Guy Chapter 21
วันนี้ทั้งวันกายติดต่อวินเตอร์ไม่ได้ เขาตั้งใจจะคุยกับเพื่อนเรื่องซัมเมอร์เพราะรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง ส่วนการุณย์มอบหมายงานให้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วก็หายหน้าไป คเชนทร์ก็เช่นกัน แม้เขาจะนั่งเหม่อบ่อยครั้งแต่ก็ไม่โผล่มาให้เห็น
เมื่อนาฬิกาบอกเวลา16.01 นาที กายจึงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเพื่อเดินไปยังออฟฟิสของท่านประธานบริษัท เจนจิราเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะและชี้มือไปยังประตูห้องทำงานของเจ้านายพร้อมกับพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เข้าไปเลยค่ะ”
ท่านประธานนั่งอยู่ที่โต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ทสีขาวไม่ผูกเนคไท ปลดกระดุมเม็ดบนสุด แขนเสื้อพับขึ้นเหนือศอก ดูราวกับว่ารู้สึกอึดอัดกับชุดทำงานของตัวเอง แอร์ในห้องเย็นฉ่ำ แต่กายกลับรู้สึกประหนึ่งว่ามีกองไฟลุกอยู่หลายกองในห้องทำงานกว้างขวางห้องนี้
“ผมมาส่งงานครับ” กายพูดขึ้นเบาๆ ท่านประธานเงยหน้าขึ้น มองด้วยสายตาเรียบนิ่งเช่นเคย พร้อมกับยื่นมือมารับแล้วใช้เวลาอ่านประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะพยักหน้าให้กายนั่งลงแล้วอ่านต่อเงียบๆ กายแปลกใจเพราะผิดคาด เขาคิดว่าจะโดนดุเรื่องมาส่งงานช้า แต่ท่านประธานกลับเงียบจนกายรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม
...หาที่ผิดไม่ได้ล่ะสิคุณท่านประธานพฤศ...
กายนึกอยู่ในใจ พลางสังเกตดูใบหน้าของคนที่มีอคติกับเขา พยายามเปรียบกับธฤตว่าหน้าตาคล้ายกันตรงไหน สิ่งที่กายสังเกตได้คือทั้งสองคนมีคิ้วดกดำ จมูกโด่งคมเป็นสันได้รูป โหนกแก้มสูง กรามแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่เค้าหน้าไม่เหมือนเป็นพี่ชายกับน้องชายสักนิด
“มีที่ผิดไหมครับคุณพฤศ” กายถามเมื่อเห็นว่าท่านประธานใช้เวลาอ่านนานเกินไป
“พรุ่งนี้ผมจะให้คุณไปเป็นล่าม” พฤศพูดขึ้นมาเบาๆ ทั้งที่กำลังก้มหน้าอ่านเอกสาร
“เช้าหรือบ่ายครับ ตอนเช้าผมมีงานแปลสองชิ้น คุณการุณย์ต้องการสิบเอ็ดโมง”
“บ่าย” พฤศตอบ “แต่ถึงมีงาน คำสั่งของผมก็เหนือกว่าคำสั่งของคนอื่นทุกคนในบริษัทนี้ ไม่เว้นแม่แต่คุณคเชนทร์ ถ้าผมจะบอกให้คุณไปตอนเช้า คุณการุณย์ก็คงหาคนอื่นทำแทนเอง พรุ่งนี้ทานอาหารเที่ยงเสร็จก็ไปเลย ประชุมบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง เสร็จแล้วคุณก็กลับบ้านได้ ไม่ต้องกลับเข้าบริษัทอีก อ้อ คุณไม่ต้องกลับมาเอารถที่บริษัทใช่ไหม เพราะคุณไมมีรถขับมาทำงานนี่นะ”
“ที่ไหนครับ” กายถาม ไม่สนใจคำพูดกระทบกระเทียบเรื่องการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว “ผมอยากขอเอกสารไปศึกษาก่อนครับ จะได้...”
“F-35” พฤศเงยหน้าขึ้น วางเอกสารในมือลงบนโต๊ะ “คุณเชี่ยวชาญอยู่แล้วนี่ คงไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติม”
“ที่กองทัพอากาศหรือครับ” กายถาม
“ผมกับ Jean Michael จะฟรีเซนต์ F-35 ให้ ผบ. ทอ. กับนายทหารระดับสูง คุณแปลให้ Jean Michael เวลาผมหรือคนอื่นพูด แล้วคุณก็แปล Jean Michael เวลาเขาพรีเซนต์”
“ภาษาฝรั่งเศส” กายพูดเสียงดังเกือบจะเป็นการอุทาน
“ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส” พฤศตอบ “ทำไม มีปัญหาอะไร”
“ได้ครับ” กายตอบเสียงเรียบ “แต่ภาษาฝรั่งเศสผมไม่คล่องเท่าภาษาอังกฤษ”
“ผมก็ว่ายังงั้นล่ะ” พฤศพยักหน้า “แต่คุณคเชนทร์คัดเลือกคุณเข้ามาแล้วนี่ ก็คงหมายความว่าคุณเหนือกว่าคนอื่นๆ ในแผนก จะเป็นรองก็แต่คุณการุณย์ หรือคุณคิดว่าเก่งกว่าคุณการุณย์
“ผมไม่เคยได้ยินคุณการุณย์พูดฝรั่งเศสครับ” กายตอบเสียงเข้ม รู้สึกฉุนกึกที่โดนพูดกระทบกระเทียบแบบนั้น
“คุณการุณย์จบการแปลฝรั่งเศสจากธรรมศาสตร์ จบล่ามจากที่เดียวกับคุณ จบภาษาศาสตร์จากไอเดนเบิร์ก เป็นอาจารย์สอนพิเศษอยู่ที่เอยูเอและมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ตอนนี้เป็น PhD. Candidate ของคอร์เนล” พฤศพูดเสียงเนิบนาบ
“ถ้ายังงั้นผมคงเทียบคุณการุณย์ไม่ได้ครับ” กายตอบเสียงเรียบ ในใจรู้สึกทึ่งในตัวของการุณย์จนอยากจะแสดงความรู้สึกออกมา แต่เขารู้ว่านั่งอยู่หน้าพฤศจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้
“แต่ก็คงพอไปทำงานง่ายๆ พรุ่งนี้ได้ ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า” พฤศถาม
“ครับ” กายตอบแล้วนั่งรอ 'คำพูดคำเดียว' จากท่านประธานซึ่งหวังว่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายจากคนหน้าดุ
…“เชิญ”...
กายลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินท่านประธานพูดออกมาด้วยนำ้เสียงเข้มๆ
“เดี๋ยวสิ ผมยังไม่อนุญาตให้ไป”
...อ้าว หูแว่วหรอกหรือ เมื่อกี้ได้ยินคำว่า เชิญ นี่นา...
...เป็นอะไรไปวะ พักนี้หูไม่ค่อยดี...
กายเลิกคิ้วแล้วนั่งลง
“ผมยังพูดไม่เสร็จ คุณต้องรอจนกว่าผมซึ่งเป็นประธานบริษัทอนุญาตถึงจะออกไปได้”
“ขอโทษครับ” กายพยายามใจเย็น
“แล้วต้นเดือนหน้า คุณเตรียมตัวไปเป็นล่ามที่พม่า เรื่องเรดาร์ MZR77CH3 ไปที่แผนก Research ขอเอกสารมาดู ศึกษาให้ละเอียดทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ถ้ามีคำถามเรื่องศัพท์เทคนิคให้ถามคุณธเนตร เขาเชี่ยวชาญเรื่องเรดาร์ ไม่ต้องไปรบกวนคุณคเชนทร์ ตอนนี้เขากำลังยุ่งกับเรื่อง CTX พรุ่งนี้เอาพาสปอร์ตมาให้คุณเจนจิราจัดการเรื่องวีซ่า”
...ไม่ต้องการดักคอผมหรอก ผมจะถามคุณธเนตรตามที่แนะนำก็ได้ แต่ถ้าติดขัดจริงๆ ผมก็จะถามคุณคเชนทร์ ใครจะทำไม...
...แล้วเรื่องไปเป็นล่ามให้นักบินที่จะไปลองขับ F-35 ที่อเมริกาล่ะ ตกลงจะให้ใครไป...
กายอยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าเพราะพฤศพูดเสร็จก็ก้มหน้าลงอ่านเอกสารแปลของเขาต่อแล้วพยักหน้า แต่กายยังนั่งนิ่ง พฤศจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเลิกคิ้ว ทำสีหน้าสงสัยว่าทำไมกายยังนั่งอยู่ที่เดิม
“ผมไปได้แล้วใช่ไหมครบั” กายถามเพื่อความมั่นใจ
“เชิญ” พฤศพูดสั้นๆ แล้วมองกายลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้อง ในใจคิดว่า
...ฮึ เด็กของคเชนทร์ ดูซิจะเก่งขนาดไหน...
เมื่อวรุจน์เห็นกายเดินออกมาจากประตูด้านหน้าตึกซึ่งเป็นสถานที่ทำงานจึงรีบปรี่เข้าไปหา วันนี้เขามารอชายหนุ่มตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ก่อนหน้านั้นเขานึกหวั่นว่าจะเจอ 'คู่แข่ง' เจ้าของรถฮอนด้าแจ๊สสีขาวแต่โชคดีวันนี้ไม่เห็นฝ่ายนั้นโผล่มา
“คุณวรุจน์” กายพึมพำเบาๆ พร้อมกับหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาเชิงชาย
“ผมมารับไปทานข้าว” วรุจน์พูด
“เพิ่งสี่โมงครึ่งเองนะครับ” กายพูดประโยคเดิมๆ ที่เคยพูดกับวรุจน์
“ก่อนทานข้าวไปเดินชอปปิ้งกันหน่อย ที่พารากอนมีงานไอที ผมว่าคุณไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ซะเถอะ เครื่องที่ใช้อยู่หน้าจอเล็ก ขาวดำอีกต่างหาก”
“ผมว่ามันก็ใช้ได้ดี”
“ผมส่งรูปให้คุณดูไม่ได้ คุณก็ส่งรูปให้ผมดูไม่ได้ เมื่อเช้าผมส่งรูปให้คุณดู คุณก็ไม่ตอบกลับ”
“ไม่เห็นมีข้อความอะไร” กายโกหก ความจริงเขาไม่ได้เรียกดูข้อความด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะข้อความของใคร
“เครื่องคุณอาจจะใช้ไม่ได้เพราะมันเป็น MMS” วรุจน์ยิ้ม “ผมส่งรูปผมตอนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิสมาให้ดูครับ”
“ส่งมาทำไมครับ”
“ผมอยากให้คุณเห็น” วรุจน์ตอบ
“ทำเป็นเด็กวัยรุ่นไปได้” กายส่ายหน้า
“ก็ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตอนเพิ่งเป็นหนุ่มนี่ครับ” วรุจน์หัวเราะเบาๆ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “จริงสิ ผมใกล้จะนึกออกแล้วว่าเคยเจอกับคุณที่ไหน เมื่อคืนผมฝันว่าเห็นคุณตอนเป็นวัยรุ่น คุณตัวเล็กกว่านี้เยอะ”
“เป็นเด็กวัยรุ่นก็ต้องตัวเล็กกว่านี้สิครับ ตอนนี้ผมอายุจะ 27 ปีแล้ว”
“ผมคุณยาวกว่านี้ แล้วก็ตาโตกว่านี้ ผิวคล้ำกว่านี้ สงสัยคงเพราะตากแดด” วรุจน์มองหน้าของกายอย่างหลงไหล
“คุณวรุจน์” กายพูดช้าๆ “อย่าบอกนะว่าคุณเห็นผมจากชาติที่แล้ว”
“ถ้าเป็นยังงั้นได้ก็ดีสิครับ” วรุจน์หัวเราะเบาๆ “ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริง ผมก็ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก คุณก็รู้ ผมรู้สึกคุ้นเคยกับคุณมาก แค่เจอครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนว่าเคยเจอกันมานานแสนนาน ไม่งั้นผมไม่หยุดรถทันทีที่เห็นคุณกำลังจะข้ามถนนหรอก จริงๆ นะครับกาย ผมไม่ได้ทำเป็นเจ้าชู้ จอดรถจีบใครข้างถนน แบบนั้นมันเกินไป”
กายแอบถอนหายใจ วรุจน์เป็นเอามาก อาการหนักกว่าเดิม สายตาคู่นั้นที่มองมามีแววหม่นๆ ทั้งที่แรกพบกายเห็นว่าท่าทางเป็น 'คนเจ้าชู้เอาเรื่อง' เขาคิดว่าตอนนี้สายตาของวรุจน์เหมือนคนที่จมอยู่ในอดีต ราวกับว่าเคยมีคนรักแล้วคนรักจากไป และมาเจอคนใหม่ที่หน้าตาพิมพ์เดียวกับคนรักเก่าราวฝาแฝด จึงมองคนใหม่เหมือนถูกสะกดจิต
...นี่หรือ ซาตานในคราบเทพบุตร ตัวอันตรายอย่างที่คเชนทร์เตือน หรือพรานล่าเหยื่ออย่างที่ธฤตกล่าว...
...หากวรุจน์เป็นนักแสดง ก็เรียกว่าตีบทได้แตก...
“ให้มันรู้ไปว่าคุณจะปล่อยให้ผมผิดหวังทุกครั้งที่มายืนรอรับคุณ” วรุจน์จ้องตากาย “ผมไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอกครับกาย ถ้าผมมารอคุณสิบครั้ง แล้วคุณไปกับผมซักครั้งสองครั้งผมก็ถือว่าโอเคแล้ว”
“คุณทำแบบนี้ทำไมครับ” กายถาม
“แล้วคุณคิดว่าผมทำทำไมล่ะครับ” วรุจน์ถามกลับ “ผมทำเพราะมีเหตุผล คุณก็น่าจะรู้ว่าทำไม”
...เหตุผลแบบที่ธฤตว่าวรุจน์ตอนที่เราแอบได้ยินในคืนวันนั้นหรือ เราควรจะเชื่อสิ่งที่ทั้งสองโต้เถียงกันหรือเปล่า แต่เราก็ไม่เข้าใจทั้งหมดว่าสองคนนั้นเถียงกันเรื่องอะไร...
...หรือต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าวรุจน์จะจริงจังกับเรา ไม่ใช่เป็นพรานล่าเหยื่ออย่างที่ได้ยิน ไม่ใช่ตัวอันตรายอย่างที่คเชนทร์เตือน อาจจะต้องรอดูวรุจน์ไปซักระยะ...
วันนี้กายมาทำงานเช้ากว่าเวลาทำงานถึงสิบห้านาที แทบจะเป็นคนแรกของบริษัทด้วยซ้ำ เขาได้ยินเสียงคนเดินตามเข้ามาในห้องโถงด้านหน้า หันไปมองจึงเห็นว่าเป็นคเชนทร์ วันนี้คเชนทร์แต่งสูทสีเทาอ่อน ผมหวีเรียบ ใบหน้าสดชื่น และส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับยกมือขึ้นทักทาย
“มีอะไรครับ” กายถาม
“คุณนี่จริงๆ เลย” คเชนทร์่ส่ายหน้า อมยิ้มขำๆ
“ทำไมหรือครับ”
“เจอหน้ากันตอนเช้า แทนที่จะ Hello, good morning อรุณสวัสดิ์ บองชูร์ โอฮาโย คุณถามใครว่า มีอะไรหรือเปล่าแบบนี้หรือ “ คเชนทร์บ่น “นักเลงไม่ใช่เล่นนะเนี่ย”
“ก็...”
“อรุณสวัสดิ์ครับกาย” คเชนทร์ทักทายใหม่
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณคเชนทร์” กายทักทายตอบ “มีอะไรหรือครับ”
“อยากจะรู้จริงๆ ใช่ไหม”
“ก็ใช่สิครับ ต่อจากนี้ไปผมจะเป็นคนตรงไปตรงมา” กายพูดเสียงหนักแน่น “คุณมีอะไรก็พูดกับผมตรงๆ”
“ก็ได้” คเชนทร์หัวเราะ “คุณไปแหย่รังแตนเรื่องอะไรล่ะทีนี้ ท่านประธานถึงให้ไปเป็นล่ามให้”
“ไม่ทราบครับ ผมไม่เคยทำอะไรใคร” กายส่ายหน้า
“ถ้าใครถูกสั่งให้ไปเป็นล่ามให้ท่านประธาน แสดงว่าโดนเพ่งเล็ง ท่านต้องการ ทดสอบ และ จับตามอง อย่างใกล้ชิด ถ้าไม่ผ่านมีสิทธิ์ ปิ๋ว อย่าลืมนะ คุณยังอยู่ในโพรเบชั่น”
“อย่ามาล้อเล่นกันแรงๆ นะครับคุณคเชนทร์” กายถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผมเคยล้อเล่นกับคุณที่ไหน ลองคิดย้อนไปดูสิ ทุกอย่างที่ผมพูด มันจริงทั้งหมดใช่ไหมล่ะ”
“ท่านประธานมีอคติกับผม” กายถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่รู้จะจองเวรจองกรรมอะไรนักหนา ผมใจเย็นอย่างที่คุณเตือนแล้วนะครับ”
“จริงเร๊อ”
“จริงสิครับ ไม่ว่าท่านพูดอะไรมาผมก็พยักหน้าไม่เถียง”
“แน่ใจ๊” คเชนทร์เลิกคิ้ว
“ก็...” กายชะงัก
“ผมว่าไม่” คเชนทร์ส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ผมมองคุณออก คุณเป็นคนไม่ยอมคน”
“เฮ้อ” กายถอนหายใจเป็นครั้งที่สาม คราวนี้จงใจทำเสียงดังให้คเชนทร์ได้ยินชัดๆ
“ตายแน่ๆ เลยทีนี้ ถ้าไปพรีเซนต์ให้ระดับ ผบ. ทอ. กับคณะอย่างเป็นทางการ ท่านควรเอาคุณการุณย์ไป แต่กลับมาเลือกมือวางอันดับสี่”
“ผมนะหรือ” กายชี้นิ้วเข้าที่หน้าตัวเอง
“มือวางอันดับหนึ่งคือผม” คเชนทร์ชี้นิ้วเข้าที่หน้าตัวเองเลียนแบบกาย “สองคือคุณการุณย์ สามคือคุณธเนตร สี่คือคุณ”
“ใครจัดอันดับครับ” กายถาม “คุณจัดหรือ”
คเชนทร์่ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “คุณการุณย์ อ้อ คุณเจนจิราเป็นอันดับห้า ทั้งที่ผมอยากให้เป็นอันดับสี่ แต่เพราะเป็นเลขาแล้วก็เลยไม่นับ”
“คุณเจน” กายแปลกใจ
“อย่าดูถูกเชียวนะ นั่นจบนอกเลยล่ะ ท่านประธานเป็นคนสัมภาษณ์และเลือกคุณเจนจิราเอง ไม่งั้นผมก็ไม่กล้ารับเดิมพันเยอะขนาดนั้น คุณเจนได้เงินเดือนสูงกว่าเลขาทั่วไปด้วย ท่านเป็นคนที่คาดหวังอะไรสูง เพราะฉะนั้นต้องการเฉพาะคนเก่งๆ ผมว่าท่านพอใจคุณระดับหนึ่ง แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอยากแกล้งคุณดีนัก”
“ผมคิดว่าท่านคิดว่าผมเป็นเด็กคุณ” กายตัดสินใจพูดสิ่งที่ตัวเองสงสัย
“ฮ้า ผมไม่เคยมีอะไรกับคุณซักหน่อย ถูกเนื้อต้องตัวก็ไม่เคย คนเคยนั่นกันก็ว่าไปอย่าง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” กายอ่อนอกอ่อนใจกับความคิดแปลกๆ ของคเชนทร์ “ผมหมายถึงท่านประธานคิดว่าผมเป็นเด็กเส้น เข้ามาทำงานเพราะมีเส้นสาย และไม่คิดว่าผมจะเก่งจริงอย่างที่คาด”
“ท่านคงจับได้ว่าผมช่วยคุณเรื่องแปล F-35”
“หลังจากนั้นถึงได้ให้แปลแต่งานง่ายๆ แต่มักเป็นงานด่วน” กายพูดเติม
“คุณต้องเอาชนะท่านประธานให้ได้เพื่อลบคำสบประมาท”
“คุณบอกว่าไม่ให้ท้าทายท่าน” กายแย้ง
“ไม่ใช่ท้าทาย แต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถ เพราะฉะนั้น ผมจะช่วยคุณเอง เรื่องเป็นล่ามให้ ผบ. ทอ. นั้นไม่ยาก ผมจะติวให้” คเชนทร์พูดเสียงจริงจัง
“ติว” กายเลิกคิ้ว “เพื่อบ่ายวันนี้นี่นะครับ”
“ติ้วเข้ม ตัวต่อตัว แบบเร่งรัด” คเชนทร์เลิกคิ้วแล้วกระดิกนิ้วเรียกกาย “รีบตามผมมา ไปที่ออฟฟิสผมเร็วเข้า จะได้ติวให้สองต่อสอง ตามมาสิ ก่อนที่ยักษ์วัดแจ้งจะมาเฝ้าประตู ผมจะเขียนโน๊ตไว้บนโต๊ะเขาว่า ถ้ามาถึงแล้วให้ไปทำธุระให้ผม”
“ผมต้องทำงาน กายหันไปมองโต๊ะทำงานของตัวเอง
“ผมจะโทรมาบอกคุณการุณย์เอง”
“คุณรอตอนคุณพุดเดิ้ลไปห้องน้ำสิครับ แล้วค่อยเรียกผมเข้าไป” กายต่อร้องเชิงประชดประชัน คเชนทร์หัวเราะก๊ากเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกเลขานุการของตัวเองแบบนั้น
“คุณนี่เรียนรู้เร็วแฮะ เข้าใจมุขผม แบบนี้ค่อยไปกันได้หน่อย”
“คุณกลัวเลขาคุณหรือไง”
“เปล่า ผมนะหรือจะกลัวใคร” คเชนทร์ส่ายหน้า “คุณไม่รู้อะไรหรือกาย ผมปกป้องคุณนะจะบอกให้ ผมไม่อยากให้คุณออกรายการข่าว Breaking News ของ CNN"
“มีด้วยหรือครับ” กายแปลกใจ
“เห็นเงียบๆ ต่างคนต่างอยู่ในคอกใครคอกมันแบบนี้ล่ะ นินทากันดีนัก เขารู้หมดทุกเรื่องนั่นล่ะคุณ น้อยซะเมื่อไหร่”
“ทำได้ยังไง” กายขมวดคิ้ว นึกภาพพนักงานบริษัทนี้นินทากันไม่ออก
“เอายังงี้ ถ้าพร้อม คุณเอ็มมาหาผม หรือไม่ก็ทวิตเตอร์ก็ได้ แต่ทิ้งเมนท์ไว้ในหน้าหนังสือไม่เอานะ” คเชนทร์สรุป
“อะไรคือหน้าหนังสือครับ” กายถาม
“Facebook ไง” คเชนทร์ตอบแลัวหัวเราะ “เชยจริงๆ เป็นล่ามเป็นนักแปลซะเปล่า”
“แล้วเราต้องแปลคำที่เป็นภาษาอังกฤษทุกคำด้วยหรือครับ ครั้งที่แล้วก็ห้างดอกบัว คราวนี้ก็หน้าหนังสือ” กายเบ้ปาก “แต่การช่วยเหลือของคุณครั้งนี้ก็คงมีข้อแลกเปลี่ยนอีกใช่ไหมครับ”
“ของฟรีมีในโลกหรือคุณกาย” คเชนทร์ขยิบตา
กายยืนนิ่งชั่วครู่แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจว่า “ผมจะลองสู้ดู ผมคงผ่านพ้นไปได้ ผมไม่รบกวนคุณก็ได้ครับ”
“ใจสู้แฮะ แบบนี้สิพนักงานดีเด่น ถ้าคุณกล้าลุกขึ้นสู้กับท่านประธาน ผมจะมอบตำแหน่งให้เลย”
“ตำแหน่งอะไรครับ” กายถามอย่างคลางแคลงใจเพราะกลัวจะตามคำพูดของคเชนทร์ไม่ทัน
“ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยคามิกาเซ่” คเชนทร์หัวเราะแล้วเดินจากไป ก่อนจะออกจากประตูห้องจึงหันมาโบกมือพร้อมกับขยิบตาให้คนที่ยืนขมวดคิ้วมองตาม กายพยายามแปลความหมายคำพูดสุดท้ายของรองประธานบริษัท ไม่นานก็นึกอะไรได้บางอย่าง
...ล้อเล่นหรือขู่ นักบินคามิกาเซ่ต้องตายไม่ใช่หรือ นี่กะจะเล่นกันถึง 'ตาย' เลยหรือเนี่ย...
...หรือคุณคเชนทร์ต้องการให้เราโดนไล่ออก ยุให้เราสู้กับท่านประธานทั้งที่ก่อนหน้านี้คอยเตือนว่าไม่ให้ท้าทาย...
...ฮื่อ มองคเชนทร์ไม่ออกจริงๆ เลย คนอะไรอ่านยาก คเชนทร์ทำเหมือนรู้อะไรบางอย่างแต่ก็เก็บเอาไว้พร้อมๆ กับกระตุ้นให้สงสัย...
::: End of Chapter 21 :::