต่สภาพร่างกายของเขาตอนนี้อาจจะไม่อำนวยให้รับรองความปลอดภัยได้มากนัก

หวางซิงเพียงพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วเดินเข้าไป เขามองดูรอบห้องอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหน้าซองหนังเรื่องหนึ่งไหลออกมาจากถุง ภาพที่เห็นค่อยข้างอนาจารทำให้หวางซิงหน้าร้อนวูบวาบรู้สึกว่าตนเองไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า

“น้ำครับ”

“ค...ครับ....” น้ำที่ยื่นมาให้ถูกรับไปด้วยมือที่ค่อนข้างจะสั่นเทาด้วยความประหม่า หวางซิงวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทาง

“เอาล่ะ คุณมาหาผมทำไม?” มู่อี้จิงทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ มันช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ได้ร่ำรวยนักจึงมีแค่โซฟาตัวเดียวซ้ำยังนั่งได้แค่สองคน

“เรื่องที่คุยกันวันนี้....ถ้าผมตอบรับคุณจะยอมช่วยคุณเซินใช่ไหม?”

มู่อี้จิงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“เจ้านายคุณเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่า...” หวางซิงปฏิเสธแล้วก้มหน้าลง “คุณเซินห้ามผมมาหาคุณเด็ดขาด”

“อืม....ถ้าอย่างนั้น คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”

“ผมถามจากสารวัตรหรงครับ”

มู่อี้จิงพยักหน้ารับ แสดงว่าเรื่องที่หวางซิงมาหาเขาสารวัตรหรงก็จะรู้เรื่องด้วย คนที่ต้องปกปิดเอาไว้คงมีแต่เซินเฟยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ช่างเป็นเลขาที่จงรักภักดีอะไรอย่างนี้....

“นั่นจะทำอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอดสูทออกแล้วกำลังจะปลดเนคไท

“ก็ทำตามข้อตกลงน่ะสิครับ ถ้าคุณได้ตัวผมคุณจะยอมช่วยไม่ใช่หรือ?” หวางซิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง มู่อี้จิงจึงเกาหัวอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

ความจริงแล้วที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้เพราะอยากจะรู้เท่านั้นเองว่าคนอย่างจูเชว่จะขายกระทั่งลูกน้องคนสนิทหรือเปล่า ในเมื่อได้คำตอบที่น่าพึงพอใจเขาก็ไม่คิดจะจริงจังกับเรื่องนั้นอีกแล้ว ผิดกัน หวางซิงกลับถือเอาเป็นเรื่องจริงจังจนต้องแอบมาหาเขาถึงที่นี่ นี่เขาดูเหมือนคนที่มักมากถึงขนาดเห็นหน้ากันก็จะฟันดะเลยหรืออย่างไร? ถึงจะคิดอย่างนั้นก็น่าจะกระอักกระอ่วนกับการต้องนอนกับผู้ชายด้วยกันหน่อยไม่ใช่หรือ?

“คุณดูจะยอมทำตามที่เจ้านายต้องการทุกอย่างเลยจริง ๆ นะ”

“แน่นอนครับ” หวางซิงตอบอย่างไม่ต้องคิดซ้ำยังยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ตระกูลของผมรับใช้จูเชว่มาหลายชั่วคนโดยไม่เคยทำให้เสื่อมเสีย ถึงในสายตาของคุณจะคิดว่าจูเชว่เป็นแค่มาเฟียและผู้นำองค์กรใต้ดิน แต่สำหรับผมและตระกูลของผมแล้วจูเชว่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง”

ตรรกะของคนพวกนี้ทำด้วยอะไรกันนะ?

มู่อี้จิงคิดพลางกลอกตา เขาไม่เคยเข้าใจพวกพ่อบ้านในหนังฝรั่งโบราณมากนักเมื่อพวกเขาพูดว่าจะยอมมอบกายถวายชีวิตให้นายท่าน หรืออัศวินที่ยอมตายเพื่อนายเหนือหัว คนเรารู้สึกดีใจมากนักหรือที่ต้องรับใช้คนอื่นถึงขนาดยอมละทิ้งชีวิตของตัวเองไปอย่างนั้น กระทั่งมาเจอคนประเภทนี้ตัวเป็น ๆ ตรงหน้าเขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ดี

