==> เมื่อผมมีรักแท้ แต่ดูแล(ไว้)ไม่ได้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ==> เมื่อผมมีรักแท้ แต่ดูแล(ไว้)ไม่ได้  (อ่าน 1080158 ครั้ง)

nuewanda

  • บุคคลทั่วไป
รอฟัง โอ๊ะ มะช่าย รออ่านๆ

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กลับมาแล้วครับ หลังจากที่นอนซมป่วยเป็นไข้หวัดปักกิ่งมาหลายวัน
ป่วยกันทั้งคู่เลย ด้วยความที่นอนอยู่ด้วยกัน ก็เลยติดหวัดกันมา
ตอนแรกคุณชายเขาเป็นก่อน ผมก็ประมาท คิดว่า ตัวเองภูมิคุ้มกันแข็งแรง
ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร ยังนอนด้วยกันเหมือนเดิม ไม่ได้แยกกันนอน
แต่พอเจออากาศเปลี่ยนแปลงมาก ๆ เข้า ต่อให้หัวแข็งแค่ไหน ก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ
ตอนอยู่ปักกิ่ง อุณหภูมิประมาณ 15-18 องศา กลางคืน ลดเหลือ 8-10 องศา
พอกลับมาบ้านเรา เจออากาศร้อนตับแล่บ อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 30 องศา ผมก็เป็นหวัดแดดไปเลยครับ  :m8:

ผมไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน ไหงทู้มันนิ่งอยู่กับที่เลยเนี่ย
คิดถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนมาก ๆ เลยครับ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

เมื่อตอนเที่ยง เห็นข่าวเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ เขาออกคลิปที่ผู้ชายเกาหลีทำร้ายตบตีผู้หญิงจีนที่เมืองจีน โทษฐานบังอาจแซงคิวซื้อของแล้ว
นึกถึงตัวเองตอนไปเที่ยวปักกิ่งเลย วิถีชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ที่นั่น เขาค่อนข้างจะออกแนวถ่อยหน่อย ๆ
เหมือนบ้านเราเมื่อสัก 5-10 ปีก่อน เขาไม่ค่อยเคารพกฏระเบียบอะไรเลย ผิดวิสัยประเทศคอมมิวนิสต์มาก
สงสัยจะเก็บกดมามาก ตอนที่ยังไม่เปิดประเทศ แย่งกันกิน แย่งกันซื้อ ไม่ค่อยเข้าคิวอะไร
ยิ่งเรื่องการขับรถในเมืองเนี่ย เป็นตัวอย่างที่ดีเลยครับ
พี่แกนึกอยากจะเลี้ยว ก็เลี้ยวดื้อ ๆ ไม่มีเปิดไฟเลี้ยวใด ๆ ทั้งสิ้น
ผมยังเกือบถูกเฉี่ยวเลย ทั้ง ๆ ที่เดินข้ามถนนตรงทางม้าลายแท้ ๆ
ที่เมืองจีน เส้นทางจราจรเขาจะตรงข้ามกับบ้านเรา
คือ ขับรถเลนขวา เวลาข้ามถนน พวกผมมักจะลืมบ่อย ๆ ก็เลยมองทางตรงกันข้ามตลอด
แต่นิสัยขับขี่ของคนปักกิ่งค่อนข้างแย่กว่าที่เซี่ยงไฮ้ครับ
เรียกว่า แซงได้เป็นแซง เบียดได้เป็นเบียดไม่มีการชะลอหรือแตะเบรก ถ้าไม่จำเป็น
เรียกว่า ได้ลุ้นกันทั้งสองฝ่าย ขนาดคนสูงอายุขี่จักรยานจะข้ามถนน พี่แกยังไม่ยอมจะหยุดให้เลย
จนกระทั่งเห็นจวนตัวว่า คุณลุงแกคงไม่ยอมเบรกจักรยานแน่ ๆ คนขับรถถึงจะยอมเหยียบเบรคตัวโก่ง
คนในรถนั่งหัวทิ่มหัวตำกันเป็นแถบ
ตอนที่พวกผมซื้อทัวร์ท้องถิ่น ประเภท 1 เดียว ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน
ขากลับเข้าเมือง รถตู้ผมกำลังเลี้ยวขวาตามสัญญาณไฟเขียว
ก็มีรถบัสฝั่งตรงข้ามขับตรงทื่อมาโดยไม่ชะลอเลย เล่นเอาพวกผมในรถร้องกันเสียงหลง
แต่สุดท้ายพี่รถบัสแกก็ยอมเหยียบเบรกให้แบบไม่ค่อยเต็มใจ
พอผมชะโงกมองดูระยะห่างระหว่างคัน ถึงเห็นว่า มีช่องว่างห่างกันไม่ถึง 3 นิ้ว
น้องสาวผมที่นั่งฝั่งนั้น นั่งหลับตาปี๋ ร้องกรี๊ดดังลั่น คงนึกในใจว่า "กูโดนแน่แล้ว"
โชคดีที่คนขับเขาเบรกได้ทัน ส่วนคนขับรถฝั่งผม พี่แกขับรถเฉยมาก ประมาณว่า มึงแน่จริง ก็ชนมาสิ ทำนองนั้นแหละครับ

ถ้ามาเที่ยวเมืองจีน แล้วอยากขับรถเที่ยวเอง ตาม กม. จีน เขาต้องให้เราไปสอบใบขับขี่จีนให้ได้ก่อนนะครับ
เขาถึงจะยอมให้ขับรถบ้านเขา ต่อให้มีใบขับขี่สากล ก็ใช้กับที่นี่ไม่ได้

ตอนแรกพวกผมกะจะเช่ารถขับไปเที่ยวกันเอง แต่พอเห็นนิสัยขับรถบ้านเขาแล้ว กอร์ปกับต้องมีใบขับขี่ท้องถิ่น
พวกผมขอเลือกเดินทางโดยรถไฟใต้ดินดีกว่าครับ มีมากมายหลายสาย สะดวก สะอาด ปลอดภัย ตรงเวลา มาบ่อย
แถมถูกมาก ๆ อีกด้วย บ้านเขาค่ารถไฟฟ้าใต้ดิน ตลอดสาย 2 หยวน ( 1 หยวน = 5 บาท โดยประมาณ)
รถไฟที่ปักกิ่งจะเป็นใต้ดินหมดครับ มีทั้งหมด 13 สาย แล้วมีแผนจะเปิดเพิ่มอีกปลายปีนี้อีก 1-2 สาย
ระบบระบายอากาศเขาดีมากเลย ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเวลาลงไปใต้ดินเลย เสียอย่างเดียว คือ เรื่องบันไดเลื่อน
พี่แกจะมีแต่บันไดเลื่อนขึ้น ไม่ค่อยมีบันไดเลื่อนลง เวลาขนของแบกกระเป๋าสัมภาระเยอะ ๆ จะลำบากมากครับ

เดี๋ยวผมจะค่อย ๆ เล่าไปทีละวันก็แล้วกัน ว่า พวกผมไปเที่ยวที่ไหนยังไงมาบ้าง
ชดเชยกับที่ผมไม่ได้เล่าเรื่องไปเที่ยวอังกฤษให้ฟังก็แล้วกันนะครับ
เพราะที่อังกฤษ ผมอยากให้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเราสองคนมากกว่าครับ





cocore

  • บุคคลทั่วไป
 o22 o22   จะเศร้าไปไหน 

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
คุณตาผมชอบไปเมืองจีนมาก เค้าจะไปกับทัวร์กับเพื่อนรุ่นเดียวกันนะครับ กลับมาถามว่าไปเที่ยวไหนกันมาบ้าง บอกว่าไม่รู้ นอนที่ไหนก็จะไม่ได้ แต่ช็อปกระัจายในกระเป๋าเดินทางมีแต่ของพวกโสม ยาจีน กับพวงกุญแจ เก็บมาไล่แจกคนแถวบ้าน
กลับมาทุกเที่ยวก็จะบอกว่า เที่ยวหน้าตาจะเอาน้ำพริกกระปุกติดไปด้วย แต่พอไปอีกรอบ ก็ไม่เคยเอาไปสักที

ไจฟ์ครัีบ

ออฟไลน์ BossoM

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1092
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-5
    • my twitter
ผิดไปแล้วค่ะที่หายไปนาน  :impress3:

จริงๆก็ไม่มีอะไร  แต่มีเรื่องที่ทำให้ส้มรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
ตอนนี้เลยขอปิดเฟสชั่วคราวก่อน ปิดมาสี่วันรู้สึกสบายใจที่สุด
ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะปิดถาวรเลยก็ได้อ่ะค่ะ ฮ่าๆๆ

พี่ปุ้มเล่าซะน้องไม่อยากจะไปเที่ยวเลย แต่ความฝันส้มเนี่ย อยากไปเที่ยวแถบยุโรปที่อากาศดีๆนะ
หาสามีแถวนั้น มีบ้านและฟาร์ม ท่ามกลางธรรมชาติ อะโหวว...ฝันเป็นฉากๆมาก  :laugh:

เล่าเลยค่ะ ไว้ส้มจะเข้ามาอ่านอีกน้า

 :กอด1: :กอด1:รอบทู้ค่า

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
คนจีนในชนบทเขายังมีน้ำใจอยู่เหมือนกันนะ  แต่ในเมืองใหย่ๆเนี่ย น่ากลัวมาก เขาว่าคนฮ่องกงยังหวาดๆกับจีนแผ่นดินไหญ่เลย  o22

พอดีมีญาติห่างๆอยู่เมืองจีน  พวกเราญาติฝั่งไทยก็ช่วยกันออกเงินมาเขามาเที่ยว  ต้องเอาล่ามมาด้วยนะ 555 ในชนบทเขาเขาทำนากันเยอะ ยากจนมาก (เลยพวกหนุ่มสาว ต้องเข้าเมืองหางานทำ ต้องแย่งกัน)

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
ไจฟ์....พี่ก็ซื้อบัวหิมะ สมุนไพรแช่เท้า กะ ถั่งเฉ้ามาเพียบเหมือนกัน
หลงคารมเล่าซือประจำศูนย์แพทย์แผนโบราณจีนเข้าเต็มเปา แมะมือพี่ทีเดียว หมดไปเกือบสองหมื่น 55555
พี่แกพูดภาษาไทยได้ดีมาก เคยมาเรียนที่เมืองไทยตั้ง 3 ปี
สงสัยพอเห็นหน้าคนไทย แกคงร้องในใจ "เหล่าตือไล้เหลี่ยว" 555555

กิมตี๋....เขาแย่งกันกินจริง ๆ นะครับ แล้วก็เย็นชากับชีวิตมาก
ตอนที่นั่งรอพวกสาว ๆ เขาซื้อของ ถ่ายรูปกัน ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ส่วนตัวกับไกด์ที่พาเที่ยวกำแพงเมืองจีน
เธอเป็นชาวมองโกลเลียใน ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของจีน เข้ามาทำมาหากินในปักกิ่งเพราะแถวบ้านไม่มีงานดี ๆ ให้ทำ
มีแต่ทำไร่ ทำนา แถมผลผลิตที่ได้ ก็ต้องแบ่งเข้ารัฐบางส่วนด้วย ฟังดูแล้ว บ้านเรายังสบายกว่าเยอะ
อย่างน้อยก็มีอะไรกินตลอดปี

ส้ม.....น้องส้มเป็นอะไรครับ ใครทำอะไรให้รำคาญใจ
นึกในใจว่า "ช่างมัน" คิดมากเดี๋ยวปัสสาวะเหลืองกันพอดี

ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก แถมเหนื่อยมากด้วย กลับถึงบ้าน หัวยังไม่ถึงหมอน ก็หลับแล้ว
วันหยุดนี้ จะมาเล่าเรื่องไปเที่ยวปักกิ่งให้ฟังนะครับ
ผมไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ แล้วก็ไม่ใช่นักเล่าเรื่องที่ดีด้วย
เวลาเขียนเนี่ย ต้องใช้พลังงานในการเรียบเรียงเรื่องราวค่อนข้างมาก
รู้สึกทึ่งไจฟ์ขึ้นมาครามครันเลย อุตส่าห์เขียนนิยายได้เป็นหลายเรื่อง
ทำได้ไงเนี่ย??? นับถือ นับถือ



ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
สวัสดีตอนบ่ายครับ ทุก ๆ คน ก่อนอื่นต้องกอดทุกคนรอบทู้ก่อน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

หลังจากที่นอนหลับเต็มอิ่ม ตื่นมาสายโด่ง จนคุณชายต้องขึ้นมาปลุกให้ลงไปกินข้าว (Brunch) ด้วยกัน
ผมรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากเลยล่ะ อยากให้มันเป็นอย่างนี้ทุกวันจังเลย  :impress2:
ตามที่สัญญาไว้ว่า จะมาเล่าเรื่องไปเที่ยวปักกิ่งให้ฟัง ผมจะเริ่มเล่าตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ เลยนะครับ
มันมีเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อว่าใครกำลังจะเดินทาง จะได้รู้ไว้

ด้วยความที่น้องผมเขามีงานเยอะ ไม่สามารถลางานติดต่อกันได้หลายวัน ซึ่งรวมถึงผมด้วย อิอิ
พวกผมก็เลยตัดสินใจออกเดินทางกันตอนกลางคืน แทนที่จะเดินทางกลางวัน ด้วยเหตุผลว่า
1) ประหยัดเวลา ไปถึงที่จะได้ออกเที่ยวเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกครึ่งค่อนวัน
2) ประหยัดค่าที่พัก เพราะนอนกันมาบนเครื่องบิน
3) ประหยัดค่าเครื่องบิน  เพราะเที่ยวสุดท้ายตอนกลางคืน ราคาตั๋วจะถูกเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องเสิร์ฟอาหารชุดใหญ่

แต่การจะหาสายการบินได้ลงตัวกันทุกคนเนี่ย เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เพราะแต่ละคนก็มีข้อจำกัดกันไปคนละอย่าง
ตอนแรกก็เลยจะไปสายการบินศรีลังกาแทน เพราะราคาถูกมาก แถมตารางบินก็โอเคสุดแล้ว
เที่ยวแรกออกเดินทางกันแต่เช้ามืด 6 โมงเช้า ไปถึงปักกิ่งประมาณ 11 โมง ทำให้มีเวลาเที่ยวได้อีกครึ่งวัน
แต่ติดตรงที่บริษัททัวร์ส่วนใหญ่ก็นิยมเลือกใช้บริการสายการบินนี้เช่นเดียวกัน
แถมมีรายการล็อคที่นั่งไว้เผื่อลูกทัวร์ตัวเองอีก ขนาดจองล่วงหน้าเป็นเดือนสองเดือน ที่นั่งยังเต็ม
แต่พอใกล้ ๆ ถึงวันเดินทาง ก่อนวันเดินทางสัก 7-10 วัน มาดูอีกที ดันมีที่นั่งเหลือ
เพราะบริษัทัวร์เขาต้องยืนยันจำนวนที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน
พอถึงกำหนด รู้จำนวนที่นั่งเหลือแน่นอน สายการบินเขาจึงจะปล่อยที่นั่งที่เหลือมาขายให้ผู้โดยสารทั่วไป

อีกอย่าง คุณชายเขาได้สิทธิ์ตั๋วฟรี เสียแต่ค่าอาหาร 1,600 บาท ส่วนคนอื่นที่เหลือต้องจ่ายค่าตั๋วกันเต็มราคา
เวลาก็ไม่ค่อยลงตัวกัน แต่อยากหนีงานไปเที่ยวกันทุกคน 55555  :laugh:
สุดท้ายก็เลยสรุปกันที่ สายการบินแห่งชาติสาระขัณฑ์ ที่เพิ่งจะมีคำสั่งปลดฟ้าผ่า DD ออกไปสด ๆ ร้อน ๆ
เพราะดันไปขวางทางพวกกรรมการบอร์ดที่เขาจะกินค่าคอมมิชชั่นในการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องบินฝูงใหม่อีก 30 กว่าลำ
ด้วยความที่แกเป็นนักบริหารมืออาชีพ ไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ มันก็เลยไม่ถูกใจกาฝาก แร้งทึ้งพวกนี้
เขาสั่งให้ทำอะไร แกก็ไม่ยอมทำ ไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดให้ ไม่ยอมโอนอ่อนกินตามน้ำไปกับเขา
เพราะสุดท้ายคนที่จะซวยถึงขั้นติดคุก คือ DD ไม่ใช่บอร์ดที่ส่วนใหญ่ได้รับแต่งตั้งมาเพราะตำแหน่งหน้าที่ทางราชการทั้งนั้น เช่น จาก ทอ. กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ ฯลฯ แถมมีเด็กเส้นจากสายการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก
สุดท้ายแกเลยโดนข้อหาว่า ไม่สื่อสารกับบอร์ด ทั้งที่ผลงานแกผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกอย่างนะครับ
แล้วแบบนี้ บ้านเมืองเราจะเจริญก้าวหน้าได้ยังไง ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยังไม่ลดละเรื่องโกงกินเชิงนโยบายกันอยู่แบบนี้
ผมไม่พูดถึงว่า ต้องให้เลิกมีทุจริตนะครับ ซึ่งต่อให้กลับชาติมาเกิดอีกสิบชาติ ก็เป็นไปไม่ได้
ขอแค่อย่ากินมูมมาม ตะกละตะกรามมากนักก็พอใจแล้ว

ผมให้ทายว่า ค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายถูกต้องตามกฎหมาย เขาอนุญาตให้จ่ายได้กี่เปอร์เซ็น?

แถ่น แทน แท๊น 3% ครับ นี่เฉพาะที่จ่ายตามกฎหมายนะครับ ไม่รวมที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะอีกต่างหาก
ลองคำนวณดูนะครับ เครื่องบินลำหนึ่ง ราคาประมาณ 3-5 พันล้านบาท
3% เป็นเงินเท่าไหร่ ถ้ารวมกับเงินใต้โต๊ะที่จ่ายจริงอีกประมาณ 5-10% จะเป็นเงินเท่าไหร่
เพราะเหตุนี้ บอร์ดกี่คณะที่เข้ามาบริหารสายการบินแห่งนี้ ถึงได้กระสันต์อยากจะจัดซื้อจัดจ้างเครื่องบินใหม่กันนัก
แล้วก็หาเรื่องจำหน่ายเครื่องบินเก่าออกไป เพราะเครื่องบินเก่าก็ขายทอดตลาดไปให้ประเทศกำลังพัฒนาอื่นได้
เรียกว่า กินทั้งสองทาง อีตอนจะซืัอมา ก็บรรยายสรรพคุณเครื่องบินใหม่เสียดีเลิศ หาที่ติไม่ได้
แต่พอจะซื้อฝูงใหม่ ไอ้ฝูงที่มีอยู่เนี่ย แม่งเลวหาที่ดีไม่ได้เช่นเดียวกัน
เหมือนตอนซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เลยครับ 555555
ตอนไปซื้อ คนขายก็จะบอกว่า รถรุ่นนี้ สมรรถนะยอดเยี่ยมต่าง ๆ นา ๆ
แต่พอเอารถคันเดียวกันไปขาย เต้นท์ขายรถแม่งติหาที่ดีไม่ได้
จนคนขายจิตตก พลอยระแวงเกิดอคติกับรถไปเลยก็มี

เอ! ว่าจะเล่าปักกิ่ง ไหงวกมาที่เรื่อง DD ได้หว่า????
ถ้ายังไงก็ขออภัยด้วย
บอกแล้วว่า ผมไม่ใช่นักเล่าเรื่องที่ดี ผมก็เล่าตามใจผมแล้วกันนะครับ
ถือซะว่า เล่าสู่กันฟัง

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เอาล่ะ! ก่อนที่จะเข้ารกเข้าพงกันไปมากกว่านี้ ขอวกกลับที่เรื่องปักกิ่งกันต่อนะครับ

สรุปว่า พวกผมเดินทางกันตอนกลางคืน เที่ยวบินสุดท้าย ซึ่งได้ราคาค่อนข้างถูก คือ 15,000 กว่าบาท ไปกลับนะครับ
ออกเดินทางเวลา 23.50 น. ไปถึงปักกิ่งประมาณ 6 โมงเช้า ซึ่งเท่ากับเวลาในเมืองไทย คือ ตีห้า เพราะเวลาในจีนจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม.
พวกผมนัดเจอกันที่สนามบิน ประตู 4 เพราะเคาน์เตอร์เช็คอินตั้งอยู่ใกล้ประตู 4
ผมไปถึงประมาณสามทุ่ม นั่ง Airport Link ไป เพราะผมไม่ได้ลางานวันเดินทาง
ขนาดตอน 1 ทุ่ม ยังต้องนั่งประชุมทางไกลกับสำนักงานส่วนภูมิภาคอยู่เลย
คุณชายเขามานั่งรอผมตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้ว แถมยังน่ารักด้วยการไปซื้อแซนด์วิช น้ำดื่ม เตรียมไว้ให้ผมรองท้องด้วย
โอ้! แฟนกรูน่ารักจังว่ะ  :man1:  แล้วผมจะทิ้งเขาไปมีเมียได้ยังไง จริงมั้ยครับ??  :teach:

มีเกร็ดนิดนึงเกี่ยวกับ Airport Link เนื่องจากผมจอดรถไว้ที่บริษัท พวกผมออกจากบริษัทประมาณ 1 ทุ่ม
ตอนแรกว่า จะนั่งแท็กซี่ไป แต่พอลงมารอรถ ปรากฏว่า ฝนตก รถติดอย่างมหากาฬ
พวกผมเลยตัดสินใจนั่ง Airport Link ดีกว่า สะดวก รวดเร็ว ราคาถูกกว่าด้วย
นั่ง BTS ไปลงสถานีพญาไท แล้วเดินต่อไปที่สถานีรถไฟ Airport Link สถานีมักกะสันได้เลย ไม่ต้องเดินลงไปข้างล่าง
ซึ่ง Airport Link ดำเนินงานโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายในสถานีเขาโอ่โถงกว้างขวางดีครับ
เขาแบ่งชานชาลาออกเป็น 2 ส่วน คือ
1) City Line สายในเมือง แวะจอดทุกสถานี ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ค่าบริการ 45 บาท
2) รถด่วน Express วิ่งจากสถานีมักกะสันตรงดิ่งไปสนามบิน ไม่แวะจอดที่สถานีใด ค่าบริการ 90 บาท ใช้เวลาประมาณ 17 นาที

ตอนแรกที่ไปถึงสถานี Airport Link ด้วยความที่ไม่เคยใช้บริการ ก็เลยงง ๆ กันนิดนึงว่า
มันต้องไปซื้อตั๋วรถด่วนที่ไหน แล้วรอรถไฟที่ไหน เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงมาก
แถมเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่ประจำการอยู่ พี่แกก็เอาแต่พูดโทรศัพท์อยู่นั่นแล้ว ไม่รู้จักวางซะที
กว่าจะรู้เรื่องพวกผมเสียเวลากันไปเกือบสิบนาที แถมต้องมานั่งขึ้นรถตามเวลาอีก
กว่าจะไปถึงสนามบินก็สามทุ่มกว่าแล้ว คนที่มารอเข้าคิวเพื่อเช็คอินแถวยาวเป็นงูกินหางล้นออกมาข้างนอกทั้งสองด้าน
อาศัยว่า คุณชายเขาพอรู้จักสายสนกลใน เขาก็เลยพาไปเช็คอินที่ตู้เช็คอินอัตโนมัติ
ซึ่งเขาวางเอาไว้หน้าทางเข้าที่เช็คอิน มีเจ้าหน้าสาวหน้าตาน่ารักคอยยืนให้บริการอยู่
ซึ่งส่วนใหญ่ผู้โดยสารมักไม่รู้ ก็จะไปยืนเข้าคิวคอยเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งเสียเวลามาก

พวกผมก็ไปใช้บริการเช็คอินอัตโนมัติที่ว่า โดยการแสดงพาสปอร์ตและเลือกที่นั่งได้เหมือนหน้าเคาน์เตอร์เลยครับ
แถมพอเช็คอินเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่เขาก็พาพวกผมไปต่อแถวเช็คอินด้านใน เพื่อชั่งน้ำหนักกระเป๋าและออก
Boarding Pass ใช้เวลาทั้งหมด 5-10 นาทีเอง จากนั้น พวกผมก็เข้าไปด่าน ตม. ด้านใน
เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องตรวจ ตม. อัตโนมัติ เหมือนกับที่สิงคโปร์แล้วนะครับ เพิ่งติดตั้งเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ กลิ่นสียังติดอยู่เลย
ต่อไปเวลาเดินทางไปต่างประเทศ เราก็ไม่ต้องไปต่อแถวยาวเหยียดเป็นชั่วโมง เพื่อให้ ตม. ดูหน้าเช็คประวัติอีกต่อไปแล้ว
เพียงแค่คุณเดินไปที่ช่องตู้เช็คอินอัตโนมัติอีกเช่นเคย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าทียืนคอยให้คำอธิบายแต่ละขั้นตอนอยู่
เพียงแค่เดินเอาพาสปอร์ตหน้าที่มีรูปเรา ไปวางสแกนที่เครื่อง แล้วเดินหน้าขึ้นไปอีกสองก้าว
เพื่อไปยืนตรงจุดที่เขามาร์คไว้ แล้วก็ใช้นิ้วชี้ ซึ่งผมจำไม่ได้ว่า นิ้วซ้ายหรือขวา วางทาบสแกนลายนิ้วมือ
พร้อมทั้งสแกนหน้าเราเข้าเครื่อง จากนั้นก็ไปให้เจ้าหน้าประทับตราขาออก เท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที

จากนั้น พวกผมก็มาเดินเล่นปร๋อข้างในเป็นชั่วโมงเลยครับ เครื่องออกตามเวลาเป๊ะ

เอ่อ! คุณชายเขามาเรียกแล้ว เดี๋ยวพวกผมต้องไปกินเลี้ยงรุ่นเพื่อนคุณชายเขา ผมขอตัวก่อนนะครับ
แล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ  :กอด1:

nuewanda

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
นั่ง BTS ไปลงสถานีพญาไท แล้วเดินต่อไปที่สถานีรถไฟ Airport Link สถานีมักกะสันได้เลย
จุดเชื่อมต่อ BTS กับ Airport Link อยู่ที่สถานีพญาไท ดังนั้นออกจาก BTS พญาไท แล้วก็ต้องต่อ Airport Link ที่สถานีพญาไทเช่นกัน ไม่น่าจะเป็นมักกะสัน เพราะ Airport Link เริ่มที่ พญาไท ---> ราชปรารภ--->มักกะสัน--->..........--->สุวรรณภูมิ

ด้วยความปรารถนาดีจาก.....แฟนคลับคุณชาย  :eiei1:

ปล.1 ส่วนเรื่อง DD การบินไทย เห็นมีข่าวว่าทางสหภาพเค้าออกมาคัดค้านการตัดสินใจของบอร์ด แต่ไม่รู้ว่าเรื่องไปถึงไหนแ้ล้ว
ปล. 2 พอพูดถึงการบินไทย เลยนึกว่าสโลแกน Thai Airways Smooth as Silk แต่เท่าที่นั่งเรือบินมาทั้งของไทยและสายการบินต่างชาติ จำได้ว่ามีครั้งเดียวที่เครื่อง landing ได้นิ่มมากๆ smooth สุดๆ ผู้โดยสารปรบมือชื่นชมกันทั้งลำเลย แล้วพี่ๆ น้องๆ เคยเจอ ที่ landing แบบนิ่มๆ กันกี่มากน้อยคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กุ้ง.....ขอบคุณมากครับที่ช่วยแก้ให้ ผมก็เพิ่งนั่งครั้งแรกเหมือนกัน  :o8:
ส่วนเรื่อง landing. พี่ถามคุณชายเขามาแล้ว เขาบอกว่า ขึ้นอยู่กับทักษะของนักบินแต่ละคน สภาพรันเวย์
รวมถึงสภาพอากาศในขณะนั้นว่า เป็นอย่างไร กำลังลมในขณะลงเป็นเท่าไหร่
ชั่วโมงบินของนักบินคนที่ลงมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ได้หมายความว่า กัปตันจะลงได้ดีกว่า นักบินผู้ช่วยนะครับ
คำว่ากัปตัน เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกกัน คำอย่างเป็นทางการ คือ Pilot in command
หมายความว่า นักบินทุกคนสามารถขับเครื่องบินได้ แต่คนที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินในเครื่อง คือ PIC

 สิ่งสำคัญสำหรับนักบินทุกคน คือ  Safety. First. Comfort second.
ถ้าสภาพอากาศปกติ รันเวย์มีความยาวมากพอ ก็สามารถลงให้นิ่มได้ครับ
แต่ถ้าไปเจอรันเวย์สั้น แถมมีภูเขาล้อมรอบอย่างที่แม่ฮ่องสอน
ต้องลงดิ่งแบบเดียวครับ ไม่งั้นเครื่องชนภูเขา แบบที่เนปาล ทุกวันนี้ยังมีร่องรอยให้เห็นติดหน้าผาที่เนปาลอยู่เลย

คุณชายเขาบอกว่า เทคนิคการลงพื้น ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนและนักบินรุ่นพี่ว่า จะเมตตาถ่ายทอดให้แค่ไหน
ถ้าว่ากันไปตามหลักสูตร เขาก็มีบอกไว้ครับ แต่ทักษะบางอย่างต้องมาจากการฝึกฝนเรียนรู้ด้วยตนเอง
อ่านแต่ตำราอย่างเดียว ขึ้นบินไม่ได้หรอกครับ ยังเป็นลูกนกขนอุยอยู่เลย

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กลับมาเล่าถึงการไปเที่ยวปักกิ่งต่อนะครับ

ตอนที่นั่งในเครื่อง ผมซื้อตั๋วชั้นประหยัด แต่คุณชายเขาไปขอกัปตัน ขออัพเกรดผมให้ไปนั่งด้วยกัน
ส่วนน้องสาวผมสองคน ยังนั่งอยู่ที่เดิม เพราะคุณชายเขาเกรงใจ ถ้าต้องขอทีเดียว 3 คน
ตอนแรกพวกผมคิดว่า จะสละสิทธิ์ที่นั่งให้น้อง เขาจะได้นอนสบายหน่อย
แต่มาคิดดี ๆ อีกที ลูกเรือมีหลายคน ถึงคุณชายเขาจะรู้จักกัปตันและลูกเรือบางคนอยู่ก็จริง
และถึงแม้ว่า พวกลูกเรือส่วนใหญ่เขาจะเข้าใจว่า เรื่องทำนองนี้ เหมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า อัชฌาศัย
แต่พวกผมก็ไม่อยากให้คนอื่นหมั่นไส้ เขาล็อคที่นั่งไว้ให้แล้ว แต่เรากลับเอาไปให้คนอื่นนั่งแทน
ถ้าเกิดใครไปรายงาน เดี๋ยวจะเป็นเรื่องให้คุณชายเขาลำบากใจเปล่า ๆ ซึ่งเรื่องนี้น้องผมเขาก็เข้าใจดีครับ

หลังจาก Take off ขึ้นบินเรียบร้อยแล้ว นั่งไปสักพัก ทางพนักงานต้อนรับก็เริ่มเสริฟน้ำส้ม ของว่างรอบดึก ตอนตี 1 กว่า
ผู้โดยสารส่วนใหญ่ง่วงตาปรือจะหลับกันหมดแล้ว ผมเห็นส่วนใหญ่ก็วางเอาไว้
พอนอนกันไปได้สัก 2 ชม. พนักงานเขาก็เริ่มเสริฟอาหารเช้ากันตอนตี 3 ถ้านับตามเวลาในไทย
ซึ่งเท่ากับตีสี่ตามเวลาในจีน ก็คิดดูแล้วกันว่า ใครมันจะกินอาหารเช้ากันตอนตี 3 ได้ลง
แต่อาหารเช้าเขาก็เสริฟเต็มเซ็ทน่ากินทั้งนั้นเลยครับ ด้วยความเสียดายของ พวกผมก็เลยค่อย ๆ กระเดียดลงไป
แล้วความทุกข์ก็บังเกิด เพราะกินอาหารผิดเวลา เป็นอะไรที่ทุลักทุเลพอสมควร
จะไปปลดทุกข์ก็กลัวว่า เครื่องจะลง ก็ต้องทนกันไปจนเครื่องแลนดิ้งล่ะครับ
เครื่องมาถึงสนามบินนานาชาติปักกิ่ง หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เป่ยจิง กงจี๋จี้ฉ่าง (กงจี๋ = International จี้ฉ่าง = Airport)

ถ้ามีช่วงจังหวะเหมาะ ๆ ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงการอ่านออกเสียงภาษาจีนจากภาษาอังกฤษที่เขาเขียนไว้
เพราะสังเกตุจากน้องสาวผม พวกเขาจะอ่านออกเสียงไปคนละทางกับสำเนียงจีน ทำให้เวลาไปถามทาง คนจีนก็เลยงง ไม่เข้าใจ
ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรนักหรอกครับ อาศัยว่า เคยเรียนภาษาจีนมา 3 ปี ทั้งพูด อ่าน เขียน
เพื่อที่จะหาเรื่องจีบสาวจีนตอนที่ไปเรียนโทที่ออสเตรเลีย เรียกว่า ตอนนั้นมันมีแรงบันดาลใจอยากจะเรียน ก็เลยพอเข้าใจบ้าง 55555
แต่พอกลับมาแล้ว ไม่ได้ใช้เลย ตอนนี้ก็คืนเล่าซือไปเกือบหมดแล้ว ตอนที่ไปเที่ยวจีนเนี่ย ก็พอมีโอกาสได้ทบทวนฟื้นฟูมาพอสมควร

ที่ปักกิ่งมี 2 สนามบิน เวลาซื้อตั๋วต้องดูดี ๆ นะครับว่า ไปลงที่ไหน
สำหรับ TG เขาให้ไปลงที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง หรือเรียกว่า Beijing Capital Airport (PEK)
พอลงเครื่องมาแล้ว ก็ต้องไปผ่านด่านตม. จีน ก่อนไปรับกระเป๋าที่อาคารด้านนอก
ผมว่า ตม. เนี่ยจะเหมือนกันเกือบทุกที่เลยนะครับ คือ หน้าตายนิ่ง ไม่รับแขก ไม่ยิ้มแย้ม สงสัยเขาฝึกมาให้เป็นบุคลิกแบบนี้
ที่ตม. จีน เขาให้เข้าแถวแบ่งเป็นสองฟาก ยืนคละรวมกันทั้งชาวจีนและต่างชาติ ไม่แบ่งแถวเหมือนบ้านเรา
ยิ่งเครื่องมาลงตอนเช้าตรู่แบบนี้ เจ้าหน้าที่มาทำงานไม่กี่คน ยิ่งชักช้าเสียเวลามากขึ้นไปอีก
แต่เขาก็ทันสมัยนะครับ ใช้ Tablet แทนจอ LCD บันทึกข้อมูลแล้วส่งตรงเข้าฐานข้อมูลไปเลย
ผมเห็นเจ้าหน้าที่แต่ละคน เขาจะมีกระเป๋าเอกสารเหมือนกระเป๋าเจมส์บอนด์ประจำตัวกันทุกคน
พอเปิดออกมา ก็เป็น laptop ขนาดพกพา ซึ่งแน่นอน พะยี่ห้อ China อยู่แล้ว แต่ก็อปของใครมาไม่รู้ 555555


ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
พอผ่านด่าน ตม. มาแล้ว ก็เดินตามป้ายไปรับกระเป๋าที่อาคาร Terminal 3 ที่อยู่ด้านนอก
ต้องนั่งรถไฟฟ้าออกไปครับ ถ้าคนไม่เคยมา ก็อาจจะงง ๆ นิดนึง
ไม่เหมือนบ้านเราที่มีรถไฟใต้ดินอยู่ใต้อาคารผู้โดยสารเลย สะดวกสบายมากกว่า

พอออกไปที่ Terminal 3 ก็จะเห็นป้ายแสดงหมายเลขสายพานรับกระเป๋า ซึ่งเขาค่อนข้างทำได้ทันสมัยมากครับ
ลองดูในรูปนะครับ



[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
หลังจากรับกระเป๋าแล้ว พวกผมก็ลงลิฟท์ไปที่ชั้น B1 เพื่อจะเรียกแท็กซี่ไปที่พัก
มีเรื่องให้ตื่นเต้นเล็กน้อย กับเทคนิคการหาลูกค้าของแท็กซี่ป้ายดำในสนามบิน
คือ พอลิฟท์ลงมาถึงชั้น G ก็มีคนจีนยืนอออยู่หน้าลิฟท์กัน 2-3 คน
พร้อมทั้งร้องเรียก Taxi Here Taxi Here ถ้าใครไม่รู้ ก็จะออกไปเลยใช่มั้ยครับ ซึ่งผมก็เห็นฝรั่งสองสามคนออกไปเหมือนกัน
ซึ่งทางการเขาอนุญาตให้แท็กซี่พวกนี้ ซึ่งได้รับอนุญาตจากการท่าฯ จีนหรือเปล่าไม่รู้
ให้มาดักเรียกนักท่องเที่ยวถึงในสนามบินได้ ถ้าหลวมตัวไปด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะโดนฟันค่าแท็กซี่ไปเท่าไหร่
สงสัยว่า คงต้องมีการจ่ายค่าเบิกทางเหมือนกันนะเนี่ย ใครว่าประเทศคอมมิวนิสต์ไม่มีคอร์รัปชั่น ผมเถียงขาดใจ ตัวดีเลยล่ะนั่น
แต่พวกผมได้รับคำเตือนมาก่อนแล้ว ก็เลยลงไปถึงชั้น B1 เปิดลิฟท์ออกมา ก็เห็นแถวรอแท็กซี่เป็นล็อก ๆ
มีเจ้าหน้าที่สนามบินยืนรอจัดคิวให้ กว่าพวกผมจะออกจากสนามบินได้ ต้องเจรจาต้าอ่วยกับคนขับแท็กซี่อยู่นานพอสมควร
เพราะคนขับไม่แน่ใจว่า ตั้งอยู่ตรงไหน เดือดร้อนให้ผมต้องโทรไปที่ที่พัก แล้วให้เจ้าหน้าที่เขาอธิบายเป็นภาษาจีนให้ฟัง
ถึงรู้เรื่อง ซึ่งมาเที่ยวปักกิ่งต้องทำใจอย่างหนึ่งว่า ถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่เมืองธุรกิจเหมือนที่เซี่ยงไฮ้
นักท่องเที่ยวก็เป็นแบบมากับทัวร์เสียเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้คนจีนทั่วไปไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับชาวต่างชาติโดยตรง
คนปักกิ่งส่วนใหญ่ จึงไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ ต้องพูดภาษาจีนและภาษามือประกอบกัน ถึงจะพอเข้าใจได้
แต่นี่ก็ถือว่า ดีขึ้นมากแล้ว หลังจากโอลิมปิค 2008 ถนนหนทางส่วนใหญ่มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย
แต่ก็ยังเห็นคนจีนกลางคนหรือมีอายุบางคนยังแอบถ่มถุยเสมหะลงถนนอยู่เหมือนกัน เลยทำให้พวกผมเป็นโรคระแวงพื้นถนนไปเหมือนกัน

การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง มีหลายวิธี เช่น นั่งแท็กซี่ ซึ่งถ้ามากันสองคน ไม่คุ้มครับ เพราะค่าแท็กซี่เริ่มต้นที่ 10 หยวน
บวกกับค่าผ่านทางด่วนอีกอย่างน้อยสามด่าน ด่านละ 2-3 หยวนเนี่ยแหละ ถ้าโชคดีเจอคนขับพาไปตามทาง
ไม่ขับวนอ้อม เพื่อเอาค่าแท็กซี่เพิ่ม ค่าแท็กซี่ก็ควรอยู่ที่ 60-100 หยวนครับ

วิธีที่ 2 คือ นั่งรถไฟแอร์พอร์ต เอ็กซเพรส ค่ารถแอร์พอร์ต เอ็กซเพรส คนละ 25 หยวน
ไปลงที่สถานีสุดท้ายคือ Dong Zhi Men – ต่งจื้อเหมิน ที่สามารถเชื่อมต่อกับ MRT line 2 ได้
ซึ่งสามารถขึ้นได้ที่สถานี Terminal 3 เลย ลักษณะจะคล้าย ๆ กับสถานี Maglev ในเซี่ยงไฮ้ แต่ใหญ่กว่า
และทางเดินจะยาวมาก มีทั้งหมด 4 ชั้น อย่างในรูป

วิธีที่ 3 คือ นั่งรถเมลล์ (Shuttle Bus) ซึ่งมีหลายสาย แต่ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ราคาเดียวกันหมด คือ 16 หยวน
ถ้าไม่เคยนั่ง ผมไม่แนะนำนะครับ เพราะจะเจอคนจีนล้วน ๆ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถึงแม้เขาอยากจะช่วยเราก็ตาม

พวกผมไปเช็คอินเข้าที่พักที่ Lee Garden Serviced Apartment ซึ่งเป็นเครือเดียวกันกับ Lee Gargen ที่หาดใหญ่ที่โดนวางระเบิดนั่นแหละ
ตอนแรกที่เกิดเรื่อง คุณชายเขาก็อยากเปลี่ยนเหมือนกัน กลัวมันจะเป็นลางไม่ดี แต่ถ้ายกเลิกไม่ถึง 30 วัน เราต้องจ่ายค่าเสียโอกาสให้เขา
ก็เลยต้องปล่อยให้เป็นไปตามเดิม ที่พักของเราอยู่ตรงกลางย่านธุรกิจเลยครับ มีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อยู่ติดกับที่พัก
แถมยังมีร้านเบเกอรี่เจ้าอร่อยอยู่ใกล้ ๆ อีกด้วย พวกผมแวะไปซื้อเกือบทุกวัน เขาทำใหม่สดทุกวัน
ร้านตั้งอยู่หน้าสถานีรถใต้ดินสาย 5 ชื่อ Dengshikou (อ่านว่า เติ่งซื่อโข่ว แต่คุณชายเขาอ่านว่า "เด้งสิกู")
เล่นเอาพวกผมขำกลิ้ง  :pigha2: 555555
ที่พักห่างจากถนนหวังฟุจิ่งประมาณ 5 นาที ถ้าเดินไป อยู่ตรงข้าม รร. ฮิลตัน และเยื้อง ๆ กับ โนโวเทล
แถมยังใกล้สถานีรถใต้ดิน สาย 1 และสาย 5 สะดวกสบายในการเดินทางมากครับ
หลังจากเช็คอิน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็ออกลุยทำเวลากันเลยครับ

สำหรับวันแรก พวกเราจะไปเที่ยวที่หอเทียนถาน วัดลามะ แล้วก็กลับที่พักมาสำรวจถนนหวังฟุจิ่งกันครับ


[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
มาต่อแล้วครับ

หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า กันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็พร้อมที่จะออกเดินทางผจญภัยในปักกิ่งกันแล้วครับ
ที่แรกที่เราไปกัน คือ หอบูชาฟ้าดิน เทียนถาน ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ ห่างจากที่พักประมาณ 3 สถานี
ตอนแรกว่าจะไปจตุรัสเทียนอันเหมินก่อน แต่น้องๆผมเขาอยากไหว้พระ เอาฤกษ์เอาชัยก่อน
ก็เลยตกลงกันว่าจะไปวัดกันก่อน พวกเรานั่งรถใต้ดินสาย5 ไปลงที่สถานีเทียนถานเลย
สถานีอยู่หน้าประตูด้านตะวันออก เรียกว่าออกมา ก็เดินเข้าไปได้เลย

ค่าโดยสารรถไฟใต้ดินค่อนข้างถูกมาก 2หยวน ตลอดสาย (1หยวน = 5บาท โดยประมาณ)
ที่ปักกิ่ง อย่างที่เคยเกริ่นไปแล้วว่า มีทั้งหมด 13 สาย โยงใยเป็นใยแมงมุมทั่วเมือง
ตอนแรก พวกเราก็งง ๆ กับวิธีการซื้อตั๋วของที่นี่ เพราะยังตั้งตัวกันไม่ทัน
ก็เลยแอบดูชาวบ้านเขาซื้ออยู่พักหนึ่ง ที่จริงเขามีตั๋ววัน. ตั๋วเดือนขายแบบบ้านเรานะครับ
แต่พวกผมเห็นว่า เราไม่ค่อยได้ใช้บริการมากนัก ซื้อไปแล้วไม่คุ้ม ก็เลยซื้อเป็นคราว ๆ ไปดีกว่า

พอเดินออกมา พวกผมก็เอ๋อกันอยู่พักหนึ่ง เพราะเห็นแนวกำแพง แต่หาประตูไม่เจอ
ถามใครแถวนั้น ก็ได้แต่ชี้ไม้ชี้มือไปทางขวาอย่างเดียว
พวกผมก็เลยพากันเดินเลาะขอบกำแพงไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็คงเป็นที่สะดุดตาสามล้อถีบที่จอดอยู่แถวนั้น
แสดงออกมาชัดเจนว่า หมูมาแล้ว ขณะกำลังเดินดุ่ม ๆ กันอยู่ ก็มีสามล้อถีบคันหนึ่ง
ถีบตีคู่มาตามถนน พยายามส่งภาษาจีนบ๊งเบ๊ง ทำนองว่า เขาอาสาพาไปส่งที่หน้าประตู
ตอนแรก ผมก็ปฏิเสธไป แต่น้องสาวผมเขาอยากลองนั่งสามล้อถีบดู
ก็เลยต่อรองราคากันดู ตอนแรก พี่แกโขกราคา คนละ 20หยวน
แต่ผมต่อรองลดราคาลงไปเรื่อย ๆ จนเหลือ คนละ 5หยวน
ใจอยากจะต่อลดราคามากกว่านี้อีก แต่กลัวมันจะรุมเอา
ก็เลยคิดว่า เอาวะ ลองดูหน่อย ถ้าถูกหลอก ก็ถือซะว่า เป็นประสบการณ์
ก็ตกลงราคากันที่คันละ 10 หยวน คันนึงนั่งได้ 2 คน
ผมกับคุณชายนั่งคันนึง น้องสาวผมนั่งอีกคันนึง
ผมก็ให้คันของน้องผมถีบนำไปก่อน เพราะกลัวว่า มันจะพาลดเลี้ยวไปที่อื่น
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คาด ไอ้คันของน้องสาวผม มันปั่นนำหน้าหนีหายไปลิ่ว ๆ
ไม่รอคันของผมเลย แล้วต่างคันต่างก็แยกกันไปคนละทาง
คันของผม มันพามาจอดหน้าประตูทางเข้าด้านเหนือ ส่วนของน้อง มันพาลดเลี้ยวไปส่งทิ้งไว้ที่ปากทางที่ไหนไม่รู้
ห่างจากประตูทางเข้าด้านเหนือร่วมร้อยเมตร และแล้วเล่ห์เหลี่ยมสามล้อถีบก็บังเกิดขึ้น
ไอ้คนถีบคันของน้องสาวผมพอมันพาอ้อมไปมาให้เหมือนว่ามันไกลแล้ว มันก็พามาส่งกันคนละที่
แล้วก็ทำหน้าตาขึงขัง เรียกร้องเงินจากน้องสาวผมยิก ๆ โดยจะให้จ่ายกันคนละ 10 หยวน ไม่ใช่ 5 หยวนอย่างที่ตกลงกัน
น้องสาวผมก็ไม่ยอมให้จนกว่าจะเจอผม ในใจเขากลัวกันมากเลย กลัวถูกหลอกไปขาย แต่ทำใจดีสู้เสือเข้าไว้
พร้อมทั้งโทรหาผมทันที ผมเลยบอกให้เขาเดินมาตามทางออกมาถนนใหญ่ มาสมทบกันที่หน้าประตูทางเข้าด้านเหนือ
พอน้องเห็นหน้าพวกผมเท่านั้น รีบวิ่งมาหาทันทีเลย แล้วยุทธการหักเหลี่ยมมังกรจีนก็เริ่มขึ้น
ไอ้คนถีบสามล้อของน้องผมมันก็พยายามจะให้พวกผมจ่ายค่าโดยสาร คนละ 10 หยวนให้ได้
มันบอกว่า ตกลงกันไว้ตามนี้ มันไม่รับรู้ว่า พวกผมตกลงกับอีกคันหนึ่งไว้ว่ายังไง แต่มันต้องได้ 20 หยวน
แต่พวกผมไม่ยอม. ก็เถียงกันล้งเล้งอยู่ตรงหน้าทางเข้า คุณชายเห็นท่าไม่ดี เลยให้น้องผมวิ่งไปยืนรออีกฝั่งถนน
เพื่อหลบให้พ้นจากตรงนั้น ถ้าเกิดมีอะไร พวกผมจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ลุยกะมันได้เต็มที่หน่อย
อีกคันหนึ่งมันก็พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ไกล่เกลี่ยแบบช่วยพวกมันนะครับ
ผมโมโหเลือดขึ้นหน้าเลย เพราะตกลงกันไว้ที่ คนละ 5 หยวน ซึ่งก็ถือว่าแพงแล้ว
เพราะทางเข้ามันก็อยู่ตรงหน้าเราตอนที่ขึ้นจากรถใต้ดินมานั่นแหละ
แต่เราเดินผ่านไป เพราะไม่คิดว่า มันจะเป็นทางเข้า มันไม่มีป้ายบอกอะไรเลยครับ
แถมพวกมันยังพาเราอ้อมไปอีกทาง เพื่อหลอกให้ดูเหมือนว่า มันไกล
แล้วจู่ ๆ จะมาโมเมอาศัยว่า เราไม่รู้ภาษาจีน แล้วถือโอกาสขูดราคาหน้าด้าน ๆ
จากไอ้ที่จำศัพท์ภาษาจีนไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยใช้เลยมาร่วมสิบปี
ไม่รู้ว่า ผมหลุดด่าพวกมันเป็นภาษาจีนไปได้ยังไงเหมือนกัน ด่าแบบรัวเป็นชุดเลยล่ะครับ
เล่นเอาพวกมันอึ้งไปเหมือนกัน ไม่คิดว่า ผมจะเข้าใจและพูดได้
คุณชายมาบอกผมตอนหลังว่า ผมพูดคล่องเหมือนพูดมานานเลย
คงเป็นเพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์คับขันมั้งครับ สัญชาติณาณเอาตัวรอดเลยถูกกระตุ้นขึ้นมา 55555
สุดท้ายผมก็หักคอพวกมันดื้อ ๆ ว่า ให้แค่นี้แหละ ถ้าไม่พอใจ ก็ไปแจ้งตำรวจเอาเอง
ผมก็ให้ไป 10 หยวน สองคัน 10 หยวนนะครับ ตอนแรกว่า จะให้ตามราคาที่ตกลงกัน
แต่หมั่นไส้พวกมันมาก ที่ฉวยโอกาส ก็เลยลดเหลือ คันละ 5 หยวนพอ
ผมก็ใช้วิธีวางเงินไว้บนเบาะที่นั่งรถสามล้อคันหนึ่ง แล้วรีบเดินหนีเลยครับ ให้พวกมันไปเคลียร์กันเอง
เป็นยุทธวิธีเบี่ยงเบนความสนใจพวกมันด้วยเงิน ไม่ให้มันตามมา เพราะเท่าที่สังเกตดู พวกมันก็ไม่ได้สนิมสนมอะไรกันมากนัก
ยังไงซะ กำขี้ดีกว่ากำตดแหละครับ ซึ่งก็ได้ผล เพราะไอ้คันที่ผมวางเงินไว้ มันรีบคว้าไว้ก่อนเลย
อีกคนพอเห็นอย่างนั้น ก็รีบแบมือขอส่วนแบ่งทันที กลัวโดนฉกหนีหน้าด้าน ๆ มั้งครับ
ก็เป็นประสบการณ์ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบครั้งแรกบนแผ่นดินจีน ตอนไปที่เซี่ยงไฮ้ไม่เจอแบบนี้นะครับ
ค่อนข้างอินเตอร์พอสมควรเลยแหละ แต่ไอ้เรื่องบอกราคาผ่านไว้เยอะ ๆ เผื่อต่อนี่ เป็นเหมือนกันหมด
มาเที่ยวที่จีน บอกไว้เลยนะครับว่า ไม่ใช่ต่อราคาแค่ 50% แต่ต้องมากกว่า 70-80% เลยล่ะครับ
สมมติว่า เขาบอกราคา 100 หยวน ต่อไปเลยครับ อย่าได้เกรงใจ ลดไปเลยว่า 10หยวน
แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดก็ได้ ถ้าอยากได้จริง ๆ ต้องเล่นตัวว่า ไม่อยากได้ แล้วเดินหนีออกมาเลยครับ
ร้อยละ 80 ที่ทำแบบนี้ คนขายจะวิ่งตามมาเลยครับ ยอมให้แต่โดยดี ถ้าไม่วิ่งตาม เราก็ไปสำรวจราคาที่ร้านอื่นก่อนก็ได้ครับ
ถ้าคิดว่า ราคาสมเหตุผล ค่อยกลับมาใหม่ก็ได้ แต่อย่ารีบร้อนซื้อทันทีนะครับ ถูกฟันหัวแบะแน่ ๆ
น้องผมเขาใช้วิธีนี้แหละครับ ช็อปมาเพียบ ซึ่งผมยอมรับอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงเนี่ย ลูกอีช่างซื้อและต่อของเก่งจริง ๆ
ผมและคุณชายเลยกลายเป็นคนถือของไปกลาย ๆ เลย ที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ กระเป๋ามันงอกได้ด้วยแฮะ ขาไปมีใบเดียว ขากลับงอกมาอีกใบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2012 19:27:51 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
เคล็ดลับของการเขียนเรื่องของผมก็คือ
พี่ต้องให้คนใกล้ตัวช่วยเขียนครับ  :m19:

ไจฟ์ครับ

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
มาต่อแล้วครับ

ที่แรกที่ไปเที่ยว คือ หอเทียนถาน ซึ่งใช้เป็นที่บวงสรวงบูชาเทพยดาฟ้าดินและเทพเจ้าประจำดาวนพเคราะห์ต่าง ๆ ตามความเชื่อของชาวจีนครับ
ผมคงไม่เล่าประวัติที่มามาก เพราะคิดว่า สามารถหาอ่านได้จากอาจารย์ "กู"

ตอนที่ไปเป็นวันธรรมดา แต่ก็มีชาวจีนจากทั่วสารทิศของประเทศ จัดทัวร์มาเที่ยวเมืองหลวงกันอย่างหนาตา
หอเทียนถานดูจากภายนอก ใหญ่โตโอ่อ่ามาก แต่พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ลวดลายเส้นสายสู้ของไทยเราไม่ได้ครับ
พระปรางค์วัดอรุณฝีมือยังละเอียดมีมิติมากกว่า เพราะพี่แกมีแต่โครงเท่านั้นที่ดูสวยงาม แต่ข้างในแทบจะไม่มีอะไร
ดูแห้งแล้ง ไร้ความดึงดูดใจยังไงชอบกล แต่ Landscape จัดวางได้ดีมาก ตามหลักฮวงจุ้ยเป๊ะ
มีอาคารตั้งป้ายบูชาเทพเจ้าประจำดวงดาว เทพเจ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่รายล้อม
อันที่จริง เขาก็มีป้ายเขียนอธิบายบอกไว้นะครับ มีทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ
แต่ผมเห็นฉบับภาษาจีน เขียนซะยาวเหยียด ส่วนภาษาอังกฤษมีอธิบายไว้กระจึ๋งนึง

พื้นที่รอบหอบูชากว้างใหญ่มากครับ จัดวางตามหลักฮวงจุ้ยโบราณ เพื่อเสริมดวง เสริมพลังให้กับบ้านเมืองและราชวงศ์
พวกผมเดินผ่านออกประตูหอด้านในไปทางทิศใต้ เพื่อจะไปยืนรับพลังหยินหยาง ณ วงแหวนพลังจักรวาล
(ตามความเชื่อของโบราณ) ซึ่งทางที่ไป จะผ่านกำแพงเสียงสะท้อน ซึ่งมีลักษณะเป็นกำแพงวงกลม ก่ออิฐถือปูน
จากที่เขียนอธิบายไว้ เขาบอกว่า ถ้าเราไปยืนกันคนละมุม เพียงแค่พูดเบา ๆ คนที่อยู่อีกฟาก
สามารถได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ต้องตะโกนคุยกัน ผมไปลองมาแล้ว ให้คุณชายไปยืนอีกฟาก แล้วคุยกัน
ก็ได้ยินแว่ว ๆ นะครับ ไม่ถึงกับได้ยินชัดเจน คงเป็นเพราะมีคนลองเสียงเหมือนพวกเรากันหลายคน
เสียงเลยตีกัน จับที่มาไม่ได้ ถ้าเงียบสงบกว่านี้ คงจะได้ยิน (มั้ง) ครับ
อีกอย่างเสียงคุยธรรมดาของเรา คงต่างกับคุยธรรมดาของคนจีน
เพราะเห็นเวลาเขาคุยกัน มันบ๊งเบ๊ง ล้งเล้ง ไปหมด
ถ้าไม่รู้ว่า นี่คือคุยกันธรรมดา คงนึกว่า ทะเลาะกัน หรือกำลังทวงหนี้กันอยู่

ทางเดินไปวงแหวนแห่งไฟ เอ้ย! ไม่ใช่ วงแหวนแห่งพลัง เป็นลานพื้นหินโล่ง ๆ ค่อนข้างกว้างขวางมาก
รถม้าวิ่งได้สามสี่คัน มีต้นไม้ปลูกไว้ตามรายทางต้นใหญ่ ๆ ร่มครึ้มสบายตามากครับ
ถูกใจคุณชายเขาล่ะ เขามันพวกรักธรรมชาติ รักต้นไม้ใบหญ้า พี่แกก็ไปก้ม ๆ เงย ๆ จับ ๆ ลูบ ๆ คลำ ๆ
แล้วก็อธิบายว่า ไอ้ต้นนี้ มันคือต้นอะไร ไอ้ต้นนั้น คืออะไร ผมก็ฟังหูซ้าย ออกหูขวาแหละครับ
ผมดูไม่ออกหรอกครับว่า ไอ้ใบหยัก ๆ เรียว ๆ หงิก ๆ งอ ๆ นี่ มันคือต้นอะไร
แต่เห็นเขามีความสุขที่ได้พูดถึง เลยไม่อยากขัดคอ

พอไปถึงวงแหวนพลังจักรวาลที่ว่า เป็นลานหินโล่ง ๆ รูปวงกลม มีปุ่มกลม ๆ นูน ๆ
แกะสลักทำเป็นรูปหยินหยาง อยู่ตรงกลางลาน บนลานวงแหวน เขาปูพื้นเป็นวงกลม
แบ่งออกเป็น 9 ชั้น 9 แนว รวมทั้งสิ้น 81 ช่อง ตามหลักฮวงจุ้ย

ก็มีคนรอคิวที่จะไปยืนรับพลังหยินหยางที่ปุ่มหินตรงกลางลานกันเต็มไปหมด
เขาบอกว่า ถ้าไปยืนบนปุ่มรับพลังที่ว่า ถ้าธาตุในกายมีความสมดุล เราจะสามารถหยั่งเท้ายืนอยู่บนปุ่มได้นาน
แต่ถ้าธาตุไม่สมดุล เราก็จะทรงตัวบนปุ่มไม่ได้ ซึ่งจากการสังเกตุดู ก็เห็นส่วนใหญ่จะยืนรับพลังกันเป็นคู่ เพื่อช่วยพยุงตัวซึ่งกันและกัน

พวกผมก็ไปรอคิวยืนกับเขาด้วย ส่วนพวกผมแยกกันยืน ขืนไปยืนด้วยกัน เดี๋ยวคนจีนได้ช็อคตายกันพอดี
ที่เห็นผู้ชายถึก ๆ สองคนกอดกันบนปุ่มนั่น เพราะที่นี่ เขาค่อนข้างรังเกียจเกย์ กระเทย อย่างมาก
ตอนขึ้นไปยืนบนปุ่ม ผมก็พยายามสูดลมหายใจรับพลังจักรวาลที่ว่าให้มากที่สุด
แต่มันสู้แดดไม่ไหว ยืนกลางแดดนาน ๆ มันร้อนใช่เล่นนะครับ

ตอนที่ไปถึงวันแรก อากาศดีมาก ท้องฟ้าสดใส ไม่มีเมฆหมอกใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่พอตกเย็น มรสุมเข้า อากาศเปลี่ยนทันใด
จากร้อนพอ ๆ กับบ้านเรา กลายเป็นอากาศเย็นขึ้นมาทันที
ไม่เย็นธรรมดานะครับ เย็น 12-15 องศา จาก 26 องศาตอนกลางวัน
ใครปรับตัวไม่ทัน มีสิทธิ์ป่วยได้เลยครับ อากาศเหมือนที่อังกฤษเลย มีสามฤดูในวันเดียว

วันนี้ พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะครับ ถ้าบรรยายมากไป ก็บอกด้วยแล้วกัน
จะได้เขียนให้กระชับขึ้น

นิทราราตรีสวัสดิ์ครับ

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
ผมเอารูปหอเทียนถานให้ดูครับ  :bye2:

[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
หลังจากนั้น เราก็ไปวัดลามะ ซึ่งอดีตเคยเป็นพระราชวังที่ประทับเก่าของจักรพรรดิ์หย่งเจิ้น
องค์ชายสี่แห่งราชวงค์ชิงและเป็นพระราชบิดาของจักรพรรดิ์เฉียนหลง พอพระองค์ขึ้นครองราชย์
ก็เลยยกวังให้เป็นวัด เหมือนเป็นประเพณีนิยมของราชวงศ์เลยแฮะ

แต่น่าเสียดายที่พวกผมไปถึงที่วัด ตอนบ่ายสามโมงเศษ ซึ่งใกล้ปิดทำการแล้ว ที่นี่เขาปิดตอนสี่โมงเย็นครับ
แถมเสียค่าเข้าชมตั้ง 40 หยวนแน่ะ พวกผมเลยตัดสินใจกลับที่พักกันดีกว่า
จะได้ไปหาอะไรกินแถวถนนหวังฟุจิ่ง และสำรวจถนนของว่าง ตงหัวเหมิน และวิถีชีวิตชาวปักกิ่งยามค่ำคืนด้วย

พวกผมได้รับการเตือนมาแล้วจากคนที่เคยมาปักกิ่งว่า ถ้าจะหาอะไรกิน ก็ควรไปกินที่ฟู้ดคอร์ทในห้างดีกว่า
เพราะถ้าเดินไปกินตามร้านข้างทางทั่วไป จะโดนชาร์จหน้าด้าน ๆ
ถึงแม้ว่า ราคาหน้าเมนูจะติดให้เห็นอยู่ทนโท่ แต่มันก็ชาร์จเพิ่มอีก 5-10 หยวน ใครจะทำไม
แต่ฟู้ดคอร์ทบ้านเขาไม่มีป้ายบอกไว้ เหมือนบ้านเรานะครับ ต้องเดินหาเอาเอง ส่วนใหญ่จะเป็นภัตตาคารมากกว่า
พวกผมเดินหาอยู่ตั้งนาน จนในที่สุด ก็ไปเจอที่ห้าง Emporium หวังฟุจิ่ง อยู่ชั้นใต้ดิน
ผมลองเดินสำรวจดูแล้ว ราคาอาหารค่อนข้างแพง ถ้าเทียบกับบ้านเรา แถมแพงกว่าเซี่ยงไฮ้อีกด้วย
เฉลี่ยแล้วราคาจะอยู่ระหว่าง 18-25 หยวน เซี่ยงไฮ้อยู่ที่ประมาณ 8-15 หยวนเอง แต่ก็คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปครับ
เพราะให้มาเยอะมาก ชามบ้านเขา ผมว่า น่าจะเหมือนขันขนาดใหญ่บ้านเราเลยครับ
ผมเห็นผู้หญิงจีนโซ้ยก๋วยเตี๋ยวในชามใหญ่เบ้อเริ่มเท่ากะละมังขนาดเล็ก แถมกินหมดด้วย เล่นเอาแหยงไปเลย
แต่รสชาติอาหารไม่ค่อยถูกปากผม มีแต่มัน ๆ เลี่ยน ๆ พวกของผัดเนี่ย น้ำมันเยิ้มเชียว

หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ไปเดินย่อยอาหารแถวถนนตงหัวเหมินครับ
ตอนแรกก็ไม่เห็นหรอกครับ จนเหลือบไปเห็นคนเข้าออกกันอย่างเนืองแน่นทางขวามือต้นถนนหวังฟุจิ่ง
พวกผมก็เลยไหลตามน้ำไปด้วย เลยได้เห็นอาหารเสียบไม้ย่างที่ขึ้นชื่อของปักกิ่ง
เขาเอาพวกสัตว์และแมลงแปลก ๆ มาเสียบไม้ย่าง เช่น ม้าน้ำ แมงป่อง แมงมุม ตะขาบ ปลาดาว งู หมู แพะ เนื้อ ฯลฯ
ราคาอยู่ระหว่าง 5-10 หยวน บางอย่าง เช่น แมงป่อง ม้าน้ำ ยังเห็นดิ้นกะแด่ว ๆ บนไม้อยู่เลย
ตอนแรกว่า จะลองชิมดู แต่คุณชายเขาไม่เอาด้วย ก็เลยอด
ที่เห็นอีกอย่าง คือ เขาเอาผลไม้สดมาชุบน้ำตาล เหมือนฟองดูบ้านเรา แต่ของเขาน้ำตาลเหนียวมาก
ผมลองซื้อพุทราเชื่อมมากิน 1 อัน ถุยทิ้งแทบไม่ทัน  เพราะมันหวานจัดจนสงสัยว่า มันจะเป็นแบะแซมากกว่า
แล้วก็ไม่อร่อยเลย ผลไม้แช่อิ่มบ้านเราดีกว่าเยอะ เพียงแต่ของว่างเสียบไม้ หรือผลไม้ชุบน้ำตาล มันเป็นสีสัน ซิกเนเจอร์ ของที่นี่


ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
มาบอกว่างานยุ่งมาก และมีปัญหานิดหน่อย อาจจะหายไปช่วงนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบมา
คิดถึงทุกคนนะ

ปูลู  ปุ้ม  แล้วจะรีบตามอ่านนะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
สวัสดียามสายของวันวิสาขบูชา
ขอโทษที่หายไปพักใหญ่ มัวแต่ยุ่งกับงานที่บริษัท บวกกับต้องทำหน้าที่คู่ชีวิตที่ดี ก็เลยไม่ได้มาเล่าต่อ
วันนี้ คุณชายเขาไปทำงาน ผมเลยมีเวลามาเล่าต่อได้ครับ

ก่อนจะเล่าต่อ ผมขออนุญาตชี้แจงแถลงไขสักนิดนึง เรื่องที่มีหลายคนหลังไมค์มาขอ เฟสบุค ของผมน่ะครับ
อยากบอกว่า เฟสผมยกเลิกไปนานแล้ว ตั้งแต่ Hi5 มาจนถึง FB ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบเปิดเผยความเคลื่อนไหวส่วนตัว
แล้วก็ไม่ใช่คนชอบเม้นท์เรื่องชาวบ้าน เลยทำให้ผมไม่ค่อยได้ติดต่อใครในเฟสน่ะครับ

ปัจจุบัน ผมอาศัยใช้เฟสร่วมกับคุณชายเขา ซึ่งเขาจำกัดไว้สำหรับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันที่รู้เรื่องของเราเท่านั้น
แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า ผมยังเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะในนี้อยู่เป็นประจำ  หรือจะรู้ แล้วทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ก็ไม่ทราบได้
แต่ตราบใดที่มันยังไม่ลามออกไปข้างนอก มันก็ยังไม่เป็นไร
สิ่งที่เขากลัวคือ จะมีคนรู้เรื่องของเรามากเกินไป จนกระทบถึงหน้าที่การงานของเขาครับ
อีกอย่างผมเคยให้คำมั่นสัญญากับเขาไว้ว่า จะให้มันอยู่แต่ในนี้ ผมก็ไม่อยากผิดสัญญากับเขาครับ
เพราะถ้าลองทำผิดได้สักครั้งหนึ่ง มันก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งที่สามตามมา
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ผมยังไม่เคยผิดสัญญากับเขาเลยสักครั้ง นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ด้วยมานานถึงทุกวันนี้
เพราะเราต่างรักษาสัญญาที่ให้ไว้ซึ่งกันและกัน ถามว่า ถ้าผิดสัญญา เขาจะรู้มั้ย เขาอาจจะไม่รู้ครับ
แต่ผมไม่สบายใจ มันเหมือนเรากำลังหลอกลวงคนที่เรารัก และเขาก็รักเรายังไงไม่รู้

ขณะเดียวกัน ผมก็เข้าใจดีนะครับว่า คนเราพอสนิทสนมกันไปได้ระดับหนึ่ง ก็อยากรู้จักให้มากขึ้น
ถ้าลำพังมีแค่ผมคนเดียว ผมยินดีครับ แต่เมื่อมีคุณชายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผมคงต้องแคร์ความรู้สึกเขาด้วยเหมือนกัน
เพราะถึงเราจะไม่ใช่คนเด่นดังอะไรในสังคม แต่ก็มีคนรู้จักในแวดวงหน้าที่การงานอยู่พอสมควร
ซึ่งถ้าเกิดมีใครรู้ว่า พวกผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในฐานะคู่ชีวิต ไม่ใช่เพื่อนสนิทกันธรรมดา
มันย่อมกระทบถึงหน้าที่การงานและฐานะทางสังคมของพวกผมอย่างแน่นอนครับ

เพราะฉะนั้น ผมขอความกรุณาว่า ให้เรารู้จักรักใคร่สนิทสนมกันแต่เฉพาะในนี้เถอะนะครับ
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พี่น้องเพื่อนฝูงทุกท่านในที่นี้ คงเข้าใจความจำเป็นของพวกเรา

ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้นะครับ

 :pig4: :L1:


ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
มาเล่าเรื่องเที่ยวปักกิ่งนะครับ หนก่อนผมเล่าค้างไว้เรื่องถนนต่งจื้อเหมิน
หนนี้เลยเอารูปมาลงให้ดูครับ แล้วจะอธิบายไปด้วย



[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
หลังจากทานข้าวเย็นกันอิ่มหมีพีมัน เพราะมันมีแต่ของมัน ๆ เลี่ยน ๆ ทั้งนั้น
พวกผมก็มาเดินย่อยอาหาร ที่ถนนหวังฟุจิ่งกันครับ

ถนนหวังฟุจิ่ง เป็นถนนคนเดิน ไม่มีรถวิ่งผ่าน สองข้างทางจะเต็มไปด้วยห้างร้านสินค้าแบรนด์เนมทั้งหมด
ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะเป็นของจริงหรือของก็อปเกรดเอนะครับ หรือจะเป็นของจริงเฉพาะในจีนเท่านั้นก็ไม่ทราบ
เพราะพวกผมเดินไปดูรองเท้าไนกี้ที่ห้างไนกี้ ปรากฎว่ามีแบบหลากหลายมาก สีสันก็จี๊ดจ๊าดมาก ซึ่งไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อน
ถามราคาดู ก็แพงไม่ใช่เล่น เลยไม่กล้าซื้อมา

นอกจากสินค้าแบรนด์เนมแล้ว ที่นี่ก็มีร้านขายยาจีน จำพวกยาบำรุงสุขภาพ ทั้งยาโด๊ป ยาโป๊วหลายร้าน
ก็ได้แต่เดินดูแหละครับ เพราะพวกผมยังไม่จำเป็นต้องใช้ อิอิ
ร้านค้าที่นี่จะตั้งกันเป็นร้าน ๆ ไป ของใครของมัน ไม่ได้รวมกันอยู่ในห้างแบบบ้านเรา
อีกอย่างคือ ที่นี่เขาเช่ากันเป็นชั้น ๆ ไปครับ เช่น ร้านค้า ภัตตาคาร ผมเห็นเขาโฆษณาหรือติดป้ายว่า ตั้งอยู่ที่ชั้นนั้น ชั้นนี้
ซึ่งถ้ามาตั้งแบบนี้ในบ้านเรา คงขายได้ลำบาก เพราะบ้านเรานิยมขายของแนวราบมากกว่าแนวดิ่ง

อีกอย่างที่เห็นตลอดสองข้างทางบนถนนหวังฟุจิ่ง คือ ซุ้มขายเครื่องดื่มและของขบเคี้ยว จะมีเยอะมาก ราคามาตรฐานตามป้าย
แต่ก็แพงน่าดูครับ เช่น โค้กกระป๋องละ 15 หยวน = 75 บาท หรือน้ำดื่ม ขวดละ 5 หยวน = 25 บาท
แล้วก็จะมีพวกนายหน้าขายทัวร์กำแพงเมืองจีน มาเดินเร่ขายนักท่องเที่ยว ซึ่งแต่ละคน พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้
ผมก็ไม่เข้าใจว่า แล้วมันจะขายได้ยังไงกันเนี่ย ลองเช็คราคาดูแล้ว ปรากฏว่า พี่แกเรียกราคา 180 หยวน
ผมก็เลยเก็บไว้เป็นข้อมูล เพราะเคยอ่านเจอว่า ทัวร์ที่พระราชวังต้องห้ามราคาถูกกว่า ตกคนละ 150 หยวน ถูกกว่าตั้ง 150 บาท

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
พวกผมเดินกันไปตั้งแต่ปากทางถนน Jinyu Hutong - จินหยูหู่ถง ไปจนสุดทาง ซึ่งจะชนทะลุอีกถนนนึง ซึ่งผมอ่านไม่ออก
สิ่งที่น่าสนใจและน่าเอาเป็นแบบอย่างสำหรับบ้านเรา คือ แท่งเหล็กกั้นรถผ่านเข้าออก ที่ปักกิ่งเขาทำเป็นแบบเลื่อนขึ้น-ลงได้
คือ ถ้าต้องการให้รถวิ่งผ่าน ก็ปลดล็อกเอาแท่งเหล็กลง ถ้าไม่ต้องการให้รถผ่าน ก็เลื่อนขึ้นขวางทางไว้ ซึ่งผมว่าเป็นไอเดียที่ดีมากเลยครับ
อยากจะถ่ายรูปมาให้ดู แต่เห็นหน้า รปภ. แล้ว เลยเปลี่ยนใจ พี่แกตัวเล็กนิดเดียว แต่ทำหน้าตาขึงขังมาก
พอผมจะถ่ายรูป พี่แกก็มาโบกมือไล่ เหมือนไม่อยากให้ถ่าย ผมก็เลยหลบออกมา ยังไม่อยากมีเรื่องครับ

ผมสังเกตุว่า รปภ. ที่นี่และเกือบทุกที่ที่ไปเที่ยว เขาจะมีแบบแผนในการยืนรักษาความปลอดภัยที่น่าเอาเป็นแบบอย่างมากครับ
คือ เขาจะยืนยืดอก เชิดหน้า ตัวตรงแหนวบนแท่นยืนยาม ซึ่งจะสูงกว่าปกติ มือหุบชิดติดกัน แขนจะแนบลำตัวตลอดเวลา
ไม่มีการกางแขนออก ตลอดเวลาที่ยืนยาม แล้วท่ายืน เขาจะยืนโดยให้ปลายเท้าแยกออกเล็กน้อย ประมาณ 15 องศา โดยให้ส้นเท้าชิดกัน
ซึ่งการที่ยืนอยู่บนแท่นยืนยามที่สูงกว่าปกติ จะทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ชัดเจน แล้วก็มีผลเชิงจิตวิทยา เวลามองลงมาด้วยครับ
แต่พอมองหน้า รปภ. แต่ละคน อายุยังน้อยอยู่ในวัยรุ่นอยู่เลย ตัวก็ไม่ได้สูงมากอะไร บางคนตัวเท่าหัวไหล่ผมเอง


ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
พี่ปุ้ม  ยังมะได้อ่านเลยอ่ะ  ยาวมากกกก

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
ตอนแรก พวกผมเดินกันมาจนสุดทาง ก็ยังหาทางเข้าถนนต่งจื้อเหมินไม่เจอ จนจะหันหลังกลับทางเดิมแล้ว
ก็เผอิญเหลือบไปเห็นคนเดินเข้าออกกันอย่างหนาตาในตรอกทางด้านขวา พวกผมก็เลยถึงบางอ้อ
เนื่องจากเราไปเรียกว่า "ถนน" ก็เลยเข้าใจว่า มันน่าจะเหมือนถนนบ้านเรา แต่ของจริงที่เห็น
ผมว่า น่าจะเรียกว่า "ตรอก" มากกว่าครับ เพราะมันเป็นทางเข้าเล็กข้างถนนหวังฟุจิ่ง
พอผ่านเข้าไป ก็จะแผงขายของว่างนานาชนิด ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง ซึ่งมีตั้งแต่ของว่างทั่วไป
เช่น หมูหมัก เนื้อหมัก เนื้อแพะหมัก ไปจนถึงของว่างประเภทเปิบพิสดาร เช่น ตะขาบ ลูกงู ม้าน้ำ แมงป่อง ปลาดาว ฯลฯ
ซึ่งจะเสียบไม้รอย่าง เหมือนที่ผมถ่ายรูปมาให้ดูแหละครับ แมงป่อง กะ ม้าน้ำ ยังดิ้นกะแด่ว ๆ ตัวยังเป็นอยู่เลย
ก็เห็นฝรั่งบางคน พยายามจะลองชิมดู ผมเองก็อยากลองเหมือนกัน แต่คุณชายเขาไม่เล่นด้วย กลัวท้องเสีย แล้วต้องไปหาหมอที่นี่

ซึ่งผมอยากจะบอกไว้ว่า ถ้ามาเที่ยวที่เมืองจีน ให้รักษาสุขภาพให้แข็งแรงและเตรียมหยูกยามาเองนะครับ
อย่าได้มาเจ็บไข้ได้ป่วยที่นี่ เพราะมีทางเลือกอยู่สองทางสำหรับคนที่นี่ คือ ไปหาซินแส จัดยาจีนกินเอง หรือ ไปคลีนิคหรือสถานพยาบาล
ซึ่งถ้าเป็นของรัฐ สภาพก็ไม่ต่างอะไรกับ รพ. รัฐของเรา สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถ้าเป็นสถานพยาบาลเอกชน จะมีราคาแพงมาก
แถมสภาพคลีนิคหรือโรงพยาบาลของเขา ก็ไม่ได้ถูกสุขอนามัยสักเท่าไหร่ พวกผมเดินผ่านไป ถ้าไม่สังเกตุเห็นป้ายสัญลักษณ์กากบาท
ยังนึกว่า เป็นตึกแถวร้านค้าธรรมดา เพราะที่นี่เขาจะไม่ค่อยนิยมติดป้ายกันครับ สงสัยภาษีป้ายคงแพงหูฉี่
จะมียกเว้นที่ดูดี ก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่เปิดไว้สำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะที่ได้ตามมาตรฐานสากล แต่ราคาก็คิดเป็น US Dollar นะครับ

เพื่อนผมเคยมาประชุมที่เซี่ยงไฮ้แล้วประสบอุบัติเหตุลื่นหกล้มในห้องน้ำ จนข้อมือซ้น
เจ้าหน้าที่โรงแรมพาส่ง รพ. อันดับหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ คล้าย ๆ บำรุงราษฏร์บ้านเราแหละครับ
เป็น รพ. ที่ลงทุนโดยชาวอเมริกัน ใช้หมอฝรั่งหรือไม่ก็หมอจีนที่มีความรู้ภาษาอังกฤษดีมาก
คำถามแรกที่เจอเมื่อไปถึง คือ มีประกันหรือเปล่า ถ้ามีถึงจะดำเนินการต่อให้ ถ้าไม่มี ต้องมีเงินวางค้ำประกันเอาไว้ อย่างน้อย 5,000 หยวน ก่อน
ไม่งั้นก็ไปหาหมอที่ คลีนิคหรือ รพ. รัฐ โชคดีที่บริษัทเพื่อนผมทำประกันเดินทางไว้ให้ เพราะรู้กิตติศัพท์ค่ารักษาฯ ของที่นี่
เพื่อนผมก็เลยโทรหาเจ้าหน้าที่เคลมประกันของ New Hamshire Ins. สำนักงานสาขาที่เซี่ยงไฮ้ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากบริษัท
ซึ่งกว่าจะติดต่อได้ กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ก็กินเวลาสองสามชั่วโมง ซึ่งตลอดเวลาที่ติดต่อหาเจ้าหน้าที่ประกัน แล้วยังไม่รู้ผลว่าเป็นยังไง
ทาง รพ. ไม่ทำอะไรให้เพื่อนผมเลย แม้แต่จะหายาแก้ปวดมาบรรเทาอาการ คงปล่อยให้เพื่อนผมดิ้นรนหาทางเอาเองตามยะถากรรม
จนเมื่อแน่ใจแล้วว่า เพื่อนผมมีเงินจ่ายแน่ ๆ เจ้าหน้าที่ถึงได้พาเพื่อนผมไปพบแพทย์และเอ็กซ์เรย์ตรวจดูว่า มีอะไรแตกหักบ้าง
ผลปรากฏออกมาว่า เพื่อนผมกระดูกนิ้วแตก ซึ่งถ้าเป็นบ้านเรา อย่างมากก็แค่เข้าเฝือกนิ้วเอาไว้ แล้วให้ยามาทานแค่นั้นใช่มั้ยครับ?
ค่ารักษาฯ อย่างมาก ก็ไม่เกิน 30,000 บาท นี่บวกเผื่อไว้แบบเวอร์ ๆ แล้วนะครับ
แต่ที่เซี่ยงไฮ้ หมอบอกว่า ต้องผ่าตัดจัดกระดูกนิ้วใหม่ ซึ่งมีค่ารักษาทั้งหมด ประมาณ 100,000 หยวน = 500,000 บาท (อ่านไม่ผิดครับ 5 แสนบาท)
แล้วพักรักษาตัวที่ รพ. เพียง 1 คืน เอายาแก้ปวดแก้อักเสบไปกิน และมาตามที่หมอนัด

ตอนแรกที่รู้ค่ารักษาฯ เพื่อนผมตกใจแทบตกเก้าอี้ เกือบจะบินกลับมารักษาที่บ้านเราแล้ว เพราะค่ารักษาฯ ถูกกว่าเป็นร้อยเท่า
ดีที่ประกันฯ รับผิดชอบจ่ายให้หมดเลย เพื่อนผมเลยตัดสินใจรักษาที่นั่น กลับมาเมืองไทย มันเลยได้ฉายาใหม่ว่า "XXX แสนหยวน" 55555
ก็ต้องขอขอบคุณ บริษัท New Hamshire ด้วยนะครับ ที่ดูแลเพื่อนผมได้ดีมาก ทำให้พวกผมได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของบริษัทประกันภัยข้ามชาติ
ขึ้นมาทันทีเลยครับ เพราะถ้าเป็นประกันภัยสัญชาติไทย ผมไม่รู้ว่า จะมีสำนักงานตัวแทนหรือสาขาแบบนี้หรือไม่
ถ้าใครรู้ ก็บอกมาหน่อยนะครับ ถือว่า แบ่งปันข้อมูลกัน

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
พี่ปุ้ม  ยังมะได้อ่านเลยอ่ะ  ยาวมากกกก
ยาวมากเลยหรือครับ ผมจะได้ตัดทอนให้สั้นลง เพราะผมเขียนสด ๆ ไม่ได้มีสคริปต์อะไร
นี่ยังไม่หมดวันแรกเลยน้า  :m13:

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
ถนนต่งหัวเหมิน เป็นถนนการค้าที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง เหมือนแถวสำเพ็ง พาหุรัด วังบูรพาที่เป็นแหล่งธุรกิจบ้านเราสมัยก่อนแหละครับ
ลักษณะเป็นตรอกใหญ่ที่มีซอยเล็กซอยน้อยแยกออกไปสองข้างทาง มีทั้งขายของกินเล่น เครื่องดื่มประจำท้องถิ่น เช่น จับเลี้ยง เฉาก๊วย เป็นต้น
ซึ่งผมซื้อมาแล้ว ไม่อร่อยเลย รสชาติไม่ถึงรสถึงชาติเหมือนบ้านเรา แถมราคาก็แพง ตั้ง 15 หยวนแน่ะ
อีกอย่างที่เห็นขายกันเกือบทุกร้าน คือ นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ตพร้อมดื่มครับ
เขาบรรจุใส่โถกระเบื้องเล็ก ๆ แทนขวดพลาสติก ปิดผนึกด้วยกระดาษ ราคาโถละ 5 หยวน
ผมซื้อมาลองชิมอีกเช่นกัน รสชาติก็เปรี้ยว ๆ ปะแล่ม ๆ อร่อยดีครับ แต่ผมว่า อร่อยสู้ที่ขายบรรจุขวดไม่ได้ ไม่รู้ว่า ใช้นมอะไรทำ
ก็ถือว่า กินเป็นประสบการณ์ กินเสร็จแล้ว ก็ต้องวางโถคืนเขานะครับ เขาขายแต่นมในโถเท่านั้น
ถ้าขืนทำเนียนเดินถือไป มีสิทธิ์โดนเจ๊เจ้าของแกด่าได้ง่าย ๆ คนที่นี่ ไม่ค่อยมีเซอร์วิสมายด์นะครับ
อยากกินก็ช่วยตัวเอง ไม่มีคนคอยบริการให้ ขนาดไปกินที่ภัตตาคารชื่อดังค่อนข้างหรูมีชื่อเสียงในปักกิ่ง
บริกร ซึ่งที่นี่เขาเรียกว่า "ฟูเหยียน" มันวางของแทบจะโยนข้ามหัวเราเลย มารยาททรามพอ ๆ กับที่ฮ่องกงเลยครับ

นอกจากของกินเล่นเสียบไม้ย่างแล้ว ก็มีผลไม้สดชุบน้ำตาล เหมือนชุบฟองดูช็อคโกแล็ตแบบบ้านเรา
ใครที่เคยไปกินไอศครีมที่สเวนเซ่นคงจะพอนึกภาพออก ซึ่งผลไม้ที่นำมาชุบ มีทั้ง แอ็ปเปิ้ล สับปะรด สตรอเบอรี่ แคนตาลูป พุทราจีน กีวี เป็นต้น
ผมลองซื้อมาชิมไม้หนึ่ง ถ่มทิ้งแทบไม่ทัน เพราะมันหวานแสบไส้ จนไม่น่าจะเป็นความหวานจากน้ำตาล
คุณชายบอกว่า สงสัยเป็นน้ำตาลกรวดผสมแบะแซ เพราะมันเหนียวข้นมาก เลยไม่กล้ากิน กลัวผิดสำแดงกับกระเพาะเรา

นอกจากของกินแล้ว ก็มีร้านขายของที่ระลึกที่ขายของเหมือน ๆ กัน ซึ่งราคาก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า บอกผ่านไว้เว่อร์มาก มากกว่า 70%
น้องผมเขาต่อกระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิก เหมือนกระเป๋าใส่เครื่องสำอางค์แบบพกพานั่นแหละครับ แต่ชุดหนึ่งมีทั้งหมด 5 ใบไล่ขนาดกันลงไป
ตอนแรกพี่แกบอกราคามาที่ 50 หยวน น้องผมต่อเหลือ 15 หยวน ทำเป็นไม่ยอมขาย พอเดินออกมา พี่แกกลัวเหยื่อหนีมั้ง ก็เลยทำเป็นยอม
แต่ผมบอกน้องว่า ถ้าจะซื้อให้มาซื้อวันสุดท้ายดีกว่า ลองไปสำรวจดูที่อื่นก่อน ถ้ามันถูกจริง มาซื้อตอนหลังก็ไม่สาย เพราะร้านไม่ได้หนีไปไหน
สุดท้ายน้องผมไปได้กระเป๋าที่ว่าจากอีกร้านหนึ่งในราคา 10 หยวน แถมซื้อ 5 ชุด แถมผ้าพันคออีก 1 ผืน ก็ถูกใจน้องผมแหละครับเห็นขนซื้อมาเป็นสิบชุด

พอพ้นตรอกต่งจื้อเหมินออกมา ก็จะเจอกับถนนใหญ่มีรถวิ่งผ่าน ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็มีแผงร้านขายของว่างเหมือนในตรอก
วางขายเรียงรายกันไป แต่ที่นี่มีของกินหลากหลายมากกว่า มีทั้งปูจักจั่นตัวเป็น ๆ นึ่งสด ๆ ปาท่องโก๋ ซาลาเปาทั้งทอด ทั้งนึ่ง
ติ่มซำ ของทอดท้องถิ่นลานตามากครับ น่าเสียดายที่พวกผมกินอิ่มกันมาแล้ว เลยไม่นึกอยากกินอะไร
ได้แต่เดินดูเป็นประสบการณ์ครับ ลักษณะการตกแต่งแผงที่นี่ ค่อนข้างโดดเด่น เพราะใช้โคมแดงประดับเรียงรายริมถนน
ทำให้เห็นได้ชัดเจน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกผมเจอ แล้วก็ดูแปลก ๆ ในสายตาน้องผม แต่ไม่แปลกในสายตาผมกับคุณชาย
คือ ขณะที่เดิน ๆ กันอยู่ ก็จะมีเด็กสาววัยรุ่นจีน ดูจากหน้าตา น่าจะเพิ่งผ่านวัยฉี่ฉุนมาไม่เท่าไหร่ น่าจะประมาณ 16-17 ปี
มาเดินเสนอขายบริการทางเพศกับผู้ชายที่เดินมาคนเดียว ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่คุณชายเขาโดนเรียกเสนอบริการ
หน้าตาก็น่ารักดีนะครับ ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เดินมากันเป็นคู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พอเห็นเหยื่อ ก็แยกกันเข้าไปทาบทาม
ราคาถูกมากอย่างไม่น่าเชื่อ แค่ 100 หยวนเท่านั้นเอง ถ้าไม่ติดว่า มีน้องมาด้วย พวกผมก็อยากจะลองดูครับ แหะ แหะ
แต่กลัวเอดส์เหมือนกัน เพราะที่จีนนี่ ได้ชื่อว่า มีการระบาดของโรคเอดส์ค่อนข้างสูงมาก บางหมู่บ้าน ติดเอดส์กันทั้งหมู่บ้าน
จนรัฐบาลต้องสั่งปิดหมู่บ้าน แล้วปล่อยให้อยู่กันตามยะถากรรม ไม่ส่งข้าวส่งน้ำ จนกว่าจะตายไปเอง
นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ ลองไปหาอ่านดูในหนังสือแปลของนักต่อสู้สิทธิมนุษยชนที่เขาพยายามเปิดโปงการกระทำของรัฐบาลจีนน่ะครับ

ที่นี่ประชากรเขาเยอะมาก จึงไม่กลัวว่า จะหาคนทำงานไม่ได้ กม. แรงงานของที่นี่ จึงเป็น กม. ที่เข้าข้างนายจ้างครับ
ที่นี่เขาเซ็นสัญญากันทุก 3 ปี ถ้าผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจของนายจ้าง สามารถเลิกจ้างได้ทุกเมื่อ
ถ้าทำงานมาเกิน 10 ปี ไปแล้ว ถึงจะสามารถเซ็นสัญญาจ้างถาวรแบบบ้านเราได้
เพราะฉะนั้น ในแง่ของลูกจ้าง กม. บ้านเราดีกว่ามากครับ อย่างน้อยประกันสังคมก็จ่ายค่ารักษาฯ ค่าคลอดบุตร ค่าเลี้ยงดูบุตรให้นะครับ
ที่นู่นก็จ่าย แต่น้อยมาก คนจีนถึงต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ เพื่อปากท้องตัวเองมากครับ

พวกผมเดินดูกันจนถึงสามทุ่ม เลยเดินกลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวลุยพระราชวังต้องห้ามในวันต่อไป
จบการผจญภัยสำหรับวันแรกไว้เพียงเท่านี้นะครับ

ขอขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ คนเขียนยังเหนื่อยเองเลย 55555
 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2012 16:39:36 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ BossoM

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1092
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-5
    • my twitter
นี่เพียงแค่วันแรก  :a5:

น้องจะตามอ่านนะคะ พอดีช่วงนี้รอบตัวเกิดเหตุตึงๆเล็กน้อยถึงมากที่สุด

 :กอด1:รอบทู้ค่า

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
นี่เพียงแค่วันแรก  :a5:

น้องจะตามอ่านนะคะ พอดีช่วงนี้รอบตัวเกิดเหตุตึงๆเล็กน้อยถึงมากที่สุด

 :กอด1:รอบทู้ค่า
สู้ ๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้น้า  :mc4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด