-4-
“ใช้ทุนน้อยกว่าที่คิด” เซินเฟยเปรยเมื่อมองหนังสือสัญญา อย่างน้อยฉู่เหวินจือก็รู้ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ หนังสือสัญญาต้องเรียบร้อยไม่มีรอยเลือดกระเด็นมาเปรอะอย่างเด็ดขาด เรื่องลายเซ็นที่หางตวัดแบบสั่นนิด ๆ นั่นช่างมันเถอะ ให้ใช้ได้ในทางกฏหมายก็พอ
“ครับ คุณหวู่ยอมขายตึกและที่ดินให้แต่โดยดี เขาขอบคุณในความกรุณาของคุณเซินด้วย” ฉู่เหวินจือว่าด้วยรอยยิ้ม แต่อย่างไรเสีย เงินที่ได้ไปจาการขายกิจการตัวเองก็คงต้องเอาไปใช้ในโรงพยาบาลเสียกระมัง....
คนที่ตามไปดูแลฉู่เหวินจือถึงที่เองก็ไม่ได้พูดอะไร แสดงว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เซินเฟยจึงพยักหน้ารับแล้วยื่นหนังสือสัญญาให้หวางซิงเก็บเอาไว้
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ?”
“ผมอยากจะขอบริหารทุนสักจำนวนหนึ่ง เพราะยังไงพื้นที่ตรงนั้นก็ต้องเอาตึกเก่าออกก่อนถึงจะทำอะไรต่อได้ ทั้งยังต้องวางแปลนโครงสร้าง และต้องเตรียมหาบุคลากร” ฉู่เหวินจือเริ่มแจกแจงให้ฟัง “แต่คุณเซินยังไม่ต้องรีบอนุมัติก็ได้ ผมจะเขียนรายงานไปยื่นขออนุมัติจากบอร์ดบริหารก่อนแล้วค่อยเอามาให้คุณเซ็น แล้วจะทำรายการบัญชีมาให้ตรวจสอบด้วย คุณคิดว่ายังไง?”
ตอนนี้เซินเฟยเริ่มจะเชื่อขึ้นมานิด ๆ แล้วว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนมีฝีมือจริงดังที่ไป๋หู่รับรองไว้ กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ตอบรับทันที
“ต้องการคนสักเท่าไหร่?”
“ตอนนี้ผมขอแค่ที่ปรึกษาทางวิศวกรรมสักคนก็พอครับ”
เซินเฟยพยักหน้ารับอีกครั้ง หวางซิงจึงรีบค้อมรับแล้วหมุนตัวออกไปทันที เลขายอดเยี่ยมอย่างหวางซิงแทบจะไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วยคำพูดอีกแล้ว แค่เพียงเขาพยักหน้า สบตา หรือขยับปลายนิ้ว หวางซิงก็สามารถแปลความหมายและปฏิบัติตามได้อย่างดีและครบถ้วนกระบวนความ
“คุณเซิน ผมขอถามอะไรได้ไหม?” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือพวกเขาอยู่ในห้องเพียงสองคน
“ว่ามาสิ”
“ทำไมคุณถึงให้ผมทำงานนี้?”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มขนาดสมองตัวเองมาแล้วจึงได้ถามเรื่องแบบนี้ออกมาได้
“ไม่พอใจอะไรหรือ?”
“เปล่าหรอกครับ เพียงแต่....ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุณทดสอบอยู่เลย หรือว่าคุณอยากจะรู้ขีดความสามารถของผม? หรือว่าจะเป็นความภักดี?” ฉู่เหวินจือถามไปก็แย้มยิ้มไม่ได้แสดงท่าทีหวั่นเกรงเมื่อถามออกมาแม้แต่น้อย เซินเฟยมองรอยยิ้มของชายหนุ่มร่างสูงอย่างนึกหมั่นไส้ คน ๆ นี้บทจะโง่ก็โง่เง่าจนน่าฆ่าทิ้ง แต่พอฉลาดขึ้นมาก็ดูจะเห็นอะไรทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด
“เข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยหรือเปล่า?” เซินเฟยว่าแล้วหมุนเก้าอี้เล็กน้อยให้นั่งสบายขึ้น “ฉันก็แค่อยากให้นายสร้างผลงานสักชิ้น เผื่อว่าฉันจะพิจารณาตำแหน่งของนายได้”
“ตำแหน่งของผม?” ฉู่เหวินจือทวนคำแล้วหัวเราะออกมา “คุณไม่ต้องกรุณาผมมากถึงขนาดนั้นหรอกครับ หน้าที่ของผมคือดูแลรับใช้ใกล้ชิดจูเชว่ ดังนั้นถึงคุณจะให้ตำแหน่งไหนกับผม ผมก็ต้องทำงานรองมือรองเท้าคุณอยู่ดี”
“ยังไงมีตำแหน่งค้ำเอาไว้ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือยังไง” เด็กหนุ่มชักหงุดหงิดขึ้นมา คนอะไร พอหยิบยื่นตำแหน่งให้นอกจากจะไม่แสดงท่าทางกะตือรือร้นแล้วยังทำท่าราวกับไม่แยแส หากปล่อยให้ลอยชายไปมาอย่างนี้เขาจะควบคุมได้ยากและไม่อาจซื้อความภักดีได้ ตำแหน่งผู้ติดตามเขานั้น เป็นสิ่งที่ไป๋หู่หยิบยื่นให้ หากให้ดีควรจะพ่วงตำแหน่งที่เขาให้ไปด้วยจะได้เสมอกัน
ทว่า....ถึงจะไม่แสดงความกะตือรือร้น แต่พอกลับถึงบ้าน ฉู่เหวินจือก็ขอตัวเข้าห้องเพื่อร่างโครงการทันที เซินเฟยได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบไป เพราะโครงการพวกนี้ต้องผ่านตาผู้บริหารทั้งหมดก่อนจะถึงมือเขา อย่างไรเสีย หากมีอะไรผิดปกติเขาก็จะสามารถรู้ได้ก่อนจะเกิดขึ้น หากผู้ชายคนนี้คิดจะติดสินบนกับผู้บริหารด้วยก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เขี่ยพวกหน้าไหว้หลังหลอกพวกนั้นออกไปเสียให้หมด
“ไม่เชิญคุณฉู่ลงมาทานข้าวด้วยกันหรือ?” ซากุระเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเดินลงมาจากทางห้องนอนสำหรับแขก
เพื่อให้เกียรติกับคนของไป๋หู่ ซากุระจึงให้ฉู่เหวินจือร่วมโต๊ะอาหารได้โดยไม่ต้องไปกินกับหวางซิงและคนรับใช้อื่น ๆ ในบ้าน ในตอนแรก เซินเฟยก็คัดค้านแต่ในเมื่อซากุระชี้แจงเหตุผลเขาจึงจำยอมในที่สุด
“เห็นว่ากำลังทำงานน่ะครับ”
“ได้ยังไงกัน ถึงเวลาทานก็ต้องทานนะ เดี๋ยวอาขึ้นไปเองแล้วกัน” ซากุระไม่ทันจะก้าวผ่านไป เซินเฟยก็รีบรั้งตัวไว้ทันที
“เดี๋ยวผมเรียกให้เอง คุณอาไปรอที่โต๊ะเถอะครับ” เซินเฟยคิดหลายตลบแล้ว มองยังไงเขาก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยที่จะให้ฉู่เหวินจืออยู่กับอาสะใภ้ของเขาตามลำพัง อาสะใภ้ของเขานั้นแม้จะหม้ายสามีแต่ก็ยังสาวยังแส้ อายุน่าจะน้อยกว่าฉู่เหวินจือเสียอีก การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังนอกจากจะมองไม่ดีแล้วเขายังไม่อาจรับรองได้ว่าฝ่ามือของเขาจะทำให้ฉู่เหวินจือหลาบจำได้จริงไหม
เมื่อซากุระเดินลับหลังไป เซินเฟยก็เรียกให้คนรับใช้คนหนึ่งขึ้นไปตามตัวฉู่เหวินจือลงมา
“คุณฉู่บอกว่าจะทำงานก่อนครับ ให้ท่านหญิงกับนายน้อยทานกันไปได้เลยไม่ต้องรอ” คนรับใช้รายงานตามคำพูดของฉู่เหวินจือทำให้หางคิ้วเซินเฟยกระตุกปึก นี่อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน....
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกคุณฉู่ว่าถ้าไม่ลงมาภายใน 5 นาที ผมจะส่งการ์ดขึ้นไปลากคอลงมา” เสียงของเซินเฟยกดต่ำจนคนรับใช้ไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่วิ่งกลับขึ้นไปรายงานตามคำพูดทุกคำอย่างไม่ผิดเพี้ยน รออยู่ไม่นานร่างของฉู่เหวินจือก็ปรากฏขึ้นเหนือบันไดขั้นบนสุดตามด้วยคนรับใช้ที่ถูกใช้ขึ้นไปตาม
เซินเฟยเห็นดังนั้นจึงพ่นลมหายใจออกไปแล้วเดินนำไปยังห้องอาหาร
ทำไมถึงต้องขัดใจอยู่เรื่อยนะ
เขานึกในใจอย่างหงุดหงิด วันนี้เห็นว่ามีผลงานก็คิดจะชมเชยอยู่ พอเห็นอาการขัดขืนแล้วก็อดไม่ได้อยากจะทำลืม ๆ ผลงานเหล่านั้นไปซะ
หลังมื้ออาหาร ฉู่เหวินจือก็กลับไปทำงานต่อในทันที เซินเฟยเริ่มจะคลางแคลงว่าโครงการครั้งนี้มีลูกเล่นอะไรหรือไม่ เจ้าตัวจึงดูตั้งอกตั้งใจทั้งที่ไม่ได้หวังตำแหน่งใด ๆ จากเขาเลย
ในขณะที่เซินเฟยกำลังนึกถึงความเป็นไปได้อยู่นั้น หวางซิงก็เดินเข้ามาด้วยทีท่าไม่ค่อยมั่นใจนัก
“มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เซินเฟยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“คือ...เรื่องของเฉียนหยุนน่ะครับ...” หวางซิงพูดไปก็เหงื่อตก “ไม่รู้ว่าใครคาบข่าวไปบอก แต่กิจการที่เทคโอเวอร์มาวันนี้อยู่ใกล้กับเขตของเฉียนหยุน เขาเลยบอกว่ายากจะขอที่ตรงนั้นเข้าไปรวมไว้ในเขตด้วยจะได้ควบคุมพวกที่เข้ามาก่อกวนได้ง่ายขึ้น”
เฉียนหยุนกล้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
เซินเฟยหรี่ตาลง ถึงเฉียนหยุนจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการนั่งตำแหน่งของเขา แต่ก็ควรจะให้เกียรติเขาในฐานะจูเชว่บ้างไม่ใช่หรือ? คนฉลาดอย่างเฉียนหยุนไม่น่าจะทะเยอทะยานออกนอกหน้าถึงขนาดนี้ได้ หากคิดตลบหลังเขายังสมเหตุสมผลเสียกว่า จะว่าไป เรื่องของคนแซ่หวู่นั่นก็เหมือนกัน โดยปกติเจ้าปลิงไร้ประโยชน์นั่นไม่น่าจะกล้าอาจเอื้อมถึงเขา แต่นี่ถึงขนาดกล้าต่อรองจนต้องบีบด้วยกำลัง นอกจากนี้ เฉียนหยุนยังรู้เรื่องการซื้อขายกิจการได้รวดเร็วอย่างหลือเชื่อ โครงการก็ยังเป็นแค่โครงการ ไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเสียด้วยซ้ำ
สองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?
“แค่พวกก่อกวนกลุ่มเล็ก ๆ ยังจัดการไม่ได้ เอาพื้นที่ไปเพิ่มก็เสียเปล่าเท่านั้น” เซินเฟยว่าเช่นนั้นเมื่อเห็นหวางซิงยังรอฟังคำตอบ
“เฉียนหยุนบอกว่าคุณต้องพูดอย่างนี้แน่ ๆ เขาเลย....ฝากว่าจะเข้าไปพบที่บริษัทพรุ่งนี้น่ะครับ....”
“อืม....” เซินเฟยเพียงรับคำในคอโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ หวางซิงจึงขอตัวไปช่วยหวางซือและหวางซานทำงานต่อก่อนจะแยกย้ายไปนอน ตอนนี้ซากุระขึ้นนอนไปแล้วจึงไม่มีใครได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน เซินเฟยคิดเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าหลังกำแพงถัดไป ฉู่เหวินจือกำลังยืนกอดอกและยิ้มขันกับสิ่งที่ได้ยิน
---------------------->
เซินเฟยสั่งประชาสัมพันธ์ว่าหากคนชื่อเฉียนหยุนมาแล้วให้เชิญขึ้นห้องทำงานเขาได้เลย แม้ประชาสัมพันธ์นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรด้วยคิดว่าคงจะเป็นแขกพิเศษของประธานเท่านั้น
“คุณเฉียนหยุนคนนี้สำคัญมากหรือครับ?” ฉู่เหวินจือกระซิบถามหวางซิง
“ก็อย่างที่คุณรู้แหละครับ เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ก็เลยต้องให้เกียรติกันหน่อย” หวางซิงอธิบายสั้น ๆ แต่ฉู่เหวินจือก็พยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาพอจะเข้าใจอยู่ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับธุรกิจทุกแบบอยู่แล้วที่ต้องเอาอกเอาใจผู้อาวุโสที่เป็นประโยชน์กับองค์กรมากกว่าพวกมือใหม่หัดบริหาร
เซินเฟยนั่งรอเฉียนหยุนในห้องอย่างใจเย็น ระหว่างนั้นก็ตรวจสอบงานไปด้วยเพื่อไม่ให้ตัวเองว่างจนเกินไปนัก
จนกระทั่งเกือบเที่ยงแล้ว เฉียนหยุนจึงเพิ่งปรากฏตัว เซินเฟยรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจจะท้าทายแต่เขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา
“นั่งลงก่อนสิ” เซินเฟยเชิญแขกของตนให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ สายตาของเขาลอบสังเกตชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงแต่ยังดูภูมิฐานอยู่ทุกอากัปกิริยา
“ไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้ซะนานเลยนะ ไม่เปลี่ยนไปเลย” เฉียนหยุนว่าก่อนจะนั่งลง “แล้วว่ายังไงจูเชว่ ที่ตรงนั้นน่ะให้ผมไม่ได้งั้นหรือ? ยังไงคุณก็ซื้อมาด้วยราคาแสนจะถูก แล้วก็จงใจจะใช้ขยายเขตปกครองอยู่แล้ว ยังไงเขตนั้นมันก็ต้องเป็นผมดูแลอยู่ดี สู้ยกให้ผมจัดการแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่วุ่นวายถึงคุณยังไงล่ะ”
“ขอโทษด้วยนะเหล่าเฉียน แต่ที่ตรงนั้นผมยกให้คนอื่นไปแล้ว” เซินเฟยจงใจตอบอย่างตรงไปตรงมาเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย และเขาก็เห็นได้ถึงการกระตุกมุมปากเบา ๆ กระนั้นเฉียนหยุนก็ยังคลี่ยิ้มเย้ยหยันออกมาตามแบบฉบับของตัวเอง
“ใครกันนะที่ได้ที่ตรงนั้นไป ผมล่ะอยากรู้จริง ๆ”
“เรื่องนั้นผมไม่จำเป็นต้องบอกให้คุณรู้ แต่เขาเป็นคนที่ได้ที่ตรงนั้นมาในขณะที่คุณปล่อยมันให้อยู่นอกสายตาตลอดหลายปีมานี้ ผมคิดว่าสมควรแล้วที่เขาจะได้เป็นคนจัดการ” เซินเฟยไม่ได้คิดจะบอกเรื่องของฉู่เหวินจือให้เฉียนหยุนรู้ เขาไม่อยากจะต้องมานั่งทนสายตาเหยียดหยันด้วยเหตุผลนั้น “อีกอย่าง ในขณะที่เขามีผลงานมาเสนอผม คุณกลับดูแลถิ่นของตัวเองไม่รอด ถ้ามันหนักเกินไปนักบางทีคุณน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะเหล่าเฉียน”
ความหมายของเซินเฟยไม่ต้องแปลให้มากความเท่าใดนัก เขาจงใจจะบอกอีกฝ่ายว่า หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ในเร็ววัน ถึงจะเป็นเฉียนหยุนเขาก็ลดอำนาจลงได้เหมือนกัน
เซินเฟยปล่อยให้เฉียนหยุนเหลิงในอำนาจและความยำเกรงมานานแล้ว อาจจะถึงเวลาเสียทีที่เขาต้องแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดเสียบ้าง
“อย่าเพิ่งโมโหไปสิจูเชว่ ผมมันก็แก่แล้วอย่างที่คุณว่านั่นแหละนะ” อยู่ ๆ เสียงของเฉียนหยุนก็อ่อนลงจากตอนแรก “พออายุเริ่มมากขึ้นจะทำงานทำการอะไรมันก็ขัดไปหมด เด็กหนุ่ม ๆ สมัยนี้มันก็ขี้เกียจกันเหลือเกิน เอาแต่นั่งเก้าอี้ชี้นิ้วสั่งไม่ลงไปทำงานเสียบ้าง”
หัวคิ้วของเซินเฟยเริ่มจะขยับเข้าหากัน เขาใช่ว่าจะโง่ขนาดฟังคำเสียดสีนั้นไม่ออก
ผู้ชายคนนี้คิดจะท้าทายเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
โง่จริง....
เซินเฟยคิดอย่างขุ่นใจ คนที่เหมือนจะใช้งานได้มากกว่าคนอื่นกลับมาทำเล่นตัวเป็นเด็ก ๆ เสียอย่างนั้น คิดจะให้เขาง้ออย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ คนอย่างจูเชว่ไม่มีวันก้มหัวให้ใคร ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีเชื้อสายโดยตรงแต่อย่างน้อยเขากับจูเชว่คนที่แล้วก็มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน สายเลือดมันจะห่างกันสักแค่ไหนกัน
“หมายความว่า...คุณจัดการให้ผมไม่ได้?”
“ผมก็ไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมขยับตัวมันก็...ต้องรอเวลากันหน่อย” เฉียนหยุนหัวเราะเสียงขัดหู
“คุณพยายามจะบอกว่าอยากให้ผมลงไปจัดการเองสินะ” เซินเฟยหรี่ตาลง
“เหล่าเฉียนไม่กล้ารบกวนจูเชว่ถึงขนาดนั้นหรอก” เฉียนหยุนโบกมือปฏิเสธเหมือนว่าจะทำแค่พอเป็นพิธี เซินเฟยคร้านจะอ้อมค้อม เขาผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งเครียดแล้วเอนหลังให้สบายที่สุดก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วหลับตานิ่งสักครู่
“ในเมื่อมันลำบากสำหรับคุณนัก ผมจะลงไปจัดการให้เพราะเห็นแก่เหล่าเฉียน” เซินเฟยพูดทั้งที่ยังหลับตาก่อนจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมามองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง “แต่ว่า ตอนที่ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว เหล่าเฉียนกับลูกน้องทั้งหมดก็ส่งใบลาออกให้ผมด้วยก็แล้ว”
“เห.....” เสียงเสียดหูไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชว่จะไล่เหล่าเฉียนออกหรือ? ไม่เห็นใจคนแก่บ้างหรือไงกัน?”
“บอกตามตรงนะเหล่าเฉียน ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำตามที่จูเชว่รุ่นก่อน ๆ ทำมา ใครที่ทำประโยชน์ให้องค์กรจนถึงที่สุด แม้จะชราหรือทุพพลภาพก็จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีรวมไปถึงครอบครัวที่รออยู่ข้างหลังด้วย แต่สำหรับคนที่ยังทำประโยชน์ได้ไม่เท่าไหร่ เลี้ยงไปมันก็เปลืองข้าวสุกเสียเปล่า ๆ” ถึงตอนนี้ เซินเฟยไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่าย เขาอยากแสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดจะทำตัวเป็นเด็กหัวอ่อนตลอดไป ที่เขายอมให้อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาจนถึงตอนนี้ก็มาถึงจุดที่สุดสิ้นความอดทนแล้ว ทั้งการเพิกเฉยต่อคำสั่งและการต่อรองอย่างอวดดีนั่นล้วนเป็นการแข็งข้ออย่างไม่น่าให้อภัย ถึงจะเสียดายคนเก่ง แต่คนเก่งที่มือเท้าไม่ทำงานนั้นมีค่าต่ำเสียยิ่งกว่าคนไร้ประโยชน์
เฉียนหยุนดูเหมือนจะไม่พอใจต่อคำตอบ เขากัดฟันกรอด
“หึ!”
เขาส่งเสียงออกมาเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วต่างจากท่าทางเหมือนคนแก่เมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เฉียนหยุนเป็นคนฉลาด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถเสนอหน้ามาหาเซิยเฟยได้อีก ทำไม่ได้แม้แต่จะเป็นหัวหน้าแก๊งค์ต่อได้ด้วยซ้ำ
เสียงประตูกระแทกปิดดังจนสะเทือนประสาทเจ้าของห้อง เซินเฟยยกมือขึ้นนวดขมับที่เริ่มเกร็งเครียดจนปวดหนึบ
ทำไมอะไร ๆ มันถึงไม่ได้ดังใจเสียทีนะ
“ขออนุญาตครับ” หวางซิงนำเครื่องดื่มเย็น ๆ เข้ามาในห้องเมื่อเห็นเฉียนหยุนออกไปแล้ว ท่าทางของเซินเฟยดูไม่ค่อยดีนักทำให้เขานึกเป็นห่วง “คุณเซิน....”
“ไม่เป็นไร ไปส่งเหล่าเฉียนเถอะ” เซินเฟยโบกมือไล่ เขาอยากอยู่เงียบ ๆ สักครู่ให้อาการปวดหัวบรรเทาลง
สำหรับเซินเฟยแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาต้องเริ่มทำงานมาตั้งแต่อายุ 12 เผชิญกับความกดดันอยู่ตลอดเวลา พอนานวันเข้าอาการไมเกรนก็เริ่มปรากฏก็เท่านั้น
เซินเฟยหลับตาลงเพื่อให้สายตาพักผ่อน เส้นประสาทยังเต้นตุบ ๆ จนรู้สึกได้ หูของเขาแว่วเสียงประตูเปิดและปิดลงโดยเลขาประจำตัวและห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ผ่อนคลายอาการปวดจึงเริ่มบรรเทาลง ตอนนั้นเอง เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เซินเฟยคิดว่าเป็นหวางซิงกลับมาเอาของหรือรายงานอะไรจึงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง เขาเพียงแต่ส่งเสียงถาม
“มีอะไร?”
ไม่มีเสียงตอบรับ เซินเฟยเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เท้าคู่นั้นยังคงสาวเข้ามาเรื่อย ๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เสียงฝีเท้าก็หยุดลง
“เข้ามาทำไม?” เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่ในห้องคือฉู่เหวินจือ
“หวางซิงบอกว่าคุณอาการไม่ค่อยดีเลยวานให้เอายากับน้ำมาให้” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะวางแก้วน้ำกับเม็ดยาลงบนโต๊ะ
“เท่านี้หรือ?”
“คุณมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ?” ชายหนุ่มแย้มยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ “เรื่องที่คุยกับเฉียนหยุนจะให้ผมจัดการแทนไหม?”
“สู่รู้เกินไปแล้ว” เซินเฟยไม่พึงพอใจต่อกริยาที่ทำราวกับว่ารู้ทุกเรื่องของอีกฝ่าย “นายอยู่เฉย ๆ แล้วทำงานของตัวเองไปเถอะ อย่าสอดรู้ให้มากนัก”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นจะทานยาเลยไหม? ผมจะได้เก็บแก้วออกไปด้วย”
เซินเฟยเหลือบตาลงมองยาแบบอัดเม็ดที่บรรจุอยู่ในบลิสเตอร์แพคอย่างดีไม่มีรอยฉีกขาด สีสันและลักษณะรวมทั้งแผ่นอลูมิเนียมที่ปิดด้านหลังบลิสเตอร์แพคก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต เขาแกะเม็ดยาออกแล้วโยนใส่ปาก ดื่มน้ำตามอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ทำให้ฉู่เหวินจือรับรู้ถึงอาการระแวดระวังตัวแม้แต่น้อย เซินเฟยทิ้งบลิสเตอร์แพคที่แกะแล้วลงในแก้วเปล่าก่อนจะส่งคืนให้โดยเลื่อนไปไว้ตรงมุมโต๊ะ
ฉู่เหวินจือเดินเข้ามารับแก้วไปโดยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่กลับออกไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนที่เข้ามา ถึงอย่างนั้น ชั่วแวบหนึ่งที่เซินเฟยแน่ใจว่าเขาเห็นรอยยิ้มในดวงตาอีกฝ่าย
ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมห้องทำงาน มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ไม่นานก็ตัดไปเมื่ออุณหภูมิห้องถึงที่กำหนด เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างมีมารยาท หวางซิงก้าวเข้ามาเพื่อรายงานว่าได้ส่งเฉียนหยุนขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วหันมองนาฬิกา