“คุณทำทุกอย่างได้จริง ๆ น่ะหรือ?” มู่อี้จิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนแทบประชิดทำให้หวางซิงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรีบผงะถอยแทบไม่ทัน

“ได้ครับ” ถึงอย่างนั้นในวินาทีต่อมา หวางซิงก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมของตนอย่างมาดมั่น

“หืม.....มันจะดีหรือที่พูดแบบนั้น ความจริงคุณน่าจะฟังเจ้านายของคุณนะ เพราะดูเขาจะเอ็นดูคุณมากทีเดียว” ว่าไป มือของมู่อี้จิงก็เกี่ยวเนคไทให้เลื่อนลงจนเกือบหลุด

“คำว่าเอ็นดูคงไม่เหมาะสำหรับผมกับคุณเซินเท่าไหร่มั้งครับ” หวางซิงว่าพลางขยับแว่น กระทั่งในเวลาอย่างนี้ก็ยังจริงจังกับวิธีใช้คำสมกับที่เป็นเลขามานาน

“อ้อ.....” มู่อี้จิงขานพลางหัวเราะอย่างจงใจให้ดูชั่วร้ายก่อนจะกระตุกครั้งหนึ่งให้เนคไทหลุดจากกันแล้วรูดออกจากลำคอ การกระทำอันอุกอาจทำให้หวางซิงตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงขนาดเสียขวัญจนลุกหนี ท่าทางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาดีแล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นมู่อี้จิงคงโดนชกไปสักหมัดแล้ว

ตอนนี้ร่างกายของนายตำรวจหนุ่มก็พร้อมจะจู่โจมอยู่แล้วด้วยผลจากหนังเรท X เมื่อครู่นี้ เมื่อมีอาหารมาวางรอตรงหน้ามันก็ยั่วน้ำลายเสียจนแทบจะอดใจไม่ได้ ปกติมู่อี้จิงก็ไม่ได้คิดมากเรื่องชายหรือหญิงเป็นทุนเดิม ดังนั้นการจะลงมือตามใจอยากจึงเป็นเรื่องที่แสนยั่วใจจนแทบอดไม่ได้

เป็นเพราะมู่อี้จิงชักช้ารำไรหรืออย่างไรไม่ทราบได้ หวางซิงจึงกลั้นใจคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามาจูบเสียเอง การกระทำนั้นทำให้ผู้ถูกกระทำเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่คน ๆ นี้เอาจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

มู่อี้จิงกดร่างของหวางซิงให้ล้มลงบนโซฟาทั้งที่บดจูบให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น เขาขบกัดพร้อมป้อนรสจุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนใบหน้าดวงนั้นแดงซ่าน เมื่อไม่เห็นว่ามีการต่อต้าน มู่อี้จิงจึงเริ่มปลดเสื้ออีกฝ่ายแล้วขบไล้ไปตามลำคอ ตอนนั้นเองเสียงหายใจฮึกในคอจึงเล็ดรอดออกมา อีกทั้งร่างของหวางซิงยังสั่นเทาทำให้มู่อี้จิงอนุมานได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยในชีวิต

ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนากจะฝืนขืนใจโดยไม่ยินยอม อีกอย่างคือ....เรื่องอย่างนี้มันผิดกฎหมาย ซึ่งผู้รักษากฎหมายอย่างเขาไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

มู่อี้จิงจำต้องผละออกมาทั้งที่อยากทำใจจะขาด อารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นไม่ใช่ดับกันง่ายๆ

“ทำไมหรือครับ?” หวางซิงลืมตาขึ้นถามด้วยความสงสัยก่อนจะขยับแว่นที่หลุดจากดั้งให้กลับเข้าที่

“คุณไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนั้นก็ได้ ยังไงผมก็ต้องทำงานให้เจ้านายของคุณอยู่แล้ว” มู่อี้จิงอธิบายพลางเสยผมด้วยความหงุดหงิดใจ เขาคงต้องไล่อีกฝ่ายกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัย

“แสดงว่าคุณจะไม่รับผมเป็นของตอบแทนแล้วอย่างนั้นหรือครับ?” คำถามของหวางซิงทำให้มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าบ่าวที่เลวถึงขนาดปฏิเสธเจ้าสาวที่ถูกส่งมาถึงห้องหอ

“จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะทำเรื่องแบบนี้แต่แรกแล้ว ผมแค่อยากจะเห็นปฏิกิริยาของจูเชว่เท่านั้นเอง” เขาจำต้องสารภาพตามตรงเพื่อให้จบเรื่องจบราวไปให้เร็วที่สุด

“คุณหมายความว่า...คุณทดสอบคุณเซินอย่างนั้นหรือครับ!” อยู่ ๆ หวางซิงก็ตะโกนขึ้นมาทำให้มู่อี้จิงที่ไม่ทันเตรียมใจรับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปถึงกับผงะ “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้าดีทำเรื่องอย่างนี้! รู้ตัวหรือเปล่าว่าที่มีชีวิตอยู่นี่ก็เพราะบุญหนักขนาดไหน!” ไม่พูดเปล่า หวางซิงลุกขึ้นมากระชากคอเสื้อมู่อี้จิงอย่างเอาเรื่องเอาราว ไม่เหลือคราบของคนที่เตรียมใจมาถูกล่วงเกินอย่างเมื่อครู่แม้แต่น้อย

“ผมไม่ได้ตั้งใจ ช่วยปล่อยผมก่อนเถอะ” เขาจำยอมอ่อนข้อเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ใครจะคิดว่าแค่เรื่องของจูเชว่จะทำให้หวางซิงโมโหถึงขนาดนี้

หวางซิงยอมปล่อยคอเสื้อมู่อี้จิงในที่สุด เขาจัดเสื้อตนเองให้เรียบร้อยแล้วผูกเนคไท สวมสูทกลับเข้าไปเช่นเดิม

“เรื่องนี้ผมจะไม่รายงานให้คุณเซินรู้” หวางซิงว่า เขาไม่ได้คิดห่วงอีกฝ่ายหรอกว่าจะเป็นจะตาย แต่เขาไม่อยากเพิ่มเรื่องเครียดให้เซินเฟยเท่านั้นเอง “ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัวก่อนนะครับ” ว่าจบ หวางซิงก็เดินออกไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยคำร่ำลา เขาขอตัวออกมาทำธุระโดยไม่ได้บอกรายละเอียด ตอนนี้เซินเฟยคงรอเขาอยู่ ในเมื่ออยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วเขาจึงไม่อยากเสียเวลาอย่างไร้ค่า

มู่อี้จิงนั่งค้างอยู่กับที่อย่างนั้นจนประทั่งประตูปิดลง อารามตกใจเมื่อครู่ทำให้อารมณ์พิศวาสหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ เขาควรจะขอบคุณหวางซิงเรื่องนี้ไหมนะ?

----------------------->

“อาซิง”

“ค...ครับ?” หวางซิงขานรับเมื่อถูกเรียกทั้งที่เขาเพิ่งจะเดินพ้นประตูบ้านเข้ามา นึกระแวงว่าจะมีคนรู้ไหมว่าตัวเขาไปไหน

“วันนี้โปสการ์ดจากอาซิ่วส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ได้เปิดอ่านหรือยัง?” หวางซานผู้เป็นพ่อเอ่ยถามพลางยื่นโปสการ์ดที่ส่งมาจากอังกฤษให้แก่บุตรชาย

หวางซิ่ว น้องชายของหวางซิงไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษด้วยความกรุณาของจูเชว่คนก่อน ทำให้นาน ๆ ครั้งจึงจะได้กลับมาบ้านและมักจะส่งโปสการ์ดมาให้อย่างสม่ำเสมอแม้ว่าตอนนี้เทคโนโลยีจะก้าวไกลขนาดสามารถส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้วก็ตาม

หวางซิงรับโปสการ์ดฉบับนั้นมาอ่านก่อนจะแย้มยิ้ม น้องชายของเขาท่าทางจะสุขสบายดีอยู่ที่นั่น

“จริงสิ แล้วคุณเซินล่ะครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามหวางซานเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินไปทำงานอื่น

“เห็นเข้าไปในห้องทำงาน คงจะกำลังนั่งจี้คุณฉู่อยู่ล่ะมั้ง?” หวางซานกล่างตอบ ตอนที่เซินเฟยกลับมาถึงบ้านหวางซิงก็ขอตัวออกไปทำธุระอื่น หวางซานเห็นเซินเฟยลากตัวฉู่เหวินจือเข้าไปในห้องทำงานด้วยกันทั้งที่อีกฝ่ายยังเดินกะเผลกจากบาดแผลที่สีข้าง แม้เขาจะรู้สึกสงสารฉู่เหวินจือแต่ก็ไม่อาจเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้เนื่องจากโดยหน้าที่ของเขานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนอกบ้านแต่อย่างใด

