มาแปะต่อแล้วค่า แถมให้สองตอนเลยนะคะ เพื่อความต่อเนื่อง~
หวังว่าคงจะถูกใจนักอ่านนะคะ~
=====
บทที่ 5
=====
ยูคินอนซมอยู่บนเตียงเป็นเวลากว่า 2 วัน และเมื่อล่วงเข้าสู่เย็นวันที่ 3 เด็กหนุ่มก็สะลึมสะลือตื่นขึ้น เนื้อตัวเมื่อยล้าไปหมด ขยับเขยื้อนกายแทบไม่ไหว แต่ก็ยังดีกว่าวันแรก ๆ ที่เขาเริ่มจับไข้
“อือ...หิวน้ำ...” เสียงเล็ก ๆ อ่อนแรงพึมพำแผ่วเบาในลำคอ ยังผลให้ร่างสูงที่นั่งเฝ้าอยู่ชะงัก และจึงเดินตรงมาหาร่างบางที่เตียงเพื่อถามไถ่อาการ
“ฟื้นแล้วหรือครับคุณยูคิ รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ”
ยูคิกระพริบตามองคนตรงหน้าอย่างเบลอ ๆ ก่อนจะพึมพำบอกเสียงแหบแห้ง
“อา...หิวน้ำ...”
“น้ำหรือครับ สักครู่นะครับ” ร่างสูงกล่าวแล้วก็เดินออกไปจากห้อง สักพักก็กลับมาพร้อมเหยือก และแก้วน้ำ
“ดื่มช้า ๆ นะครับ...ระวังสำลัก”
ทาคุประคองร่างบางให้กึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วจึงป้อนน้ำให้เด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง
“...อา...” เสียงครางเบา ๆ ด้วยความพอใจจากร่างบาง น้ำแก้วนั้นเรียกความสดชื่นคืนสู่ร่างกายที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้ได้เป็นอย่างดี
“ผมจะโทรไปรายงานคุณริวยะนะครับ ว่าคุณฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มบอกและกำลังจะลุกจากไป แต่แขนผอมเพรียวของยูคิ ก็ดึงรั้งเสื้อของอีกฝ่ายไว้ก่อน
“อย่านะครับ...อย่าบอกเขา...”
ทาคุชะงัก เก็บแก้วน้ำในมือวางบนโต๊ะ และจึงดึงเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ เตียง พลางเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงทุ้มแลดูอ่อนโยน
“ทำไมล่ะครับ คุณริวยะเป็นห่วงคุณมากนะครับ เขาแวะมาดูคุณตลอดเวลาที่คุณนอนซมเพราะพิษไข้ ...”
“โกหก!” ยูคิกล่าวสวนทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มยังคงพูดไม่จบประโยค
“คน ๆ นั้น น่ะหรือจะมาเป็นห่วงผม ...ก็ในเมื่อเพราะเขานั่นล่ะ ที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้!” เด็กหนุ่มบอกออกไปด้วยความคับแค้นใจ หยาดน้ำใส ๆ วาววับคลอเบ้าตา
“คุณยูคิ...” ทาคุเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเวทนา ใจหนึ่งคิดอยากจะอธิบายให้เจ้าตัวเข้าใจ แต่ก็ต้องชะงักไว้ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้น จึงทำได้แต่เพียงกล่าวทิ้งท้ายไว้ให้เด็กหนุ่มขบคิดด้วยตนเอง
“คุณริวยะ แคร์ความรู้สึกของคุณมากกว่าที่คุณคิดนะครับ คุณยูคิ”
จากนั้นชายหนุ่มจึงยืนขึ้นโค้งศีรษะให้ และขอตัวออกจากห้องไป ทิ้งให้ยูคิมองตามหลังร่างสูงไปด้วยความรู้สึกสับสน ต่อคำพูดเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
เสียงทอดถอนหายใจเบา ๆ ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาถึงทักทายอย่างอดแหย่ไม่ได้
“ไง ทาคุ เป็นอะไรไปอีกล่ะ หรือว่าเบื่อจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กเสียแล้ว”
คนฟังไม่ได้ใส่ใจต่อคำทักทายนั่น แต่กลับถามหาอีกคนแทน
“อากิระ…แล้วคุณริวยะล่ะ”
“คุณหมอมานาเบะ มาที่บริษัทแล้วลากตัวไปดื่มด้วยกันแล้วล่ะ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จึงทำให้อากิระ ถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัยจริง ๆ
“มีอะไรงั้นหรือ ทาคุ”
“นายคิดว่า คุณริวยะ จะปล่อยให้เด็กนั่นเข้าใจตัวเองผิดไปอีกถึงเมื่อไหร่กัน?”
อากิระเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะย้อนถามด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“สงสาร?”
“แล้วไม่น่าสงสารอย่างนั้นรึ” ทาคุตอบสวนกลับด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ไม่นึกสนุกไปกับคนตรงหน้าด้วยแม้แต่น้อย
“ไม่เอาน่า นายก็รู้ว่าคุณริวยะคิดยังไงกับเด็กนั่น มันไม่ใช่แค่การคบอย่างฉาบฉวยเหมือนคู่ควงคนก่อน ๆ ของเขาสักหน่อย”
ชายหนุ่มพยายามพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ดูเหมือนจะยังคงไม่ได้ผล
“แต่อย่างน้อยก็น่าจะอธิบายความจริง ... คุณริวยะเลือกทำแบบนี้มันไม่ดีทั้งต่อตัวเอง และเด็กคนนั้นเลยสักนิด”
อากิระถอนหายใจยาว พลางตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ
“นายก็รู้นิสัยคุณริวยะดีนี่ทาคุ คน ๆ นั้น ไม่มีวันยอมพูด หรือแสดงความในใจที่แท้จริงต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด...ถึงต่อให้อยากบอกขนาดไหนก็ตามเถอะ”
“หัวดื้อล่ะสิ”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้อากิระชะงัก ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว
“ฮ่า ๆ อย่าไปพูดต่อหน้าเจ้าตัวเชียว ฉันยังไม่อยากทำงานคนเดียวหรอกนะ”
เจ้าตัวบอกอย่างยากลำบาก เพราะพยายามกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นสาวใช้ ซึ่งทำงานอยู่แถวนั้น เหลือบมามองเขาด้วยความสนใจ
“ว่าแต่ฉันไม่อยู่ที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง”
ทาคุเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคุมอารมณ์ให้กลับเป็นปกติเรียบร้อยดีแล้ว
“ทำยังไงได้ ขาดโปรแกรมเมอร์มือดี ฉันก็วุ่นวายนิดหน่อย แต่คนใหม่ที่มาแทนนาย ก็ทำงานใช้ได้ ถึงฉันจะต้องเหนื่อยในการสอนงานเขาบ้างก็ตามเถอะ”
อากิระกล่าวพลางยักไหล่ ซึ่งเมื่อได้ฟัง ทาคุก็แย้มยิ้มที่มุมปากให้อีกฝ่าย
“เหนื่อยแย่ล่ะสิ”
“ก็งั้น แต่ก็ยังดีกว่าเป็นพี่เลี้ยงเด็กนั่นล่ะ”
อากิระบอกออกไปแล้ว ก็เหมือนกับจะนึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง เขาจึงถามชายหนุ่มด้วยความสงสัย
“จริงสิ ทาคุ แล้วเด็กคนนั้นเห็น ‘นั่น’ หรือยังล่ะ”
“ยัง...ก็เพิ่งฟื้นไข้ จะมีแรงเดินไปสำรวจดูรอบบ้านได้ยังไงกัน”
ทาคุตอบเรียบ ๆ พอได้ฟังดังนั้น อากิระจึงยิ้มขึ้นอย่างพอใจ และกล่าวกับอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเจ้าเล่ห์นิด ๆ
“อืม...น่าจะให้ได้เห็นนะ เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขึ้นมาก็ได้”
“ไม่กลัวโดนคุณริวยะโกรธเอาทีหลังหรือไง”
ใบหน้าคมเข้มถามอย่างระอา ซึ่งคนฟังก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอพลางเหยียดยิ้มตอบ
“ก็ถ้าเด็กคนนั้นเป็นฝ่ายไปเจอด้วยตัวเอง มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราไม่ใช่หรือไงล่ะ”
ทาคุถอนหายใจเบา ๆ กับความคิดของชายตรงหน้า คนส่วนใหญ่มักจะมองภาพพจน์ของอากิระ เป็นคนอ่อนโยน สุภาพ เรียบร้อย แต่ความจริงแล้วชายหนุ่มเป็นคนฉลาด ซึ่งติดจะเจ้าเล่ห์เสียด้วยซ้ำ ช่างคิด ช่างวางแผน เป็นมือขวาที่ ริวยะไว้วางใจให้ทำงานสำคัญ ๆ อยู่เสมอ
“เอาเถอะน่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันจัดการเอง”
อากิระตบบ่าเพื่อนของตน และมองไปยังประตูห้องของยูคิ ด้วยแววตาที่ ทาคุต้องถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง
ยูคิฟุบนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย ยามนี้เขาไม่อยากจะคิด หรือทำอะไรทั้งสิ้น เด็กหนุ่มนอนอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงในกระเพาะร้องประท้วงลั่นเพราะความหิว
“เฮ่อ... ต่อให้โลกจะแตก แต่ท้องก็ยังคงหิว อยู่ดีล่ะนะ”
เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเองเบา ๆ เพราะเจ้าเสียงครวญครางในกระเพาะมันทำลายบรรยากาศสลดหดหู่ภายในใจไปเกือบสิ้นเชิง
ยูคิขยับกายลุกขึ้น แต่แล้วเขาก็ต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บที่ยังคงหลงเหลือจากเบื้องล่าง เจ้าตัวกัดฟันกรอด พยายามยันกายอย่างช้า ๆ โดยไม่คิดจะร้องขอความช่วยเหลือจากคนภายนอกแต่อย่างใด
“หือ?”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนโงนเงนเดินมาที่ประตู แต่พอเปิดมันออก ก็ต้องสะดุดเอาเข้ากับความรู้สึกลื่น ๆ ที่ปลายเท้า ก้มลงไปก็พบว่าตนกำลังเหยียบผ้าบางผืนหนึ่งอยู่ ผ้าที่เขาต้องเพ่งพิจารณา เพราะรู้สึกว่ามันคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นจากไหนมาก่อนสักแห่ง
“ผ้าที่ห่อกล่องอัฐิพ่อนี่นา!”
ยูคิอุทานด้วยความตกใจ ก้มลงเก็บมันขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง ก็พบว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไปแต่อย่างใด
“ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้ ก็ในเมื่อวันนั้น ก็ไม่เห็นมี...”
เจ้าตัวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางย้อนไปนึกถึงเมื่อ 3 วันก่อนที่เขาค้นหาในห้องแทบเป็นแทบตาย ก็จำได้ว่าไม่เคยเห็นผ้าผืนนี้เลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มกำผ้าผืนนั้นแน่น บางทีอัฐิพ่ออาจจะยังอยู่ในบ้านหลังนี้ แม้ความหวังอาจจะดูเลือนราง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเสียเลย
จากนั้นร่างบางจึงเหลือบมองซ้าย มองขวา พอไม่เห็นมีใครก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และค่อย ๆ เดินย่องไปตามทางเดินระเบียงหน้าห้อง เพื่อสำรวจดูรอบ ๆ บ้าน โดยหวังว่าจะเจออัฐิของบิดาอยู่ในไม่ห้องใดก็ห้องหนึ่ง
ทันทีที่ลับหลังร่างบางไปแล้ว ร่างสูงสองร่างที่ยืนหลบอยู่ ก็ปรากฏกายออกมาจากที่ซ่อน ร่างหนึ่งยืนยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ส่วนอีกร่างถอนหายใจเบา ๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ยูคิเดินไปเรื่อย ๆ ตามระเบียงทางเดิน พลางมองซ้าย มองขวาอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าคนในบ้านจะโผล่ออกมาให้เห็นเอาเข้าเมื่อไหร่ แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย เพราะความที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นจากพิษไข้ ประกอบกับยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด
ท่าทางโซเซเหมือนจะเป็นลมนั้น ทำให้ร่างสูงที่แอบตามมา แทบจะจ้ำพรวดออกไปหาด้วยความเป็นห่วง ถ้าไม่ถูกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันรั้งตัวเอาไว้ก่อน
“เด็กนั่นไม่ไหวหรอก เพิ่งจะฟื้นไข้ อาการยังไม่ค่อยดีเลยนะ”
ทาคุบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก ซึ่งอากิระก็พยายามอธิบายให้ชายหนุ่มเข้าใจอย่างใจเย็น
“รออีกหน่อยน่า ห้องข้างหน้านั่นก็ถึงแล้ว นายคงจะไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ แบบนี้หลุดมือไปหรอกนะ”
ทาคุยืนมองอย่างลังเล แต่พอเห็นยูคิ เริ่มออกเดินต่อ และหยุดชะงักตรงหน้าห้องที่เลื่อนประตูเปิดแง้มเอาไว้ ก็ทำให้เขาอดทนยอมยืนรออยู่ห่าง ๆ ตามคำบอกของอากิระ
ยูคิเลื่อนประตูที่แง้มเอาไว้ แล้วก้าวเข้าไปในห้อง มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ โล่ง ๆ ธรรมดา เพียงแต่สิ่งที่ดึงดูดให้เขาต้องก้าวเข้ามา มันคือป้ายวิญญาณ ซึ่งวางอยู่หน้าตู้บูชาเล็ก ๆ ที่ในนั้นมีกล่องบรรจุอัฐิของบิดาเขาตั้งประดับไว้อย่างดี
“กล่องใส่อัฐิ....ทำไม?”
เจ้าตัวพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกสับสน จากที่เคยคิดว่าคงจะโดนอีกฝ่ายทำลายทิ้งไปแล้ว แต่กลับได้รับการดูแลรักษาอย่างดีแบบนี้แทน
...ทำไม ถึงไม่บอก ...ทำไมต้องทำให้เข้าใจผิด...แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น...กับเรา
คำถามสารพัดที่ประดังเข้ามาในใจ หากไม่มีใครตอบให้ได้ ยกเว้นคนเพียงคนเดียว
“ทุกอย่างที่คุณทำ มันเพื่ออะไรกันแน่ ...คุณริวยะ”
ยูคิพึมพำกับตัวเองแล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมกับการปรากฏกายของร่างสูง ที่จับจ้องมายังตนด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความในใจ
“ทำไมไม่อยู่ที่ห้อง ออกมาเดินเล่นแบบนี้ หายดีแล้วอย่างนั้นหรือไง”
ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มราบเรียบ โดยไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใดที่เห็นอีกฝ่ายมาปรากฏกายอยู่ภายในห้องนี้
“กลับห้องได้แล้ว” เจ้าตัวออกคำสั่ง พลางเดินมาฉุดแขนร่างบางให้ไปด้วยกัน แต่เพียงแค่ออกแรงเบา ๆ คนที่ยืนใบหน้าซีดเซียว ก็แทบจะเซถลาไปตามแรงดึงนั่น
ริวยะขมวดคิ้วมองร่างบางอย่างพิจารณา ก่อนจะตวัดสายตาคมกริบมายังบุรุษสองคนที่ยืนคอยอยู่นอกห้อง
“ทั้งสองคน เดี๋ยวตามไปพบฉันที่ห้องด้วย”
บอกด้วยน้ำเสียงห้วนจนคนฟังต้องลอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็อุ้มช้อนร่างบางที่ยังคงยืนตกตะลึง ขึ้นแนบอก พลางอุ้มกลับห้องไปด้วยกันทั้งแบบนั้น
“ปะ...ปล่อยเถอะครับ”
ยูคิพยายามขอร้องอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เหตุการณ์เมื่อสักครู่ยังคงสร้างความสับสนให้กับเด็กหนุ่มอยู่ไม่หาย
“เดินไม่ไหวไม่ใช่หรือไง”
น้ำเสียงทุ้มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจต่อคำขอร้องนั่น
“เดินไหวครับ... ปล่อยผมลงเถอะ”
เด็กหนุ่มตอบอึกอัก รู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาอยู่ในอ้อมแขนของร่างสูงแบบนี้
“โกหก หน้าซีดเป็นกระดาษแบบนี้นี่นะเดินไหว”
ริวยะดุร่างบางในอ้อมแขนเบา ๆ และเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งผ่านหน้าห้องของเด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมหยุด ส่งผลให้ร่างในอ้อมแขนอุทานขึ้นอย่างหวาดระแวง
“อ๊ะ... เอ่อ...จะพาผมไปไหนครับ”
“ห้องฉัน” คำตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ เรียกความหวั่นวิตกให้อีกฝ่ายเป็นเท่าตัว
“คือ...”
“ทำไม....กลัวงั้นหรือ”
ใบหน้าคมเข้มก้มลงมากระซิบถาม ซึ่งยูคิก็รู้สึกวูบวาบที่ใบหน้าอย่างประหลาด
“มะ...ไม่ครับ... แต่”
“ไม่กลัว ก็เลิกพูดได้แล้วน่า”
ริวยะตัดบท แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ฟังประโยคถัดมาของเด็กหนุ่ม
“ไม่ได้กลัวครับ...แต่หิวข้าว...”
“หือ?” ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ฟังนัก แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำถ้อยคำเดิมมาอีกครั้ง เขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“หิว...แล้วทำไมไม่ไปที่ห้องอาหารแต่แรก ทางไปห้องอาหารเธอก็รู้จักแล้วไม่ใช่หรือ”
“ก็ผม...” ยูคิอึกอัก ในขณะที่ตัดสินใจจะถามถึงเรื่องอัฐิของบิดา ริวยะก็พาเขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องอาหารพอดี
“ถึงแล้ว”
“ท่านริวยะ... อ้าว คุณยูคิ ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ”
ชิโนะแม่บ้าน ซึ่งกำลังเตรียมอาหารเย็นให้ริวยะ อุทานด้วยความประหลาดใจที่เห็นยูคิมาด้วยกันกับชายหนุ่ม
“ชิโนะ ช่วยเตรียมอาหารอ่อน ๆ ให้ที่หนึ่งนะ เร็วด้วยล่ะ”
“ค่ะ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ รอสักครู่นะคะคุณยูคิ”
หญิงวัยกลางคนรีบรับคำ และผลุบหายไปในครัว จากนั้นริวยะจึงอุ้มร่างบางเข้ามาในห้อง และประคองวางลงบนพื้นอย่างอ่อนโยน
“อะ...เอ่อ...”
ยูคิกล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่รู้จะเริ่มถามอีกฝ่ายยังไงดี
“มีอะไร” น้ำเสียงวางอำนาจกล่าว เล่นเอาคนตั้งท่าจะถามใจฝ่อ แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าถามออกไปได้ในที่สุด
“เรื่องอัฐิพ่อของผมน่ะครับ ... ทำไมคุณถึงไม่บอก”
ริวยะเงียบไปสักพัก และจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เฉยชา
“ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องบอกนี่”
ทว่าคำกล่าวนั้น กลับทำให้ร่างบางที่นั่งฟังอยู่ทนไม่ไหว ความรู้สึกคับแค้น สับสน และน้อยใจ มันประดังประเด ถาโถมเข้ามาหาเขาแทบจะพร้อมกัน
“ไม่มีหรือครับ! คุณทำให้ผมเข้าใจคุณผิด ทำให้ผมโมโหคุณ จน...เกิดเรื่องแบบนั้น ...แล้วยังบอกว่าไม่มีความจำเป็น...”
ชายหนุ่มร่างสูงนิ่งเงียบไม่กล่าวตอบอะไรออกไป ยิ่งทำให้ความอดทนของเด็กหนุ่มถึงขีดจำกัด เจ้าตัวโพล่งออกไปเสียงดังอย่างสุดกลั้น
“ทำไมไม่พูดล่ะครับ ทำไมไม่อธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกันล่ะ!”
“ทานข้าวเสร็จแล้ว ก็กลับห้องเองแล้วกัน ฉันมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย”
ริวยะกล่าวเรียบ ๆ และลุกเดินออกจากห้องนั้นไปในทันที โดยที่มียูคิตะโกนเรียกชื่อของตนตามไปติด ๆ
“คุณริวยะ!”
“ทำไมกันล่ะครับ...”
เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ กับตนเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเกิดความรู้สึกแปลก ๆ เช่นนี้ ความรู้สึกที่เขาก็บอกกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร...
===
TBC
===