อะครับผม มารออ่านครับผม
แล้วคืนนี้จะมาต่อป่าวครับผม
มาปูเสื่อรอละกันครับ
จะมาต่อทีไรต้องเจอรีฯของน้องdeshiwa เป็นรีฯล่าสุดประจำเลย
อิอิ
หัวใจขายแพงๆ ตอน 15 โดย mam หลังจากที่หมอนั่นจัดการธุระที่บริษัทเรียบร้อยทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่เหมือนปกติ ตั้งแต่วันที่ผมอนุญาตให้เขาจูบผมได้เขาก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่เขาร้องขอทุกวัน ถ้าเป็นช่วงก่อนนอนหรือเวลาอื่นที่ไม่มีใครอยู่บนเรือนผมก็พอเข้าใจ แต่ไอ้ที่ขโมยจูบทุกเช้าก่อนไปทำงานนี่สิ คนอยู่กันเต็มเรือนไปหมด เขานึกว่าผมหน้าด้านแบบเขารึไง ไอ้คนผีเอ้ย!~
จะว่าไป… ตั้งแต่ไปเยี่ยมคุณวิชุดาวันนั้นผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเธออีกเลย จะไปทีไรหมอนั่นก็ไม่ให้ไป จะหนีไปเองหมอนั่นก็รู้ทันทุกที เวลาผ่านมาเกือบเดือนเธอก็คงจะหายเป็นปกติ แล้วเธอจะเอายังไงกับอนาคตของพวกเรากันนะ
อ๊ะ!!! อยู่ ๆ ก็มีเสียงขับรถเข้ามาจอดหน้าเรือน รถใคร?… ผมไม่ต้องเดินไปดูก็เห็นคุณวิชุดาเดินขึ้นเรือนมา เธอยิ้มให้ผม
“นึกว่ามาแล้วจะไม่เจอคุณธรซะอีก”
“ผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับ”
เธอเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ผม “ฉันอยากคุยกับคุณธรก่อนไป”
“ไป?” ไปไหนกัน?
“ฉันจะไปออสเตรเลีย”
ไปออสเตรเลีย!!! ทำไม!!?
“คุณวิชุดา!!~”
เธอยังคงยิ้มอยู่ตลอด “ฉันคิดว่าฉันทำงานมากเกินไป น่าจะหาเวลาพักผ่อนและลองไว้ใจใครให้บริหารงานของฉันดูบ้าง บางทีถ้าฉันได้พักผ่อนยาวซักเดือนนึงฉันก็คงจะดีขึ้น”
แต่เธอเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่นานเองนะ ถ้าคิดจะไปพักผ่อนจริง ๆ ก็น่าจะรอให้แข็งแรงดีเหมือนเดิมซะก่อน
“แต่คุณเพิ่งหาย…”
เธอเอื้อมมือมาจับมือผม “คุณธร ฉันหายดีแล้ว”
“แต่…”
“เชื่อสิ” เห็นสายตาเธอแบบนี้ผมก็ไม่อาจแย้งอะไรได้ ใช่!~ สายตาที่มุ่งมั่นยึดติดกลับมาอีกครั้ง
“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันตั้งใจมาบอกคุณ สาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้ฉันมาที่นี่ก็คือ ฉันจะมาบอกคุณว่า…ฉันจะยกเลิกการหมั้นกับคุณยะ…”
เดี๋ยว!!! ใครช่วยบอกผมหน่อยว่าเมื่อกี้ผมฟังไม่ผิด!
“ฉันนึกหน้าคุณยะตอนได้ยินประโยคนี้ออกเลยนะเนี่ยเพราะขนาดคุณยังตาค้างแบบนี้” คุณวิชุดาหัวเราะขึ้นมา
“คุณแน่ใจเหรอ?…”
“ฉันไม่เคยแน่ใจอะไรขนาดนี้มาก่อน ในเมื่อคุณเคยคิดจะให้สิ่งดี ๆ แก่ฉัน ฉันก็อยากตอบแทนคุณบ้าง”
“แล้วธุรกิจคุณ?…..”
เธอยิ้มให้ รอยยิ้มเธอดูอ่อนโยนขึ้น สายตาแสดงความจริงใจไม่ใช่มองหาผลประโยชน์เหมือนเมื่อก่อน
“ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ตอนนี้แม้ว่าฉันมีลูกจริง ๆ ทั้งชีวิตเขาก็คงใช้ไม่หมด ฉันคงไม่ต้องทุ่มเทหาให้มากกว่านี้อีกแล้ว ถึงเวลาได้พักซักที”
ผมยิ้มให้เธอ ใช่! ตอนนี้ผมไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เธอหันมาให้ความสำคัญกับจิตใจและความรู้สึกของเธอมากกว่าเงินทอง ใช้เวลาและเงินทองที่เหลืออยู่ของเธอให้มีความสุขคุ้มค่ากับการที่เธอต้องเหนื่อยทั้งกายและใจมานาน
"คุณจะไปเมื่อไหร่? ผมจะได้ไปส่ง”
เธอหัวเราะ “ฉันว่าคุณยะคงไม่ให้คุณไปส่งหรอกมั้ง” เธอยังไม่วายแซวผมอีก
“ถ้ามีขู่กันบ้างก็คงจะยอมให้ไป”
“…หลังจากนี้คุณธรกับคุณยะคงแต่งงานกันได้โดยไม่มีอะไรขัดขวางแล้วนะ…”
แต่งงานเหรอ….
“………..”
“ฉันกลับก่อนดีกว่า ยังมีอะไรที่ต้องเตรียมอีกหลายอย่าง” เธอลุกขึ้นผมก็ลุกตาจะไปส่งเธอที่หน้าประตู แต่คุณวิชุดาฉุดแขนผมไว้ “ไม่ต้องไปส่งหรอก เดี๋ยวฉันกลับมาจะมาเยี่ยมคุณเป็นคนแรกเลย ของฝากเป็นอะไรดี? หนุ่มออสซี่หล่อ ๆ ซักคนดีมั้ย?” เธอแกล้งขยิบตาให้ผม
“ถ้าของฝากเป็นหนุ่มออสซี่จริงผมคงไม่ได้ออกจากห้อง”
คุณวิชุดาหัวเราะโบกมือให้แล้วก็เดินลงเรือนไป….
รถของเธอขับออกไปแล้ว เธอมาบอกข่าวดีและเตือนความจำ ข่าวดีของคุณยะว่าเขาจะสามารถเป็นอิสระแล้ว เตือนความจำผมว่าผมก็สมควรจะไปได้แล้วเพราะงานที่ผมต้องทำมันสำเร็จลงด้วยดี มันเป็นผมลืมไป ผมมาที่นี่เพื่อทำงานชิ้นนึง เพื่อไถ่ตัวผมที่หมอนั่นซื้อมาในราคา 30 ล้าน เพื่อที่ผมจะได้เป็นอิสระ แต่ที่นี่กลับทำให้ผมลืมมันไป
บ้านเรือนไทยหลังงาม ไมตรีของผู้คนรอบข้าง การปฏิบัติตัวที่เป็นกันเองของเขา ทุกอย่างนั้นทำให้ผมลืมสถานะของตัวเองไปว่า ผมเป็นเพียงแค่ลูกจ้างที่เขาจ้างมาเพื่อทำงานชิ้นนึงเท่านั้น
ผมเดินดูรอบบ้าน ทำไมนะ? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าที่นี่เป็น ‘บ้าน’ ยิ่งกว่าบ้านของผมเองซะอีก เวลาที่ผมกลับบ้านผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปในสนามรบที่ไม่รู้ว่าจะโดนอีกฝ่ายยิงตอนไหน แต่ที่นี่ ผมกลับรู้สึกว่าที่นี่คือที่หลบภัย ที่นี่คือที่ที่ผมจะสามารถอาศัยได้ ที่นี่อบอุ่นเหมือน…วังของหม่อมป้า แต่…มันคงถึงเวลาแล้วสินะที่ผมจะต้องไปจากที่นี่เสียที
ใกล้ค่ำ หมอนั่นเดินขึ้นเรือนมาด้วยสภาพที่…เหงื่อโชก
“คุณไปทำอะไรมา?”
เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ผม ดื่มน้ำซะ 2 ขัน “วันนี้รื้อห้องเอกสารที่บริษัท ขากลับรถยังเสียอีกก็เลยนั่งรถเมล์กลับมา”
มิน่าล่ะไม่ได้ยินเสียงรถ
“แล้วทำไมไม่ขึ้นแท็กซี่ล่ะ?”
หมอนั่นหมุนตัวนอนหนุนตักผม “ไม่รู้ว่าวันนี้แท็กซี่หายไปไหนหมด ขี้เกียจรอกลัวว่าถ้าคุณรอกินข้าวด้วยแล้วจะหิวก็เลยโหนรถเมล์มา”
โธ่~ รอนิดรอหน่อยจะเป็นอะไร
“ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวมากินข้าว ผมมีเรื่องจะพูดด้วย….”
หมอนั่นทำหน้างงแต่ก็ยอมลุกไปแต่โดยดี ผมไม่อยากให้เขาทำดีกับผมแบบนี้เลยมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากไปจากที่นี่….
หลังจากอาหารเย็นผมก็ชวนเขาลงไปเดินเล่นในสวน
“วันนี้คุณวิชุดามา…”
หมอนั่นทำคิ้วขมวด
“เธอมาบอกว่าเธอจะไปออสเตรเลีย”
“ออสเตรเลีย… ไปเที่ยวเหรอ?..”
“เธอบอกอย่างนั้น เธอฝากบอกอะไรคุณอย่างนึง”
“อะไร?”
“เธอบอกว่า เธอจะยกเลิกการหมั้น…” ผมพูดจบก็หันไปมองหน้าหมอนั่นแต่ยังไม่ทันได้เห็นก็รู้สึกตัวลอยหวือ “คุณยะ!!!”
หมอนั่นหัวเราะลั่นอุ้มผมหมุนไปมา
“คุณยะปล่อย! ผมเวียนหัว!~”
เขายอมปล่อยผมลงแต่จับหน้าผมไว้หอมแก้มทั้งสองข้าง “นับเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับผมเลยนะ”
ใช่!~ ข่าวดีที่เขาจะได้เป็นอิสระและผมจะได้ไปเสียที
“ถ้าอย่างนั้น…. เดี๋ยว! คุณยะ! จะไปไหน!!?”
ผมยังพูดไม่ทันจบเขาก็ลากผมจนเซถลาไปที่รถ
“ไปเตรียมตัวฉลองกันไงล่ะ มีข่าวดีตั้งสองข่าวแบบนี้”
“สองข่าว?”
เขาหยุดจับให้ผมยืนนิ่ง ๆ “อย่างแรกคือผมไม่ต้องหมั้นกับวิชุดา อย่างที่สองคือบริษัทของเราได้เป็นตัวแทนจัดงานอัญมณีโลก จัดงานโชว์อัญมณีที่มีชื่อเสียงระดับโลก”
“งานโชว์!?”
“ใช่! งานนี้จะทำให้มีเงินเข้าบริษัทของเราเป็นล้าน” สีหน้าเขาดูตื่นเต้นมาก
“…แล้วผมเกี่ยวอะไร?…”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว งานนี้คุณจะต้องไปด้วย”
หา!!?
“เดี๋ยว!! แล้วผมจะต้องไปทำไม?”
เขาทำคิ้วขมวด ยังจะมาขมวดอีกผมจะต้องไปทำไมล่ะไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานนี้ด้วยซักหน่อย
“แล้วทำไมจะไม่ไปล่ะ ว่าที่ภรรยาของผู้จัดงานไม่ไปได้ยังไง”
“อะไรนะ!!!?”
“เอาน่า~ ไม่มีเวลาพูดมากแล้ว ไปเตรียมตัวตัดเสื้อผ้าเถอะ” หมอนั่นไม่ฟังคำทักท้วงจากผมลากผมไปที่รถต่อ
หมอนี่ลากผมมาที่ร้านเสื้อผ้า เลือกชุดนั้นชุดนี้ให้ผมเป็นที่สนุกสนาน สุดท้ายชุดที่หมอนั่นพอใจนักหนาก็กลายเป็นสูทสีขาว เขายังเลือกซื้ออะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ไม่สิ! ทุกอย่างเลยต่างหาก ตั้งแต่รองเท้า เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งเจลใส่ผม แน่นอนทั้งหมดนั่นเขาบอกว่า เป็นของผม เฮ่อ~ เอาเถอะ ตอนนี้เขายังไม่ว่าง เดี๋ยวเขาว่างแล้วผมค่อยคุยกับเขาเรื่องกลับบ้านทีหลังก็แล้วกัน
ใครจะนึกกันล่ะว่างานนั่นจะมาถึงเร็วอย่างนี้ ผมยังไม่ทันได้คุยกับหมอนั่นเรื่องที่ผมจะกลับบ้านเลย
“ธร~ เสร็จรึยัง?….” หมอนั่นเคาะประตูห้องผมตะโกนเรียกซะจนน่ารำคาญ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณธรหล่อระเบิดไปเลย” ต้อยช่วยหวีผมเสร็จก็วางหวีแล้วนั่งลงมองหน้าผม
“อย่าเลย… ผมยังอยากมีที่อยู่นะ ระเบิดหมดแล้วผมจะไปนอนที่ไหน”
ต้อยหัวเราะแล้วก็ลุกเดินไปเปิดประตู “พาเจ้าชายไปงานเต้นรำได้แล้วค่ะคุณยะ” ยังจะพูดเล่นอีก
ผมลุกเดินไปหน้าประตูหมอนั่นยืนมองผมนิ่ง ๆ
“เสร็จแล้วไง ก็ไปสิ เดี๋ยวก็สายหรอก”
“ใส่สุดขาวแล้วคุณดูดีกว่าใส่ชุดดำแบบวันนั้นเยอะเลย”
ดูทำมองเข้า ไล่ตั้งแต่หัวจดเท้าเชียวนะ หมอนั่นเตรียมตัวโน้มผมลงไปจูบอีกแต่ชะงักเมื่อเห็นว่าผมง้างหมัด
“แหม~ นิดเดียวก็ไม่ได้”
“ไม่ได้!~”
เขาทำเป็นเดินคอตกพาผมไปที่รถ พอเข้าไปนั่งในรถผมก็เสียจูบให้หมอนี่จนได้ คนอะไรกันนี่…มันน่านัก!~
ผมว่าผมก็เคยไปงานใหญ่ ๆ มาหลายงานแล้วนะ แต่ไม่เคยไปงานที่ใหญ่ระดับชาติขนาดนี้มาก่อน ตู้โชว์อัญมณีเม็ดงามตั้งสง่า ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ทั้งคนไทยและต่างชาติ เสื้อผ้าและอัญมณีของผู้ที่สวมใส่มาในงานก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสิ่งที่อยู่ในตู้โชว์เท่าไหร่นัก พอเราทั้งคู่เดินเข้ามาในงานทุกคนต่างก็หันมามอง แน่ล่ะผู้จัดงานมาทั้งทีนี่นา
“เดี๋ยวผมจะขึ้นไปกล่าวเปิดงาน คุณรออยู่นี่นะ”
เขาให้ผมยืนรออยู่หน้าเวที ผมได้แต่ยืนยิ้มให้คนอื่น ๆ เรื่องที่เขาจะมองว่าผู้ชายสองคนมางานด้วยกันยังไงผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกเพราะผมไม่รู้จักพวกเขาซักนิด เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยชอบสายตาพวกนั้นนี่สิ
พอหมอนั่นกล่าวเปิดงานจบเสียงปรบมือก็ดังไปทั่วทั้งงาน หมอนั่นรีบเดินลงมาหาผมนักข่าวต่างเดินเข้ามาถ่ายรูป
“ยืนชิด ๆ กันหน่อยครับ” มีแต่คนดันให้ผมไปยืนใกล้ ๆ หมอนี่จนตอนนี้กลายเป็นว่าผมยืนให้คุณยะโอบเอวถ่ายรูป
ถ่ายกันจนผมแสบตาแล้วนั่นแหล่ะถึงจะยอมไปถ่ายมุมอื่นกันบ้าง พอนักข่าวถอยไปคนอื่นก็เข้ามาทักทาย ผมจะถอยก็ถอยไม่ได้เจ้าคนข้าง ๆ นี่ไม่ยอมปล่อยมือซักที อะไรกันนักหนานะนายคนนี้
“จัดงานใหญ่แบบนี้ได้คงทุ่มทุนน่าดูสินะครับ” อยู่ ๆ ก็มีเสียงไม่พึงประสงค์ดังขึ้นมา
ผู้ชายคนนึงถือแก้วเครื่องดื่มเดินเข้ามาทักคุณยะด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่นัก ที่จริงผมก็ไม่รู้จักเขาหรอกนะแต่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบคำพูดเขาเท่าไหร่เลย
“ก็นาน ๆ ทีน่ะครับ จัดงานให้ตื่นตาตื่นใจซะบ้างจะได้ไม่รู้สึกเบื่อเวลาเดินเข้าร้าน”
“นั่นสินะครับ เจ้าของบริษัทค้าอัญมณีพันล้านจะจัดงานทั้งทีจะเป็นงานเงียบ ๆ ได้ยังไง” เขาหันมามองผม ขอเถอะ อย่ามาหาเรื่องผมอีกคนเลย
“…ถ้าจำไม่ผิด คุณคนนี้คงจะเป็น… คุณพสุธร รุจิรพัทธ์ คุณชายคนเดียวในวังของหม่อมธารทิพย์ใช่มั้ยครับ…”
“………” ผมรู้สึกเกลียดรอยยิ้มนั่นจริง ๆ
“ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าคุณพ่อคุณขายคุณให้กับคุณวัลลภเพื่อแต่งงานกับคุณสนธยาเป็นเงินตั้ง 10 ล้าน จริงรึเปล่าครับ?…”
ผมรู้คำถามนั่นไม่ได้ต้องการคำตอบหรอก เขาแค่ต้องการหาเรื่องผมต่างหาก
“อ้อ!! เห็นว่าคุณสุริยะไปซื้อต่อมาตั้ง 30 ล้านไม่ใช่เหรอครับ? แย่หน่อยนะครับโดนขายไปทางโน้นทีทางนี้ที เพชรที่มีตำหนิ… ใครซื้อมาพอเห็นตำหนิที่แอบซ่อนไว้ก็อยากขายเปลี่ยนมือไปซะ”
ใครคิดยังไงผมไม่รู้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องมายุ่งกับผมด้วย ผมไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร ผมไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องในงานนี้ ผมไม่ใช่คนที่นายคนนี้จะมาพาลหาเรื่องเอาด้วยเรื่องส่วนตัวของผม ….ผมอยากกลับบ้านจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าคุณยะจับมือผมไว้ผมคงจะเดินออกจากงานนี้แล้ว
“ผมรู้สึกว่าคุณภราดาจะสนใจเรื่องของพวกผมมากเลยนะครับ ขนาดรู้ถึงว่าใครใช้เงินเท่าไหร่อย่างกับเป็นกระเป๋าเงินของตัวเอง ช่างเป็นผู้รู้ดีจริง ๆ ” หมอนั่นพูดยิ้มแย้ม แต่ผมรู้ว่าเขากำลังโกรธเพราะมือเขาจับมือผมแน่นจนเริ่มรู้สึกเมื่อย
“แต่จะว่าไป… ผมก็พอได้ยินข่าวเรื่องของคุณมาบ้างเหมือนกัน เห็นว่าคุณพ่อคุณพักนี้ป่วยไม่ใช่หรือครับ รู้สึกว่าท่านจะเหนื่อยกับการคอยไล่พวก ‘คนข้างถนน’ ที่คอยมาอาศัยในบ้านแทบทุกคืน อ้อ!~ อีกอย่างนึง ผมเคยได้ยินคนอื่น ๆ พูดกันว่าบริษัทของคุณโดนลูกค้ายกเลิกมาหลายงานแล้วเพราะลูกค้าไม่พอใจปากเจ้าของบริษัท แย่หน่อยนะครับที่ความสนใจส่วนตัวในเรื่อง ‘ยุ่งเรื่องของคนอื่น’ ของคุณทำให้ลูกค้าไม่ค่อยพอใจ… …เพชรมีตำหนิแต่ว่าถ้าเข้ากันได้ดีกับตัวเรือนที่ประกอบเข้ามาก็ทำให้ดูสูงค่า ผิดกับเศษแก้วไร้ราคาไม่ว่าเจียระไนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหาค่าราคาได้…”
ผมเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่ชื่อภราดานั่นจ้องคุณยะแทบจะฉีกเนื้อกิน เขาวางแก้วดังโครมแล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป
“ขอโทษนะครับทุกท่าน ผมคงอยู่ถึงดึกไม่ได้ ‘คนรัก’ ของผมไม่ค่อยสบายผมอยากพาเขาไปพักผ่อนก่อน ขอตัวนะครับ” หมอนั่นจูงมือผมออกมาจากงาน
ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก เรารู้กันอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่นายคนนั้นพูดมันจริงหรือไม่จริง พอถึงเรือนผมก็แยกตัวจะเดินเข้าห้องแต่คุณยะจับแขนผมไว้
“ธร…”
“ผมไม่เป็นไร ผมอยากพักผ่อน ขอตัวนะ” ผมเดินเข้าห้องมาแล้วก็ปิดประตู
ขาผมแทบจะหมดแรงเดินตั้งแต่มาถึงเรือน ผมรู้ดีถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับไปแล้วกลับไปเพื่อรักษาศักดิ์ศรีที่มีอยู่แม้จะน้อยนิด กลับไป…แค่คิดก็รู้สึกใจหาย บ้านนี้ทั้งอบอุ่นทั้งน่าอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยากอยู่บ้านนี้ต่อไปไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่สิ่งแวดล้อม แต่เป็นรอยยิ้มของใครบางคน เป็นการกระทำอันอ่อนโยนที่เขามอบให้ผม เป็นรอยจูบแผ่วหวานที่มอบให้ทุกเช้า ผมเพิ่งจะรู้…บางครั้งจิตใจและความรู้สึกมันก็ทำให้เราเจ็บปวดเจียนตาย…เมื่อรู้ว่าใจเราเผลอไปรักใครซักคนที่เราไม่คู่ควร…
ง่วงจัง.....