“อาการคุณฉู่ดีขึ้นแล้วหรือครับ?” หวางซิงถามต่อ

“เดินได้แล้วก็น่าจะดีแล้วล่ะ หมอจ้าวเองก็บอกว่ากระสุนเข้าไม่ลึกเลยไม่ค่อยมีผลมากกับการทำงาน” ชายวัยกลางคนไหวไหล่

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งสองคนคงจะอยู่ด้วยกันในห้องทำงานสินะครับ”

หวางซานพยักหน้าให้กับคำถาม หวางซิงจึงขอตัวไปหาเซินเฟย เพราะเขาไม่แน่ใจว่าหากให้เซินเฟยกับฉู่เหวินจืออยู่ด้วยกันตามลำพังจะสามารถอยู่ด้วยกันได้นานนัก บางที ฉู่เหวินจืออาจจะมีแผลเพิ่มก็ได้ แบบนั้นคงยิ่งแย่เพราะต้องพักรักษาต่ออีกนาน

หวางซิงเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

ภาพที่เขาเห็นทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ฉู่เหวินจือนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยมีหมอนใบหนึ่งกั้นระหว่างแผ่นหลังกับพนักพิงทำให้ไม่ต้องเกร็งแผลมากนัก ด้านหน้าเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ซื้อมาตอนเข้างานซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งพิมพ์ไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี ข้างตัว เซินเฟยกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกควบคุมการทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีร่องรอยของความอารมณ์เสียปรากฏออกมาแม้ว่าอีกฝ่ายจะฮัมเพลงอยู่ก็ตาม

เซินเฟยหันมาทางประตูเมื่อหวางซิงเอาแต่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น

“กลับมาแล้วหรือ?”

“เอ่อ....ครับ.....” หวางซิงปิดประตูลงแล้วเดินเข้ามา “วันนี้อาซิ่วส่งโปสการ์ดมา”

“ผมเห็นแล้ว เขาส่งมาให้ผมแยกฉบับหนึ่ง” เซินเฟยตอบแล้วหันกลับมามองฉู่เหวินจือที่ทำท่าเหมือนจะอู้งาน “จะให้ฉันถองแผลนายสักทีไหม?”

“ไม่ล่ะครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะแล้วรีบหันกลับไปทำต่อ

“คุณฉู่ยังไม่หายดี ให้ทำงานอย่างนี้จะดีหรือครับ?”

“แค่แผลที่ท้องทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” เซินเฟยไม่เคยมีการอะลุ่มอะล่วยให้คนที่ยังไม่เคยแสดงออกว่าสมควรอะลุ่มอะล่วย และในสายตาของเขา ฉู่เหวินจือยังไม่ได้แสดงว่ามีประโยชน์สักเท่าไหร่และบาดแผลก็ไม่ได้หนักหนาสาหัส ดังนั้นเรื่องจะให้หยุดงานก็ลืมไปได้เลย

“แผลที่ท้องแต่ผมก็เจ็บนะครับ” ฉู่เหวินจือทำออดอ้อน

“ว่าแต่....ทำอะไรอยู่น่ะครับ?” หวางซิงรีบเข้าห้ามทัพเมื่อเซินเฟยเริ่มทำท่าเหมือนพร้อมจะอัดคนป่วยได้ทุกเมื่อ

“หารายชื่อคน” เซินเฟยตอบก่อนจะลุกขึ้น “ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉียนหยุน ถึงมู่อี้จิงจะไม่ช่วยผมก็มีวิธีของผมเอง”

หวางซิงเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของเซินเฟยแล้วก็ยิ่งไม่กล้าสารภาพความจริง แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนจะเป็นจูเชว่เสียอีก เซินเฟยมักจะคร่ำเคร่งกับงานเสมอจนแทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวเลย ยิ่งตอนนี้ เซินเฟยกำลังโกรธมู่อี้จิงเอามาก ๆ ถึงมู่อี้จิงจะยอมช่วยเหลือแต่เขาก็ไม่อาจเปิดเผยได้ หวางซิงรู้สึกหนักใจอย่างมากไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้เซินเฟยยอมรับความช่วยเหลือจากมู่อี้จิงอย่างละมุนละม่อม

“คุณเซิน....ผมคิดว่า....”

“อะไรหรือ?”


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #87 เมื่อ20-02-2011 12:17:55 »

“ผม....จะลองติดต่อคนที่ไว้ใจได้ให้ลองทำเรื่องนี้แทนดีไหมครับ?” หวางซิงต่อรอง โดยปกติแล้วเขามักทำหน้าที่ประสานงานแทนเซินเฟยอยู่เสมอ ดังนั้น....หากเพียงแค่ประสานงานโดยไม่เปิดเผยคนที่ทำงานให้ก็น่าจะไม่มีปัญหา เขาหวังว่าอย่างนั้น....

“เฉียนหยุนอาจจะรู้ตัวก่อนก็ได้” แต่เซินเฟยก็ดูจะยังไม่ยอมวางเรื่องนี้โดยง่าย เขากลับไปนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้งและสั่งให้ฉู่เหวินจือค้นหาต่อไป

“ผมจะให้สารวัตรหรงหาคนให้ใหม่”

เมื่อยกชื่อสารวัตรหรงมาอ้าง เซินเฟยจึงนิ่งคิดไป

“ไม่ใช่คนแซ่มู่ใช่ไหม?” เด็กหนุ่มหันมองเลขาของตนพลางเอ่ยย้ำเพื่อความมั่นใจ ทำให้หวางซิงยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นเมื่อพบว่าเซินเฟยคงไม่อภัยให้มู่อี้จิงโดยง่ายหากฝ่ายนั้นยังไม่แสดงความตั้งใจจะขอโทษออกมาอย่างเปิดเผย

“....ไม่ใช่....ครับ...” หวางซิงกลั้นใจตอบออกไป

เซินเฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ถ้าคน ๆ นี้ทำงานได้ดี คุณก็พามาเสนอตัวกับผมแทนคนแซ่มู่นั่นก็แล้วกัน” เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ “งานแรกผมอยากให้เขาหาตัวเฉียนหยุนให้เจอ จะใช้วิธีไหนก็ได้แต่อย่าให้เฉียนหยุนไหวตัวทัน เข้าใจคำสั่งใช่ไหม อาซิง?”

“ครับ” หวางซิงรับคำสั่งแล้วจึงเดินออกไป

เซินเฟยไม่รู้ว่าตนเองคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าหวางซิงมีความลับปิดบังเพราะโดยปกติแล้วหวางซิงจะรับคำอย่างมั่นใจและมองตาของเขาเพื่ออ่านความคิดว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่ แต่ครั้งนี้หวางซิงกลับก้มหน้าลงและไม่มองตาเขาเลย กระนั้นเพราะยังไม่คุ้นชินกับแว่น เซินเฟยจึงคิดว่าบางทีเงาของแว่นสายตาอาจทำให้เขามองผิดไป

“คนแซ่มู่? ใครหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามเรียกความคิดของเซินเฟยให้กลับมาจดจ่อกับตนเอง

“ก็แค่ตำรวจอวดดีคนหนึ่ง”

“แต่เขาทำให้คุณอารมณ์เสียใช่ไหม?”

คำถามของฉู่เหวินจือดูเหมือนจะทำให้เซินเฟยไม่พอใจนัก เขาตวัดสายตามองก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงไปหาสีข้างที่ใต้เสื้อเชิ้ตมีผ้าพันแผลทบอยู่หลายชั้น เพียงแค่สายตาก็ทำให้ฉู่เหวินจือรู้สึกเสียววูบที่แผลจนต้องร้องซี้ดออกมาเบา ๆ หากสายตาของเซินเฟยเป็นมีด เขาคงจะโดนแทงจนพรุนไปแล้ว

“งานของนายอยู่ตรงไหนก็ทำไป ไม่ต้องคิดมากเรื่อง” เซินเฟยกดเสียงต่ำแล้วนั่งลงท่าเดิมเหมือนก่อนที่หวางซิงจะเข้ามา

“งั้นแสดงว่าคิดเรื่องของคุณได้ใช่ไหม?”

คำถามนั้นทำให้เซินเฟยเลิกคิ้ว

“คิดไปทำไม?”

“ก็คิดว่า....คุณกับหมอที่ชื่อ...จือหยิน ไปด้วยกันถึงไหนแล้ว”

ตึง!

เก้าอี้ล้มลงเสียงดังจังหวะเดียวกับที่เซิยเฟยผุดลุกขึ้น มือข้างหนึ่งของเขาคว้าอยู่ที่คอเสื้อของคนปากดีซ้ำยังชอบสอดรู้ไปเสียทุกเรื่อง

“นี่คุณชอบเขาจริง ๆ หรือ?” ฉู่เหวินจือทำสีหน้าแปลกใจทำให้สีหน้าของเซินเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความโกรธ

“สอดรู้เกินไปแล้ว” เซินเฟยคำรามในคอก่อนจะแสยะยิ้มเย็น “ลูกตานั่นนายคงไม่อยากใช้มันอีกแล้วใช่ไหม?”

“ไม่รู้สิ....ถ้าคุณยินดีจะควักของลูกน้องคุณด้วยเหมือนกัน” ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะหยิบกฎที่ค้ำคอมาเฟียใหญ่ทั้งสี่มาใช้ได้อย่างถูกจังหวะ เตือนให้เซินเฟยคิดได้ว่าอย่างไรฉู่เหวินจือก็เป็นคนของไป๋หู่ ไม่ใช่คนที่ตนเองจะทำอะไรได้ตามใจ

เซินเฟยเม้มปากตามนิสัยเมื่อไม่ได้อย่างใจ แต่ครั้งนี้มันแน่นจนสั่นระริก มือของเขากำคอเสื้อของฉู่เหวินจือแน่นขึ้น อยากจะชกแต่ก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่หนำใจพอ อยากจะถีบ เตะ หรือกระทั่งซ้อมให้น่วม แต่สมองของเซินเฟยก็ได้แต่ค้านตนเองว่านั่นยังไม่หนำใจ

เสียงเคาะประตูระรัวดังขึ้นทำให้เซินเฟยดึงสติตนเองกลับมาจากที่ด่ำดิ่งลงสู่ห้วงของโทสะ

“เสี่ยวเฟย เกิดอะไรขึ้น?” เสียงซากุระดังอยู่ด้านนอก เธอตกใจกับเสียงกระแทกของเก้าอี้และเกรงว่าจะมีเรื่องร้ายแรงจึงรีบวิ่งขึ้นมาพร้อมกับหวางซานและหวางซิง

เซินเฟยย้อนสายตากลับมามองคนตรงหน้าที่แย้มยิ้มยียวนเสมือนเป็นผู้คุมเกมก่อนจะตัดสินใจง้างหมัดแล้วชกหน้าอีกฝ่ายไปครั้งหนึ่งก่อนปล่อยมือ

ฉู่เหวินจือถูกทิ้งกะทันหันจึงล้มกระแทกพื้นทำให้สะเทือนถึงแผลและไม่สามารถลุกขึ้นได้ในทันที กระนั้นหน้าเขาก็ไม่เจ็บเท่ากับครั้งก่อนซึ่งเป็นเพราะเซินเฟยไม่มีเวลาง้างให้เต็มเหนี่ยว

หลังจากได้ลงแรงไปแล้วแม้จะยังไม่สมใจแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ความโกรธลดลงเล็กน้อย เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนเดินไปเปิดประตูให้กับบุคคลทั้งสาม

“เกิดอะไรขึ้น.....ทำไมคุณฉู่ถึงลงไปนอนอย่างนั้น?” ซากุระตกใจกับสภาพของคนในห้องพอสมควร

“เขา...ตกเก้าอี้ครับ” เซินเฟยตอบแล้วหันไปบังคับให้ฉู่เหวินจือตอบอย่างเดียวกันด้วยสายตา

“ครับ ผมตกเก้าอี้” เมื่ออยู่ในสภาพที่ต่อกรด้วยไม่ไหว ฉู่เหวินจือก็ต้องยอมอ่อนข้อตามไปด้วย “แบบว่า...ผมเผลอสัปหงกแล้วคุณเซินปลุก ผมก็เลยตกเก้าอี้น่ะครับ”

“งั้นหรือ.....” แม้เจ้าตัวจะว่าอย่างนั้น แต่ซากุระก็เห็นรอยช้ำบนแก้มอีกฝ่ายอยู่ดี “เสี่ยวเฟย หลานทำงานหนักเกินไปแล้วนะ ไปนอนพักก่อนเถอะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณอาไปนอนก่อนเถอะ” เซินเฟยดันหลังหญิงสาวออกไปจากห้องเมื่อปลายหางตาของเขาสังเกตเห็นแววกรุ้มกริ่มที่ฉู่เหวินจือมักแสดงออกเมื่อเห็นอาสะใภ้ของเขา แม้ซากุระจะไม่จำยอมแต่เธอก็ไม่อยากขัดใจหลานชายตนเองมากเกินไปด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายหวงเธอแค่ไหน เซินเฟยรีบปิดประตูตามหลังทันทีทำให้คนทั้งสามไม่อาจเข้าเข้ามารู้เห็นเรื่องในห้องได้อีก

“เลิกมองอาของฉันแบบนั้นเสียที” เซินเฟยเดินกลับมาหาฉู่เหวินจือแล้วขู่เสียงเข้ม “ไม่อย่างนั้นแผลนายจะขยายขึ้นอีกแน่”

“ผมไม่นิยมผู้หญิงที่แก่กว่าหรอกนะครับ” ฉู่เหวินจือตอบพลางพยุงตัวขึ้นด้วยขอบโต๊ะ ต้องใช้แรงมากพอสมควรจึงจะพาตนเองกลับมานั่งบนเก้าอี้ได้ เซินเฟยช่างไม่สงสารคนเจ็บเอาเสียเลย

“ผู้หญิงที่แก่กว่า?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว “นายอายุเท่าไหร่?”

“ปีนี้ก็.....25 ปีพอดี” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะชะงัก “เบญจเพศนี่เอง มิน่าล่ะ....”

“มิน่าอะไร!” บางครั้ง เซินเฟยก็เหมือนจะอ่านความคิดคนอื่นได้ คำพูดของอีกฝ่ายทำให้อนุมานได้ว่าเขากำลังโดนเหน็บแนม

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เพราะยังรักชีวิตอยู่ฉู่เหวินจือจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ

เซินเฟยยกเก้าอี้ที่ตนเองทำล้มลงไปขึ้นมาแล้วนั่งลงอีกครั้ง

“ทำงานไป” หลังออกคำสั่ง เซินเฟยก็เงียบไป

ฉู่เหวินจือมองอีกฝ่ายพลางยิ้ม เด็กหนุ่มคนนี้คาดเดาอารมณ์ได้ง่ายกว่าที่คิด จูเชว่เป็นคนแบบนี้ไม่น่าจะมีพิษสงอะไรให้นึกกลัวเลย ถึงอย่างนั้น คน ๆ นี้ก็เก่งกาจเรื่องการนำคนมาใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีคนอย่างหวางซิงอยู่ข้าง ๆ ทำให้เซินเฟยยิ่งใช้คนที่มีอยู่ในมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉู่เหวินจือกดเปลี่ยนหน้าโปรแกรมโชว์เดสทอปใหม่ที่เขาเพิ่งเปลี่ยนเมื่อเร็ว ๆ นี้

“คุณเซิน ดูนี่สิ รูปนี้ผมเพิ่งถ่ายได้ก่อนที่ถูกยิง มุมสวยดีใช่ไหม?”

เซินเฟยเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้คิดอะไร ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นจัดราดลงมาตั้งแต่หัวจรดเท้าจนชาไปทั้งตัว

ภาพบนเดสทอปของฉู่เหวินจือเป็นภาพของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ฉากหลังเป็นร้านรวงในเมืองช่วงกลางวัน แสงสีและองค์ประกอบภาพดูเหมาะสมราวกับมืออาชีพ หนุ่มสาวคู่นั้นจูงมือกันและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เซินเฟยอาจจะรู้สึกถึงความสวยงามของภาพมากกว่านี้หากว่าชายหนุ่มในภาพไม่ใช่....

.....จือหยิน....

“นายตามเขา....” เซินเฟยกัดฟันกรอด

“เปล่า ผมแค่บังเอิญเจอระหว่างไปดูงาน”

“ถ้าอย่างนั้นนายเอากล้องมาจากไหน!” เซินเฟยกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ถึงอย่างนั้นเมื่อถามไปแล้วเขาก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ เขายกเท้ายันเก้าอี้ที่ฉู่เหวินจือนั่งหมายจะทำให้ล้มจุกเสียทีแต่อีกฝ่ายกลับรู้ทันและเกร็งขาขืนไว้ แม้มันจะอันตรายต่อแผลแต่ก็ดีกว่าล้มลงไปแล้วแผลสะเทือนจนรอยเย็บเปิดออก หากเซินเฟยยันแรงขึ้นเขาอาจจะล้มลงไปก็ได้ แต่การทำเช่นนั้นเซินเฟยก็จะเสียหลักล้มไปด้วย ทำให้เซินเฟยทำอะไรไม่ได้และยิ่งโกรธมากกว่าเดิม ระหว่างที่กำลังคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป ฉู่เหวินจือก็จับข้อเท้าเอาไว้แล้วเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้

“ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปจะเป็นยังไงนะ....จูเชว่หลงรักหมอของตัวเอง” ฉู่เหวินจือหัวเราะชั่วร้าย “ท่านไป๋หู่รู้เข้าคงจะสนุกแน่”

“นายคิดจะแบล็กเมล์ฉันหรือยังไง” เซินเฟยพยายามดึงเท้าตนเองกลับแต่เหวินจือกลับจับแน่นขึ้น

“ผมไม่มีหลักฐานเสียหน่อยจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน” รอยยิ้มของฉู่เหวินจือมักจะดูลึกลับเสมอ แต่ตอนนี้เซินเฟยกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มที่เห็นไม่ต่างกับหมาป่าเวลาจ้องเหยื่อ

เขา....เป็นเหยื่ออย่างนั้นหรือ?

เซินเฟยบีบที่พักแขนแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ฉู่เหวินจือ....ชักจะมากเกินไปแล้ว....

“ปล่อยฉัน” เขาคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาสีดำแวววับไปด้วยความกรธราวกับมีไฟกำลังเต้นเร่าอยู่ภายใน ขมับของเขาเริ่มจะปวดหนึบ ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ระยะนี้เหมือนว่าอาการไมเกรนจะเริ่มถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็ไม่ได้คิดสนใจ เขาต้องแสดงให้ฉู่เหวินจือเห็นว่าเขาไม่ได้กลัว

ฉู่เหวินจือถอนหายใจออกมาก่อนจะปล่อยข้อเท้านั้นให้เป็นอิสระ เป็นจังหวะเดียวกับที่เซินเฟยคว้าหนังสือเล่มหนาหนักบนโต๊ะได้และกระแทกสันเข้ากับขมับเขาอย่างพอดิบพอดี

เซินเฟยลุกขึ้นและเดินกระแทกเท้าจากไปด้วยความโมโห ในใจกรุ่นโกรธไปด้วยเพลิงโทสะ อยากจะเลาะฟันแล้วตัดลิ้นผู้ชายคนนี้ให้พูดไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรงฉู่เหวินจือก็เงยหน้าขึ้นมอง เขานวดขมับตัวเองให้คลายอาการมึน เซินเฟยเล่มฟาดมาเสียแรงเล่นเอาเขาเกือบลงไปนอนนับดาว ดีที่ไหวตัวทันจึงเบี่ยงศีรษะตามแรงได้ฉิวเฉียด ถึงอย่างนั้นก็ยังมึนตึบอยู่ดี

ฉู่เหวินจือมองกลับไปที่เดสทอป ความจริงภาพนี้เขาใช้แค่มือถือถ่ายเท่านั้นและได้มาโดยบังเอิญตอนเดินผ่านย่านนั้นพอดี กระนั้นกลับใช้ได้ผลมากกว่าที่คิด ชายหนุ่มหัวเราะกับตนเอง ระยะนี้เขาชักจะสนุกกับการตอบโต้ของเซินเฟยขึ้นมาบ้างแล้ว ยิ่งจับจุดอ่อนได้อย่างนี้คงสนุกยิ่งขึ้น ความเข้มแข็งของเซินเฟยกำลังพังทลายทีละน้อยจากการถูกกระทบของสิ่งรอบข้าง ถูกหักหลัง ถูกปั่นหัว ถูกทดสอบโดยคนอื่น คนที่มีใจให้ก็ไม่เหลียวแล เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากถูกกระทบแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยกำลังใจของเด็กอายุ 18 นั่น เซินเฟยจะสามารถหยัดยืนอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหน....


TBC

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
ลุ้นดั้ยอีก

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
«ตอบ #89 เมื่อ20-02-2011 15:18:47 »

เออนะ แกล้งกันเข้าไป
คนอ่านลุ้นจนหัวใจจะวาย
หมอจือเขาไปสน มองคนข้างๆบ้างก็ได้นะคุณเซิน หุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด