ตอนที่ ๑๓
ในขณะที่อาทิตย์ฉุดดึงอิทธิไปตามทางมืดสลัว บนเรือนอาทีวิ่งไปเคาะประตูห้องจันทร์จวงเพื่อรายงานสถานการณ์ หญิงเจ้าของไร่ออกมาพบหลานชายรู้สึกตกใจที่เรื่องราวมันบานปลายไปกว่าที่คิด
“ทำไมเรื่องมันถึงวุ่นวายได้ขนาดนี้เนี่ย เฮ้อ ไปๆ อาที พาป้าไปหาอิทธิก่อนที่พี่ชายเราจะทำให้เรื่องมันแย่ลงกว่าเดิม” นางเอ่ยบอกหลานชายคนเล็ก ก่อนเดินตามเจ้าตัวไปยังชานเรือน พร้อมสาวใช้อีกสองคนที่ก่อนหน้าคอยปรนนิบัติในห้องพัก
“อ้าว หายไปไหนกันหมดแล้ว” อาทีเอ่ยขึ้นเมื่อเดินกลับมาตรงที่เดิมแต่ไร้ซึ่งเงาของใคร
“หรือจะแยกย้ายกันไปแล้ว” จันทร์จวงเอ่ยคาดเดา
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับป้าจันทร์ เพราะดูท่าพี่อาทิตย์โกรธไอ้อิทมาก เขาคงไม่ปล่อยเพื่อนผมกลับเรือนไปง่ายๆ หรอกครับ” อาทีแย้ง
“ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แล้วจะพากันไปไหน” จันทร์จวงเอ่ยถาม คราวนี้หลานหนุ่มเงียบเพราะไม่รู้จะตอบผู้เป็นป้าว่ายังไง แต่สุดท้ายก็เอ่ยขึ้น
“ลองไปถามแม่ดีกว่าครับ เผื่อแม่จะรู้”
“ไปก็ไป ป้าก็อยากจะคุยกับแม่เราถึงเรื่องนี้เหมือนกัน”
ป้าและหลานชายเดินคู่กันไปยังห้องพักของจิตรา โดยสั่งให้หญิงรับใช้รออยู่ทางด้านนอก
“ฉันเข้าห้องมาก่อนจะไปรู้ไปเห็นได้ไงว่าพี่ชายแกจะพาไอ้เด็กเปรตนั่นไปไหน” จิตราตวาดใส่บุตรชายทันทีหลังโดนเจ้าตัวถามถึงอาทิตย์และอิทธิ ตอนร่างนั้นเดินเข้าห้องพักของตนมาพร้อมผู้เป็นป้า
“ไม่รู้ก็ตอบลูกมันดีๆ สิทำไมเธอจะต้องตวาดด้วยจิตรา” จันทร์จวงตำหนิน้องสาวก่อนออกคำสั่งให้เพลินพิศที่เสนอหน้าฟังเรื่องราวอยู่ให้ออกไปรอด้านนอก เพลินพิศหน้าง้ำถอยฉากออกไป ภายในห้องตอนนี้จึงเหลือเพียงบุคคลสามวัยสายเลือดเดียวกันซึ่งได้โต้แย้งกันไปมาถึงเรื่องราวที่กำลังวุ่นวายอยู่ในตอนนี้
“พี่จันทร์อย่าถือหางมันให้มากหน่อยเลยค่ะ รู้มั้ยคะว่าวันนี้มันพาไอ้เด็กอิทธินั่นขึ้นมาถอนหงอกจิตรถึงบนเรือน” จิตราเอ่ยว่าพี่สาวในตอนที่เจ้าตัวเอ่ยปกป้องบุตรชายคนเล็กของตนตลอดในทุกถ้อยคำที่หล่อนสั่งสอน
“ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่าอาทีมันหลานฉัน ฉันเลี้ยงดูมาตั้งแต่แต่อ้อนแต่ออก ทำไมฉันจะไม่รู้จักนิสัยใจคอ การที่ฉันคอยปกป้องหลานฉันไม่ให้แม่ที่ลำเอียงอย่างเธอหลับหูหลับตาตำหนิเสียทุกเรื่องมันจะผิดอะไร” จันทร์จวงเอ่ยโต้ตอบ จิตราได้ฟังถึงกับยืนไม่ติด ฟาดหัวฟาดหางอีกครั้งว่าเป็นเพราะนิสัยรั้นๆ ของบุตรชายน่ะแหละที่ทำให้ตนต้องเป็นแบบนี้
“ก็ถ้าไอ้อาทีมันเชื่อฟังจิตร จิตรจะไปตำหนิอะไรมันหรือคะ ถ้ามันอยู่ในโอวาทจิตรได้สักครึ่งพี่ชายมัน จิตรก็คงจะไม่ถูกพี่จันทร์ตราหน้าว่าเป็นแม่ลำเอียงหรอกค่ะ เพราะจิตรคงไม่มีอะไรที่จะดุด่ามัน แต่นี่ เช้ามันก็คลุกคลีอยู่กับไอ้อิทธิ เย็นมันก็ดอดไปพบกับยัยแม่นาง มันไม่เห็นหัวจิตร จิตรก็ต้องกำราบให้มันสำนึกสิคะว่าอีจิตรเนี่ยคือแม่มัน”
“เธอไม่ต้องมาตีโพยตีพาย การที่ลูกชายเธอจะไปไหนมาไหนกับอิทธิซึ่งสนิทกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมันจะผิดอะไร จะว่าไปอิทธิก็เป็นเด็กในการอุปการะฉันคนหนึ่ง” จันทร์จวงให้ข้อคิด แต่จิตราใช่จะฟัง
“พี่จันทร์น่ะหูเบา เชื่อลมปากอีนังแม่นางซะจนเห็นผิดเป็นชอบรู้ตัวมั้ยคะ ปกป้องไอ้อาทีจิตรยังพอรับได้ แต่การที่พี่จันทร์กางปีกกันท่าจิตรไม่ให้กำราบไอ้อีขี้ข้าอย่างสองแม่ลูกนั่น จิตรก็เกินจะทนกับพฤติกรรมพี่จันทร์แล้วนะคะ”
“ขนาดเธอมองว่าฉันกางปีก เธอก็ยังตามราวีสองคนนั่นได้ไม่เว้นแต่ละวัน ฉันก็เริ่มระอาในพฤติกรรมเธอไม่ต่างกันหรอกจิตรา”
“พี่จันทร์!”
“ไม่ต้องมาเรียกฉัน บอกลูกเธอไปว่าอาทิตย์พาเพื่อนเขาไปไหน”
“จิตรก็บอกแล้วไงคะว่าจิตรไม่รู้ อาทิตย์ไม่ใช่คนป่าเถื่อน คงไม่พาไอ้เด็กนั่นไปฆ่าผูกคอใต้ต้นส้มหรอกค่ะ อย่างมากก็แค่จะสั่งสอนนิดหน่อยให้มันหลาบจำว่าอย่าคิดมาโอหังกับจิตรซึ่งเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเขา”
“ในหัวจิตหัวใจแม่คงคิดถึงแต่เรื่องยศเรื่องศักดิ์จนลืมนึกถึงความเป็นคนที่เกิดมาเท่ากันแล้วมั้ง ถึงแม่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ผมไปตามหาเพื่อนผมเองก็ได้ ตราบใดที่ผมยังใช้ชีวิตอยู่ในไร่นี้แม่ก็อย่าคิดว่าจะใช้พี่อาทิตย์ทำอะไรไอ้อิทได้”
อาทีเอ่ยขึ้นในตอนที่ฟังถ้อยคำมารดาเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มหมุนตัววิ่งออกจากห้องทันทีหลังเอ่ยจบ จิตราคิดจะเดินตามเพราะรู้สึกเจ็บใจที่โดนบุตรชายตำหนิต่อว่า
“ไม่ต้องตามไป เธออยู่คุยกับฉันนี้แหละ ฉันคงต้องชำระความเธอเสียบ้างถึงเรื่องราวที่มันวุ่นวายขนาดนี้” จันทร์จวงเอ่ยสั่งเสียงดุ นานๆ ครั้งจิตราถึงจะพบอาการนี้ หล่อนจึงหยุดชะงักอย่างเสียไม่ได้
อาทีออกตามหาอิทธิท่ามกลางแสงสลัวของเสี้ยวพระจันทร์บนฟ้าเหนือท้องไร่ ไม่ต่างจากแม่นางที่ตัดสินใจถือไฟฉายเดินมายังเรือนหลังใหญ่เพราะเข้าใจว่าอิทธิคงจะยังอยู่ที่นี่ ในใจนางนึกห่วงบุตรชายยิ่งกว่าสิ่งใดเพราะเจ้าตัวหายร่างมานานแล้วแต่ไม่มีวี่แววที่จะกลับเรือนสักที
ฝั่งนายศรและลูกชายอย่างนายสินแม้จะลงจากเรือนเจ้านายมาพักหนึ่งแล้ว แต่สองพ่อลูกก็ด้อมๆ มองๆ สถานการณ์การวิวาทอยู่ไม่ไกลจากเรือนเท่าไหร่นัก สองคนทั้งสะใจปนสมเพชที่เรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะลึกๆ แล้วทั้งสองไม่ได้คิดจงรักภักดิ์ดีต่อจิตราหรือจันทร์จวงอย่างจริงจังเลยสักนิด อะไรในไร่ที่พอจะกอบโกยหรือโกงมาเป็นของพวกตนได้ก็ต่างหาโอกาสทำแทบทั้งนั้น รายได้หลักจากการค้าส้มนั่นยิ่งสำคัญ แม้ตอนนี้แม่นางจะคุมอยู่แต่นายศรซึ่งเป็นคนงานเก่าแก่ที่รู้หลักการเข้าออกของรายจ่ายรายรับของไร่นี้อยู่พอสมควรก็ยังหาวิธีหมกเม็ดมาเก็บใส่กระเป๋าตนเองอยู่เรื่อยๆ
ตอนลงจากเรือนสองพ่อลูกลงจากทางด้านหน้าในเวลาใกล้เคียงกับที่อาทิตย์ลากพาอิทธิลงไปอีกด้าน ทั้งสองจึงไม่ได้เห็นว่าอาทิตย์ลากอิทธิไปทางใด แต่ในขณะที่ซุ่มดูสถานการณ์อยู่ สี่หูก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่ออิทธิมาจากปากของบุตรชายคนเล็กของจิตรา
“นั่นมันเสียงไอ้อาทีนี่พ่อ มันเรียกไอ้อิทธิ นี่มันกำลังตามหาเพื่อนมันเหรอ” สินเอ่ยกับบิดาพลางหันไปมองทางต้นเสียงที่มีเพียงแสงสลัวรางๆ ส่องนำไปยังร่างของอาทีที่เดินแกมวิ่งหันซ้ายแลขวาพลางตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสนิท
“แล้วไอ้อิทธิมันหายไปไหนล่ะ” นายศรเอ่ยขึ้นบ้าง สินหันมามองหน้าบิดายิ้มร้ายออกมาก่อนเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้พ่ออย่าเพิ่งสนใจไอ้อิทธินั่นเลย มาช่วยผมสั่งสอนไอ้เด็กปากดีนี่ก่อนดีกว่า”
“เอ็งหมายความว่าไง” นายศรเอ่ยถามบุตรชาย
“ก็ไอ้เด็กนี่มันสามหาวใส่ผมตอนที่ผมลงมาห้ามไอ้อิทธิขึ้นเรือนน่ะพ่อ ท่าทางมันอวดตนข่มผมซะผมอยากจะต่อยหน้ามันซะตรงนั้น ดีล่ะ มันมาตะเวนในที่มืดแบบนี้ ใครทำร้ายมัน มันคงจะจับตัวไม่ได้หรอก” สินรายงานบิดาพร้อมคิดแผนร้าย
“เอางั้นเลยเหรอวะ” นายศรถามลังเลก่อนจะตกลงปลงใจช่วยบุตรชายในการลอบทำร้ายอาทีเพียงเพื่อระบายอารมณ์โกรธของเจ้าตัว
อาทีเดินวกไปวนมาจนล้า เสียงที่ร้องเรียกเพื่อนไปก็ไร้วี่แววการตอบรับ เด็กหนุ่มยืนหอบเหนื่อยพักหายใจ ก่อนเปรยกับตัวเองเบาๆ
“หรือว่ามันจะกลับเรือนไปแล้วจริงๆ”
หลังเปรยจบสองขาก็คิดจะออกก้าวเดินไปยังเรือนของคนที่ตนตามหา แต่ยังไม่ทันได้ออกเดินร่างก็เซถลาไปข้างหน้าเพราะรู้สึกว่าแผ่นหลังโดนกระแทกสุดแรง
หนุ่มน้อยร้องโอ้ยด้วยความเจ็บ ร่างทั้งร่างล้มคะมำลงกับพื้นเพราะทรงตัวไม่อยู่ กำลังจะพลิกกายหันมามองต้นเหตุที่ทำตนล้มเสียท่า แต่ก็ทำไม่ทันเพราะรู้สึกว่ามีร่างหนาหนักขึ้นนั่งทับกลางหลังจนรู้สึกจุกแน่นหายใจติดขัด
“มาเดินมืดๆ แบบนี้มึงไม่กลัวตายใช่มั้ยไอ้เด็กน้อย” สินดัดเสียงเอ่ยสำนวนแปร่งๆ ออกไปเมื่อกระโดดทับตรงกลางหลังอาทีได้สำเร็จหลังจากที่เจ้าตัวโดนแรงถีบจากปลายเท้าบิดาของตนจนล้มลงไม่เป็นท่า
“ปล่อยกูนะโว้ย มึงเป็นใครวะ” อาทีเอ่ยถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก พยายามดิ้นให้หลุดจากการกดทับ อยากจะหันหน้ามามองเหลือเกินว่าใครกันที่ทำตน แต่ก็ช่างลำบากนักเมื่อท้ายท้ายถูกจับกดแนบพื้นหญ้าด้วยมือหนาหยาบจนไม่สามารถขยับต้นคอหรือใบหน้าได้
“อ็อค!..อ็อค.อ็อค!” หนุ่มน้อยเปล่งเสียงออกมาได้เพียงแค่นั้นเมื่อมือหนาหยาบนั้นเลื่อนจากท้ายทอยขึ้นมากดจิกหนังศีรษะให้ใบหน้าจมลงไปกับพื้นหญ้า ประหนึ่งว่าคนทำไม่ต้องการให้ตนหันมามองใบหน้าได้
“มึงโอหังนัก มึงต้องโดนแบบนี้แหละไอ้ลูกหมา” สินออกแรงกดใบหน้าอาทีให้จมลงบนพื้นหนักขึ้น รู้สึกสาแก่ใจจนต้องแสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นปลายขาของฝ่ายนั้นสะบัดดิ้นเร่าๆ ดั่งคนกำลังจะขาดใจตาย เสียงร้องอ็อคๆ ยังคงดังมาให้ได้ยิน เข้าใจว่านี่เป็นเพียงปลายเสียงที่ได้ยิน เพราะเจ้าตัวคงตั้งใจร้องเต็มเสียงน่ะแหละแต่ทั้งปากทั้งจมูกคงจะสำลักเศษดินและฟางหญ้าจนไม่สามารถร้องออกมาเต็มเสียงได้
สินแสยะยิ้มสาแก่ใจในผลงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องยอมคลายมือออกเมื่อเห็นสัญญาณจากผู้เป็นบิดาแจ้งว่าเห็นแสงไฟส่องมา ฝ่ายนั้นโบกมือไล่คล้ายออกคำสั่งให้รีบหนีจากตรงหนีก่อนจึงจำใจลุกขึ้นแล้วทิ้งร่างที่กำลังจะขาดใจตายของอาทีไว้เพียงเท่านั้น
“แสงไฟมาจากไหนน่ะพ่อ” ชายหนุ่มเอ่ยถามบิดาขณะรีบวิ่งกลับเรือน
“ข้าก็ไม่รู้โว้ย สงสัยเป็นพวกออกตามหามันนี้แหละมั้ง อย่าถามเลย รีบวิ่งกลับเรือนเร็วๆ เข้าก่อนมีคนมาเห็น” สองพ่อลูกเผ่นแนบไปทางเรือนของตนโดยไว โดยทางเบื้องหลังอาทีพยายามยันกายที่บอบช้ำจากการโดนทับลุกขึ้นอย่างอยากลำบาก เด็กหนุ่มปัดเศษดินและฟางหญ้าออกจากใบหน้าแล้วเปิดปากสูดเอาลมเข้าปอดเพื่อยื้อลมหายใจที่กำลังจะปลิดปลิว สักพักหนึ่งพอเห็นแสงไฟส่องมาใกล้ๆ จึงฮึดตะโกน
“ช่วยด้วยครับ”
“เสียงคุณอาทีนี่” แม่นางหยุดชะงักนิดนึงเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น สัญชาตญาณสั่งให้สองขาวิ่งไปยังที่มาของเสียง พลางส่องไฟมองหาเจ้าของเสียง
“คุณอาทีเหรอคะ อยู่ไหนคะ”
อาทีพอได้ยินเสียงของหญิงที่ตนเคารพก็น้ำตาปิ่มด้วยความดีใจ อาการขวัญกระเจิงเมื่อครู่ค่อยๆ ทุเลาลง เด็กหนุ่มยันกายลุกวิ่งไปหาแสงไฟ
“แม่นางช่วยด้วย มีคนจะฆ่าผม มีคนจะฆ่าผม” หนุ่มน้อยโผเข้ากอดที่พึ่งเมื่อเจอร่างแม่นางแล้ว พอๆ กับแม่นางที่กอดปลอบเช่นกัน
“ขวัญเอ๋ยขวัญมา ไม่เป็นไรแล้วนะคะคุณอาที เกิดอะไรขึ้นหรือคะหยุดร้องนะคะ ค่อยๆ เล่า” แม่นางเห็นอาการสะอื้นของคนในอ้อมกอดก็รีบปลอบพลางถามไถ่เรื่องราว แต่ดูท่าฝ่ายนั้นจะยังเล่าไม่ได้เพราะเอาแต่กายสั่นสะท้าน หนำซ้ำเนื้อผิวที่สัมผัสถึงยังเย็นเยียบจนน่าตกใจ
“ตายแล้ว คุณอาทีตัวเย็นมากเลย ไปค่ะ เดี๋ยวดิฉันพากลับเรือน” ช่วงเวลานี้แม่นางนึกห่วงคนตัวสั่นจนลืมคิดถึงการเผชิญหน้าจิตรา นางรีบพาร่างของอาทีกลับไปยังเรือนหลังใหญ่ทันที
ในขณะที่แม่นางกำลังพาอาทีกลับเรือน จันทร์จวงและจิตรากำลังถกเถียงกันภายในห้อง ส่วนนายศรก็พาบุตรชายกลับถึงที่พักได้ปลอดสายตาผู้คน แต่ ณ ริมฝั่งลำคลองท้ายไร่ อาทิตย์ได้ตัดสินใจเหวี่ยงร่างของอิทธิลงไปในสายน้ำนิ่งที่เย็นเยียบหลังจากที่ลากฉุดเจ้าตัวมาได้สำเร็จ ค่ำมืดแบบนี้น้ำในลำคลองนี้เย็นยะยือกแค่ไหนเขายังจำมันได้ดี คืนนี้คนอวดดีอย่างอิทธิสมควรที่จะโดนจับแช่ให้อยู่ในนั้นจนจะสำนึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรในไร่แห่งนี้และยอมเอ่ยขอโทษตนกับมารดาพร้อมสัญญาว่าต่อจากนี้จะเลิกโอหัง ปากดี และรั้นด้วยทิฐิ นั่นแหละเขาถึงจะยอมให้ขึ้นมา แต่ตราบใดที่ฝ่ายนั้นยังคงรั้นที่จะไม่ทำตามเขาก็จะยืนคุมเชิงอยู่แบบนี้ไปทั้งคืน ให้มันรู้กันไปว่าจะทนหนาวเย็นได้สักกี่นาที
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะไม่มีปัญญาขึ้นฝั่งอย่างนั้นเหรอคุณอาทิตย์” อิทธิตะโกนใส่หน้าคนที่ตนนึกชิงชังในการกระทำ การโดนจับเหวี่ยงลงในสายน้ำที่เย็นเข้ากระดูกแบบนี้เข้าใจได้เลยว่าอาทิตย์ต้องการใช้ความทรมานกดดันให้ตนยอมศิโรราบตามคำสั่งก่อนหน้าที่ตนจะโดนเหวี่ยงลงมานั่นเอง
“ก็เอาซี้ จะขึ้นฝังไหนก็เลือกเอา ถึงฉันจะจากไร่นี้ไปนาน แต่ฉันก็ไม่ลืมหรอกว่าที่นี่มันมีตรงไหนที่สามารถขึ้นฝั่งได้บ้าง ต่อให้นายจะตะเกียกตะกายขึ้นตรงไหนก็อย่าหวังว่าจะสำเร็จตราบใดที่นายยังรั้นอยู่แบบนี้” อาทิตย์ตะโกนกลับไป อิทธิได้แต่ขบกราม เด็กหนุ่มรู้ที่ทางฝั่งขึ้นจากน้ำที่นี่พอๆ กับอาทิตย์ จึงนิ่งเงียบคิดหาแผนการที่จะขึ้นจากสายน้ำที่เริ่มใช้ความเย็นบีบรัดร่างจนปวดหนึบเกือบถึงกระดูก
“ไง ทีนี้ขอโทษฉันกับแม่ได้หรือยัง แล้วก็เอ่ยให้ฉันได้ยินด้วยว่าต่อจากนี้จะเลิกตามราวีแม่ฉัน” อาทิตย์ตะโกนลงมาใหม่พลางชี้หน้าสั่ง อิทธิเคืองใจในท่าทีที่เห็นจนเกินจะทน จึงกลั้นใจมุดลงในน้ำคว้าเอาโคลนตมข้างใต้ขึ้นขว้างใส่ร่าง
“เฮ้ย! อะไรวะ” อาทิตย์เบี่ยงตัวหลบโคลนตมที่ถูกขว้างมา จังหวะนั้นอิทธิรีบว่ายน้ำไปยังฝั่งที่จะขึ้น เด็กหนุ่มอาศัยความที่เคยแอบมาว่ายเล่นที่ลำคลองนี้กับอาทีบ่อยๆ ดำผุดดำว่ายพาร่างกายที่หนาวถึงข้างในไปยังฝั่งได้โดยง่าย แต่พอเงยหน้าขึ้นจากผิวน้ำก็ต้องตกใจเมื่อใบหน้าอยู่แทบปลายเท้าของอาทิตย์ ซึ่งได้ตามมายืนจังก้าคุมเชิงอยู่
“ยังไม่สิ้นฤทธิ์ใช่มั้ย” อาทิตย์เอ่ยลอดไรฟันเมื่อได้สบตากับอิทธิภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์ จังหวะที่มองเห็นอีกฝ่ายกำลังจะดำผุดหนีไปอีกฝั่งจึงรีบนั่งลงริมฝั่งใช้มือคว้าคอเสื้อเจ้าตัวเอาไว้ลากมาใกล้ตัวแล้วเปลี่ยนเป็นจับศีรษะนั่นกดลงใต้ผิวน้ำ อึดใจต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นดึงคอเสื้อขึ้นเพื่อให้ร่างนั้นอ้าปากหายใจ สักพักจึงจับกดลงไปใหม่ ปากก็ว่า
“ยังไงล่ะ ต้องการให้ฉันร้ายแบบนี้ใช่มั้ยถึงจะยอมศิโรราบนายอิทธิ”
เอ่ยเสร็จก็ทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาจนพอใจจึงยอมปล่อยร่างในอุ้งมือเป็นอิสระ
อิทธิอ้าปากหายใจให้ทั่วปอด เด็กหนุ่มแทบขาดใจตายในตอนที่โดนจับกดน้ำอยู่หลายรอบ อาการนั้นทำหนุ่มน้อยไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้คนกระทำตนเลยแม้แต่นิด ลมหายใจตอนนี้เริ่มจะคล่องขึ้น แต่ร่างกายนั้นโดนบีบรัดด้วยสายน้ำเย็นจนไม่สามารถไหวขยับได้ ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความเหน็บหนาว พร้อมๆ ขากรรไกรเกิดอาการสั่นกระทบกันอย่างอัตโนมัติ หนำซ้ำผ้าที่พันแผลตรงส่วนแขนก็หลุดรุ่ยหล่นหายไปในผืนน้ำ ยังผลให้รู้สึกเจ็บแสบที่แผลเกินจะทานทน
“ขอโทษฉันเดี่ยวนี้ และเอ่ยสัญญากับฉันว่านายจะเลิกอวดดี อวดเก่ง และโอหังอย่างวันนี้อีก” อาทิตย์เอ่ยตะคอกในตอนที่เห็นอาการคนเคยเก่งยืนสิ้นฤทธิ์อยู่ในน้ำ จะว่าสงสารก็ใช่แต่ด้วยความอยากเอาชนะจึงไม่ยอมใจอ่อนฉุดเจ้าตัวขึ้นมาจากน้ำง่ายๆ
อิทธิอยากจะพูดอยากจะตอบโต้ แต่เป็นเพราะตอนนี้ไม่สามารถขยับปากได้ถนัดจึงได้แต่ใช้สายตาจ้องมองคนข่มขู่ด้วยความเคียดแค้นชิงชังในการกระทำ นึกสารภาพกับใจว่าชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ขอญาติดีกับคนๆ นี้เลยเด็ดขาด หากว่าสามารถเอาชีวิตรอดให้พ้นจากการหนาวตายในคืนนี้ได้
“จ้องหน้าทำไม อยากโดนอีกใช่มั้ย” อาทิตย์ตะคอกอีก นึกไม่ชอบใจในสายตาชิงชังที่ได้รับ อิทธิไม่ตอบโต้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่สะท้าน คิดไปว่าหากคืนนี้จะโดนความหนาวเย็นพรากลมหายใจไปก็ขอจากไปอย่างคนมีทิฐิ และแรงชิงชัง จิตใจตอนนี้ไม่สามารถอโหสิกรรมให้กับการกระทำอันป่าเถื่อนของคนตรงหน้าได้เลยจริงๆ
“โธ่โว้ย!” ที่สุดอาทิตย์ก็เอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อไม่สามารถทำให้อิทธิเอ่ยขอโทษตนได้สำเร็จ เพราะเกิดอาการใจอ่อนกลัวว่าฝ่ายนั้นจะเกิดอาการหนาวตายไปต่อหน้าต่อตาซะก่อน ชายหนุ่มออกแรงลากร่างอิทธิขึ้นมาจากบึงน้ำ ปล่อยร่างเจ้าตัวให้เป็นอิสระเมื่อโดนขัดขืนตอนอยู่บนฝั่งด้วยกันแล้ว
อิทธิให้เวลาร่างกายปรับอุณหภูมิไม่นาน ซึ่งพอมีเรี่ยวแรงขยับเด็กหนุ่มจึงจัดการตะบันหมัดใส่ใบหน้าอาทิตย์ทันที
อาทิตย์ร้องโอ้ยร่างเซหน่อยๆ ตอนโดนแรงเหวี่ยงจากปลายหมัดคนที่ตนฉุดขึ้นจากน้ำ
“ช่วยไม่ให้หนาวตายยังจะแว้งกัดฉันได้นะนายอิทธิ ถ้าคืนนี้นายไม่ยอมศิโรราบแก่ฉันก็อย่ามาเรียกฉันว่านายอาทิตย์!” ชายหนุ่มหันมาเอ่ยกับคนแผลงฤทธิ์หลังมีเรี่ยวแรง เร็วเท่าความคิดวงแขนแข็งแรงตวัดโอบกอดคนตรงหน้ามาปะทะอกแข็งแรงทันควัน ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปหวังใช่ปลายลิ้นสั่งสอนให้เจ้าตัวอ่อนระทวยอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว
อิทธิพอรู้ว่าตนจะโดนกระทำเช่นไรก็เริ่มออกแรงดิ้นสุดใจขาดเช่นกัน พลางร้องขู่
“ไม่อยากลิ้นขาดพิการไปทั้งชาติก็อย่าคิดรังแกผมด้วยวิธีนี้คุณอาทิตย์”
“ก็ได้ ทำข้างหน้าแล้วนายมีทางสู้ใช่มั้ย งั้นฉันปราบพยศนายข้างหลังก็ได้ จะดูสิว่านายจะขัดขืนฉันยังไง” อาทิตย์เอ่ยบอกเสียงเยาะหยัน อิทธิใจสั่นสะท้านในสิ่งที่ได้ยิน แต่ยังไม่ทันได้ขัดขืนอะไรร่างทั้งร่างก็โดนจับพลิกหันหลังก่อนคนจับพลิกจะจับกดให้นอนราบไปบนพื้นหญ้า
“คุณอาทิตย์คุณจะทำอะไรปล่อยผมนะ!” เด็กหนุ่มร้องสั่งสุดเสียง นึกอยากจะร้องไห้เมื่อร่างกายโดนกดทับลงมาจากร่างที่หนากว่าตน หนำซ้ำมืออีกข้างของคนกดทับยังกระชากกางเอวยืดตัวบางตอนเปียกน้ำที่ตนสวมใส่เตรียมเข้านอนให้ร่นลงจนเหลือเพียงกางเกงชั้นในจนรู้สึกได้ นาทีต่อมาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อรู้สึกถึงกางเกงชั้นในถูกกระชากหลุดตามลงมาด้วย พร้อมถ้อยคำที่ชวนขนลุกจากคนกระชาก
“ปากดีแบบนี้อย่าเป็นเลยผู้ชายพลีกายมาเป็นเมียฉันซะเถอะนายอิทธิ!”