หัวใจขายแพงๆ 11 โดย mamมนุษย์เรามีความคิดที่มากมายหลากหลายและสับสน คนนึงก็คิดไปได้หลายอย่าง บางคนก็ไม่คิดอะไรเลย แค่ความคิดเหล่านั้นทำไมมันถึงไม่เหมือนกันนะ เพราะอะไร?….
ความคิดไร้สาระของผมลอยวนเวียนอยู่ในหัวขณะที่ผมกำลังนั่งมองปลาทองในโหลแก้ว 2 ตัวว่ายไปมา
เมื่อวานหมอนั่นซื้อโหลกลมใบใหญ่มาแล้วก็จัดการจัดแต่งอย่างดีใส่น้ำซะสวยแถมยังสั่งให้ต้องไปซื้อปลาทองมาใส่ไว้ 2 ตัวอีก หมอนั่นไม่รู้สึกหรือไงนะว่าโหลมันแคบเจ้าปลาทองสองตัวนี่ต้องไม่ชอบแน่ ๆ
ที่บ้านผมก็เลี้ยงปลาเหมือนกันแต่อ่างปลาของผมใบใหญ่ชนิดที่ว่าคนลงไปนอนได้เลยทีเดียว ผมว่าพวกมันดูมีความสุขมากกว่าเจ้าปลาทองสองตัวนี้ซะอีก
เฮ่อ~ :เฮ้อ:ผมนั่งถอนหายใจรอบแล้วรอบเล่า
บ้านเงียบเหงา… เพราะโรงเรียนของต้อยกับป๋องเปิดเทอมแล้วที่บ้านนี้จึงเหลือคนอยู่อีกไม่กี่คน แล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เหลือถึงไม่ค่อยอยากเข้ามาใกล้ ๆ ผมนัก จะว่าพวกเขาไม่ชอบผมก็ไม่น่าจะใช่ เวลาผมขอให้เขาช่วยทำอะไรก็ดูเขาจะยินดีนี่นา หรือว่าหมอนั่นสั่งไว้อีกล่ะมั้ง? เฮ่อ~…
ผมหันมาใช้เวลาให้ผ่านไปกับหนังสือกองโต เป็นหนังสือที่หมอนั่น ‘ขน’ มาให้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขานึกยังไงถึงได้แทบจะไปเหมาร้านหนังสือมาแบบนี้แต่มันก็ทำให้ผมเพลินดีเหมือนกัน
ผมเพลินซะจนไม่ได้มองท้องฟ้าเลยว่าตอนนี้มันได้เปลี่ยนจากสีฟ้าใสเป็นสีส้มไปแล้ว
“คุณธรคะ…. ขอโทษด้วยค่ะที่ต้อยกลับมาช้า พอดีต้อยโดนอาจารย์เรียกให้อยู่ซ้อมดนตรีไทยน่ะค่ะ” ต้อยรีบวิ่งขึ้นมาบนเรือนแล้วมานั่งเกาะขาผม
“เรียนดนตรีไทยเหรอ!.. ต้อยเรียนดนตรีไทยด้วยเหรอ!?”
ปกติผมเห็นแต่ว่าเด็กวัยรุ่นไม่ค่อยสนใจดนตรีไทยซักเท่าไหร่นี่นา
“ค่ะ ต้อยเรียนเมื่อตอนม. 2 แต่ตอนนี้ไม่ได้เรียน อาจารย์เห็นว่าต้อยเคยเรียนก็เลยจะให้ต้อยขึ้นเล่นกับเพื่อน ๆ วันสถาปนาโรงเรียนน่ะค่ะ”
“เหรอ… แล้วต้อยเล่นดนตรีอะไรล่ะ?”
“ต้อยเล่นจะเข้ค่ะ”
เก่งจังแฮะ
“เอาไว้ว่าง ๆ เล่นให้ผมฟังบ้างนะ”
ต้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
จะว่าไปผมก็รู้สึกดีนะที่เห็นว่าเด็กวัยรุ่นอย่างต้อยก็สนใจดนตรีไทยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นน้อยคนที่จะสนใจดนตรีไทย จะไปชอบพวกวงดนตรีต่างชาติที่แต่งตัวแบบแปลก ๆ ชนิดแต่งเดินถนนไม่ได้ หรือว่าพวกที่ชอบร้องเพลงไปกลิ้งบนเวทีไปซะมากกว่า
อยู่ ๆ ก็มีเสียงรถขับเข้ามา เอ… นี่ยังไม่ใช่เวลาที่หมอนั่นจะกลับนี่นาแถมยังเป็นเสียงของรถสองคันซะด้วย ซักพักนึงหมอนั่นก็ขึ้นเรือนมาแต่นั่นไม่ทำให้ผมแปลกใจเท่ากับผู้หญิงที่เดินตามมาข้างหลังนี่สิ เธอหน้าตาสวยชนิดที่ว่าถ้าส่งไปประกวดนางงามก็คงได้ตำแหน่งมาแน่ ๆ เสียแต่ว่าหน้าดุไปหน่อย รูปร่างสูงเพรียวแต่งตัวทันสมัย ถ้าผมเดาไม่ผิดผู้หญิงคนนี้คงจะเป็น…..
“ธร…นี่คุณวิชุดา คุณวิชุดาครับ…นี่พสุธร ‘คนรัก’ ของผม”
ไอ้บ้านี่!!! ต่อหน้าคนอื่นยังมาหอมแก้มผมอีก!!
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เธอยื่นมือมาข้างหน้าผม
ปกติถ้าเป็นคนอื่นทั่วไปเค้าจะต้องโวยวายไม่ใช่เหรอ? ก็คู่หมั้นมาชอบกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้เธอควรจะต้องวีนโลกแตกไปแล้วนี่นา
“…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ… เชิญนั่งก่อนสิครับ”
เธอก็นั่งลงตรงหน้าผม “…เอาล่ะคุณยะ…เป็นอันว่าฉันรู้จักคนรักของคุณแล้ว แล้วเรื่องของเราคุณจะเอายังไง?”
“ก็เป็นอย่างที่ผมบอกคุณนั่นล่ะว่าผมแต่งงานกับคุณไม่ได้ ผมมีคนรักของผมอยู่แล้ว”
“แล้วธุรกิจของฉันล่ะ? คุณกลับคำแบบนี้ธุรกิจของฉันที่ลงทุนไปแล้วจะเป็นยังไง แล้วผลประโยชน์ที่บริษัทของเราจะได้หลังจากการแต่งงานล่ะคุณจะรับผิดชอบยังไง?”
ธุรกิจ? นี่ผู้หญิงคนนี้เธอไม่เคยสนใจหัวใจของเธอเองเลยรึไง?
“ผมไม่ได้กลับคำนะคุณวิชุดา พ่อของผมกับพ่อของคุณตกลงกันเองโดยไม่ได้ถามความเห็นจากผมซักคำ ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นธุรกิจผมจะเสียหายไปแค่ไหนคุณคงเข้าใจ” เสียงหมอนั่นเริ่มเข้มขึ้น คงชักจะเริ่มโมโห
“…….” เธอไม่ตอบอะไรเลยซักคำ คงจะเข้าใจล่ะมั้ง
“ยังไงก็ตาม ผมก็ยังคงขอยืนยันว่าผมไม่สามารถแต่งงานกับคุณได้ ถ้าคุณต้องการค่าเสียโอกาสละก็คุณก็กำหนดมาว่าคุณต้องการเท่าไหร่ ผมจะจ่ายให้…”
ชั่วแวบนึงผมคิดว่าหมอนี่ช่างเย็นชา แต่พอคิดอีกทีก็เข้าใจว่าทำไมหมอนี่ถึงไม่อยากแต่งงานกับเธอ ไม่มีใครหรอกที่อยากให้เงินเป็นสิ่งสำคัญกว่าครอบครัว
“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิคุณยะ คุณรู้ใช่มั้ยว่าถ้าเรารวมบริษัทกันเงินนับแสนล้านที่จะหลั่งไหลเข้าบริษัท ไม่รวมถึงการตกลงด้านการลงทุนกับบริษัทอื่นที่จะตามมาอีก…”
“ผมถึงได้บอกให้คุณคิดค่าเสียโอกาสมายังไงล่ะ ถ้าผมต้องหมดตัวเพื่อให้ได้อยู่กับคนที่ผมรักผมก็ยอมหมดตัว”
คุณวิชุดาเงียบไป ผมดูไม่รู้เลยว่าเธอคิดยังไงเพราะเธอไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย
“…ฉันจะยังไม่เอาคำตอบจากคุณตอนนี้ และหวังว่าคุณจะเก็บไปคิดใหม่อีกครั้ง…” เธอลุกขึ้นทำท่าทีเหมือนจะกลับ
“ไม่ว่าจะคิดอีกกี่สิบครั้งผมก็ยังยืนยันคำเดิม” คุณยะพูดโดยไม่มองเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
คุณวิชุดาเดินลงเรือนไป….
“คุณยะ….”
หมอนั่นยิ้มให้ผมบาง ๆ “คุณเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไม….”
“…แต่ถึงคุณจะดึงผมเข้ามาเป็นข้ออ้างก็เถอะ คุณคิดเหรอว่าเธอจะยอม”
“คุณไม่ใช่ข้ออ้าง”
ไม่ใช่…ข้ออ้าง… หมายความว่ายังไง?
“ช่างเถอะ… ว่าแต่คุณกินอะไรรึยัง?”
“คุณธรยังไม่ทานอะไรเลยครับ ผมยกมาให้ก็บอกว่าเดี๋ยวจนเย็นแล้วก็ยังไม่ยอมทาน” ป๋องรายงานเสร็จสรรพ
โธ่~ ก็หนังสือกำลังสนุกนี่นา…
“งั้นเราออกไปหาอะไรกินกันข้างนอกดีกว่า เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” หมอนั่นไม่รอฟังคำตอบผมลากผมลงเรือนทันที เฮ่อ~…ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ
เวลาผ่านมาหลายวันนับจากวันนั้น ผมก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะได้เจอคุณวิชุดาอีก ก็เพราะเวลานี้มันเป็นเวลาที่หมอนั่นไม่อยู่น่ะสิ
“สวัสดีคุณพสุธร พอจะมีเวลาว่างมั้ย? ฉันอยากจะคุยด้วยซักหน่อย”
“เชิญนั่งสิครับ”
เธอนั่งลงตรงหน้าผม รอให้ต้องเอาน้ำมาเสิร์ฟจนถอยไปไกลแล้วถึงได้พูดต่อ
“ฉันอยากจะคุยเรื่องของคุณกับคุณยะ”
“เรื่องของผม?” ผมว่าที่จริงเธอน่าจะไปคุยกับหมอนั่นมากกว่าผมนะ
“ฉันอยากให้คุณเลิกกับคุณยะ เพราะถึงคุณทั้งสองคนจะแต่งงานกันได้แต่ก็ไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้อยู่ดี แล้วเรื่องระหว่างผู้ชายด้วยกันจะยั่งยืนไปซักแค่ไหนกัน แต่ฉัน…ฉันสามารถมีลูกให้เขาได้ ฉันกับเขาสามารถสร้างครอบครัวสร้างฐานะที่จะเป็นใหญ่ในธุรกิจได้….”
เธอเริ่มพูดอีกยืดยาว แต่สิ่งที่เธอพูดมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างคนสองคนเลย มีแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ยิ่งได้ฟังผมยิ่งรู้สึกโมโห ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณยะถึงไม่อยากแต่งงานกับเธอนักหนา
“คุณวิชุดา…” ผมแทรกขึ้นมาบ้าง ถ้ารอเธอหยุดพูดเองผมคงจะรอไม่ไหว
“ถ้าคุณคิดว่าคุณจะแต่งงานกับคุณยะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้นล่ะก็ คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณยะจะไม่เลือกคุณอย่างแน่นอน แล้วผมจะขอบอกอะไรบางอย่างให้นะคุณวิชุดาสิ่งที่ผมกับคุณยะมีให้กันคือความรัก ไม่ใช่แค่ความใคร่และผลประโยชน์ ผมไม่ใช่คุณที่หายใจเข้าออกเป็นตัวเงิน…”
“คุณแน่ใจเหรอว่าคุณไม่ได้หวังเงิน คนทุกคนทำสิ่งที่หวังผลประโยชน์กันทั้งนั้นล่ะไม่ว่าจะเงินหรืออนาคต…”
“เพราะคุณคิดอย่างนี้สินะคุณถึงได้เห็นว่าคนอื่นจะเป็นอย่างคุณ”
“…….”
