๓
มือเล็กกดรหัสล็อกประตูที่ดูไม่เข้ากับสถานที่ ตึกเรียนเก่าๆนี้ไม่น่าจะมีระบบล็อกที่ทันสมัยเลยสักนิด แต่เป็นเพราะว่าเครื่องดนตรีที่อยู่ภายในนั้นเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ในยุคนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รอบคอบไว้ก่อน
“เรียบร้อยแล้วละมั้ง” ดวงตาโตส่องกราดไปรอบๆเพื่อสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะเดินลงบันไดมา
“ไปส่งมั้ย” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางสะดุ้งเฮือก
“มาทำอะไรป่านนี้ฮะ” พอเห็นว่าเป็นใครก็ค่อยโล่งใจ
“มารอน้องกานต์ครับ” คำตอบเรียบๆง่ายๆก็สามารถทำให้รู้สึกอายได้เหมือนกัน เพราะกานต์รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมาจากอก
“รอทำไมฮะ” นั่นสิ มารอเขาทำไม คนเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ เนอะ...
“ไม่ต้องถามพี่กลับได้มั้ย แค่ตอบว่า ‘ใช่’ กับ ‘ไม่ใช่’ ได้มั้ยครับ”
“...” ไม่มีคำตอบกลับมา.. ร่างเล็กนั้นเอาแต่ก้มหน้างุด
“ถ้าเงียบพี่ถือว่าตกลงนะครับ” ในเมื่อไม่ตอบ เขาก็ไม่รอคำตอบ เพชรคว้ามือเล็กนั้นแล้วบังคับลากตามเขาไป
“อ๊ะ ผมยังไม่ได้บอกว่าจะไปเลยนะฮะ”
“ไม่ทันแล้วครับ” เพชรตอบไปเรียบๆ พอลากกานต์มาจนถึงรถยนต์ได้ก็ดันให้ร่างเล็กเข้าไปและคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ
“บ้านน้องกานต์อยู่ที่ไหน” มือสตาร์ทเครื่องแต่ปากก็ถามต่อ
“...”
“งั้นไปบ้านพี่ละกันนะ” เพชรตอบยิ้มๆ อยากไปบ้านเขาก็ไม่บอกนี่นะ
“ไม่ใช่ฮะ!” เสียงใสโวยวายขึ้นมาทันใด
“ผมอยู่เขต 4” กานต์อุบอิบตอบ
“ทำไมไปอยู่เขตเมืองเก่าแบบนั้นล่ะครับ?”
***หมายเหตุจากผู้เขียน***
จากที่ได้บอกไปนะคะ ว่าเรื่องนี้คือยุคที่ถัดจากปีพ.ศ.2531มาร้อยปี และผู้เขียนได้สมมติขึ้นมาว่าการปกครองเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม โดยจะแบ่งเขตในกรุงเทพเป็นเลข ซึ่งมีตั้งแต่เขต 1 ถึงเขต 49 และเขต 4 ที่กานต์อาศัยอยู่ถูกจัดว่าเป็นเขตเมืองเก่าที่ยังรักษาวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมของร้อยปีก่อนไว้ทั้งหมด คนส่วนมากมักจะไม่อาศัยอยู่ที่นี่ เพราะว่าไม่สะดวกสบาย
“ก็อยู่มานานแล้วนี่ฮะ จะให้ย้ายไปไหนได้” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ดังในรถ เพราะหลังจากนี้มีแต่ความเงียบ เพชรอาศัยระบบนำทางในรถยนต์เป็นตัวนำทางไปสู่เขต 4 สภาพแวดล้อมรอบข้างที่มีแต่ความศิวิไลซ์เริ่มมืดสนิทขึ้น ต้นไม้ใหญ่โตปรากฎแก่สายตา หากแหงนมองบนฟ้าคงเห็นแต่ดวงดาวเต็มไปหมด
“ไปทางไหนต่อครับ” กานต์ชี้นิ้วบอกทางแทนการพูด และคนขับรถก็ไม่ถามอะไรเซ้าซี้นอกจากขับไปตามทาง
“เลี้ยวซ้ายนี้ก็ถึงแล้วฮะ”
“ไหนละบ้าน พี่ยังไม่เห็นเลย” ขับผ่านรั้วอัตโนมัติไปแล้วก็ยังไม่เห็นบ้านสักทีจึงอดถามไม่ได้
“พี่ต้องเข้าไปอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรฮะ ตรงนี้เป็นเขตสวนในบ้าน” เพชรตาโต แค่สวนรึเนี่ย อะไรจะกว้างใหญ่ขนาดนี้
“นั้นใช่มั้ยน้องกานต์” เพชรหันไปถามเมื่อเห็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ตรงหน้า
“ฮะ พี่ขับไปจอดตรงนั้นนะ” เพชรขับไปจอดตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลานปูนหน้าบ้าน ทั้งสองคนก้าวลงจากรถ บรรยากาศรอบๆมีลมพักเอื่อยตลอดเวลา กลิ่นหอมอ่อนๆกระจายไปทั่วบริเวณ บ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่ดูก็รู้ว่าผ่านกาลเวลามาอย่างน้อยหลายสิบปียังดูสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่สักสีเข้มทำให้ดูคลาสสิคเหลือเกิน
“หลังใหญ่ขนาดนี้อยู่กันกี่คนครับ” เพชรถามขณะก้าวลงไปล้างเท้าในอ่างหินตามที่กานต์ชี้
“สองคนฮะ มีผมกับแม่เลี้ยง”
“ไม่เหงาเหรอ” ใจจริงอยากถามว่าทำไมมีกันสองคน แต่ก็กลัวจะละลาบละล้วงเกินไป
“ไม่เหงาหรอกฮะ แม่ใจดี ทำกับข้าวเก่ง และพ่อก็มาหาบ่อยๆ”
“คุณพ่อทำงานที่อื่นเหรอครับ”
“ฮะ พ่อทำงานอยู่ไกล แต่ก็มาหาเราเป็นประจำฮะ”
“น้องกานต์ ทำไมกลับช้าจังลูก” เพชรหันไปมองเสียงไพเราะที่เรียกกานต์ ความงดงามของสตรีตรงหน้าทำให้เพชรอึ้ง ใบหน้ารูบไข่ ปากรูปกระจับ ดวงตากลมโตสีดำสนิท ผิวสีน้ำผึ้ง และผมยาวสลวยดำขลับ งดงามเหมือนนางในวรรณคดีที่เพชรเคยอ่านเจอสมัยเด็กไม่มีผิด ต่างแค่สตรีตรงหน้าใส่ชุดแบบสากลก็เท่านั้น
“ผมซ้อมเพลินฮะแม่ นี่รุ่นพี่ผมฮะ ชื่อพี่เพชร เขาอาสามาส่ง”
“ขอบใจนะจ๊ะ อุตส่าห์ขับมาตั้งไกล มาพักกินข้าวกินน้ำก่อนสิจ๊ะ”
“ครับ” เพชรมองสองแม่ลูกคนละสายเลือดที่งดงามเหมือนฝันราวกับคนเพ้อ ขาสองข้างก้าวตามขึ้นบันได้บ้านไปเฉยๆ หากสองแม่ลูกนี้เป็นปิศาจ เพชรคงถูกเชือดนิ่มๆไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทั้งบรรยากาศและบุคคลล้วนเป็นสิ่งที่แปลกไปจากยุคนี้ ความงดงามที่ติดตาตรึงใจอันหาได้ยาก ยุคสมัยของเพชรที่มีเพียงความงามแบบฉาบฉวยเท่านั้น
“น้องกานต์ครับ กลิ่นหอมนี่คืออะไรเหรอ” เพชรรู้ตัวว่าเขาต้องหาเรื่องคุยก่อนจะสติเตลิดไปกว่านี้ เพราะพอเขารู้ตัวอีกทีก็มานั่งพับเพียบบนชานบ้านอันเย็นสบายโดยไม่รู้ตัว!
“กลิ่นดอกปีปฮะ หอมใช่มั้ยละ” ยิ้มหวานที่ส่งมาให้ทำเอาเพชรใจเต้นโครมคราม
“หอมครับ” เพิ่งรู้จักกันนะไอ้เพชร คุมสติไว้ ท่องไว้ๆ คุมสติ คุมสติ
“พี่เพชรไม่สบายหรือฮะ” ผึง! เสียงความข่มใจขาดจากกันเมื่อมือเล็กนั้นเอื้อมมาแตะที่หน้าผากของเขา
“อย่าจ้องหน้าผมแบบนั้นสิฮะ ผมกลัวนะฮะ” น้องกานต์จะขยับหนีเมื่อถูกผมจ้องหน้านิ่ง แต่ไม่ทันเสียละ เพราะผมคว้ามือนุ่มนิ่มนั้นเอาไว้ และดึงมากดแนบกับอกด้านซ้าย
“แตะตรงนี้สิครับ พี่รู้สึกว่าพี่ไม่สบายตรงนี้มากกว่า ตั้งแต่เดินตามน้องกานต์มาที่นี่ พี่ก็รู้สึกว่าหัวใจพี่...มันเต้นแปลกๆ...” ใบหน้าหวานนั้นก้มหน้าหลบผม ท่าทางเอียงอายที่ไม่ได้เสแสร้งทำเอาผมอยากแกล้งให้มากขึ้นอีก
“มะ..ไม่รู้สิฮะ..ผมเป็นนักดนตรี ไม่ใช่หมอ ตรวจโรคไม่ได้หรอกฮะ...” ร่างเล็กนั้นเอาแต่ขยับหนีท่าเดียว ผมจึงเถิบเข้าไปให้ใกล้อีก และคว้าเอวบางมาใกล้ตัว
“น้องกานต์อาจจะตรวจโรคไม่ได้ แต่อาจจะรักษาพี่ได้นะ” ริมฝีปากบางนั้นอยู่แค่เอื้อม ใกล้อีกนิดก็จะได้สัมผัสกับความหอมหวานตรงหน้าแล้ว กลิ่นหอมของดอกปีป ลมเย็นที่พัดเอื่อย และลมหายใจของคนตรงหน้าทำให้สติของเขากระเจิง
“พี่เพชร อย่ารุ่มร่ามสิฮะ” น้องกานต์ผลักเขาออกเต็มแรง พอดีกับที่คุณแม่เดินเข้ามา
“มีอะไรกันจ๊ะสองคนนี้ ทำไมนั่งห่างกันเป็นวาเลย ไป ไปกินข้าวกันดีกว่าจ้ะ” ตาคมมองตามร่างเล็กที่รีบลุกเดินตามแม่ของตนเองไปด้วยความเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะได้ชิมรสชาติแล้วแท้ๆ ว่าจะหอมหวานเหมือนน้ำเสียงหรือเปล่า
------------------------------
ปล1.แอร๊ยยย พี่เพชรมือไวใจเร็ว
ปล2.ย่องมาลง