ฮ่วย!!
นั่งจัดหน้าอยู่ตั้งนาน
เน็ตดันเอ๋อ หายไปหมดเลย
ต้องมาจัดใหม่
ชีส 2 โดย mamหลังวาเลนไทน์แต่ละคนก็หน้าแป้นหน้าเหี่ยวไปตาม ๆ กัน ดูตัวอย่างได้จากใกล้ ๆ ตัวผมนี่ ไวยิ้มอารมณ์ดีทั้งวันเพราะได้กุหลาบจากสาว ๆ เป็นเข่ง กิตแม้จะได้กุหลาบน้อยทั้ง ๆ ที่แจกไปเป็นเข่งเหมือนกันแต่ก็ยังวางใจเพราะยังมีน้องเอ๋อไว้เป็นทุน ที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะไม่พ้นอัศเพราะไม่ว่าจะแจกกุหลาบไปเท่าไหร่สาว ๆ ก็ยังมองเมินอยู่ดี แต่ที่มาเมียงมองก็เห็นจะเป็นรุ่นพี่ม. 3 ห้อง 2
ไวบอกว่าอัศต้องคอยระวังไม่ให้พี่เขาจับกินเอาได้ อัศเองก็เคยคุยกับผมว่าไม่ได้รังเกียจอะไรพี่เขาหรอกเพียงแต่ว่าถ้าพี่เขาเป็นผู้หญิงก็จะยินดีต้อนรับมากกว่านี้ ครับ! พี่เขาเป็นผู้ชายแต่เขาไม่ได้ตุ้งติ้งนะครับ ไวบอกว่าดูเหมือนพี่คนนี้แกจะเป็นเสือไบมากกว่า ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเสือไบคืออะไร? แต่พ่อคนรู้ดีก็ไม่ยอมอธิบายต่อ และในวาเลนไทน์ปีนี้จำนวนกุหลาบไม่กี่ดอกที่อัศได้มานั้นก็มีช่อใหญ่ที่สุดของพี่เขารวมอยู่ด้วย
“น้องเฉื่อยครับ…” พี่ต่อมายืนเรียกหน้าห้องอีกแล้ว พี่ต่อมาทีไรไวเป็นต้องหน้าหงิกทุกที
“ครับ?”
“เย็นนี้พี่อยากคุยด้วยหน่อย เลิกเรียนแล้วพี่จะรอที่ห้องสมุดนะครับ” พี่ต่อเดินไปเลยไม่รอฟังคำตอบ ทำไมแต่ละคนชอบคิดเอาเองกันแบบนี้นะ
“จะไปเหรอ?” เสียงไวถามดังจากข้างหลัง พอหันไปดูก็ชนเข้าเต็ม ๆ จนแทบจะหงายหลัง ไม่รู้ว่าไวมายืนเท้าแขนซ้อนหลังผมอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ็บจมูกเลยแฮะ
“ก็ไม่รู้ว่าพี่เขาจะคุยอะไร อาจจะมีธุระสำคัญก็ได้”
“……….” ไวเงียบไปเหมือนคิดอะไรซักอย่าง
“เดี๋ยวเย็นนี้เราไปเป็นเพื่อนนะ จะรออยู่หน้าห้องสมุด” ไวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ
ที่จริงจะกลับก่อนก็ได้นี่นา แต่เอาเถอะ อยู่รอก็ดีเพราะตอนเย็น ๆ รถเมล์จะแน่นผมเบียดกับใครไม่ค่อยไหวต้องให้ไวคอยช่วยกันให้ทุกที
พอเลิกเรียนผมก็เก็บของเตรียมไปห้องสมุด อ๊ะ!!!….
“หาอะไร?” ไวถามเมื่อเห็นผมก้มหาของอยู่ไม่เงยหน้า
“สมุดหาย….” สมุดวิชาคณิตศาสตร์ของผมมันหายไป จำได้ว่าตอนเที่ยงผมทำการบ้านล่วงหน้าไว้แล้วเก็บไว้ใต้โต๊ะนี่นา
“ใครมันเอาไปลอกรึเปล่าลองหาดูซิ”
หาเหรอ?…. ห้องไม่ใช่แคบ ๆ นักเรียนทั้งห้องกว่าเจ็ดสิบคนเมื่อไหร่จะหาเจอล่ะ?”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
“ก็ถ้าหาแล้วเมื่อไหร่จะเจอ พี่ต่อนัดไว้ด้วย”
“ถ้างั้นชีสก็หาไปก่อนเดี๋ยวเราไปบอกพี่เขาให้ว่าชีสไม่ว่างมา”
“แต่…..” ไวไม่รอฟังความเห็นเดินไปทางห้องสมุดทันที หาเหรอ…… หาก็ได้
ผมทิ้งตัวนั่งหมดแรง หาจนทั่วแล้วก็ยังหาไม่เจอ ไม่รู้ว่าเผลอเอาไปวางไว้ที่ไหนรึเปล่า
“น้องเฉื่อย!!” กิตเดินกลับมาที่ห้องเรียกชื่อผมเสียงดัง
“นึกว่ากลับไปกับไอ้ไวแล้วซะอีก”
“ก็จะกลับอยู่แล้วล่ะแต่หาสมุดไม่เจอ”
“สมุดอะไร?” กิตทำคิ้วขมวด
“สมุดการบ้านคณิต”
พอบอกกิตก็ทำคิ้วขมวดหนักกว่าเดิม
“อ้าว! ไอ้ไวไม่ได้บอกเหรอว่าเราเอามา!?~” อ้าว!~
“ไม่เห็นบอกอะไรเลย”
“ก็ไวมันบอกว่าเห็นน้องเฉื่อยทำการบ้านเมื่อตอนกลางวันแล้วไม่แน่ใจว่าทำถูก บอกให้เราเอากลับไปดูให้หน่อย มันว่ามันจะบอกน้องเฉื่อยเอง ….สงสัยมันลืมล่ะมั้ง”
อย่างนั้นเองเหรอ… ผมก็ใจแป้วนึกว่าสมุดหายซะแล้ว ไวก็ขี้ลืมจังน่าจะบอกกันตั้งแต่เนิ่น ๆ
“โธ่!~ เราก็นึกว่าสมุดหาย ขอบใจนะ เอ้อ! แล้วกิตกลับมาทำอะไรล่ะ?”
“ลืมเอาบอลไปคืนภาควิชาพละน่ะ ไอ้ไวล่ะ?” กิตเดินเข้ามาหยิบลูกบอลใต้เก้าอี้ บ้าบอลกันจริง ๆ เลยพวกนี้
“ไปหาพี่ต่อให้แทนเราน่ะ พอดีพี่ต่อนัดไว้แล้วเราหาสมุดไม่เจอ ไวก็เลยไปบอกพี่เขาให้ว่าเราไม่ว่าง” กิตทำหน้าแปลก ๆ แล้วก็หัวเราะ
“แผนสูงชิบเลยไอ้บ้านี่” พวกนี้ทำตัวแปลกเข้าไปทุกวัน
“น้องเฉื่อยถือกระเป๋าไปรอมันที่ห้องสมุดเถอะ ป่านนี้คงเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“เรียบร้อย?”
“น่า ๆ ~ ไปเถอะ” กิตหยิบกระเป๋ายัดใส่มือผมแล้วก็ดันหลังผมออกจากห้อง อะไรกันน่ะไม่เห็นเข้าใจเลย
ผมเดินมาถึงห้องสมุดก็เห็นไวกำลังคุยอะไรกับพี่ต่ออยู่ก็ไม่รู้
“ไว…..” ไวหันมายิ้มให้ผมแล้วก็ชะโงกหน้าไปกระซิบอะไรกับพี่ต่อก็ไม่รู้
“พี่ต่อ!?” พี่ต่อหันมามองผมทำหน้าแปลก ๆ แล้วก็เดินสวนออกไปเฉยเลย
“อ้าว!?~ ไม่คุยธุระแล้วเหรอ?”
“เราคุยแทนให้แล้วล่ะ ‘เรียบร้อย’ แล้วกลับบ้านกันเถอะ” ไวจูงมือผมเดินออกจากโรงเรียน พวกนี้คิดอะไรกันพูดอะไรกันผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำตัวแปลก ๆ กันทุกคน
แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นมาพี่ต่อก็ไม่มาเรียกผมไปคุยอีกเลย เจอกันที่ชมรมก็ทำเมิน ๆ เลี่ยง ๆ ที่จริงก็ดีเหมือนกันไม่งั้นไวก็ทำหน้าหงิกซักไซ้เรื่องพี่ต่อไม่รู้จักหยุด
สอบ น่าจะเป็นเทศกาลที่วุ่นวายสำหรับนักเรียน แต่ไม่ใช่สำหรับคุณว่องไว คุณกิตติ และคุณอัศวิน เพราะวันหยุดที่ทางโรงเรียนให้เพื่อดูหนังสือคุณชายทั้งสามไม่รู้ไปเหมาดอกไม้ไฟที่ไหนมาเป็นลัง ๆ
“ไอ้กิต! ตรงโน้นมึงติดดี ๆ สิวะ ดูเด๊ะหลุดมาถึงตรงกูแล้ว!”
“มึงก็ไปติดเองสิวะไอ้บ้า! ยืนแขวนอย่างนั้นกูก็เมื่อยเหมือนกันนะ”
“มึงสองตัวหยุดกัดกันซะทีเหอะ กูหนวกหู”
ผมก็ไม่รู้ว่าสามคนนี่เขาคิดจะทำอะไรกัน เมื่อวานนี้ไวเข้ามาขอแม่ผมว่าขอใช้ลานดินข้าง ๆ บ่อจัดงานฉลองอะไรกันก็ไม่รู้ แน่นอนว่าแม่ผมอนุญาต ผมว่าถ้าไม่อนุญาตนี่สิแปลก
“ไม่อ่านหนังสือสอบกันเหรอ?” พอผมถามไวก็ยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องอ่านหรอกเดี๋ยวสอบได้เกินหน้าเกินตาเพื่อน ๆ อีกอย่างสอบวันสุดท้ายแล้วอ่านไปก็ไม่มีผลหรอก”
“ก็มึงมันอัจฉริยะนี่หว่า มึงไม่ต้องอ่านแล้วพวกกูล่ะ” กิตบ่นแล้วถีบไวเบา ๆ
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะผมไม่เคยเห็นกิตสอบได้ต่ำกว่าที่สามซักที กิตกับอัศมักจะสอบได้ที่สองและที่สามสลับกันไปมา ส่วนคนสอบได้ที่หนึ่งก็โน่นเลยครับนั่งผูกสายชนวนพลุอยู่โน่น
กิตกับอัศเองก็เป็นสองคนในไม่กี่คนที่ไม่ยอมสอบย้ายห้อง เหตุผลก็คงเพราะไม่อยากห่างเพื่อน ทั้งไว กิต และอัศเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ประถมพอมาเข้าเรียนที่นี่ก็มาด้วยกัน ในกลุ่มนี้มีแต่ผมที่อยู่ต่างโรงเรียนแล้วมาสอบเข้าที่นี่ แต่เพื่อน ๆ ไม่เคยทำให้ผมต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเลย ตลอดเวลาผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นเพื่อนสนิทกับพวกเขามาหลายปีเหมือนกัน
ก่อนเข้าห้องสอบพวกไวยังวิ่งเตะบอลกันอยู่เลย ไม่ห่วงคะแนนสอบบ้างรึไงนะ
“เฮ่อ~ นั่งสอบเมื่อยเป็นบ้า” ไวบ่นเดินบิดขี้เกียจออกมาจากห้อง
“สอบชั่วโมงเดียวบ่นหาอะไรวะ” กิตเดินมาถีบก้นไว
สามคนนี่ชอบเล่นกันแรง ๆ แต่ไม่เห็นโกรธกันซักที แล้วก็แปลกที่ทั้งสามคนไม่เคยเล่นแรง ๆ กับผมเลย จะมีก็แต่มาล็อคคอตีเข่าเบา ๆ แล้วก็ต้องรีบวิ่งหนีไวที่วิ่งเข้ามาเตะ แต่ก็ดีแล้วล่ะถ้าพวกนี้เล่นแรงด้วยจริง ๆ ผมก็คงแย่ ตัวเล็กกว่ามากด้วย ไม่รู้สามคนนี้กินข้าวคลุกอะไรถึงได้ตัวโตนัก อยู่แค่ม.ต้นแต่ตัวโตเท่าเด็กม.ปลาย
“ไอ้ไว ตกลงว่าที่นัดกันไว้กูไปแน่ ๆ จะหิ้วของไปด้วย” อัศวิ่งตามมากอดคอไวและกิต
“เออดี!~ ถ้างั้นมึงก็แวะเอา ‘ไอ้นั่น’ มาด้วย” ไอ้นั่น?
“มึงจะบ้าเรอะ ให้กูหิ้ว ‘ไอ้นั่น’ คนเดียวเนี่ยนะ ไม่ไหวหรอกเละหมด” ไอ้นั่นมันคืออะไร? เละได้ด้วย?
“เออ ๆ ก็ได้วะ ไปเอาทีหลังกันก็ได้” ผมไม่เข้าใจว่าสามคนนี้พูดอะไรกัน แต่ถ้าถามก็คงไม่ตอบหรอกทำท่ามีลับลมคมในกันแบบนั้น ไม่ถามก็ได้
หลังจากสอบเสร็จก็จะเป็นเวลาปิดเทอมยาวสามเดือน สามคนนั่นหอบของมาที่บานผมพะรุงพะรังตั้งแต่เย็น
“แม่ผมขอยืมครัวหน่อยนะคร้าบบบบ” กิตหอบของเยอะแยะวิ่งเข้าครัว ผมเห็นท่าทางทำกับข้าวเก้ ๆ กัง ๆ แล้วก็สงสาร
“ให้เราทำให้มั้ย?”
“ไม่ต้องจ๊ะ ไม่ต้อง น้องเฉื่อยไปนั่งเฉย ๆ เลยนะจ๊ะ ไม่ต้องลุกมานะ” กิตดันผมกลับมานั่งแล้วก็วิ่งกลับเข้าครัวไปอีก
อะไรของเขาเนี่ยจะช่วยก็ไม่ให้ช่วย เดินไปดูทางอัศก็ทุลักทุเลพอกัน นั่งย่างกุ้ง ปู ไปก็สะบัดมือไป พอจะเข้าไปช่วยก็ให้ออกมาอีก ยิ่งไวยิ่งแล้วใหญ่วิ่งทำโน่นทำให้วุ่นวายไปหมด
กว่าจะเสร็จก็เริ่มค่ำเข้าไปแล้ว พอเสร็จทั้งสามคนก็ออกไปข้างนอกด้วยกันหมด ตอนแรกผมก็ไม่คิดจะสนใจหรอกแต่ดู ๆ ไปแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ชักจะสงสัย
จนสามทุ่มแล้วสามคนนั่นก็ยังไม่กลับ
“ชีสไม่ไปอาบน้ำล่ะลูก ค่ำแล้ว”
ปกติประมาณทุ่มหนึ่งผมก็อาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้วแต่นี่ผมเป็นห่วงสามคนนั่น ป่านนี้ไม่ไปทะเลาะกับใครแล้วโดนเขาตีเอาหมกข้างทางไปแล้วเหรอ
“ไปอาบน้ำเถอะไป เดี๋ยวสามคนนั่นเขาก็กลับมากันเองล่ะ”
ผมยอมลุกไปอาบน้ำตามที่แม่บอก พออาบเสร็จก็ได้ยินเสียงรถจอดหน้าบ้านพร้อมกับเสียงด่ากันอันคุ้นเคย พอจะเดินออกมาถามว่าไปไหนมาไวก็รีบเดินมาปิดตาผม
“อะไร!!?”
“ความลับจ๊ะ ชีสขึ้นไปข้างบนก่อนดีกว่านะ” ไวลากผมขึ้นมาบนห้อง
“อะไรกันน่ะ ชักโมโหแล้วนะ ทำอะไรกันก็ไม่บอกจะช่วยก็ไม่ให้ช่วย” ผมเริ่มโวยบ้างแล้วหลังจากอดกลั้นมานาน
“น่า ๆ ใจเย็น ๆ นะจ๊ะ ชีสคนดี๊คนดี จำได้มั้ยเอ่ยว่าวันนี้วันอะไร?”
“วันอะไร? วัน…..” วันนี้วันอะไรนะ?
“วันพระ….” ไวทำหน้าผิดหวัง
“ไม่ใช่สิ สำคัญกว่านั้นอีก” สำคัญกว่านั้นเหรอ ผมหันไปมองปฏิทิน
“วันเสาร์”
“ไม่ใช่”
ไม่ใช่อีกแล้ว วันอะไรล่ะ? พอจะพามไวก็หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
“พอดีกว่า ไม่ให้ทายแล้ว ไปกันเถอะ” ยังไม่ทันได้ถามว่าไปไหนไวก็ลากผมลงมาข้างล่างแล้วก็เอาผ้าผูกตาผม
“เดินตามมาดี ๆ นะ” เสียงกำกับบอกตลอดเวลา ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้แค่เดินตามไปเงียบ ๆ เท่านั้นเอง
“ยกเท้าสูงหน่อย” ไวบอกให้ผมยกขาเหมือนข้ามอะไรซักอย่างพร้อมกับเอามือดันขาผมให้ยกสูงเข้าไว้
“เอาล่ะนะ 1….2….3…..” แล้วไวก็แก้ผ้าผูกตาผมออก
ทันทีที่ผ้าหลุดเท่านั้นแสงไฟก็สว่างวาบเข้าตาผม แสงไฟหลากสีและเสียงดังของดอกไม้ไฟดังก้องไปทั่วลาน
“สุขสันต์วันเกิดน้องเฉื่อยจ้า” เสียงกิตกับอัศดังอยู่ข้างหลังผม
“คนอะไรจำวันเกิดตัวเองไม่ได้แต่จำวันพระได้” ไวเอาแขนเท้าบนหัวผมมองดอกไม้ไฟด้วยกัน วันเกิดผมเหรอ? ไวส่งกล่องของขวัญให้ผม
“ของขวัญวันเกิด ทำเองนะ” ผมลองแกะออกดูเห็นเป็นที่คั่นหน้าหนังสือทำจากโลหะอะไรซักอย่างขัดมันแววาวเขียนตัวหนังสือภาษาจีนที่ผมอ่านไม่ออก
“ของขวัญจ้าน้องเฉื่อย” กิตและอัศส่งของขวัญให้ผมอีกคนละกล่อง เป็นกล่องเก็บซีดีทำจากโลหะเหมือนกัน สมกับที่เรียนอุตสาหกรรมศิลป์โลหะจริง ๆ พวกนี้
“ดอกไม้ไฟสวยมั้ย?” ไวยิ้ม ๆ ถามผม
“กะจะให้ตาบอดเลยรึไง?” สามคนนั่นหัวเราะแหะ ๆ
“แต่ก็ขอบคุณมากนะ” พอผมยิ้มให้ทั้งสามคนนั่นก็เงียบไป กิตเอามือชี้แก้มตัวเอง
“อะไร?”
“ขอบคุณตรงนี้ดีกว่า” หา!!?
“ไอ้กิต มึงไม่ต้องมาลามปามน้องเฉื่อยของกู ไปลามน้องเอ๋อของมึงโน่น” ไวไล่ถีบกิตเป็นการใหญ่
“ไอ้กิตไม่ได้แต่กูได้นี่หว่า กูยังไม่มีเป็นตัวเป็นตน” อัศก็พูดแปลก ๆ
“ไม่ได้โว้ย!!! เดี๋ยวพ่อถีบให้” ไววิ่งกลับมากอดคอผมยกเท้าจะถีบอัศอีกคน อะไรของพวกนี้กันเนี่ย?
แล้วผมก็ได้รู้สาเหตุที่พวกนี้หายไปด้วยกัน เค้กรูปหนังสือก้อนโตสีขาวเขียนด้วยตัวหนังสือสีเขียววางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ คิดว่าคงจะช้าตอนถือกลับมานี่เอง ดอกไม้ไฟเริ่มดับหมดแล้วเรากินของที่ทำขึ้นมาอย่าง….อร่อย? ผมว่าถ้าผมทำเองรสชาติอาจจะดีกว่านี้ แต่ก็เถอะ…น้ำใจเพื่อนรักอร่อยกว่าของที่ไปซื้อตามภัตตาคารเสียอีก
ก็เป็นอย่างที่ผมเคยบอก บางทีผมอาจจะเป็นลูกลุงวิทย์ก็ได้ ลุงวิทย์มารู้จากไวทีหลังว่าวันเกิดของผมผ่านมาแล้วก็เลยจัดฉลองย้อนหลังให้ผมวันต่อมาแทน ถึงกับโทรไปขอแม่ผมว่าขอให้ผมมาค้างที่บ้านซักคืน และมันก็จะแปลกมากถ้าแม่ผมไม่อนุญาต
ลุงวิทย์สั่งอาหารมาซะมากมายจนผมไม่แน่ใจว่าเราสามคนจะกินกันหมด รวมถึงของขวัญกล่องใหญ่มากห่อกระดาษสีทอง พอเปิดดูก็เจอพจนานุกรมเล่มเท่าสมุดโทรศัพท์ หนังสือความรู้ทั่วไปอีกเล่มและหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับสมบูรณ์ คิดว่าลุงวิทย์รู้จากไวเหมือนกันว่าผมชอบหนังสือ
“โหพ่อ!~ ทีวันเกิดผมให้สตั๊ดคู่เดียวเอง”
“แล้วคู่หนึ่งมันไม่ได้มีสองข้างรึไงกัน ชีสอยากได้ของที่เป็นชิ้นเดียวก็ให้หลายชิ้นหน่อยสิ แกอย่ามาบ่นมากเดี๋ยววันเกิดปีนี้จะอดซะ ชีส…ปีหน้าอยากได้อะไรลูก?” ลุงวิทย์หันมาถามผมยิ้ม ๆ
“อะไรอ่ะ!~ รักลูกไม่เท่ากัน” ไวโวยวาย
“แน่นอน พ่อต้องรักลูก……มากกว่าลูกตัวของตัวเองอยู่แล้ว” ลุงวิทย์หันไปพูดอะไรซักอย่างกับไวด้วยเสียงเบามากจนผมไม่ได้ยิน แต่ก็ทำให้ไวนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลิกโวยวายได้ ….แปลก… ลุงวิทย์พูดอะไร?
ตั้งแต่รู้จักกันมาปีหนึ่งผมไม่เคยเห็นไวป่วยเลย เพิ่งจะวันนี้แหล่ะ หลังจากที่ไปเล่นสาดน้ำสงกรานต์มาซะจนตัวดำปิ๊ดปี๋ไวก็เป็นหวัดนั่งหน้าแดงอยู่ที่บ้านผม เทศกาลทั้งทีแต่ลุงวิทย์ก็ยังทำงาน เอาลูกชายมาฝากไว้ที่บ้านผมแล้วก็ไปต่างประเทศ
ผมเองปีนี้ก็ไม่ได้ไปไหน จะไปไหว้ตากับยายท่านก็ไม่อยู่ให้ไหว้ ไปเที่ยวฮ่องกงกับคณะทัวร์ฉลองเทศกาลไทย ทำให้ปีนี้ผมต้องอยู่บ้านคอยดูแลลิงยักษ์ที่ป่วย
“ชีส… ปวดหัว” นายขี้อ้อนนี่ร้องจะเอานั่นเอานี่มาตั้งแต่เช้า
“ยาก็กินแล้วไง นอนสิจะได้หาย”
“ชีสก็มานอนด้วยกันสิ นะ…นอนคนเดียวมันเหงา”
ไวมานอนห้องผมเพื่อที่ผมจะได้สะดวกในการดูแล
“เราไม่ได้ป่วยนี่ ไวก็นอนไปสิจะได้หายเร็ว ๆ”
“น่าชีสน่า…. มานอนด้วยกันนะ นะ….”
ผมจำใจปิดหนังสือที่ลุงวิทย์ให้แล้วมานั่งข้างเตียง
“เอ้า!~ นอนซะ”
ไวขยับตัวลงนอนยิ้ม ๆ เอามือผมไปซุก ผมเลยหยิบหนังสือหัวเตียงมาอ่านไม่ได้เลย นั่งไปได้ซักพักก็เริ่มง่วงบ้างเลยพิงหัวเตียงหลับตาซักหน่อย
ผมตั้งใจว่าจะหลังตาหน่อยเดียวแต่เผลอหลับไปจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีผมก็ลงมานอนข้าง ๆ ไวแล้วแถมยังโดนกอดเป็นหมอนข้างซะอีกด้วย
“ไว….” เรียกแล้วก็ยังไม่ยอมตื่น
“ไวตื่น….”
“อือ….” ยังมาอืออีก
“ไวตื่นได้แล้ว ได้เวลากินยาแล้ว”
“…ไม่อยากกิน”
“ไม่กินแล้วเมื่อไหร่จะหาย”
“……….” ไวขยับตัวเข้ามากอดผมแน่นขึ้นเอาหน้าซุกหัวผม
“ถ้าไม่ลุกมากินยาดี ๆ ก็กลับไปนอนที่ห้องตัวเองโน่นไป”
“โธ่ชีสอ่ะ อย่าโกรธสิ กินก็ได้…” ไวยอมลุกขึ้นมากินยาเสียที กว่าจะยอมกินก็ทั้งขู่ทั้งปลอบกันอย่างกับเด็กเล็ก ๆ
วันนี้วันเกิดไว ถ้าลุงวิทย์ไม่พูดผมก็คงไม่รู้เพราะไวไม่ยอมบอก ผมก็แปลกใจว่าลุงวิทย์เรียกมาเลี้ยงฉลองในโอกาสอะไร
“ทำไมไม่บอกว่าวันเกิด?”
“ก็ถ้าบอกชีสก็คงจะต้องหาของขวัญมาให้แน่ ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ เราไม่ได้อยากได้นี่นา แค่วันเกิดทั้งทีแล้วได้อยู่กับชีสก็พอแล้ว” มันน่าดีใจตรงไหนกันวันเกิดทั้งทีไม่ได้ของขวัญแต่ต้องมาอยู่กับเพื่อนเนี่ย
ลุงวิทย์ซื้อเสื้อที่มีลายเซ็นของนักฟุตบอลชื่อดังให้ไว เป็นนักฟุตบอลที่เห็นว่าดังมากแต่ผมไม่รู้จัก ผมเองจะไม่ให้อะไรไวเลยก็รู้สึกกระไรอยู่ก็เลยชวนไวออกไปหาของที่ไวอยากได้ด้วยกัน ผมนึกว่าไวจะอยากได้ลูกฟุตบอลซักลูกหรือว่าอยากได้ของที่เกี่ยวกับฟุตบอล แต่สิ่งที่ไวอยากได้ก็คือหมอน หมอนไยสังเคราะห์ที่สกรีนหน้าเราสองคนไว้บนปลอก แค่หมอนเอง อยากได้อะไรแปลก ๆ
ช่วงเวลาตลอดปิดเทอมไวป้วนเปี้ยนอยู่กับผมจนใครต่อใครล้อ เปิดเทอมก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่และดูเหมือนจะหนักว่าเดิม คราวนี้ถึงกลับย้ายโต๊ะมานั่งติดกับเลยทีเดียว
“วู้!!~ ร้อนโว้ยร้อน!” เสียงอัศตะโกนมาจากหลังห้อง
“ร้อนก็ออกไปหอนหน้าห้องโน่นไป๊!” ไวตะโกนตอบกลับบ้าง
“ไอ้กิตกูมองไม่เห็นกระดานเลยว่ะ”
“ทำไมวะ!?” กิตยิ้ม ๆ ถามเป็นลูกคู่
“สงสัยไฟมันบังตา ไฟพิศวาส….”
“ฮ่า ๆๆๆๆ” เสียงเราะกันครืนทั้งห้อง พวกนี้กินยาลืมเขย่าขวดกันรึไง เพี้ยนทั้งห้อง
พออาจารย์ที่ปรึกษาเดินเข้ามาทุกคนในห้องก็เงียบสนิท ไหนทางโรงเรียนบอกว่าจะเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาในทุกปีไง
“ไม่ต้องเงียบกันแบบนี้หรอก คำสั่งใหม่ออกมาแล้ว ครูจะต้องเป็นที่ปรึกษาให้พวกลิง ๆ อย่างพวกเธอไปจนกว่าจะจบม.ต้น” เสียงพวกในห้องทั้งโห่ทั้งว้า
“ฝันถึงอาจารย์เพียงจันทร์กันล่ะสิ เสียใจด้วยไอ้หนูทั้งหลายฝันสลายกลางอากาศไปซะเถอะ”
อาจารย์เพียงจันทร์เป็นอาจารย์ที่สาวและสวยที่สุดในโรงเรียน ทั้งสวยทั้งใจดี ดูเหมือนว่าจะกำลังดูใจกันอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาของเรา
“เอ้า! เช็คชื่อ! กนก ติกุล….. ชัยณรงค์ เรืองอยู่….ฯลฯ ธนานันต์ ธีรนิติ….”
อีกแล้ว~ ผมได้แต่นั่งถอนหายใจ ปีที่แล้วก็แบบนี้ ปีนี้ก็ยังแบบนี้อีกนั่นล่ะ ผมไม่ขานชื่อตอบอาจารย์ก็ก้มหน้ามามอง
“อ้าว!~ อยู่แล้วทำไมไม่ขาน?…”
“ก็ไม่ใช่นามสกุลผม” อาจารย์ก้มดูแฟ้มในมือ
“อ้อ! ขอโทษ ๆ ธนานันต์ รัตนวุฒิ ธีรนิติ….”
ผมทำได้แค่ทำใจ ถ้าจะรอให้อาจารย์เรียกนามสกุลผมให้ถูกต้องคงต้องรอเรียนจบ
หลังจากพักเที่ยงสิ่งที่ทำให้พวกเราแปลกใจก็ปรากฏขึ้น รุ่นพี่ม. 3 ที่เคยปิ๊งอัศก็มาหาอัศถึงห้อง คุยกันอยู่พักใหญ่ก็เดินกลับไป
“เออ!~ เขาเรียนต่อที่นี่ แถมยังไปเช่าห้องที่ตึกของแม่กูอยู่ซะด้วย” อัศเล่าให้พวกเราฟังหลังจากที่พี่เขาไปแล้ว
“กูว่าเขาหวังแอ้มมึงแน่ ๆ เลยว่ะ” กิตออกความเห็นคนแรก
“บางทีเขาอาจจะรักจริงหวังฟันมึงก็ได้นะ” ไวต่ออีกคน
“ไม่ไหวว่ะ กูไม่ได้รังเกียจเขาก็จริงหรอก แต่กูอยากมีแฟนเป็นผู้หญิง กูไม่อยากอยู่เผ่าเดียวกับไอ้พวกนี้!~” อัศร้องโวยขึ้นมา
“เผ่าเดียวกัน?”
“ก็เผ่าก….” ไวกับกิตตบหัวอัศดังป้าบก่อนจะพูดจบ
“แม่ง!~ อะไรวะพูดความจริงเสือกรับไม่ได้” อัศลูบหัวป้อย ๆ
“อย่ามาพูดความจริงไม่น่ารู้กับน้องเฉื่อยของกู”
“อย่ามารวมน้องเอ๋อของกูเข้าพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“อ๋อ~….. แสดงว่าพวกมึงสองคนจะให้กูดึงน้องทั้งสองของมึงเข้าเผ่าให้ใช่มั้ย? ได้เลยพวก….”
แล้วเพื่อน ๆ ที่น่ารักก็วิ่งไล่เตะกันไปทั่วห้อง บางทีผมก็คิดว่าผมเป็นเพื่อนสนิทกับทั้งสามคนนะ แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าพวกเขาคิดอะไรผมไม่เข้าใจเอาเสียเลย แต่ก็ช่างเถอะไม่ว่าจะคิดอะไรพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมอยู่ดี
“น้องเฉื่อย~….” อืม… เสียงประสานกวนประสาทดังขึ้นข้างหูผมแต่เช้าเลย ลืมตาขึ้นมาก็เห็นคุณชายทั้งสามยืนอยู่สามด้านของเตียง
“ไปดูหนังกัน!”
“ไปดูหนังอะไรแต่เช้า”
“เช้าที่ไหนกัน จะเที่ยงอยู่แล้ว”
ผมหันไปมองนาฬิกา อืม…จะเก้าโมงยี่สิบ สงสัยเมื่อคืนผมจะอ่านหนังสือเพลินไปหน่อยเลยนอนดึกแล้วตื่นสายแบบนี้
“ลุกมาอาบน้ำแต่งตัวไปดูหนังกันนะจ๊ะ”
กิตดึงผมให้ลุกขึ้น ไวจัดการเปิดตู้เสื้อผ้าค้นเสื้อผ้าให้ผม อัศดันผมเข้าห้องน้ำพร้อมเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน ทำงานกันเป็นทีมดีจริง ๆ
ผมเดินลงมาจากห้องด้วยชุดกางเกงยีนส์สีดำกับเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีขาวแขนยาวที่ไวเลือกให้
“ตกลงจะไปดูหนังที่ไหนกันครับคุณชายทั้งสาม?” ผมเพิ่งสังเกตว่าทั้งสามคนแต่งตัวเหมือนกันหมด
“วันนี้เราจะดูหนังมาราธอนกัน” คำตอบประสานเสียงกันอีกเช่นเคย ดูหนังมาราธอนเนี่ยนะ? เมื่อยสายตาแย่ ไวเอาแขนพาดบ่าผมทั้งสองข้างแล้วดันตัวผมออกจากบ้าน
การที่คนสามถึงสี่คนแต่งตัวเหมือนกันเดินไปไหนมาไหนย่อมต้องมีคนมองอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกนี้ ทั้งไว กิต และอัศถือได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีถึงขั้นหล่อเลยด้วยซ้ำ ไวเป็นคนที่มีคิ้วเข้มตาคมคล้าย ๆ ฝรั่ง จะไม่คล้ายได้ยังไงก็ตาของไวเป็นฝรั่ง ป้าออมเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสไทย กิตเป็นคนหน้าตี๋แต่ตาไม่ตี่เหมือนคนจีนทั่วไป ดู ๆ แล้วถ้าไม่รู้จักกันแล้วบอกว่ากิตเป็นดาราฮ่องกงผมก็เชื่อ ส่วนอัศเป็นหนุ่มไทยแท้ ๆ คมเข้มแบบไทย ๆ ถึงจะยังเทียบวินัย ไกรบุตรไม่ได้แต่ถ้าเป็นป๋อ ณัฐวุฒิก็พอสูสี เดินกับพวกนี้ผมจะดูด้อยลงไปถนัดตา ก็ผมมันแค่ลูกชาวสวนธรรมดา ตายายก็ทำสวนทำไร่ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรแค่มองแล้วไม่ผวา แต่พวกนี้ก็เคยเคยอายเวลาที่ไปไหนมาไหนกับผม
ไม่ต้องอธิบายมากมายอะไรเลย แค่ยืนรอซื้อตั๋วหนังก็มีสาว ๆ มองคุณเพื่อนทั้งสามแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันเป็นแถว แต่ดูท่าทางทั้งสามคนไม่ได้สนใจเอาซะเลยสนใจแต่ที่นั่งที่จะปักหลักดูหนังกันเท่านั้นเอง
“เราไปห้องน้ำหน่อยนะ” ผมเดินไปเข้าห้องน้ำพอทำธุระเสร็จเดินออกมาก็เห็นสาว ๆ ยืนอยู่แถว ๆ หน้าห้องน้ำ ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่าง
“น้องครับ…” เสียงเรียกข้าง ๆ ทำให้ผมต้องหันไปมองเป็นผู้ชายตัวโต ๆ ดูแล้วน่าจะเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว
“ครับ?”
“น้องมาดูหนังเหรอครับ?”
“ครับ”
“เพื่อน ๆ ของน้องเด่นทุกคนเลยนะครับเห็นสาว ๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่”
“ครับ”
“มาดูเรื่องอะไรกันครับวันนี้? มีหนังน่าสนุกหลายเรื่องนะครับ”
“ครับ”
“….ตอบแต่ครับอย่างเดียวไม่เบื่อเหรอครับ?”
“ก็จะให้ผมตอบอะไร?”
พี่เขาทำหน้าแปลก ๆ จะว่าขำก็ไม่ใช่ ยิ้มก็ไม่เชิง
“พี่ชื่อตั้มนะครับ น้องชื่ออะไรครับ?”
“ผม….”
“ชีส….”
เสียงไวเรียกที่ด้านหลังพอหันไปก็ชนเข้ากับหน้าอกไวพอดี เจ็บจมูกอีกแล้ว…
“อ๋อ… ชื่อชีสเหรอครับ?” ไวทำหน้าแปลก ๆ
“ผมว่าเพื่อนผมจะชื่ออะไรไม่น่าจะเกี่ยวกับพี่นะ ผมขอตัวพาเพื่อนไปก่อนนะ” ไวลากผมออกมาจากวงสนทนา
“เสียมารยาทนะไว”
“ไม่เห็นเป็นไร เสียมารยาทกับคนโรคจิตบ้างจะเสียหายตรงไหน”
“โรคจิต?” พี่คนนั้นเนี่ยนะโรคจิต?
“ชีสไม่เห็นเหรอ สายตาจ้องเขมือบขนาดนั้น หน้าตาส่อแววเกย์ชัด ๆ แล้วยิ่งหน้าตาหุ่นอย่างชีสด้วยเนี่ย”
“หน้าตาอย่างเราเนี่ยนะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ผู้ชายตัวเล็ก ๆ หุ่นบาง ๆ หน้าตาสะอาดสะอ้านเรียบร้อยแบบนี้เกย์ที่ไหนมันก็ชอบ” อ๋อ~ ตกลงนี่ไวหน้าตาสเป็กผู้หญิง ผมหน้าตาสเป็กเกย์ใช่มั้ยเนี่ย?
เราเดินมาถึงตรงที่กิตกับอัศคอยอยู่แล้วก็ได้เวลาเข้าไปดูหนังกันพอดี นั่งดูหนังหลายเรื่องไวเอามือผมไปหนีบไว้ด้วยตลอดเวลาไม่ยอมปล่อยเลยจนผมนั่งเมื่อยแขน เป็นการดูหนังที่เมื่อยมาราธอนจริง ๆ …..