+ G A M E R L O V E R +
แฟนผมเป็นโอตาคุเกมครับ!
15
เฟียสต้าสีแดงสดรุ่นลิมิตเต็ดแล่นปร๊าดมาจอดหน้าประตูบ้าน ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดคอวีกับกางเกงนักเรียนยืนรออยู่นานแล้ว...แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดกับการรอเท่าไหร่นัก เขาพยายามก้มตัวมองในรถ...แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากฟิล์มสีมืด กอล์ฟกำลังคิดว่าสถานการณ์ที่มีแต่เสียงเครื่องยนต์แบบนี้จะทำยังไงดี
รถคันนั้นไม่มีท่าทีจะขยับ คนมองสูดลมหายใจ ทำท่าจะเปิดประตูเหล็กดัดหน้าบ้าน
“เดี๋ยว" และกระจกรถก็เลื่อนลงมา
เจ้าของหน้าบูดเป็นตูดเป็ดทำปากยื่น ไม่ได้หันมามอง
“ขึ้นรถ" กอล์ฟไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขางับประตูปิดลงไปเหมือนเดิม ก่อนจะเดินอ้อมมาที่ที่นั่งด้านข้างคนขับ แล้วเปิดประตูเสือกกายเข้าไปประจำบนเบาะหนังในทันที
เจ้าของรถยังคงมุ่ยหน้าอยู่ตอนที่ถาม "มีคนอยู่บ้านป่ะ?”
“หืม?” เด็กหนุ่มเอียงศีรษะ "ไม่มีครับ"
“พ่อกับแม่ล่ะ?”
“ไม่อยู่ครับ"
“พี่น้อง?...จำได้ว่าแกเหมือนจะเคยบอกว่ามีพี่นี่?”
“แยกย้ายกันไปแล้วล่ะครับ"
“อ้อ" ชายหนุ่มเบือนสายตาออกไปนอกรถ
"งั้นก็แสดงว่าไม่มีใครอยู่บ้าน" “ครับ ใช่" กอล์ฟยังคงงุนงงอยู่
"พี่โอ้ตจะเข้าบ้านมั้ยครับ?”
“ไม่!!” ..อึ้งกิมกี่.. คำสวนชัดเจนแบบนั้นสร้างความประหลาดใจไม่น้อย แต่คนฟังก็ยังใจเย็น
“...แล้ว...จะไปไหนมั้ยครับ?”
อีกฝ่ายหลบตา “ก็ไม่...”
“จะนั่งอยู่บนรถ?”
“เหอะ" เสียงพ่นลมออกจากจมูก
"ก็ยังดีกว่าเข้าบ้านกับแกสองต่อสองล่ะวะ" ..อ้อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง.. เด็กหนุ่มยิ้มกับคำตอบนั้น แล้วขยับตัวให้ตนนั่งอยู่ในท่วงท่าที่สบายกว่าเดิม เขาเริ่มที่จะผ่อนคลาย...แม้ในตัวรถคันนี้จะไม่มีกลิ่นอะไรให้สังเกตเลยก็เถอะ ลึกๆแล้วเขาอยากจะสวนกลับออกไปว่า 'แล้วอยู่ในรถสองต่อสองกับผมมันต่างอะไร?' แต่ก็คิดได้ว่าไม่พูดเสียจะดีกว่า
อีกฝ่ายเปลี่ยนท่ามาเป็นกอดอก แต่ดวงหน้าขาวยังบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
และท่าทางจะไม่ยอมพูดอะไรออกมาง่ายๆ
กอล์ฟเคาะนิ้วลงบนตัก2-3ครั้ง ขณะพยายามสอดส่ายสายตาหาเรื่องคุยไปเรื่อย...จะให้เจาะประเด็นเรื่องที่คุยกันคาไว้ในโทรศัพท์ก็เห็นจะไม่ใช่ที หรือจะพูดเรื่องรถ..ไม่หรอก..เขาเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ คุยไปเดี๋ยวจะวอดวายตายม้วนซะเปล่าๆ...
นาฬิกาในรถช้ากว่านาฬิกาในมือถือเขาไป2นาที...แต่นั่นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรสักเท่าไหร่..ตะกุดต่างๆก็ติดห้อยไว้ทั้งกับพวงมาลัยและแผงบังแดด จริงๆมันก็เหมือนกันทุกคันน่ะแหละ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายในยามคับขัน...ตุ๊กตาหรือ?...เท่าที่เขาพยายามส่องดูน่ะไม่มีสักตัว แต่จะให้คนอย่างข้าวโอ้ตประดับตุ๊กตาอาโนเนะมันก็ใช่ที...สรุปรวมๆแล้วรถคันนี้แทบไม่ได้มีการตกแต่งเพิ่มเติม...ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่...
….เดี๋ยวก่อนนะ....
นี่เขากดดันขนาดมานั่งพิจารณาสิ่งประดับรถเลยรึไงกัน? แอร์เย็นเฉียบ แต่มือที่วางอยู่บนตักกับชื้นเหงื่อ กอล์ฟเริ่มรู้ตัวว่านี่คือ 'ความกระวนกระวาย' ที่ตนเองไม่ได้เป็นบ่อยนัก เขาเหลือบสายตามองอีกฝ่าย...อีกฝ่ายไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ แถมหันออกไปข้างตัวไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เห็นหน้า
….คอ...เล็กจังแหะ.... จากมุมนี้เขาเห็นอวัยวะส่วนนั้นที่โผล่พ้นคอเสื้อขึ้นมาชัดเจน...มันขาวและเนียนกว่าที่เขาคิดไว้...เคยได้ยินว่าเด็กสถาปัตฯไม่ค่อยอาบน้ำดูท่าจะไม่จริง จริงๆแล้วการชอบผู้ชายด้วยกันมันก็มีบางจุดที่ดูเหมือนน่าซีเรียสอยู่ แต่อย่างน้อยคนๆนี้ก็ไม่มีขี้ไคลล่ะวะ...ค่อยโล่งใจหน่อย...เพราะฉะนั้นตรงอื่นก็น่าจะ...........
พอเผลอจินตนาการเรื่องต่างๆก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อกอย่างช่วยไม่ได้ ตั้งแต่ที่ตกหลุมรักอีกฝ่ายมา...เขาไม่เคยคิดเรื่องอย่างว่าเลยด้วยซ้ำจนได้มาอยู่ในสถานที่ปิดแบบนี้ นี่คืออิทธิพลของการอยู่ด้วยกันสองต่อสองจริงๆอย่างที่คนตรงหน้ากลัวเป็นแน่...
….ดีแล้วที่ไม่ได้เข้าบ้าน...ดีแล้วที่ไม่ดึงดันให้อีกฝ่ายไปที่ห้อง....ดีแล้ว.... ...ให้ตายเถอะ.......
เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเกย์แล้วสิ....... “ม-มองเหี้ยไรอยู่ได้!! กูเห็นนะว้อยย!!” เจ้าของร่างผอมบางกัดฟันกรอดพร้อมหันมาดันหน้าอีกฝ่ายไปสุดแขน ไอ้คนถูกกระทำน่ะเพิ่งคิดได้ว่าอีกฝั่งเป็นกระจก คงได้สะท้อนภาพและสายตาเขาออกไปแล้วเป็นแน่แท้
กอล์ฟรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว...
ให้ตายเถอะ...เมื่อครู่เขาเผลอคิดอะไรไปจนได้นะ!?
อีกฝ่ายเห็นอาการดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ไอ้เด็กหน้าเป็นตรงหน้าแทบไม่เคยแสดงอารมณ์อะไรออกมาให้เห็นชัดเท่าครั้งนี้
“เป็นไร?”
..อืม..ทั้งๆที่คำพูดคำจาและการกระทำของอีกฝ่ายห้วนสั้นและแมนเกินร้อยแบบนี้แท้ๆ.. “เปล่า..ครับ"
“คิดไรอยู่?”
“เปล่าครับ!”
“อะไร? เสียงดังทำไมน่ะ?”
“เปล่า"
..ตายห่า..เผลอทำตัวมีพิรุธ "ไม่มีอะไรครับ"
แต่ข้าวโอ้ตไม่ทันคิดไปถึงเรื่องนั้น ถึงแม้ว่าจะแอบหรี่ตามองก็เถอะ
"งั้นก็ไปกัน"
“เอ๊ะ? นึกออกแล้วเหรอครับว่าจะไปไหน?”
ชายหนุ่มส่งเสียง 'จิ๊' ในลำคอ
“ถามได้ เล่นเกมไง"+ G A M E R L O V E R +
เซ็นทรัลที่ประจำปิด renovate เฉพาะส่วนของเกมเซ็นเตอร์
...นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่พวกเขายอมฝ่ารถติดขนัดมาจนถึงสุขุมวิท “บ้าเอ้ย จะสองทุ่มแล้ว!” นั่นเป็นคำสบถแรกที่เกิดขึ้นขณะปิดประตูรถดัง 'โครม' ก่อนจะสะบัดบ็อบเดินไปด้วยกดรีโมทล็อครถไปด้วยนำไปที่ประตูทางเข้า..ความฉุนเฉียวทำให้ร่างผอมบางนั้นดูราวกับประกอบขึ้นจากอนุภาคปรมาณูก็มิปาน
ร่างสูงกว่าสาวเท้าตามไปห่างไม่เกินสองก้าว และใช้ระยะห่างนั้นพิจารณา...อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มเข้ารูปและกางเกงแสลค...ค่อนข้างดูดีในมาดพนักงานบริษัท...กอล์ฟคิดแบบนั้นแล้วก้มดูรองเท้าแตะของตัวเองก่อนจะถอนหายใจ บางทีเขาควรจะเริ่มโละการแต่งตัวเด็กๆแบบนั้นทิ้งไปแล้วบริหารสเน่ห์ตัวเองดูบ้าง...ถ้าคิดจะทำให้คนตรงหน้าสนใจล่ะก็นะ...
“เร็วสิ เดี๋ยวเกมเซ็นฯก็ปิดก่อนหรอก"
“อะ..ครับ"
“รถติดชะมัด สยามนี่ติดแบบนี้ทุกวันเลยรึเปล่านะ"
“วันนี้มันเย็นวันศุกร์น่ะครับ"
“อ้อ นั่นสินะ" ชายหนุ่มดูไม่พอใจเท่าไหร่ "ลืมไปเลย ให้ตายเหอะ วันนี้แม่งวันสิ้นโลก...."
กอล์ฟไม่ถือสากับคำบ่นพล่ามยาวเป็นกระบุงแบบนั้น เขารู้สึกว่าการใส่อารมณ์ในเรื่องแบบนี้ช่างลื่นหูนัก...บางครั้งเขาก็คิดว่าตนเองคงเกินเยียวยาแล้วกระมังถึงเป็นได้ขนาดนี้ ทั้งที่จริงไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของมันสักเท่าไหร่...
“พี่โอ้ตจะหาอะไรกินก่อนรึเปล่าครับ?”
“..........อยากกิน...เปปเปอร์ลันช์...” เสียงอ่อยแบบนั้นทำให้คนฟังอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา เขาเข้าใจว่าเวลาอีกฝ่ายทำเสียงเบาๆง้องแง้งแบบนั้นเรียกว่า 'อ้อน' ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวใจเต้นแรง เลือดสูบฉีด และเปล่งประกายออร่าแห่งความสุข
...ได้เลย จัดมาเลย เขายอมทุกอย่างล่ะ.. “งั้นก็กินเปปเปอร์ลันช์กันนะ?”
“....แต่เดี๋ยวเกมเซ็นฯปิด...” ..ไอ้ที่ช้อนตามองขนาดนั้นมันคืออะไร?! กอล์ฟพยายามสงบสติอารมณ์ "ไม่ปิดหรอกครับ กินแปปเดียวนะ"
“อื้อ ก็ได้"
พยักหน้ารับ...พยักหน้ารับ..!!!
อยากจะควักหัวใจออกมาปาใส่ให้รู้แล้วรู้รอด..ให้ตายเถอะ!!..ถ้าจะน่ารักขนาดนี้ล่ะก็..!!! แต่เป็นที่แน่นอนว่ากอล์ฟเก็บอาการเก่งเสมอ เขาแค่กระแอมกระไอพอเป็นพิธีแล้วผายมือให้อีกฝ่ายเดินนำไปก่อน ข้าวโอ้ตเองก็เหมือนจะไม่ได้ติดใจอะไร เดินดุ่มๆนำทางไปข้างหน้าเหมือนเช่นปกติ
ที่จริง...ชายหนุ่มเองไม่ค่อยได้มาย่านนี้บ่อยนัก(นอกจากเรื่องงาน) เขาไม่ชอบสถานที่ๆคนเยอะๆ เด็กวัยรุ่นก๋ากั่นเยอะๆ ถ้าไม่ติดที่ว่าประเทศไทยมีเจ้าเครื่องไทโกะอยู่เพียงแค่5เครื่องล่ะก็เขาคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่ ขึ้นชื่อว่ามาบุญครอง...ก็เป็นสถานที่สิงสถิตของพวกโอตาคุเกมอยู่แล้ว....เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น...อย่างน้อยเขาก็เกรียนคนเดียว ไม่ได้เกรียนเป็นกลุ่มใหญ่จนน่ากลัวล่ะวะ...
แล้ว....ไอ้เด็กข้างตัวนี่มันมาบ่อยรึเปล่าวะ?
...ไม่กล้าถามแหะ... มันยังวัยรุ่น ถ้าพูดถึงวัยรุ่นก็ต้องพูดถึงสยาม..อืม คงไม่แปลกถ้ามันจะมากับเพื่อนหรือใครบ้างอะไรบ้าง ท่าทางจะรู้เส้นทางในห้างแห่งนี้มากกว่าเขาด้วยซ้ำ...จำได้แค่ว่าร้านดังกล่าวมันอยู่ชั้นบนๆ สุดท้ายก็ต้องให้อีกฝ่ายมาเดินข้างๆ แล้วอาศัยการเบี่ยงตัวกลบเกลื่อน เหมือนจะเนียน...แต่ไอ้คนข้างๆยิ้มขนาดนั้นน่ะแสดงว่าจับได้แล้วชัวร์ๆว่าเขาไม่ชินเส้นทาง...
ภายในร้านมีคนแน่น แต่ไม่ถึงกับไม่มีที่ว่าง มันเป็นปกติของเวลายามค่ำที่ทุกคนแย่งกันหาอาหาร ร้านดังๆบางร้านคนเข้าคิวยาวเป็นหางว่าวด้วยซ้ำ พวกเขามองหน้ากัน...และก็ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำใจว่าอาหารจะมาช้า
ข้าวโอ้ตมุ่ยหน้าระหว่างรอ ความที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าทำให้เขาหงุดหงิด หรืออันที่จริง...เขาหน้าบูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีจะทัก ดังนั้นไอ้การ 'นั่งบูด' ต่อไปดูท่าจะไม่เวิร์ค มันเคยบอกว่าชอบ 'รอ' ดังนั้นแม่งคงจะไม่มีทางหาเรื่องอะไรมาคุยเป็นแน่
ร่างเล็กกว่ายกแขนขึ้นมาเท้าคาง กระตุกคิ้วกวนส้นตีนใส่คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม..ที่ถึงรู้ว่ามันไม่เอะใจ
“ช่วงนี้ยุ่งเหรอ?” เปิดบทสนทนาแบบนี้มันตรงประเด็นไปรึไงกันนะ...ทำไมต้องเต้นแรงด้วยฟะไอ้หัวใจบ้านี่!
อีกฝ่ายเอียงศีรษะ(ที่มันทำบ่อยๆ...แต่กวนตีนกว่าโดยไม่ได้ตั้งใจ) “ครับ?”
“พี่ถามว่า 'ยุ่ง' รึไง?”
“เปล่านี่ครับ"
“แล้ว...เอ่อ...เรื่องพวกแบบ...รับน้อง เข้ามหา'ลัย อะไรพวกนั้นล่ะ?”
“ครับ ก็....เอ่อ...ไปนัดบอดมาเมื่อวันก่อน"
เท่านั้นแหละคนฟังตบโต๊ะถลึงตาใส่ทันที
“ห๊า!?!” “เฮ้ย เปล่า ไม่ใช่นัดบอดแบบนั้น!!” กอล์ฟหัวเราะ ท่าทางตื่นตะลึงของอีกฝ่ายช่างอ่านง่ายเสียนี่กระไร "แบบ...นัดเจอเพื่อนที่ติดตรงด้วยกันน่ะครับ ไม่มีอะไรมาก ส่วนรับน้องเห็นว่าเริ่มตอนใกล้ๆเปิดเทอมโน่นเลย สักปลายๆเดือนพฤษภา..."
“อ๋อหรา..."
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว
“...พี่โอ้ต...ถามทำไมน่ะครับ...?” ...ดูเหมือนมันจะดำเนินมาถึงจุดที่ยากที่สุดของการสนทนาแล้ว...
…...มันไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอก ถ้าเขาไม่รู้สึกว่า 'เหตุผล' นั้น...มันช่างงี่เง่าสิ้นดี
“ก็เปล่า...” ข้าวโอ้ตพยายามเส แต่ก็อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ
“...ก็แบบ...เห็นว่าไม่ค่อยโทรมา.....ถ้ายุ่งนักก็ไม่เป็นไร...” ...รอสายผมอยู่...อย่างนั้นเหรอครับ..? คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบกลับมาดังก้องอยู่ในหัวอีกครั้ง ครั้งนี้มันช่างกังวาล...และ...ทำให้หัวใจเต้นรัวนัก
ทั้งสองคนสบตากันเหมือนแข่งขัน โดยมีความเงียบเข้ามาเป็นกรรมการ...ส่วนตัวแล้วข้าวโอ้ตเองปรารถนาอยากให้อีกฝ่ายพูดอะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่จากหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกของมันทำเอาเขาไม่อยากจะคิดเกินอื่น บางครั้ง..นอกจากการกระทำที่แอบร้ายของมันแล้วเขาก็ไม่เข้าใจ.......
….ใบหน้าที่แทบไม่แสดงความรู้สึกภายใน......
…....รอยยิ้มบางๆที่มีให้เสมอ...จนชายหนุ่มอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าตนกำลังถูก 'ปั่นหัว' ทรมานด้วยการกระทำ ด้วยคำพูด ด้วยท่าทีที่แสดงเหมือนกับว่า 'ชอบ' มาก...ด้วยความรู้สึกกำกวม ด้วยถ้อยคำสวยหรูที่อาจโกหก ด้วยใบหน้าที่ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่าย 'จริงจัง' รึเปล่า......
และในเวลาไม่นานนัก...อีกฝ่ายก็ยิ้มออกมา
คนมองไม่รู้ว่ารอยยิ้มนั้นหมายความว่ายังไง และพอคิดไปคิดมาในอกก็ปวดแปลบ...จนต้องเป็นฝ่ายหลบตาลงมาก่อน
“ช่างมันเหอะ ช่างมัน...อย่าใส่ใจเลย" ข้าวโอ้ตไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเป็นคนบอกปัดก่อนด้วย
...เหมือนบ้าไปเอง...ยังไงชอบกล... ความเจ็บปวดต่อมาเกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร...
การรับประทานอาหารมื้อนั้นดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ...เงียบจนน่าอึดอัด...เพียงเสียงช้อนกระทบขอบกระทะร้อนก็คงจะมากพอที่จะเรียกร้องความสนใจได้ เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น...จึงทำได้แต่เกร็งข้อนิ้วจนขึ้นขาว และทานต่อไปโดยรักษาความเงียบเหมือนเดิม
ตลอดเวลา...ไม่มีสักครั้งที่ดวงตากลมโตนั่นจะช้อนขึ้นไปมอง...
ชายหนุ่มรู้ดีว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่มันเกิดจากความงี่เง่าส่วนบุคคล เขารู้ดีว่าที่ทำอยู่นี่มันไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย เขารู้ดีถึงขนาดนั้น...รู้ดีถึงขนาดนั้นแท้ๆ...แต่ก็ยังทำ
อ้อยอิ่งจนถึงคำสุดท้าย...
…..และเขาเองก็รู้สึกตัวแล้วว่า...ที่ทำอยู่นี่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย...
พอเงยหน้าขึ้น คนตรงข้ามกำลังหยิบทิชชู่มาเช็ดริมฝีปากพอดี และในตอนนั้นชายหนุ่มก็คิดอะไรแทบไม่ออก ไอ้ที่กระปรี้กระเปร่าก่อนหน้านี้หายไปแทบสิ้น
“...กลับ...กันเหอะ" ในที่สุด...คนตัวเล็กกว่าก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“เอ๊ะ?”
“ช่างเถอะ...ไม่อยากเล่นแล้ว" ทำไมก็ไม่รู้...
...ที่คิดว่า...ถ้าอยู่กับ 'คนตรงหน้า' นานกว่านี้อีกสักนิด...ต้องเสียน้ำตาออกมาแน่ๆ... ….…....โคตรพ่อโคตรแม่ไร้สาระเลยจริงๆ... “พี่โอ้ต...โกรธอะไรเหรอครับ?” ในที่สุด...คำที่เขารอมานานก็ถูกเอ่ยขึ้นมา
ส่วนคนรอนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก... “เปล่านี่"
“ผมขอโทษ...”
“...? ขอโทษทำไม?”
“ก็พี่โอ้ตโกรธ...”
“ถ้าไม่ได้คิดว่าตัวเองผิด ก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ...เพราะแกไม่ผิด"
“ผิดสิครับ" มือใหญ่เอื้อมมาแตะที่หลังมืออีกฝ่าย..และไม่มากเกินไปกว่านั้น "ผิดที่ทำให้...พี่โอ้ตเสียใจ...?”
..อึก.. วินาทีนั้นเขานึกโกรธตัวเอง...โกรธที่ตัวเองเป็นคนประเภทแสดงทุกอย่างออกไปทางสีหน้าจนหมด...จนเหมือนจะได้กลายเป็น 'ผู้แพ้' ในเกมแบบนี้...
ชายหนุ่มกลับก้มหน้าจนคางชิดอก เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองควรกลืนลงไปไม่ใช่น้ำลาย....
แต่เป็นน้ำตา.. และท่าทางแบบนั้น...เป็นไปไม่ได้ที่จะเล็ดลอดสายตาของคนที่จ้องมองอยู่
“พี่โอ้ต...”
“......แก........” ..เสียงนั้น..แผ่วเบาเหลือเกิน..
“...ครับ?”
“บอกได้มั้ย...ว่าทำไมถึงไม่ 'โทร' มา....” เขาก้มหน้าอยู่ จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าเช่นไรหลังจากจบคำถาม
และการที่เว้นระยะนานเกินกว่าจะตอบ มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายตรงนั้น...ข้อหาถามอะไรไร้สาระออกไป นั่นทำให้การเพียรพยายามพูดจาอ้อมค้อมมาโดยตลอดนั้นสูญเปล่าสิ้นดี
“ผมชอบพี่โอ้ตนะครับ...” ...กูไม่ได้...อยากได้ยินคำนั้น...
...ไม่ใช่ในตอนนี้... “แล้วพ่ีโอ้ตล่ะ...รู้สึกยังไงกับผม...?” ..ชะงัก.. คำพูดนั้นทำให้คนฟังไม่ลังเลเลยที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา ถึงได้รู้ว่าแววตาของอีกฝ่าย...แทบไม่ได้ต่างกับตัวเองเลย...
...แววตา...ที่เจือไปด้วยความไม่มั่นใจ... “อะ...” ดวงหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาดื้อๆ "....พี่....”
อีกฝ่ายถอนหายใจ "...ผมขอโทษ ผมไม่ได้อยากเร่งรัดพี่นะ...ผมรอได้ ทุกวันนี้ผมก็ยังยืนยันว่าผมรอได้...แต่....มันก็มีบางทีเหมือนกันที่ผมรู้สึก......นะ”
“...........” คนฟังกลืนน้ำลาย
"...ไม่อยากรอ...แล้วรึไง?” คนสองคนสบตากันอีกครั้ง..และครั้งนี้ความรู้สึกต่างจากของเดิมมากนัก ประกายในดวงตาเปลี่ยนไป...ก่อนเจ้าของร่างสูงกว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกทั้งหมดเป็นรอยยิ้ม และค่อยดึงมืออีกฝ่ายบังคับให้ลุกขึ้น
คนถูกกระทำกระพริบตาปริบๆ แต่ก็ต้องลุกตาม “เฮ้...”
“รีบไปเถอะครับ ก่อนเกมเซ็นเตอร์จะปิด"
“อะไร? เฮ้ ไปไหน..!” ชายหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งถูกลากออกจากร้าน "เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆก่อนก็ได้! ว้อย!!”
“ผมไม่อยาก...เห็นพี่โอ้ตทำสีหน้าแบบนั้นอีกแล้ว...” “....เอ๊ะ?”
ความน่าหงุดหงิดกลับเพิ่มทวีขึ้น...เมื่อคนถูกถามไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่หันมายิ้มเล็กๆให้เท่านั้น มันเป็นรอยยิ้มที่คนมองอ่านออก..มันต้องการให้เขาสบายใจ เพียงแต่หลายๆอย่างกลับทำให้รู้สึกเคลือบแคลงมากกว่า...
ไม่นานพวกเขาทั้งสองก็มาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะแลกเหรียญ รอบด้านประกอบไปด้วยเกมเมอร์มากมายประจำตามตู้ต่างๆ บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างก็มาโชว์สเต็ปเทพคนเดียว และส่วนใหญ่พวกที่เล่นได้เก่งขนาดก็มักจะมีผู้ชมเฝ้ามอง ข้าวโอ้ตเข้าใจ..มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันแทบทุกที่ แต่ครั้งนี้เมื่อคู่แข่งของเขาดูกระตือรือล้น มันช่วยไม่ได้ที่เขาเองจะลนลาน
แกรก.. เสียงเหรียญกระทบกันดังแผ่วเบา ชายหนุ่มหันกลับมาอีกครั้ง...วินาทีเดียวกับที่มือใหญ่จับลากเขาเดินอ้อมไปยังเครื่องเกมเจ้าปัญหาที่ยังไม่มีใครมาจับจอง แล้วปล่อยมือเขาลงตรงนั้นเป็นครั้งแรก
“มาแข่งกันครับ" เด็กหนุ่มว่า พลางหยอดเหรียญลงเครื่องตามความคุ้นมือ...อีกคนมองตาม
“อ-อืม...”
“คราวนี้ไม่เหมือนเดิมนะครับ" ร่างสูงหันมายิ้มให้ "แต่เป็นการแข่ง...แบบมีเดิมพัน...”
คนฟังขมวดคิ้ว “เดิมพัน?”
รอยยิ้มนั้นเป็นลางที่ไม่ดีเอาซะเลย แต่ข้าวโอ้ตก็ยอมที่จะหยิบไม้กลองสีแดงขึ้นมากระชับไว้ในมือโดยไม่หลบตา มันเป็นความงุนงงระคนประหลาดใจ....ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่างเมื่ออีกฝ่ายตอบว่า
“...ถ้าผมชนะ...พี่ต้องยอมเป็นแฟนผม” ...พระเจ้า..!! “นี่!!”
คู่สนทนายกมือกลองจิ้มกลางแผ่นอกกว้าง
"กูไม่ได้โง่นะว้อย จะบอกว่า
'ถ้าพี่แพ้ ผมจะยอมเป็นแฟนพี่' รึไง! ไอ้บ้านี่.....”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น"
กอล์ฟโคลงศีรษะปฏิเสธ ดวงตาคู่คมปรือลงเล็กน้อย
“จากเวลาที่ผ่านมา...ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกรึเปล่า ผมไม่เคยจีบใคร..เอ่อ...เรื่องนี้ผมบอกพี่ไปแล้ว มันเป็นครั้งแรก...ดังนั้นเวลานี้ผมเริ่มลังเล ผมเริ่มกลัวใจตัวเอง ผมท้อ...นั่นแหละ...ผมคิดว่าตัวผมเองใจเย็นมาตลอดจนเจอพี่ พี่ทำให้ผมรู้สึกว่า...ไม่ว่าจะทำอะไรก็กลัวไปหมด และพี่พูดถูก...ผมรอต่อไปไม่ได้แล้ว"
...ผมชอบพี่โอ้ตนะ...
...แล้วพี่โอ้ตล่ะครับ...รู้สึกยังไงกับผม...? ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ปิดบัง แม้รอยยิ้มนั้นจะพยายามยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง
“ถ้าผมแพ้....” ข้าวโอ้ตแทบจะกลั้นหายใจ
วูบหนึ่งที่รู้สึก 'กลัว' ขึ้นมา...กลัวที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดคำนั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน
“...ผมจะไม่รบกวนพี่อีก...ผมสัญญา"TBC====================
อริ้วววว อดใจรอตอนต่อไปไม่ไหวเลยทีเดียวเชียว

ช่วงนี้ชอบกลิ่นมะลิมากค่ะ ติดสุดๆ ติดจนต้องซื้อพวงมาลัยทุกเช้าเย็น
((ซึ่งกุว่าพวงมาลัยสี่แยกนั้นต้องใส่ยาแน่ๆ...=_=))
เวลาจุดอโรม่ามันไม่หอมเหมือนมะลิสดๆเลยเนอะ
เมื่อก่อนในสวนที่บ้านมีต้นมะลิอยู่ริมรั้วค่ะ ยายชอบเอามาแช่น้ำในกระติก เย็นๆหอมๆชื่นใจมากๆ กินแล้วหายเหนื่อยเลยล่ะ
แต่หลังจากน้ำท่วมปี54ก็ตายกันหมดเลย ไม่ใช่แค่มะลินะ ตายยกสวน ;;__;; เศร้าจริงๆ
ชักคิดถึงน้ำหอมมะลิแล้วสิ

วันศุกร์จะเป็นวันที่ดีมากถ้ารถไม่ติดค่ะ
เดินทางเหนื่อยล่ะเกิน.....
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
ozk*

ปล. ทอล์คไม่ได้เกี่ยวกะเรื่องเล้ย 55555