“ก็ยังดีกว่าไม่มีคนงานนะลุง ตอนนี้ใกล้ได้รอบเก็บมะพร้าวแล้ว ถ้ายังหาคนงานเก็บไม่ได้ก็แย่แน่ๆเลยลุง ยังไงผมขอจ้างคนที่ลุงว่าไว้ก่อนละกัน”
“เอายังงั้นรึ ถ้างั้นลุงจะให้สองคนนั้นไปหาเราพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับลุง ผมจะรอ แล้วก็ขอตัวกลับก่อนดีกว่า ลุงจะได้นอนพักเอาแรงต่อ”
วนัสขึ้นรถได้ก็ถอนหายใจยาวด้วยช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เขากังวลใจเรื่องหาแรงงานมาทำงานในสวนไม่ได้เลย คนงานเก่าๆที่เคยทำงานกับพ่อ พอพ่อเสียก็พากันไปทำงานที่ไร่อื่นกันหมด แล้วไร่อื่นที่ว่าก็คือไร่ภูผานั้นละ ก็เป็นไร่ที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้นี่นะ รับคนงานตลอดปีเพราะงานประเภทนี้มีคนเข้าออกบ่อยไม่แน่นอน
นี่เขาได้คนงานมาสองคน คงต้องหาเพิ่มอีกซักคนสองคนก็น่าจะพอ ไร่เขาเป็นไร่ขนาดเล็กจ้างคนงานเพียงไม่กี่คนก็น่าจะพอแล้ว
วนัสขับรถช้าๆ มองสองข้างทางที่เขียวอชุ่มชุ่มชื้นด้วยหยาดน้ำฝนที่เพิ่งจะหยุดตกได้ไม่นาน ละอองไอน้ำจับกันเป็นกลุ่มก้อนบนสันเขาเห็นอยู่ลิบๆ เป็นธรรมชาติที่คนทั่วไปในแถบนี้เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่สำหรับเขาที่อาศัยกินนอนอยู่ที่อื่นมากกว่าบ้านเกิดตัวเอง มันทำให้รู้สึกแช่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเมื่อตอนเด็กๆไม่มีผิด
เจ้าตัวเพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทางจนเริ่มสะดุดกับเสียงแปลกๆที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิทลงพร้อมกับรถที่จอดสนิท
“เฮ้ยๆ ฉันบอกแล้วไง ถ้าแกเกเมื่อไรฉันจับขายเป็นเศษเหล็กแน่”
วนัสพูดกับรถยนต์คันเก่า ที่ตอนนี้มันหยุดนิ่งสนิทอยู่กลางทาง ร่างโปร่งลงจากรถไปเปิดกระโปรงหน้ารถมองเข้าไปที่เครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจับเขรอะ
“โห…………มันอะไรกันเนี่ย แล้วเสียตรงไหนบอกฉันหน่อยสิเด็กดี”
ร่างบางบ่นพึมพำกับรถตัวเองแล้วเงยหน้ามองไปทางทิศที่บ้านตนตั้งอยู่
“ฉันเข็นแกไปไม่ไหวหรอกนะ ไกลขนาดนั้น”
สายตามองหาจุดที่ทำให้รถดับสนิทไม่ไหวติ่งทั้งๆที่ตัวเองทำเป็นแต่เพียงการเติมน้ำกลั่นกับน้ำมันเครื่องเท่านั้น เสียงรถมอเตอร์ไซด์แววดังมาแต่ไกลทำให้ร่างบางชะโงกหน้าไปดู จนเจ้ารถสองล้อที่บรรทุกผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองมาหยุดอยู่ข้างๆ
“รถเสียหรือคุณ”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เอ่ยทักร่างบางที่กำลังทำหน้าของความช่วยเหลือจากผู้พบเห็นความเดือนร้อนของตน
“ครับ ขับๆอยู่มันก็ดับไปเลย”
“อืม………ดูให้มั้ย เผื่อจะช่วยได้”
“ครับๆ ขอบคุณมาก ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรเรื่องรถมากนักหรอกครับ”
วนัสส่งยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มผู้เข้ามาช่วยเหลือ พลางเขยิบตัวให้ร่างสูงเข้ามาดูเครื่องยนต์ได้สะดวก แล้วลอบพิจารณาใบหน้าคมเข้มที่ดูคุ้นตานั้นอย่างเงียบๆ เคยเจอที่ไหนน้า………………….ด้วยเห็นผู้มีน้ำใจก้มๆเงยๆอยู่จึงหันไปมองเด็กชายสองคนวัยกำลังซนยืนทำตาปริบๆอยู่ข้างรถจักรยานยนต์มองมาทางเขา แล้วจึงได้นึกออก
“อ้อ……………เด็กที่วิ่งมาชนวันงานศพพ่อนั้นเอง” วนัสส่งยิ้มทักเด็กชายทั้งสองด้วยรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่วันนั้นแล้ว ทั้งคู่มีผิวสีขาวนวลเจ้าเนื้อนิดๆแก้มยุ้ยหน่อยๆ จนเขาอยากเข้าไปบิดเล่นสักทีสองที เห็นแล้วก็ให้นึกถึงหลานชายตัวดีที่อยู่เชียงใหม่ขึ้นมาครามครัน เลยเดินเข้าไปทักทาย
“ไงรูปหล่อ จำกันได้มั้ยครับ” ร่างบางก้มตัวลงคุยกับเด็กชาย แต่เด็กทั้งคู่กับทำท่าพิกล
“พ่อไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า” เจ้าคนตัวโตรีบตอบพลางฉุดแขนเจ้าคนตัวเล็กที่กำลังจะโผมาหาเขากลับ มันก็ไม่น่าแปลกใจในคำพูดของเด็กที่คงจะถูกพ่อแม่สอนสั่งมาแบบนั้น ถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดของคนตัวใหญ่ที่ก้มๆเงยๆ ดูเครื่องยนต์ให้เขา
“น้อยๆหน่อยเจ้าอิฐ พ่ออยู่ตรงนี้อนุญาตให้คุยได้ลูก” ศีรษะที่ก้มอยู่หันมองบุตรชายคนโตของตนแล้วเลยผ่านไปยังใบหน้านวลใส
“คงต้องให้อู่มาลากไปซ่อมแล้วละ ผมดูคราวๆแล้วก็ไม่รู้ว่าเสียตรงไหนเหมือนกัน”
“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วละครับ อุตส่าห์ช่วยดูให้”
ร่างสูงถอยออกจากรถ มือใหญ่กร้านเปรอะเปื้อนด้วยคราบฝุ่น น้ำมัน วนัสจึงรีบเข้าไปค้นหาผ้าในรถมาให้ชายหนุ่มเช็ดมือ
“เออ…….คุณ”
“หินครับ” ร่างสูงแนะนำตัวเองอย่างง่ายๆพลางหันไปแนะนำลูกตัวเองต่อ “ส่วนนี่ก็ลูกชายผมเอง เอ๊า…….แนะนำตัวกับน้าเขาสิลูก”
วนัสมองท่าทางเขินอายของเด็กชายคนโตแล้วส่งยิ้มเอาใจช่วย ส่วนเจ้าคนเล็กมองท่าจะแก่แดดแก่ลมถึงได้ตั้งท่ารอ
“ผมชื่อจริงชื่อ พฤตินัย เกียรติอุดมนิตย์ ชื่อเล่นชื่อ อิฐ ครับ”
“หึๆ………..” วนัสต้องกลั้นเสียงหัวเราะกับคำแนะนะตัวเต็มยศของผู้เป็นพี่ชาย และเจ้าคนน้องก็ไม่ได้น้อยหน้าพี่
“ผมๆบ้าง ผมชื่อนิตินัย เกียรติอุดมนิตย์ ชื่อเล่นชื่อเมฆ ครับ” คนตัวเล็กบอกอย่างภูมิอกภูมิใจน่าดู จนวนัสอดยิ้มไม่ได้
“ครับ น้าชื่อวนัส เรียกเล่นๆ ว่า น้านัส ก็ได้ครับ” ร่างโปร่งย่อตัวบอกกับเด็กทั้งสอง แล้วจึงยืดตัวคุยกับร่างสูงต่อ
“คือ……..คุณหินครับ ผมรบกวนคุณหินแวะบอกอู่รถแถวๆนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ ว่ามีรถเสียอยู่ตรงนี้ให้เขามาลากไปอู่ซ่อมที”
จากการประเมินของวนัส ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้คงมีอายุเกินสามสิบเป็นแน่ เขาจึงเรียกคุณนำหน้าไว้ก่อน
“ได้สิ………..แต่ว่าไปด้วยกันเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมพาไป”
“เอางั้นเหรอครับ” วนัสพูดแบบไม่แน่ใจด้วยเกรงใจชายหนุ่มมากอยู่
“ก็งั้นสิ ไปล็อครถเถอะจะได้ไปกัน เดี๋ยวฝนจะตกลงมาอีก” ผู้เอื้อเฟื้อพยักหน้าให้เขารีบทำตามที่บอก
ร่างโปร่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่แสนจะมีน้ำใจส่งให้ใบหน้าขาวดูกระจ่างตา ขายาวก้าวไปจัดการล็อครถที่จอดตายสนิทของตนทันที
สายตาคมกริบมองตามร่างโปร่งไม่วางตา ตอนที่เจอยังคิดว่าจะจำเขาได้มั้ย แต่ดูท่าจะจำเจ้าลูกชายตัวแสบได้ก่อนเขานะ เมื่อครั้งที่เจอกันในงานศพก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ทว่าเขากลับจดจำท่าทางสุภาพแม้ในดวงตาจะแฝงแววความโศกเศร้ากับการจากไปของบิดา หากเจ้าตัวกลับเก็บอารมณ์แล้วยิ้มน้อยๆทักทายแขกที่มาร่วมงาน ใบหน้าขาวซีดดูอิดโรยจากการอดนอนไม่ได้ทำให้ความน่ามองของร่างโปร่งลดน้อยลง กลับดูน่าเวทนาน่าเข้าไปช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์โศกทั้งหลายแหล่ ในวันนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองจับจ้องทุกอริยบทของร่างบางอย่างเพลิดเพลิน จนอดถามคนข้างตัวไม่ได้ว่า ร่างโปร่งบางที่ยืนต้อนรับแขกอยู่นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร เป็นอะไรกับลุงใบ พอได้รู้ก็ให้รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาด น่าแปลกที่เพียงพบหน้ากันครั้งแรกก็ให้รู้สึกถูกชะตาขนาดนี้ วันนี้พอเห็นว่าเป็นใคร เขาจึงรีบเข้าช่วยเหลือทันทีด้วยอยากรู้จักมักจี่กับคนๆนี้ให้มากขึ้น
“เสร็จแล้วครับ” วนัสเดินเข้ามาหาร่างสูง
“งั้นไปกันเลย” ร่างสูงชวนพลางเดินไปลากลูกชายตัวแสบทั้งสองที่กำลังปั้นวัวปั้นควายจากดินโคลนริมทาง
“ไปๆ เลิกเล่นได้แล้ว ดูสิเปื้อนไปทั้งตัว” ถึงจะบ่นแต่ชายหนุ่มก็อุ้มลูกลิงเปื้อนโคลนขึ้นซ้อนรถจักรยานยนต์หน้าคนหลังคน ส่วนร่างโปรงก็นั่งซ้อนท้ายไปด้วยอีกคนหนึ่ง ก่อนออกรถคนเป็นพ่อหันมาเตือนบุตรชาย
“อิฐ เกาะพ่อไว้ มือลูกเปื้อนอย่าวางบนตัวน้าเขาละ เดี๋ยวเสื้อน้าเขาเลอะนะลูก”
เมื่อได้ยินเสียงพ่อเตือน มือดำๆที่ทำท่าจะวางแปะบนหน้าขาเขาหยุดชะงัก แล้วคว้าหมับเกาะชายเสื้อพ่อตนทันที ท่าทางลนๆของเด็กชายทำให้วนัสอดขำไม่ได้
“ถ้าเมื่อยจะวางมือลงมาก็ได้นะ”
จักรยานยนต์คันเล็กพาทั้งสี่ชีวิตลัดเลาะแอ่งน้ำขังบนถนนไปเรื่อยๆ กลิ่นสาบกายของร่างสูงใหญ่ข้างหน้าลอยผ่านจมูกให้ร่างบางได้รู้สึก เหมือนมีนโนภาพผุดขึ้นกลางใจ อบอุ่น ไว้วางใจ ที่ๆจะสามารถพักพิงได้อย่างสุขสงบ บรรยากาศนี้อบอวลอยู่รอบตัวชายหนุ่ม และดูจะเป็นภาพที่เหมาะสมที่สุดที่เขาจะนึกออกเมื่อสัมผัสถึงกระแสธารความอบอุ่นของร่างสูงใหญ่
พวกเขามาถึงอู่ซ่อมรถเล็กๆของหมู่บ้าน แต่สภาพมันเหมือนโรงรับซื้อเศษเหล็กซะมากกว่า เสียงรถจักรยานยนต์ทำให้เจ้าของอู่เลื่อนตัวออกจากใต้ท้องรถมาเมียงมองผู้มาใหม่ จนเห็นแขกผู้มาเยือนเต็มตานั้นละ เจ้าของอู่จึงรีบพาร่างท้วมเดินรี้เข้ามาหา
“อ้าวคุณ มีอะไรรึเปล่าครับ มาถึงนี่เชียว”
“พาลูกค้ามาให้นะ” ร่างสูงเดินตรงไปคุยกับเจ้าของอู่อย่างคุ้นเคย ก่อนที่วนัสจะก้าวตามไปสมทบ
“รถผมเสียอยู่กลางทางนะครับ”
“อ๋อ…………คุณเองหรอ งั้นไปกัน เดี๋ยวเอารถไปลากมา”
เมื่อถึงมืออาชีพ ร่างสูงจึงได้มองร่างโปร่งยืนบอกจุดที่รถเสียกับเจ้าของอู่ซ้อมอย่างเต็มตาอีกครั้ง ก่อนจะบอกลาด้วยความรู้สึกเหมือนต้องตัดใจจากอะไรสักอย่าง
“ฉันไปนะ”
วนัสมองผู้เอื้อเฟื้อเอ่ยลา เมื่อมีเจ้าของอู่มารับช่วงต่อ แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างรู้สึกขอบคุณเต็มที
“ขอบคุณครับคุณหิน”
“หึๆ ไม่เป็นไร แล้วเจอกัน”
“ครับ”
เขาไม่ได้แปลกใจกับคำลาจากนั้น เพราะเขาเองก็อยากเจอคนมีน้ำใจเช่นนี้อีกเหมือนกัน วนัสมองตามร่างสูงขึ้นคร่อมรถแล้วหันมาส่งยิ้มให้เขาน้อยๆก่อนจะขับพาสามชีวิตจากไป
น่าจะเป็นคนที่นี่ เพราะฉะนั้นคงได้พบกันอีกแน่นอน เขาเชื่ออย่างนั้น
TBC
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