“ใช่!~ ผมอยู่กับคุณยะเพราะหวังอนาคต แต่ผมหวังถึงอนาคตที่จะอยู่กับคนรักอย่างมีความสุขไม่ใช่อนาคตที่ร่ำรวยและสุขสบาย ต่อให้คุณยะเป็นขอทานผมก็สามารถรักเขาอยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่าได้ คุณคิดแบบผมมั้ยล่ะ?…”
“……….”
“ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น ผมอยากให้คุณคิดถึงความรู้สึกและคุณค่าในตัวเองของคนอื่นบ้างนะ เงินไม่ใช่ของที่จะบันดาลได้ทุกสิ่งที่ต้องการ เงินไม่สามารถซื้อน้ำใจของคนบางคนได้และเงินก็ไม่สามารถซื้อความสุขของคนบางคนได้ แม้คนบางคนยอมให้คุณเหยียบหัวได้เพราะความยากจน แต่คนยากจนบางคนก็ถือศักดิ์ศรีไว้เหนือหัวไม่ยอมให้คุณเหยียบหัวได้หรอกนะ คุณพูดว่าคุณสามารถสร้างครอบครัวสร้างฐานะเพื่อเป็นใหญ่ทางธุรกิจได้ แต่คุณลืมไปรึเปล่า?…ลูกของคุณที่จะเกิดมา แกไม่ใช่บริษัท แกไม่ใช่หุ่นยนต์ที่คุณจะบังคับให้แกเดินไปไหนมาไหนหรือบังคับจิตใจแกได้ สิ่งที่เด็กต้องการจากครอบครัวคือความรัก แล้วคนที่เป็นแม่เห็นเงินเป็นใหญ่แบบคุณจะให้ความรักกับเด็กไร้เดียงสาที่จะเกิดมาได้ยังไง”
“ไม่ว่าคุณจะพูดได้สวยหรูยังไงก็เถอะคุณธร แต่ความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องพึ่งเงินทองกันทั้งนั้น เมื่อถึงเวลาไม่มีกินไม่มีใช้ขึ้นมาฉันก็เห็นใครต่อใครพากันยอมทุกอย่างเพื่อเงินกันทั้งนั้น”
“กับคนอื่นผมไม่รู้แต่กับผมเงินมันก็แค่โลหะเท่านั้น ต่อให้ผมไม่มีมันติดตัวซักชิ้นเดียวผมก็อยู่ได้อย่างมีความสุขถ้าผมมีคนรักอยู่ใกล้ ๆ”
“ฉันจะคอยดู”
“แล้วคุณจะเห็น”
คุณวิชุดาลงเรือนไป เธอโกรธ ใช่!~ ผมรู้ว่าเธอโกรธผม และผมก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น
ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่เป็นแบบนี้มาก่อน ผู้หญิงที่เห็นเงินยิ่งกว่าความสุขในชีวิต แค่ชีวิตตัวเองยังไม่พอยังคิดจะทำให้ชีวิตของลูกตัวเองต้องไร้ความสุขเหมือนตนอีก เธอคิดอย่างนี้ได้ยังไง? คนที่เลี้ยงดูเธอให้เติบโตขึ้นมานี่เลี้ยงเธอด้วยเงินทองหรือไงกัน ไม่เคยให้ความรักความอบอุ่นหรือแม้แต่ความสุขในชีวิตกับเธอเลยหรือยังไง?
วันนี้หมอนั่นกลับบ้านเร็วกว่าปกติ พอถามก็บอกว่าอยากกลับเร็วขึ้นมาซะเฉย ๆ อย่างนั้น พิลึกคน
“คุณยะครับวันนี้….” ต้องเตรียมเข้ามารายงาน
“ต้อง!…” พอผมดุต้องก็หยุดพูด
“มีอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ต้อง พูดมา…” หมอนั่นไม่ยอมเชื่อจะเค้นเอาคำตอบจากต้องให้ได้
ต้องก็หันไปหันมาทำหน้าลำบากใจเพราะผมจ้องหน้าเขาอยู่
ผมแน่ใจว่าถ้าหมอนั่นรู้ว่าวันนี้คู่หมั้นของเขามาหาเรื่องผมถึงที่นี่เขาคงจะไม่ยอมให้เรื่องจบง่าย ๆ แน่ แล้วจะต่อความไปทำไม ทำให้เรื่องมันจบง่าย ๆ ซะไม่ดีกว่าเหรอ
“ต้อง…” หมอนั่นยังคงขู่
“…ขอโทษด้วยครับคุณธร… คุณยะครับ วันนี้คุณธรไม่ยอมฟังคำเตือนของคุณยะที่ไม่ให้ลงไปเดินเล่นในสวน วันนี้พอคุณธรลงไปเดินเล่นข้างล่างไอ้คนใช้บ้านข้าง ๆ มันมาปีนรั้วแซวกันใหญ่ คุณยะช่วยห้ามทีเถอะครับ”
อ้าว!~ ต้อง… ผมก็เข้าใจหรอกว่าเบี่ยงประเด็นแต่ทำไมหาเชือกมารัดคอผมแบบนี้ล่ะ
“นี่คุณลงไปอีกแล้วเหรอ!? ผมว่าผมเคยห้ามคุณแล้วนะว่าไม่ให้ไปเดินแถวนั้น หมาข้างบ้านมันดุมันจะเห่าเอา”
เฮ่อ!~ ผมล่ะอยากกุมขมับซะจริง ๆ
ใช่ครับ!~ เด็กรับใช้บ้านข้าง ๆ ชอบมาปีนรั้วดูผมเวลาผมไปเดินดูต้นไม้ในสวน เจอทีไรก็ชวนคุยบ้างเอาขนมมาให้กินบ้าง ก็มีนิดหน่อยตามประสาเด็กผู้ชายกำลังคะนองที่แซวบ้างแต่ก็ไม่ได้ลามปามอะไรมากมาย แต่หมอนี่ก็ไม่ยอมให้ผมลงไปคุยกับพวกเขาอีกจนออกคำสั่งห้าม
“คุณยะ~… พวกเขาเป็นเด็กนะ”
“เป็นเด็กก็ห้าม!!”
ผมอยากให้ใครช่วยเอากระถางต้นไม้ตีหัวหมอนี่ที จะได้หายบ้า
“ถ้าผมรู้ว่าคุณลงไปเดินในสวนอีกผมจะให้ต้องรื้อสวนซะคุณจะได้ไม่ต้องลงไปเดินให้หมามันเห่า”
“คุณยะ!!!”
หมอนั่นลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ฟังอะไรอีก
“ต้อง!!” ผมหันไปเล่นงานตัวต้นเหตุ
“ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้คุณธรลงไปเดินจริง ๆ นี่ครับ เด็กพวกนั้นมันเอาเรื่องคุณธรไปคุยเล่นกันสนุกปาก พวกเราทุกคนรักคุณธรนะครับ เราไม่อยากให้คุณธรต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านต่อไปอีก”
เขางัดไม้นี้ออกมาผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงได้ ความหวังดีที่ได้รับด้วยความจริงใจเราจะปัดทิ้งได้ยังไง
“เอาเถอะ ผมจะไม่ลงไปอีกต้องจะได้ไม่ต้องรื้อสวน แล้วก็ขอบคุณมากที่ต้องไม่พูดเรื่องวันนี้ออกไป”
“ผมอยากจะบอกคุณยะครับ… ถ้าคุณธรไม่อยากให้บอกผมก็จะไม่บอก แต่ถ้าคราวหน้าเขามาหาเรื่องคุณธรแบบนี้อีกผมไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แล้วนะครับ”
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรหรอก เชื่อผมเถอะ ต้องไปทำงานต่อเถอะ”
“ครับ” ต้องลุกลงเรือนไป
ผมก็เข้าใจหรอกว่าต้องเป็นห่วงผม แต่ผมไม่อยากให้หมอนั่นรู้เรื่องนี้ ถ้ารู้หมอนั่นจะยิ่งเป็นห่วงหนักจนไม่ยอมไปทำงานทำการแน่ ๆ อีกอย่าง เรื่องน่าอายแบบนี้พูดไปได้ยังไง ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ……