มาแปะแล้วค่า ~ (เกือบไม่ได้มา วันนี้ออกไปข้างนอกทำธุระยุ่งทั้งวันเลย ^ ^")
----------------------------------------------
======
บทที่ 21
======
นับจากวันนั้น ฉันกับพ่อก็พูดคุยกันมากขึ้นกว่าเดิม ฉันตัดสินใจเลือกเรียนบริหารตามที่พ่อคาดหวังไว้ ทั้งนี้ฉันรู้แล้วว่า เพราะท่านเป็นห่วงจึงอยากให้ฉันเลือกทางเดินที่มีอนาคตมั่นคง จริงอยู่ฉันรักการวาดรูป แต่พ่อก็ไม่ได้ห้ามฉันเหมือนอย่างเคย ฉันจึงตัดสินใจเลือกสิ่งนั้นเป็นเพียงงานอดิเรกที่ฉันรักแค่นั้น
“ดีแล้วล่ะ ที่ตัดสินใจได้แบบนี้ บางครั้งความฝัน กับความเป็นจริง มันก็ร่วมทางเดินกันลำบากสักหน่อย”
โคบายาชิบอกกับฉันหลังจากที่ฉันเล่าเรื่องของพ่อ และการตัดสินใจของฉันในการเลือกเรียนต่อให้เขาฟัง
“แล้วนายล่ะ ฉันยังไม่เห็นนายสนใจและพูดถึงคณะที่อยากเรียนเลยสักครั้ง ตกลงนายจะเข้าเรียนคณะอะไรงั้นหรือ?”
ฉันถามซึ่งหมอนั่นก็ยิ้มให้ พร้อมคำตอบที่ฉันคาดไม่ถึงว่าจะได้รับฟัง
“ฉันไม่เรียนต่อหรอก จบ ม.ปลาย แล้วก็จะทำงานเลย”
“ทำไมล่ะ น่าเสียดายออก!” ฉันโพล่งออกไปด้วยความตกใจ ซึ่งโคบายาชิกลับเห็นเป็นเรื่องตลก เขาหัวเราะให้กับฉัน
“ก็เป็นธรรมดานี่ ฉันตัวคนเดียว ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัย มันมากโขเอาการ ฐานะอย่างฉันมันไม่มีปัญญาส่งเสียตัวเองเรียนต่อหรอก”
“ถ้าเป็นเรื่องเงินล่ะก็ฉัน...” ฉันยังไม่ทันพูดจบประโยคหมอนั่นก็ยกมือให้ฉันหยุดพูด พร้อมกับทำสีหน้าจริงจังกล่าวกับฉันผิดเคย
“ฉันรู้ นายยินดีช่วยฉัน แต่คนอย่างฉันไม่ได้หัวดี เป็นอัจฉริยะ ถึงจะเรียนจบปริญญาไป ก็เท่านั้น ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทรัพยากรบุคคลอันล้ำค่าของประเทศนี้ขึ้นมาหรอก”
“แต่...” ฉันเตรียมจะแย้งต่อ ทว่าโคบายาชิ กลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้ฉันพูดขัดเขาเลย
“อีกอย่าง ฉันมีความฝันของฉัน ฝันที่ไม่จำเป็นต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีของใบปริญญามาค้ำประกัน ฝันที่แค่คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งใฝ่ฝันจะเป็น”
ฉันเงียบ ฟังเขาพูดต่อ เพราะโคบายาชิไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟังมาก่อน
“ฉันอยากมีครอบครัวธรรมดา มีภรรยาที่เข้าใจในตัวฉัน มีลูกน่ารัก ๆ และพอแก่ตัวไปก็กลายเป็นตาแก่ เลี้ยงหลานตัวเล็ก ๆ อยู่กับบ้าน”
เขาเล่าพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข มันช่างเป็นสีหน้าที่ดูดีมากเหลือเกิน มันทำให้ฉันมองแล้วรู้สึกอิจฉาที่เขาสามารถมีความฝันเป็นของตัวเอง โดยที่ฉันตอนนี้ ยังไม่ได้คิดไปถึงอนาคตไกลขนาดนั้นมาก่อน
“แล้วฉันก็จะเปิดโรงเรียนสอนเคนโด้ ให้เด็ก ๆ แถวนั้น และให้หลานของฉันได้เรียน”
มาถึงตอนนี้ฉันเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจในเรื่องใหม่ที่รู้มา
“นายเล่นเคนโด้ด้วยงั้นหรือ?”
โคบายาชิมองฉันด้วยความแปลกใจก่อนอุทานอย่างลืมตัว
“อ้าว? นี่ฉันไม่เคยบอกนายมาก่อนหรือนี่ จริงสิ พอขึ้นม.ปลายปี 3 ฉันก็ทำงานพิเศษหนักขึ้น ไม่มีเวลาซ้อมเลยลาออกจากชมรมน่ะ พวกสมาชิกเขาก็ไม่อยากให้ลาออกหรอก แต่พวกนั้นเข้าใจความจำเป็นส่วนตัวฉันดีเลยไม่รั้งไว้”
“นายเล่นเก่งหรือเปล่า?” ฉันรู้สึกสนใจ และอยากรู้ในสิ่งที่หมอนั่นทำ ก็มันไม่ยุติธรรมเลยไม่ใช่หรือ หากเราเป็นเพื่อนกัน แล้วเป็นฉันที่ไม่รู้เรื่องของหมอนั่นอยู่ฝ่ายเดียว
“เอ่อ...ก็ไม่เก่งหรอก แค่เคยได้เป็นแชมป์ของภูมิภาคคันโตเท่านั้นเอง”
โคบายาชิบอกด้วยสีหน้าเขิน ๆ ส่วนฉันอ้าปากค้าง ก็คิดอยู่บ้างว่าอาจจะเก่ง แต่ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีดีกรีแชมป์ห้อยท้ายแบบนี้
“นายเก่งถึงขนาดนี้ ทำไมไม่เรียนต่อ ขอทุนนักกีฬาก็ได้นี่นา มันต้องมีมหาวิทยาลัยสักแห่งออกทุนให้อยู่แล้ว”
ฉันบอกออกไป พยายามกล่อมให้หมอนั่นนึกอยากเรียนต่อ ส่วนเรื่องทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด ฉันคิดว่าจะติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยที่หมอนั่นเลือกอีกทีโดยไม่บอกให้เขารู้ แต่โคบายาชิก็ยังยืนกรานคำเดิม
“ฉันเล่นเคนโด้ เพราะฉันรักในกีฬาชนิดนี้ ฉันไม่คิดจะใช้สิ่งที่ฉันรักเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์เข้าตัวเอง อีกอย่าง ฉันบอกนายแล้วว่า มหาวิทยาลัยไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน ขอแค่ชีวิตมีความสุขไปวัน ๆ ฉันก็พอใจแล้ว”
“สรุปว่ายังไงนายก็ไม่คิดจะเรียนต่อ”
ฉันถามเขาอย่างนึกเสียดาย ความจริงแล้ว ฉันอยากให้เขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับฉันด้วยซ้ำไป
“อืม...หรือว่าถ้าฉันไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่พวกบัณฑิตมีความรู้ แล้วจะคบหากับนายไม่ได้เหมือนเดิม”
โคบายาชิย้อนถาม เล่นเอาฉันโพล่งกลับไปอย่างลืมตัว
“จะบ้าหรือไง! ฉันไม่เคยแคร์ว่านายจะเป็นใคร มีฐานะอะไร คนที่ฉันถือว่าเป็นเพื่อนมีนายแค่คนเดียวเท่านั้นนะ!”
หมอนั่นยิ้มกว้างให้ฉัน และตบบ่าฉันเบา ๆ
“ก็นั่นล่ะ ฉันก็เหมือนกัน ถึงแม้ฉันจะไม่ได้เรียนต่อ หรือเลือกทางเดินคนละทางกับนาย แต่เราสองคนก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมตลอดไปได้นี่นา”
“อืม...ใช่ เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่มีวันหักหลังนายเด็ดขาด”
ฉันให้สัญญากับเขา โคบายาชิยิ้มให้ฉัน ใช่แล้วฉันตั้งใจไว้ สักวันฉันจะตอบแทนบุญคุณของเขาที่เขาทำให้ฉันเข้าใจกับพ่อ สักวันฉันจะทำเพื่อเขาบ้าง ฉันจะไม่มีวันทำให้เขาผิดหวัง ฉันจะไม่มีวันทรยศต่อเขาเด็ดขาด ...ไม่มีวัน
ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้ตามคาดหมาย บางทีฉันก็เคยคิดว่าอาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของพ่อ แต่เรื่องนั้นโคบายาชิกลับบอกว่า คนเราถ้าลองไม่มีความสามารถ แสร้งทำเก่งยังไงก็ไม่อาจปิดส่วนด้อยของตนได้มิด แต่ถ้ามีความสามารถ ก็แสดงออกมาให้คนรอบข้างเห็น พวกที่นินทาหาว่าเราใช้เส้น ก็จะได้ไม่มีใครกล้าพูดแบบนั้นอีก
“นายคิดว่าฉันเก่งจริงงั้นเหรอ?” ฉันเคยถามหมอนั่น ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ
“จะไปรู้นายเหรอ? แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดว่านายห่วยหรอก!”
ฉันหัวเราะด้วยกันกับเขา แต่ก็ต้องแปลกใจที่หมู่นี้โคบายาชิ ดูเหม่อ ๆ ไปในยามที่เราไม่มีอะไรคุยกัน
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า โคบายาชิ ฉันว่านายดูแปลกไปนะ”
ฉันถามด้วยความสงสัย โคบายาชิสะดุ้ง เจ้าตัวอึกอักก่อนสั่นหน้าปฏิเสธ
“โธ่! เซจัง ไม่รู้หรอกเหรอว่า เรียวจังน่ะมันไปแอบหลงรักสาวเข้าให้แล้ว!”
คุณทามะ ที่เป็นพ่อครัวร้านบะหมี่ที่โคบายาชิยังคงมาช่วยงานอยู่ แทรกขัดขึ้นมา ฉันถึงกับอึ้งเมื่อเห็นหมอนั่นหน้าแดงด้วยความเขินและฉุนที่ถูกเปิดเผยความลับ
“ฮ้า! จริงน่ะเหรอ! สาวที่ไหนล่ะ! บอกฉันมั่งสิ เผื่อฉันจะช่วยได้ เห็นแบบนี้เรื่องผู้หญิงน่ะ ฉันเชี่ยวชาญมากเลยนะ!”
ฉันรีบเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก แถมแกล้งคุยทับไปอีกต่างหาก ดูเหมือนโคบายาชิจะเชื่อที่ฉันพูด เพราะเขาเริ่มหันมามองฉันด้วยความสนใจ บางทีหากหมอนั่นมานึกทีหลังได้ว่าฉันเองจบมาจากโรงเรียนชายล้วน ไม่เคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดผู้หญิงมาก่อน เขาคงฉุนฉันน่าดู
ในที่สุด โคบายาชิก็ยอมเล่าเรื่องสาวที่เขาแอบปิ๊งให้ฉันฟัง ผู้หญิงคนนั้นอายุน้อยกว่าพวกเรา 3 ปี และขณะนี้กำลังเรียนอยู่ ม.ปลายปี 1 สาเหตุที่ทำให้โคบายาชิต้องมานั่งเหม่อลอยด้วยความกลุ้มใจ ก็เพราะ ผู้หญิงที่เขาแอบหลงรักนั้น เป็นคุณหนูของตระกูลมีชื่อ และร่ำรวย เป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่าเป็นดอกฟ้า สำหรับเจ้าตัวเลยจริง ๆ
“เอาน่า อย่างน้อยถ้ายัยคุณหนูนั่นเห็นเรื่องฐานะสำคัญ มากกว่าความเป็นคน ฉันนี่ล่ะจะเชียร์ให้นายเลิกสนใจหล่อนเอง”
ฉันปลอบ ซึ่งคำปลอบของฉันคงแย่มาก เพราะฉันไม่ถนัดให้คำปรึกษาคนอื่น มีแต่คอยปรึกษาเขาเสียมากกว่า
“เธอไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เธอเป็นคนใจดีมาก วันที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ฉันไปส่งบะหมี่ตามบ้าน แล้วรถของเธอตัดหน้ารถจักรยานของฉัน ทั้ง ๆ ที่คนขับรถลงมาดูแล้ว แต่เธอกลับลงมาด้วยตัวเอง และสอบถามฉันด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ แถมยังให้ผ้าเช็ดหน้าฉันมาเช็ดแผลถลอกด้วย และยังจะพาฉันส่งโรงพยาบาลอีกด้วยนะ”
โคบายาชิเล่าด้วยสีหน้าชื่นชม แวบหนึ่งฉันรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้น ที่เห็นหมอนั่นสนใจคนอื่นมากกว่าตัวฉัน อาจเป็นเพราะฉันมีหมอนี่เป็นเพื่อนคนเดียวก็ได้
“แล้วนายเป็นอะไรมากไหม?” ฉันถามด้วยความเป็นห่วง แต่เขากลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“จะเป็นอะไรได้เล่า นายก็รู้ว่าฉันอึดจะตาย ก็แค่แผลถลอก เลียเอาก็หายแล้ว”
“คงจะไม่บอกกับผู้หญิงคนนั้นแบบนี้หรอกนะ” ฉันเดา แล้วก็เป็นจริง
“เอ๋? รู้ได้ยังไงกัน ใช่ฉันบอกไปแบบนั้น แล้วเธอก็หัวเราะคิกคักใหญ่เลย แต่ก็นั่นล่ะ เวลาเธอหัวเราะน่ารักดี ฉันก็เลย รู้สึกว่าตัวเอง...ชอบเธอเข้าแล้ว”
ท้ายประโยคเขาเกาแก้มอย่างเขิน ๆ ซึ่งฉันก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตัดสินใจช่วยเหลือให้ความรักของหมอนี่สมหวัง อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เพื่อนสมควรทำให้เพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนที่ดีอย่างเขา
“แล้วผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรล่ะ”
ฉันเริ่มถามข้อมูล ซึ่งโคบายาชิ ก็อ้ำอึ้งก่อนตอบ
“ซายูริ...เธอชื่อ โทริคาวะ ซายูริ”
เซอิจิ หยุดพักเล่าเรื่อง ก่อนจะรับน้ำชาที่ ทาคาอิ ลูกน้องของตนส่งให้ขึ้นจิบ
“แล้วไงอีกล่ะครับ!”
ยูคิถามอย่างกระตือรือร้น เมื่อเห็นชายชรานิ่งเงียบไปอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็หันมาทางเด็กหนุ่ม พลางเหลือบมองลูกชายที่ลอบถอนหายใจ หลังจากที่ได้ฟังมาถึงตรงนี้
เซอิจิยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากเมื่อเห็นปฏิกิริยาดังกล่าวของริวยะ แล้วจึงหันมาถามเด็กหนุ่มแทน
“อยากฟังต่องั้นหรือ?”
“ครับ อยากฟังครับ” ยูคิรีบตอบทันทีซึ่งชายชราก็หัวเราะเบา ๆ กับท่าทีเช่นนั้น แล้วจึงเล่าเรื่องในอดีตของตนต่อไป
ไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่ฉันจะพาโคบายาชิ เข้าพบคุณหนูตระกูลโทริคาวะถึงบ้านของหล่อนได้ แค่ทางนั้นรู้ว่าฉันเป็นคนของมุราคามิ ก็ยินดีต้อนรับ และเชื้อเชิญฉันเข้าบ้านแทบไม่ทัน และดูเหมือน โทริคาวะ ยามาโตะ เจ้าบ้านโทริคาวะ จะนึกว่าฉันมาจีบลูกสาวเขาเสียด้วยซ้ำ ฉันเองก็ขี้เกียจแก้ข้อเข้าใจผิด และถือโอกาสนี้ให้โคบายาชิทำความรู้จักกับซายูริเสียเลย
ความจริงแล้ว เด็กสาวคนนี้ก็เป็นคนดีใช้ได้ หล่อนเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดีโดยสายเลือด กิริยาวาจาที่แสดงออกนั่นสุภาพกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่กับโคบายาชิ ที่สำคัญก็ค่อนข้างจิตใจดี และมองโลกในแง่ดี เหมือนกันอีกต่างหาก
พวกเรามักไปไหนมาไหนด้วยกันสามคนเสมอ บางทีฉันกับซายูริก็ให้โคบายาชิซ้อมเคนโด้ให้ดู บางทีทั้งคู่ก็เป็นแบบให้ฉันวาดรูปให้ ซึ่งแน่นอนว่าพักหลังพ่อของซายูริเริ่มผิดสังเกต และเรียกฉันมาพูดเรื่องหมั้นกับซายูริให้เป็นจริงเป็นจัง เล่นเอาฉันถึงกับอึ้ง ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
“คุณเซอิจิ ก็ต้องเข้าใจนะครับ ลูกสาวผมเลี้ยงดูมาอย่างดี การที่ปล่อยให้ไปไหนมาไหนกับผู้ชาย หรือให้ผู้ชายมาหาถึงบ้าน ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่เพื่อน คนอื่นเขาจะนินทาลูกสาวของผมลับหลังได้ ถ้ายังไงเสียหมั้นกันให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยก็รักษาชื่อเสียงของซายูริไว้ได้บ้าง อีกอย่างเรื่องนี้ผมได้คุยกับคุณพ่อของคุณแล้ว ท่านเองก็เห็นควรให้หมั้นหมายให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเช่นกันน่ะครับ”
ฉันเงียบกริบ ลองตกลงกับพ่อของฉันเรียบร้อยแล้วฉันจะมาปฏิเสธโดยอ้างว่าที่ทำไปเพราะเพื่อน มีหวัง มุราคามิ กับ โทริคาวะคงมองหน้ากันไม่ติดแน่ อีกอย่างถ้าเกิดเรื่องขึ้นอาจจะกระทบกระเทือนหัวใจของพ่อก็เป็นได้ ซึ่งฉันเองก็ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ทว่า...แล้วฉันจะบอกโคบายาชิยังไงกันดี
ฉันรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก หลังจากคุยกับคุณพ่อของซายูริแล้ว ฉันก็เดินเรื่อยเปื่อยลงมายังสวนพักผ่อนของบ้านโทริคาวะ เลือกนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ยาวที่สวนด้วยความเหนื่อยอ่อน โชคดีที่วันนี้โคบายาชิไม่ได้มาด้วยกัน เพราะยามาโตะ เจาะจงเรียกตัวฉันมาพบเพียงลำพังเท่านั้น
“คุณเซอิจิคะ วันนี้มาคนเดียวหรือคะ”
ซายูริทักทายฉัน ซึ่งเจ้าหล่อนมาอยู่ที่สวนตอนไหนฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ คงเพราะฉันมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย
“อืม...มาคุยธุระกับคุณพ่อเธอเล็กน้อยน่ะ”
ฉันเลือกเลี่ยงตอบ ไม่แน่ใจว่าซายูริเองจะรู้อยู่ล่วงหน้าหรือเปล่า
“ดูคุณสีหน้าไม่ค่อยดีเลย มีอะไรกลุ้มใจก็บอกกับฉันได้นะคะ ถึงฉันจะเป็นที่ปรึกษาได้ไม่ดีเท่าคุณโคบายาชิ แต่ก็ยินดีรับฟังค่ะ”
ประโยคหลังเจ้าหล่อนรีบบอกต่ออย่างกระตือรือร้น ฉันยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู ความจริงแล้วฉันยังไม่เคยคุยกับซายูริตรง ๆ แบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่ฉันจะคุยผ่านโคบายาชิมากกว่า หรือจะว่าไปแล้ว โคบายาชิ จะเป็นคนทำให้การสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้นต่างหาก
“ไม่มีอะไรหรอก ...จริงสิ ซายูริ ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
ซายูริชะงัก ยิ้มเอียงอายน้อย ๆ จะว่าไปแล้วเวลาเธอคุยกับฉันก็มักเป็นแบบนี้ตลอด ขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูดด้วยเสมอ
“อะไรหรือคะ”
“เธอคิดยังไงกับโคบายาชิ เธอชอบหมอนั่นไหม?”
ซายูริเงียบกริบ ฉันเองก็ผิดสังเกตที่เห็นเธอเงียบไปนาน ฉันนึกทวนคำพูดของตัวเอง บางทีฉันคงถามอะไรตรงเกินไปก็ได้
“เอ่อ...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่ก็แค่อยากรู้ เพราะหมอนั่นชอบเธอนะ”
เธอเงียบอีก ฉันเองก็เงียบเพราะเพิ่งนึกได้ว่าดันไปเผลอบอกความในใจของเพื่อนรักให้เธอรับรู้แทนเจ้าตัวไปเสียแล้ว
“แล้วคุณ...” ซายูริ กระซิบเสียงแผ่วซึ่งฉันจับใจความไม่ได้ แต่แล้วเธอก็ยิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มที่ฉันมองแล้วทำไมถึงดูเหมือนหล่อนจะร้องไห้มากกว่า
“ฉันก็ชอบคุณโคบายาชิค่ะ เขาเป็นคนดี... ดีมากเลย”
“งั้นหรือ! ดีจริง หมอนั่นรู้เข้าคงจะดีใจ เธอตัดสินใจถูกแล้วล่ะ หมอนั่นถึงจะจนแต่เป็นคนดีนะ ฉันเองก็ชอบหมอนั่นมากเขาเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด เป็นเพื่อนคนสำคัญคนเดียวที่ฉันยอมรับ”
ฉันบอกอย่างยินดี แล้วก็พูดถึงโคบายาชิในความคิดฉันให้เธอฟัง แต่ฉันคงดีใจแทนเพื่อนไปหน่อย เลยไม่ได้สังเกตสีหน้าของซายูริในตอนนั้น
“แล้วฉันล่ะคะ...”
ซายูริเอ่ยขึ้น ซึ่งก็ทำให้ฉันหันมามองเธออย่างงง ๆ
“แล้วฉันล่ะคะ คุณเซอิจิคิดยังไงกับฉันกันแน่”
คำถามของหล่อนทำให้ฉันขมวดคิ้ว แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาจริงจังแฝงความหมายที่มองมา
“แต่เมื่อครู่เธอบอกว่าเธอชอบโคบายาชิไม่ใช่งั้นหรือ...”
ฉันถามด้วยความสับสน ซายูริคนนี้ดูผิดแปลกไปจากซายูริขี้อายที่ฉันรู้จักราวคนละคน
“ใช่ค่ะ ฉันชอบคุณโคบายาชิ แต่มันไม่เหมือนความรู้สึกชอบที่ฉันมีต่อคุณนี่คะ!”
ซายูริโพล่งใส่ฉัน เป็นครั้งแรกที่เธอขึ้นเสียงใส่ฉัน ไม่ใช่สิ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่คุณหนูผู้เรียบร้อยอย่างเธอขึ้นเสียงใส่คนอื่นแบบนี้
“แต่ฉัน...”
ฉันอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ฉันจะปฏิเสธออกไปว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอดีไหมนะ แต่ถ้าฉันทำแบบนั้นเธอจะเสียใจไหม ถ้าผู้หญิงที่ตัวเองรักเสียใจ โคบายาชิล่ะ...หมอนั่นจะเสียใจด้วยไหม?
แล้วตัวฉันก็ต้องตัวชาทั้งตัว เมื่อหันไปพบว่ามีสายตาของคน ๆ หนึ่งจ้องมองมาทางพวกเรา ...โคบายาชินั่นเอง หมอนั่นมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ข้าง ๆ มี โทริคาวะ ยามาโตะยืนอยู่ด้วย ใบหน้าของชายวัยกลางคนเหยียดยิ้มน้อย ๆ ซึ่งฉันมองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“โคบายาชิคุง เธอว่าสองคนนั่นเหมาะกันดีไหมล่ะ ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทของคุณเซอิจิ ในงานหมั้นของทั้งสองคน ฉันขอเชิญเธอเป็นแขกในงานนี้ด้วยแล้วกันนะ”
ยามาโตะเปรยขึ้นดัง ๆ ซึ่งซายูริเองก็หน้าเสียไปเมื่อหันไปเห็นพ่อของตนกับโคบายาชิ ส่วนฉันกำหมัดน้อย ๆ เพราะความโมโห ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า เป็นไงเป็นกัน ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทว่า...
“ขอบคุณครับที่เชิญผม แล้วก็ยินดีด้วยนะเซอิจิ ซายูริจัง”
โคบายาชิกล่าวกับทั้งฉันและซายูริด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ฉันกลับรู้สึกเจ็บแปลบในอก รอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มเศร้า ๆ ของโคบายาชิที่ฉันไม่เคยได้เห็น และไม่คิดปรารถนาจะเห็นมันเลยสักนิด แต่ยามนี้เขากลับส่งรอยยิ้มเช่นนั้นให้ฉัน
“แล้วเรื่องธุระ...”
โคบายาชิหันไปทางยามาโตะ ยังคงรักษาสีหน้าให้เป็นปกติเช่นเคย
“อืม...นั่นสิ ถ้าเป็นแบบนี้ ธุระนั่นคงไม่ต้องคุยกันแล้วก็ได้ เอาเป็นว่าขอโทษที่รบกวนเวลาเธอนะ โคบายาชิคุง”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลากลับก่อนนะครับ”
โคบายาชิโค้งให้ยามาโตะ โดยที่หันชำเลืองมองมาทางฉันและซายูริแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินออกไป โดยไม่มีแม้แต่คำอำลา ฉันรีบวิ่งตามเขาไปทันทีที่ตั้งสติได้ โดยไม่ได้สนใจพ่อลูกโทริคาวะ แต่ฉันก็ตามไม่ทัน หมอนั่นไปแล้ว เขาวิ่งหนีไป ไม่รอให้ฉันตามมาเพื่ออธิบายเลยแม้แต่น้อย
ฉันตามไปที่ทำงานที่หมอนั่นทำอยู่แต่ละแห่ง ทว่ากลับได้รับคำตอบเดียวกันหมดคือโคบายาชิโทรมาขอลางาน ฉันตามไปที่ห้องพักของหมอนั่น เคาะประตูห้องอยู่ตั้งนานแต่ก็เงียบ เขาไม่ยอมเปิดให้ฉันเข้าไป
“โคบายาชิ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”
ฉันเฝ้าพึมพำขอโทษอยู่หน้าห้องเช่นนั้นเป็นเวลาเกือบชั่วโมง แต่ภายในห้องยังคงเงียบสนิท แต่ฉันรู้ว่าหมอนั่นอยู่ข้างใน
“ฉันจะไปปฏิเสธการหมั้น ฉันจะบอกความจริงกับโทริคาวะ ยามาโตะ จะบอกความจริงกับซายูริ ว่าฉันไม่ได้ชอบเขา ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อนายเท่านั้น”
“...อย่าทำแบบนั้นนะ”
เสียงของโคบายาชิดังขึ้นเป็นครั้งแรก ฉันดีใจมากทุบประตูรัวให้เขาเปิดห้องให้ฉันเข้าไป
“โคบายาชิ นายอยู่ในห้องจริง ๆ สินะ เปิดให้ฉันเข้าไปได้ไหม ขอร้องล่ะ!”
ประตูห้องเปิดออก โคบายาชิเปิดประตูออกมา ฉันกอดเขา และพร่ำขอโทษ หมอนั่นลูบหลังปลอบฉัน พร้อมคำพูดอ่อนโยนเหมือนดังเช่นทุกครั้งยามที่ฉันมีทุกข์และต้องพึ่งพาเขา
“ฉันขอโทษ โคบายาชิ นายอย่าโกรธฉันได้ไหม นายเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีนะ”
“บ้าน่ะ ฉันไม่เลิกคบกับนายเพราะเรื่องแบบนี้หรอก”
โคบายาชิปลอบ เรานิ่งเงียบสักพัก หมอนั่นจึงพูดต่อ
“เซอิจิ...ซายูริจังชอบนายจริง ๆ นะ เวลาที่อยู่ด้วยกันเธอก็มักแอบมองนายเสมอ ด้วยสายตาที่ฉันรู้ดีว่ามันแฝงไว้ด้วยความรัก ...ใช่ฉันรู้ แต่ฉันมันขี้ขลาด ฉันมันไม่กล้ายอมรับความจริง ฉันมันไม่ใช่เพื่อนที่ดีของนายหรอกเซอิจิ คนที่ควรจะขอโทษน่าจะเป็นฉันมากกว่า”
คำสารภาพของโคบายาชิทำให้ฉันตกตะลึง หมอนั่นรู้มาตลอดถึงความรู้สึกของซายูริ แล้วทำไมไม่บอกฉันสักคำ...ถ้าเขาบอกให้ฉันรับรู้ ฉันจะรีบพาเขาออกให้ห่างจากผู้หญิงคนนั้น ฉันจะไม่ทำให้เขาเจ็บเพราะตัวฉัน โดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้เด็ดขาด
“โคบายาชิ...นายมันบ้า! บ้าที่สุด!”
ฉันไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี ฉันมันปลอบคนไม่เก่ง เพื่อนฝูงที่คบหา นอกจากหมอนี่แล้ว ฉันก็ไม่เคยให้ความสนิทสนมกับใคร โลกส่วนตัวของฉันมีแต่เขาเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนี้ ฉันยังทำให้เขาต้องเจ็บโดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัวแบบนี้อีก
“พวกนายทั้งคู่เหมาะสมกันนะ”
โคบายาชิบอกพร้อมรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ฉันไม่อยากเห็นนั่นอีกครั้ง
“นายโกหก! บอกออกมาถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนายสิ! นายโกรธฉันใช่ไหม นายเสียใจใช่ไหม ที่คนที่ซายูริชอบเป็นฉันไม่ใช่นาย! อย่ามาทำเป็นเสียสละหลีกทางให้แบบนี้ แล้วแอบไปเสียใจคนเดียวได้ไหม ฉันเป็นเพื่อนของนายไม่ใช่หรือไง!”
ฉันระเบิดอารมณ์ กระชากคอเสื้อเขามาใกล้และตะคอกใส่หน้า เพราะไม่อยากเห็นโคบายาชิคนนี้ ฉันรู้ว่าเขาเสียใจ แต่ต่อหน้าฉันเขากลับไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เห็นเลยสักนิด แล้วเขาจะมีฉันไว้เป็นเพื่อนทำไมกัน
โคบายาชิชะงัก เขาเงียบไป และค่อย ๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปวดร้าว อย่างที่ไม่เคยให้ใครได้ยินมาก่อน
“ใช่...ฉันเสียใจ ...ฉันเสียใจที่ซายูริไม่ชอบฉัน...ฉันเจ็บใจที่ฉันมันไม่เจียมตัวเอง....คนจนอย่างฉัน ดันใฝ่สูงไปรักดอกฟ้าแบบนั้น...มันก็ต้องพบกับจุดจบแบบนี้อยู่แล้ว ...”
เขาเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นจึงปัดมือฉันที่กุมคอเสื้อเขาออกไป แววตาเย็นชาที่ไม่เคยได้เห็นมองมายังฉัน น้ำเสียงห้วนที่ไม่เคยฟังเอ่ยชัดเจน
“ไปให้พ้นจากห้องของฉัน แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ...ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!”
ฉันตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ ...ใช่แล้วฉันเองที่บังคับให้เขาพูดออกมา แต่ฉันไม่คิดว่าจะได้ยินคำตัดขาดจากเขา ...เพื่อนคนเดียวของฉัน เพื่อนคนสำคัญที่สุดของฉัน
“โคบายาชิ...นายพูดเล่นใช่ไหม...”
เขาดันร่างฉันให้พ้นประตูห้องและปิดประตูกระแทกใส่ฉันแทนคำตอบ ไม่ว่าฉันจะเคาะประตูเรียกเขานานเพียงใด ก็ไม่มีเสียงตอบมาจากข้างในนั้น
“โคบายาชิ...เราเคยสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปไม่ใช่หรือไง...”
ฉันทิ้งท้ายก่อนที่จะตัดสินใจกลับบ้าน วันนี้หมอนี่อาจจะเสียใจมากจนไม่อยากรับฟังอะไร บางทีหากเป็นพรุ่งนี้ เราคงจะทำความเข้าใจกันได้เหมือนเดิม เพราะเราเป็นเพื่อนกัน...เพื่อนรักคนสำคัญตลอดกาล
ทว่าวันพรุ่งนี้ของเราก็ไม่อาจมาถึง วันรุ่งขึ้นฉันรีบมาหาโคบายาชิแต่เช้า แต่ก็พบกับความว่างเปล่า สอบถามเจ้าของบ้านเช่า ได้ความว่าเมื่อคืนจู่ ๆ โคบายาชิก็ขอย้ายออกกะทันหัน เขาจ่ายค่าเช่าที่ค้างไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเก็บข้าวของที่มีอยู่ไม่มากออกไป พอฉันถามเขาว่าโคบายาชิย้ายไปไหน เจ้าของบ้านเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ฉันไปถามเจ้าของร้านที่โคบายาชิไปทำงานพิเศษแต่ละแห่ง ก็พบคำตอบเดียวกัน คือไม่รู้ หมอนั่นไปลาพวกเขา และผลุนผันออกไป ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ซักถาม ซึ่งคนสนิทอย่างคุณทามะเองก็ซักไซ้ไล่เรียงฉันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดไม่ออกเช่นกัน
หลังจากนั้นอีกเพียงหนึ่งเดือน ฉันจำต้องเข้าพิธีหมั้นกับซายูริ เพราะพ่อของฉันออกหน้าเร่งรัดฉันกลาย ๆ ซึ่งฉันก็พอจะเดาได้ว่า โทริคาวะ ยามาโตะ ต้องมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ พ่อเชิญแขกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในวงการที่มีชื่อเสียง ฉันไม่อยากให้พ่อเสียใจ จึงจำต้องยอมตกลงโดยไม่ขัดขืน ...แต่ความจริงแล้ว อาจเป็นเพราะฉันในตอนนี้ ใครจะให้ฉันทำอะไร ให้อยู่ในสถานะไหน ฉันก็ไม่มีจิตใจจะแข็งขืนใครอีก ไม่อยากคิดอะไรมากให้มันรกสมองอีกแล้ว ... นับตั้งแต่วันที่หมอนั่นจากไป
หลังจากนั้น ฉันกับซายูริ ก็แทบไม่ค่อยได้พบปะกัน แม้จะหมั้นกันแล้ว แต่ฉันกลับมุ่งในด้านการเรียนมากขึ้น พอจบออกมาก็ยุ่งวุ่นวายกับงานธุรกิจ ไม่คิดจะไปสู่ขอเธอให้เป็นเรื่องเป็นราว และยิ่งหลังจากพ่อฉันเสีย ฉันก็ได้ครอบครองอำนาจทุกอย่างของมุราคามิ ฉันไม่จำเป็นต้องเกรงใจโทริคาวะ ยามาโตะอีกต่อไป
บางทีฉันอาจจะทำไปเพื่อแก้แค้นแทนเพื่อนของฉันก็ได้ ฉันรู้ว่าเขาไม่ต้องการ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ฉันก็ไม่อาจยอมรับว่าหมอนั่นหนีไปเพราะฉันเป็นต้นเหตุได้
แต่ซายูริเองก็อดทนรอฉัน เธอไม่เหมือนพ่อของเธอ ฉันรู้ เธอรักฉันจากใจจริง...และแล้ว หลังจากเราหมั้นกัน นับจากวันนั้นก็ผ่านมาสิบปี วันที่ฉันได้คิดถึงโคบายาชิอีกครั้ง
“บางที...ฉันเองก็อยากย้อนเวลากลับไปตอนที่พวกเราทั้งสามคนยังอยู่ด้วยกัน เที่ยวเล่นด้วยกัน เวลานั้นเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขที่แท้จริง มากกว่าวันที่ฉันได้คนที่รักมาครอบครอง แต่ก็ได้เพียงร่างกายของเขา ส่วนหัวใจไม่ได้ตามมาด้วยเลย”
ซายูริพูดกับฉัน หลังจากที่เธอคืนแหวนหมั้นให้ฉัน เธอทำให้ฉันรู้สึกตัวอีกครั้ง ฉันมันโง่เอง ฉันเสียเพื่อนไปแล้ว แต่นี่ฉันกำลังจะเสียคนที่รักฉันไปอีกคนแล้วสินะ
ฉันนึกถึงความผิดพลาดของตัวเองเมื่อครั้งอดีต ฉันไม่อยากทำผิดอีกครั้ง ดังนั้นฉันจึงไม่ยอมเสียซายูริไป ฉันอาจจะเห็นแก่ตัวก็ได้ ที่ยึดเธอไว้เป็นที่พึ่ง เธอเองก็รู้แต่เพราะรัก เธอถึงไม่ทิ้งฉันไป
แล้วเราก็แต่งงานกัน จนมีริวยะ และริวจิ ทว่าทุกวันนี้ ฉันเองก็ยังคงไม่ลืมหมอนั่น ฉันอยากเจอเขาอีกสักครั้ง อยากจะขอโทษเขาในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เหนืออื่นใด ฉันอยากให้เขาอภัยให้ฉัน อยากให้เรากลับมาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิมอีกครั้ง...
=====
TBC
=====