หลังจากวันที่น้ำฟ้าโดนพาตัวไปที่บ้านผู้ชายคนนั้นก็ผ่านมาสองอาทิตย์กว่าๆแล้ว...
น้ำฟ้าเริ่มจัดระเบียบชีวิตตัวเองได้ลงตัวขึ้น... ต้องตื่นแต้เช้าหน่อยเพื่อมาเตรียมทำขนม ซึ่งแต่ละวันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แรกๆน้ำฟ้าลองทำวันละอย่างดู แล้วพอเก้าโมงเช้าคุณหมอกานต์ก็จะขับรถมาหาแล้วมารับขนมไปขายให้ที่วอร์ด ปรากฎว่าผลตอบรับขนมของน้ำฟ้าดีเกินคาด พี่ๆพยาบาลติดใจกันยกใหญ่ และจากปากต่อปากทำให้วันต่อๆมาน้ำฟ้ามีออเดอร์ขนมเข้ามายาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว ยิ่งมาพักหลังๆคุณหมอกานต์บอกว่านอกจากพวกพยาบาลและคุณหมอที่โรงพยาบาลจะติดใจแล้ว ตอนนี้ยังมีทั้งคนไข้และญาติคนไข้ที่มีโอกาสได้ลิ้มชิมรสชาติขนมที่น้ำฟ้าทำแล้วติดใจมาขอเป็นลูกค้าเพิ่มอีกต่างหาก... จากที่เคยทำขนมเพียงวันละอย่างน้ำฟ้าก็ทำเพิ่มเป็นวันละสองถึงสามอย่าง และรับออเดอร์ในจำนวนเฉพาะที่ทำไหว...
เพราะนอกจากน้ำฟ้าจะทำขนมส่งขายให้คุณหมอกานต์แล้ว น้ำฟ้ายังทำขนมไปฝากขายที่ร้านคุ๊กกี้ของ 'คุณหมอก' เพื่อนคณะคหกรรมของคุณหมอกานต์ด้วย ซึ่งสถานที่ร้านน้ำฟ้าเพิ่งรู้เมื่อสามวันที่แล้วนี่เอง เนื่องจากปกติคุณหมอกานต์จะแวะเอาขนมไปตั้งให้แต่ทว่าเมื่อวันนั้นคุณหมอเด็กมีเคสด่วนต้องเข้าเวรเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่งน้ำฟ้าจึงต้องเอาขนมไปส่งเอง และพบว่าที่ตั้งร้านก็อยู่ใกล้ๆกับสำนักพิมพ์ภัคอักษรที่น้ำฟ้ารับงานแปลมาทำด้วยนั่นเอง...
และเพราะวันนั้นที่ทั้งน้ำฟ้าและ 'คุณหมอก' ได้พบปะพูดคุยกันและรู้สึกถูกอัธยาศัยกันมาก ประกอบกับเป็นคนทำขนมเหมือนกันทั้งคู่และคุณหมอกเองก็กำลังมองหาผู้ช่วยเพิ่มอีกซักคนที่รู้เรื่องร้านคุ๊กกี้แบบนี้และมีฝีมือทำขนม... น้ำฟ้าจึงถูกทาบทามให้เข้ามาช่วยงานที่ร้านของคุณหมอกด้วย... น้ำฟ้าขอเวลาคิดอยู่ประมาณหนึ่งวัน เพราะตอนนี้นอกจากภาระในการหาเลี้ยงชีพของสองท้องสองปากแล้ว ปากเล็กๆปากที่สองที่แสนสำคัญของน้ำฟ้าก็เป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตของน้ำฟ้าอีกอย่าง... เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่อังกฤษยังพอจะมีคนมาช่วยเลี้ยง น้ำฟ้าก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่ตอนนี้ต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว...ประสบการณ์ก็รับรองได้ว่าเพิ่งมามีและต้องมาเรียนรู้ใหม่ไปพร้อมๆกับการเจริญเติบโตของลูกน้อย... มันค่อนข้างเหนื่อยมากเลยทีเดียวเชียวล่ะ...ผู้ชายหนึ่งคนต้องมาเลี้ยงดูชีวิตหนึ่งชีวิตทั้งๆที่อายุเพิ่งผ่านเลขสองมาได้ไม่นานเท่าไหร่...
ดีที่มีเพื่อนอย่างคุณหมอเด็กแวะเวียนมาช่วยดูช่วยอุ้มอยู่บ้างช่วงเย็นๆ แต่จะให้อยู่ตลอดก็เป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มีอาชีพต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆอีกมากมายอย่างอาชีพหมอ และน้ำฟ้าก็เข้าใจและรู้สึกขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มากๆที่พยายามสละเวลาส่วนที่เหลือมาอยู่ดูแลเขาและลูกให้... ตอนนี้จากที่ช่วงแรกน้ำฟ้าจะตื่นประมาณตีห้าครึ่ง...เพื่อมาเตรียมน้ำร้อนเตรียมน้ำอาบให้ลูกก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ มาเตรียมแป้งเตรียมเตาเพื่อทำขนมเพิ่ม... ตอนกลางวันก็ขลุกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แปลงานหนังสือของตัวเองพร้อมกับเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยไปด้วย...ตกเย็นก็เตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นหากวันไหนคุณหมอกานต์โทรมาบอกว่าจะมาทานด้วย หรือไม่ก็จัดแจงเตรียมหาวัตถุดิบสำหรับทำขนมในวันต่อไป...
...ทางเลือกในการเข้าไปช่วยงานคุณหมอกที่ร้านในช่วงกลางวันก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะตามที่คุยกันร้านเบเกอรี่ของคุณหมอกเปิดเป็นร้านกาแฟขนาดเล็กๆ มีโต๊ะสำหรับลูกค้าไว้นั่งทานที่ร้านเพียงห้าโต๊ะ... ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นแบบขาจรที่มาแวะซื้อกาแฟและขนมกลับไปทานที่ออฟฟิศเสียเป็นส่วนมาก... น้ำฟ้าสามารถเข้ามาช่วยงานได้ตั้งแต่เก้าถึงสิบโมงเช้า และเลิกงานประมาณสี่โมงเย็น... ช่วงกลางวันหลังจากเที่ยงก็เหมือนงานจะไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่สามารถนำโน๊ตบุ๊คมานั่งทำงานแปลหนังสือสบายๆในร้านได้ด้วย... และคุณหมอกเองก็น่ารักและเป็นกันเองมากๆกับน้ำฟ้า แถมยังชมขนมที่น้ำฟ้าทำไม่หยุดปาก... คุณหมอกอายุมากกว่าน้ำฟ้าสามปี แต่ที่มาเป็นเพื่อนกับหมอกานต์ได้เพราะคุณหมอกซิ่วมา จากตอนแรกที่ถูกทางบ้านบังคับให้เรียนวิศวะฯ แต่สุดท้ายยังไงๆคนมันก็ไม่ชอบและไม่รักที่จะเรียน คุณหมอกเลยขอดื้อแพ่งเรียนวิศวะฯมาได้สามปีเกือบจะจบแล้วเชียวแต่ก็วกเลี้ยวกลับมาขอทำตามฝันไขว่คว้าปริญญาด้านคหกรรม จนในที่สุดก็สามารถทำสำเร็จด้วยระยะเวลาสั้นมากๆแค่สองปีครึ่ง... จากนั้นก็หาทุนมาเปิดร้านเบเกอรี่ตามที่ฝันต่อทันที...
คุณหมอกเป็นผู้ชายตัวสูงกว่าน้ำฟ้าไม่มาก หากแต่ผอมเพรียวทั้งๆที่เป็นคนทำขนม ผิวขาวเพราะเป็นคนเหนือแท้ๆ ดวงตาตี่เล็กน้อยเพราะญาติทางฝ่ายพ่อมีเชื้อจีนปนมาครึ่งหนึ่ง คุณหมอกเป็นลูกชายคนที่สอง มีพี่ชายหนึ่งคน และน้องสาวหนึ่งคน คนพี่เห็นบอกว่าเป็นทนายความและตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนน้องสาวชื่อ 'ม่าน' กำลังมีแพลนจะแต่งงานเร็วๆนี้... ส่วนคุณหมอกยังโสดและยอมรับตัวตนกับน้ำฟ้าตรงๆว่าเขาเป็น 'ไบ' แถมยังไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวเร็วๆนี้แน่นอน... น้ำฟ้าคิดประมวลผลได้ผลเสียและแบ่งตารางเวลาชีวิตของตัวเอง บวกกับปรึกษากับคุณหมอกานต์แล้วจึงตัดสินใจทำงานนี้เพิ่ม... แม้ว่าอาจจะยุ่งมากขึ้นแต่ก็ดีกว่าปล่อยเวลาให้อยู่ที่บ้านเปล่าๆในตอนกลางวัน...ได้ออกไปพบปะผู้คนข้างนอกบ้างและไหนๆก็จะได้เอาขนมไปส่งด้วยตัวเองด้วย...ไม่ต้องรบกวนคุณหมอกานต์ให้วนรถไปมาเหมือนหลายวันก่อน...
...และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่น้ำฟ้าตัดสินใจจะเริ่มทำงานที่ร้านของคุณหมอก... และก็พบปัญหาแรกที่แก้ไม่ค่อยจะออกเสียแล้ว... ปัญหานั้นก็คือ...การเดินทางจากบ้านไปที่ร้านน่ะสิ...ปกติถ้าไม่ติดรถคุณหมอกานต์น้ำฟ้าก็เดินทางด้วยรถแท็กซี่ไม่ก็รถโดยสารประจำทาง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ทุกวันค่าโดยสารก็บานเบอะ แต่จะให้ถือของพะรุงพะรังแถมยังต้องพาลูกอ่อนไปด้วย ก็กลัวหนูลินจะต้องผจญกับมลพิษเมืองหลวงของไทยจนไม่สบายไปเสียก่อนเหมือนกัน... จะเอายังไงดีล่ะ... ก่อนอื่นคงต้องหารถถูกๆมาเป็นของตัวเองเสียแล้ว แต่เงินทุนสำรองที่เตรียมไว้ก็ไม่พอให้น้ำฟ้าดาวน์รถเพิ่มมาอีกคันในขณะที่ยังมียอดรายจ่ายเท่าเดิมอยู่แบบนี้เสียด้วย... อืม...ช่างเถอะ ยังไงวันนี้คงต้องพึ่งแท็กซี่ไปก่อน...เอาไว้วันหลังลองปรึกษากับหมอกานต์ดูอีกทีแล้วกัน ว่าพอจะหารถมือสองถูกๆได้จากที่ไหนบ้าง...
คิดแล้วก็มองหน้าหนูลินที่นับวันก็ยิ่งเผยพัฒนาการที่เร็วกว่าเด็กปกติให้ได้แปลกใจและชื่นใจได้ทุกวันด้วยสายตาขอแรงฮึดสู้... เจ้าหนูน้อยก็เหมือนจะรู้ว่าแม่ฟ้าของเขากำลังจะพาเขาออกไปผจญภัยอีกแล้วก็กำมือแล้วชูขึ้นเหนือหัวราวกับจะร้องเย้ ! ดิ้นเบาๆให้น้ำฟ้ารู้ว่าเขาพร้อมแล้วนะหม่ามี๊ในการจะออกไปเที่ยวนอกบ้านวันนี้... น้ำฟ้าอมยิ้มแล้วก้มลงจูบกำปั้นน้อยเบาๆด้วยแรงรักอย่างที่สุด หายใจเข้ายาวๆแล้วกระชับกระเป๋าโน๊ตบุ๊คที่สะพายข้าง เป้ข้างหน้าของลูก เป้ข้างหลังที่ใส่ทั้งงานและของใช้ในรอบวันสำหรับหนูลิน ส่วนสองมือก็กำถุงใส่ขนมแน่นๆ เมื่อพร้อมแล้วสองเท้าก็ก้าวไปที่หน้าประตูเพื่อเตรียมตัวเรียกรถแท็กซี่... แต่ทว่า...
...ปี๊น...ปี๊น... เสียงแตรจากรถมินิคูเปอร์ รุ่นมินิ อี สีบรอนซ์ดำเงาวับก็ดังขึ้นพร้อมกับตัวรถที่ค่อยๆจอดลงตรงหน้าน้ำฟ้าอย่างพอดิบพอดี... น้ำฟ้ายืนนิ่งมองรถยี่ห้อหรูในเครือของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยความฉงนอย่างสุดๆ ว่าทำไมจู่ๆรถคันงามคันนี้ถึงได้มาจอดอยู่ตรงหน้าเขาได้...เท่าที่รู้คุณหมอกานต์ก็ยังไม่ได้ซื้อรถใหม่นี่นา... และแล้วก็รอคำตอบไม่นานเพราะหน้าต่างฝั่งคนขับซึ่งอยู่ทางซ้ายของตัวรถก็รีบลงทันที และคนที่ขับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...เป็นนายซึโยชิ บอดี้การ์ดเชื้อสายญี่ปุ่นของลุงเจ้าตัวเล็กในอ้อมอกน้ำฟ้านี่เอง...
"คุณฟ้าจะออกไปข้างนอกเหรอครับ...ขึ้นมาสิครับเดี๋ยวผมไปส่ง... พอดีผมแวะผ่านมาทำธุระทางนี้พอดี..." พูดจบนายซึโยชิก็ยิ้มตาหยี... และไม่รอให้น้ำฟ้าได้ทันพูดตอบ เจ้าตัวก็รีบลงจากรถมากุลีกุจอรับถุงขนมจากน้ำฟ้าไปถือเองซะอย่างนั้น...
"คะ...คือ...ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผมไปแท็กซี่เองจะสะดวกกว่า... เชิญคุณโยชิทำธุระต่อเถอะครับ..." น้ำฟ้าบอกด้วยความเกรงใจ...คราวนี้นึกตะงิดเล็กๆเพราะเมื่อสามวันที่แล้วตอนที่เขากำลังจะเอาขนมรอบแรกไปส่งให้คุณหมอก รถที่บอกว่า 'ผ่านมาพอดี' และอาสาไปส่งน้ำฟ้าถึงที่ก็เป็นนายเตโช... ลูกน้องอีกคนของผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน...
"...แหม ไม่เป็นไรหรอกครับ...คุณหนูลินเองก็จะได้นั่งสบายๆ คุณฟ้าก็จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ด้วยไงครับ... ไม่มีปัญหาหรอก...เชิญเถอะครับ..." และเพื่อเป็นการรวบรัด ชายหนุ่มญี่ปุ่นก็รีบนำของมาวางตรงท้ายรถและยืนรอเปิดประตูให้น้ำฟ้าเรียบร้อย... เด็กหนุ่มยืนนิ่งวิเคราะห์เรื่องตรงหน้าเงียบๆก่อนจะตัดสินใจก้าวไปขึ้นรถตามที่คนขับมินิ อี ต้องการ...
กระเป๋าเป้กับกระเป๋าโน๊ตบุ๊คของน้ำฟ้าถูกวางกองรวมกับถุงขนม ส่วนด้านหน้าตรงเบาะนั่งก็มีเพียงคนขับคือซึโยชิกับน้ำฟ้าที่ประคองหนูลินให้นั่งบนตักอย่างเรียบร้อย... กลิ่นแอร์หอมรสสตรอเบอร์รี่แบบนี้หนูลินชอบมาก...ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนขับไปสรรหากลิ่นแบบนี้มาใส่รถไว้เมื่อไหร่... เพราะดูจะไม่เข้ากับคนทำงานแบบชายหนุ่มเลย...
"นี่...เจ้านายคุณยังสั่งให้พวกคุณมาตามสืบเรื่องของผมอยู่อีกเหรอ..." ระหว่างที่นั่งเงียบๆกันอยู่บนรถ และดูเหมือนไม่ต้องบอกด้วยว่าน้ำฟ้าจะไปที่ไหนเพราะเส้นทางที่รถไปมันก็มุ่งหน้าไปที่เป้าหมายของน้ำฟ้าอยู่แล้ว...
"...เปล่าหรอกครับ... คุณรังสิมันต์ไม่ได้ให้ตามสืบ...แต่เป็นตามคุ้มครองคุณกับคุณหนูลินต่างหาก..." ซึโยชิเลือกตอบในส่วนที่ตอบได้ออกไป...
"...ตามคุ้มครอง... จากใครล่ะครับ..." ...เขาเป็นแค่คนทำขนม แค่ต้องการอยู่เงียบๆเลี้ยงลูกกันสองคนเท่านั้น... แล้วทำไมต้องมีคนคุ้มครอง... เขาไม่ใช่คนใหญ่คนโตเสียหน่อย...
"ก็ไม่ได้คุ้มครองจากใคร... แค่ดูแลความปลอดภัยเรียบร้อยธรรมดาๆนี่แหละฮะ... การที่คุณฟ้าจะไปไหนมาไหนในกรุงเทพฯแถมยังมีเด็กเล็กๆด้วยมันอันตรายจะตายไป... เจ้านายผมเขาแค่อยากอำนวยความสะดวกให้คุณก็เท่านั้นเองครับ..." ซึโยชิตอบพร้อมหันมาส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร... แต่น้ำฟ้ายิ้มตอบไม่ออก... ทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการสั่งผู้คุมให้มาตามดูนักโทษอย่างเขาหรอก...มีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายชีวิตคนอื่นเขาดื้อๆแบบนี้... ถึงแม้จะเป็นความหวังดีก็เถอะ...
"ขอบคุณมากนะครับ... แต่ฝากคุณซึโยชิกลับไปบอกเจ้านายคุณด้วย... ว่าผมขอบคุณมาก... แต่ผมมีความสะดวกสบายในชีวิตของผมเพียงพอแล้ว... แล้วถ้าจะเอาเรื่องหนูลินมาอ้างอีก... ก็ไม่ต้องมาพูดเลยเพราะไม่มีวันและไม่มีทาง... !!" น้ำฟ้าพูดจนเกือบเผลอใส่อารมณ์ลงไป... เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบเอ่ยขอโทษขึ้นมาฉับพลัน... "เอ่อ ! ขอโทษนะ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดเสียงดังใส่คุณ..."
ซึโยชิหันมายิ้มให้แป๊บเดียวแล้วก็เบนหน้าไปมองบนถนนที่คราคร่ำไปด้วยรถยนต์หลากหลายสีสรรค์ที่วิ่งตามกันอยู่...
"ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมพอจะเข้าใจคุณฟ้านะ... เพราะผมเองก็เพิ่งมีหลาน... ตอนนี้เกือบหกเดือนแล้ววัยกำลังน่ารักแล้วก็ซนมากทีเดียว... ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวหลงหลานผมมาก... แล้วถ้าจู่ๆจะมีคนมาเอาไปผมก็คงไม่ยอมเหมือนคุณ..." ซึโยชิเล่าด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆแต่ก็ดีขึ้นมากกว่าวันแรกที่น้ำฟ้าได้คุยกับหนุ่มญี่ปุ่นร่างเล็กนี่... พอได้ฟังแล้วน้ำฟ้าก็มีนัยตาเป็นประกายเมื่อคิดว่าหนุ่มคนนี้อาจจะเข้าข้างเขาและช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายยกเลิกสิ่งที่คิดจะทำอยู่นี่ไปเสีย... แต่น้ำฟ้าก็คิดผิด...เมื่อชายหนุ่มพูดอธิบายต่อไป...
"แต่ผมเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ...คุณรังสิมันต์เจ้านายผมก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร... เพียงแต่อาจจะดูเนี๊ยบแล้วก็ดุไปบ้าง...เพราะสถานะทางสังคมและธุรกิจที่ทำอยู่น่ะครับ... แต่กับลูกน้องคุณรังสิมันต์ให้สวัสดิการเต็มขั้นเลยนะครับ...เป็นกันเอง แถมยังคอยดูแลครอบครัวพวกผมอย่างดี... พวกเราเลยทำงานให้กับคุณรังสิมันต์แบบยกชีวิตให้เลย..." ซึโยพูดต่อจนจบ น้ำฟ้าถึงได้รู้ซึ้งถึงบารมีของผู้ชายที่ชื่อรังสิมันต์เพิ่มมากขึ้น...
คงเป็นพวกไฮโซ เป็นนักธุรกิจใหญ่... ถึงได้มีชีวิตที่ราวกับนิยายแบบนี้สินะ... แล้วคนใหญ่คนโตระดับนั้นจะมาอะไรกับเขานักหนา จะบอกว่าเป็นเพราะ 'เด็ก' ตัวเล็กๆคนนี้แค่นั้นน่ะเหรอ... มันดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปรึเปล่า... หนูลินจะไปมีอิทธิพลอะไรมากมายกับผู้ชายแบบนั้นกัน...
"แต่ถึงยังไง...ผมก็ไม่ยกหนูลินให้เค้าหรอก..." พูดจบน้ำฟ้าก็กอดกระชับหนูลินให้แน่นเข้าอีก...
"...แม่~..." ตอนนี้หนูลินเรียกคำว่า 'แม่' ได้ชัดมากๆ... เป็นพัฒนาการที่ดีสุดยอดที่น้ำฟ้าได้รับและเป็นสิ่งที่ทำให้น้ำฟ้าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว... ดวงตากลมแบ๊วจ้องมองคนที่ตัวเองเรียนรู้แล้วว่า ชื่อ 'แม่' แน่ๆ...เพราะพอเรียกแบบนี้ออกไปแล้วจะได้รับทั้งความรักและความอบอุ่นจากคนที่คุ้นเคยตรงหน้าทันที...
"ว่าไงครับหมูน้อยของแม่..." ถามเล่นเบาๆแล้วก็เอาจมูกไปชนกับจมูกเล็กเบาๆตาม...
"...แอ๊~..." หนูลินส่งเสียงร้องครางพร้อมกันถูไถใบหน้าใส่แก้มหนูลิน... เป็นอาการบ่งบอกว่างอแงอยากจะนอนซบอกอุ่นๆของแม่ฟ้าแล้วน๊า...
"ง่วงแล้วล่ะสิ... เอ้านอนก่อน ถึงแล้วเดี๋ยวหนูลินก็ได้เล่นกับลุงหมอกแล้วนะ...เป็นเด็กดีว่าง่ายๆนะตัวเล็ก..." น้ำฟ้าสั่งเตือน รู้ทั้งรู้ว่าเด็กตัวน้อยคงไม่เข้าใจที่เขาพูดหรอก แต่น้ำฟ้าก็พยายามพูดบ่อยๆ เพื่อให้เด็กตัวน้อยได้ฟัง...และอาจจะเป็นเด็กดีว่าง่ายๆอย่างที่พร่ำบอกอยู่ทุกวันได้จริงๆ...
"...เอ่อ ผมว่าจะถามคุณฟ้ามานานแล้ว...ว่า ทำไมคุณฟ้าให้คุณหนูลินเรียกคุณว่า 'แม่' ละครับ... ทำไมไม่ให้เรียกว่า 'พ่อ' เพราะคุณเองก็เป็นผู้ชายแล้วเอ่อ... แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ...มันไม่ได้ดูขัดอะไรแล้วมันก็เหมาะมาก..." ...มากเสียจนดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาไปแล้ว แต่ยังไงคนเป็นผู้ชายมาถูกเรียกว่าแม่มันก็ยังแปลกในสายตาเขาอยู่ดี... ตอนแรกซึโยชิคิดว่าถามเรื่องที่ไม่ควรออกไปแต่เหมือนน้ำฟ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะเด็กหนุ่มเพียงหันกลับมาแล้วยิ้มบางๆบนริมฝีปากให้แล้วเอ่ยตอบเบาๆ
"เพราะหนูลินไม่มีใคร... หนูลินไม่มีแม่ ไม่มีพ่อแท้ๆ...ผมแค่อยากเป็นทั้งแม่และพ่อให้หนูลิน... ...คือจริงๆแล้วผมแค่อยากเป็นตัวแทนพี่ฝนในการเลี้ยงดูหนูลินน่ะครับ... จะให้เรียก 'พ่อ' ทั้งๆที่ผมก็ยังไม่เคยแต่งงานแล้วก็ไม่เคยมีลูกจริงๆมันก็แปลกๆ แต่ 'แม่' มันยังมี 'แม่นม' ไม่ก็ 'แม่เลี้ยง' อยู่... ให้เรียกแม่มันสะดวกใจกว่าแค่นั้นเองครับ..." น้ำฟ้าตอบจริงใจ... ในบรรดาลูกน้องทั้งหมดของชายหนุ่มรังสิมันต์ ซึโยชิดูจะเป็นคนที่เข้าหาง่ายและดูเป็นเหมือนคนธรรมดาที่สุดแล้วในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม... แอบคิดไปว่าถ้าเขากับซึโยชิได้เจอกันในฐานะอื่นก็อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้มากกว่านี้ก็คงดี...
รถมินิ อีสีบรอนซ์ดำแล่นมาจอดใต้ร่มไม้หน้าร้านซึ่งว่างพอดีอย่างนุ่มนวล... และพอดีกับหนูลินที่ลืมตาตื่นพอดีด้วย... ซึโยชิขันอาสาขนถุงขนมกับกระเป๋าน้ำฟ้าทั้งหมดไปส่งให้ถึงหน้าร้าน...แม้น้ำฟ้าจะบอกเกรงใจไปหลายรอบแล้วก็ตาม...
"คุณโยชิ... ยังไงก็ตาม คุณช่วยบอกเจ้านายคุณว่าเลิกการคุ้มครองผม แล้วก็การมารับมาส่งผมแบบนี้เถอะ... มันไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นหรอกแล้วผมเองก็เป็นผู้ชาย ผมสามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ที่สำคัญผมเกรงใจพวกคุณนะ... ผมรู้ว่าตั้งแต่วันนั้นพวกคุณก็ผลัดกันมาเฝ้าที่บ้านผมทุกวัน... ผมไม่รู้ว่าเจ้านายคุณจะสั่งมายังไงแต่ขอเถอะ...ขอผมอยู่อย่างสงบๆกับลูกแค่สองคนเถอะนะ..." น้ำฟ้าขอร้องอย่างตรงไปตรงมา และซึโยชิก็เข้าใจความรู้สึกของน้ำฟ้าดี
แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง...หน้าที่ของเขายังคงอยู่จนกว่าเจ้านายของเขาจะเป็นคนสั่งยกเลิกเอง... และหากเจ้านายเขาเกิดยกเลิกคำสั่งไปรับไปส่งน้ำฟ้าขึ้นมาจริงๆ รุ่งเช้าคงได้มีรถยี่ห้อหรูส่งตรงถึงหน้าบ้านหลังเล็กสีขาวนั่นแน่ๆ... ก็เจ้านายเขาหลงหลานชายอย่างกับอะไรดี...คงไม่ยอมให้มีเรื่องต้องลำบาก...
ซึโยชิขอตัวหลับไปขึ้นรถเพราะเขามีงานต้องไปทำต่อ โดยเปลี่ยนเวรกับเตโชที่คงจะอยู่บริเวณแถวๆนั้นเรียบร้อยแล้วเพราะมีการเคลียร์ที่จอดรถหน้าร้านไว้ให้เรียบร้อยล่วงหน้า...
.
.
.
คุณฟ้าเป็นแค่คนธรรมดาจะไม่รู้สึกถึงอันตรายของโลกมืดอย่างเขา และดูเป็นเรื่องไกลตัวมันก็ช่วยไม่ได้... แต่เพราะหนูน้อยในความดูแลของคุณเขาไม่ใช่เด็กธรรมดานี่นา... เขาเป็นคนที่เชื่อมระหว่างคุณกับคุณรังสิมันต์เข้าด้วยกัน... เป็นผู้ที่เรียกได้ว่าคือ 'ทายาท' ของครอบครัว
'ภูบดีอัศวเมศวร์' และเรื่องนี้ก็เหมือนไม่ได้มีแค่คนภายใน 'ครอบครัว' เท่านั้นที่รู้เรื่อง... สิ่งที่พวกเขานิยามว่าคือ 'ศัตรู' ก็คงจะรู้แล้วเหมือนกัน...การทำธุรกิจในม่านสีเทาหรือการทำงานของครอบครัว
'มาเฟีย' มันย่อมหนีไม่พ้นคำว่า...ชีวิตและความตาย... มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่จะเอามาพูดลอยๆ เพราะแค่หากเดินผิดทางหรือดูแลไม่ทั่วถึงจนเกิดความผิดพลาดขึ้นแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น...นั่นก็หมายถึงจุดจบปลายทางของชีวิตที่กำลังถูกจุดขึ้นทีละน้อยเช่นกัน...
เจ้านายของเขาถูกลอบปองร้ายจนตอนนี้แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา... ความขัดแย้งทางธุรกิจมีสูง แต่ความจัดแย้งเรื่องตระกูล อำนาจ และศักดิ์ศรีทางสังคมยิ่งมีสูงและอันตรายมากกว่า... ที่สำคัญมันไม่ได้เกิดขึ้นที่ผู้นำตระกูลหรือผู้นำทางอำนาจเพียงคนเดียว... คนทุกคนที่อยู่ใน 'ครอบครัว'... คนทุกคนที่มี 'สายเลือด' เดียวกัน...ต่างก็ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายไม่ต่างกัน...
แม้กระทั่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางด้านร่างกายหรือสายเลือดเลย แต่แค่มี..หัวใจ..เกี่ยวพันโยงหากันแม้เพียงเล็กน้อย...ก็ไม่วายที่จะถูกลากเข้าสู้วังวนเกมส์อันตรายนี้ด้วย...และส่วนมากก็มักจะกลายเป็นตัวหมากสำคัญที่ต่างฝ่ายต่างจ้องจะมองหาและนำมาต่อรอง เพราะรู้ดีว่า...มันคือ 'จุดอ่อน' เพียงหนึ่งเดียวที่ผู้กุมอำนาจสูงสุดทุกยุคทุกสมัยต้องแพ้พ่าย...
-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-
to be continue--->>
มาต่อใหม่ 'จัดเต็ม' แบบ 'จบตอน' แล้วนะจ๊ะ...
มาอย่างเร็วเพราะหายไปสองอาทิตย์กว่าแน่ะ...
เรื่องของยอดชายนายเปอร์น่ะช่วงนี้ไม่มีอะไรหวือหวา
อ่านจากสเตตัสในเฟสบุ๊คฮีแล้วก็มีแต่เรื่องเซ็งๆเศร้าๆไม่เว้นแต่ละวัน
แต่ฮีก็เลือกเองแล้วนี่เนอะ...
เราก็ได้แค่ตามเกาะกระแสอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆก็แค่นั้นเอง...
ส่วนเรื่องอื่นมีอีกเพียบ...ทั้งแบบเศร้า เหงา แฮปปี้ และติดเรท = =
ส่วนเรื่องจะให้แยกไปเขียนอีกกระทู้ก็เอ่อแบบว่า...เรื่องมันมาจากเรื่องจริง ไม่ได้เสริมแต่งให้มันดูดีเหมือนนิยายมันจะมีคนอ่านหรือฟร่ะ
คือแอบคิดประมาณนี้น่ะจ่ะ...
อย่างอีกคู่ที่ตอนนี้อะฮั้นก็กำลังตามข่าวอย่างใกล้ชิดก็เป็นเจ้าเพื่อนสมัยมัธยมต้นนี่ล่ะ...
เนื้อหาต่อเรปหน้าเนอะ...เหอๆ
v
v
v