เขาไม่เคยตบใครกลางสี่แยกเลยนะ เอิ้กกก มาต่อแล้วค่ะ
**************************
“เหลิมอย่าตกลงกับตั้งนะ”เขาถอนหายใจเหลือบตามองหน้าพี่ตั้น ไอ้ที่เรียกว่ามารคอหอยหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง ทีแรกก็ว่าจะไม่กินแล้วพี่ตั้นก็มาเรียกให้กิน แต่เกิดเปลี่ยนใจมาขัดคอด้วยไอ้ประโยคที่ทำไม่พูดเสียแต่แรก นึกอยากจะด่าก็เกรงใจ
เหลือบตามองข้าวในช้อน ถ้าเขากินเท่ากับติดสินบนพี่ตั้นรึเปล่า ถ้าอย่างนั้นเขายังไม่กินดีที่สุด คิดจะมาซื้อสิทธิ์กันง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง
“นี่เป็นทางเลือก คำสั่ง หรือคำขอร้องกันแน่ พี่พูดมาให้ชัดๆ”
พี่ตั้นเงยหน้ามองเหมือนถามว่าโง่รึยังไงแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ “ถูกทุกข้อ จะถือว่าเป็นแบบไหนก็ได้ เพราะเลือกข้อไหนก็ถูกหมด”
เขาได้แต่โมโห ที่พี่ตั้นย้อนมาแบบนี้ เขาถือว่าพี่ตั้นกำลังใช้อำนาจสั่งเขา
“พี่อย่าเอาความคิดพี่มาบอกให้ผมทำตาม ผมเองถึงจะไม่ฉลาดนัก แต่ก็มีความคิด ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของใคร ”
พี่ตั้งดูจะอึ้งไปเหมือนกันกับคำพูดของเขา งงล่ะสิ คงไม่คิดว่าคนหน้าตาโง่ๆแบบนี้จะรู้จักพูดจาเฉลียวฉลาดได้ หึหึ
“พี่ไม่ได้บังคับเหลิม แต่ถือว่าพี่ขอร้องได้มั้ย พี่รู้ว่าต่อไปมันคงจบไม่สวยแน่ๆ พี่ไม่อยากให้เพื่อนพี่เสียใจ ตั้งมันเป็นคนดีเกินไป ซื่อเกินไป ไม่เหมาะกับเหลิมหรอก”
ถึงพี่ตั้งจะมาแนวใหม่คืออ้อนวอน ขอร้อง แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห เขามันแย่ มันเลวนักรึไง
“พี่ตั้งดีเกินไปสำหรับผม แสดงว่าเหมาะกับคนดีๆแบบพี่ตั้นงั้นสิ พี่ตั้นกำลังจะบอกผมแบบนั้นรึเปล่า”เขาเริ่มสงสัยว่าพี่ตั้นมีเจตนาแอบแฝง
พี่ตั้นส่ายหน้า ทำมาเป็นตีหน้าเศร้า “พี่รักตั้งแบบเพื่อนจริงๆ มันเป็นคนเดียวที่ไม่เคยโกรธ ไม่เคยโมโหพี่ มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่พี่มี”
แหงล่ะก็พี่ขี้ป่วน กวนตีน เอาแต่ใจตัวเองขนาดนั้น พี่ตั้งทนได้ยังไงไม่รู้ เขาพยักหน้าเห็นด้วยในข้อนี้ คงไม่มีใครทนพี่ตั้นได้หรอก
“ถ้าพี่รักพี่ตั้นจริงก็ปล่อยให้พี่ตั้งเค้าตัดสินใจเองดีกว่า ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนดีเด่อะไรนัก ออกจะมีนิสัยแย่มากกว่าส่วนดีๆด้วยซ้ำ ก็นิสัยคล้ายๆพี่แหละ มองพี่ทีไรก็เหมือนเห็นตัวเองอยู่ตรงนั้นลางๆ”
พี่ตั้นส่งตาเขียวใส่เขา ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ เขาต้องรีบพูดต่อก่อนที่พี่ตั้นจะสวนกลับ
“แต่ผมก็ไม่ใช่คนเลว ไม่ได้เกิดมาเพื่อหลอกให้ใครมารัก แล้วเฉดหัวทิ้ง ไม่ได้หวังทรัพย์สมบัติใคร รึอยากให้ใครมาเลี้ยง ผมก็ทำมาหากินเองได้ หิวผมก็วิ่งไปซื้อของกินเองได้ ไม่ใช่หมาใช่แมวที่มันต้องรอคนเอาอาหารมาเลี้ยง” หยุดหายใจหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหน่อย แล้วพูดต่อ
“ไม่ใช่พวกเสื้อดำที่ชอบเอาเอ็ม79 มาไล่ยิงคน ไม่ได้เป็นพวกชอบความพินาศเอาไฟมาไล่เผาบ้านใครเล่นแก้เบื่อ ผมไม่ใช่อาชญากรนะพี่” พี่ตั้นได้แต่ฟังเขาตาปริบๆ เพราะจะแทรกก็แทรกไม่ทัน
“ผมก็แค่คนธรรมดาที่อยากใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข ถ้าเจอคนดีๆที่เค้าเห็นคุณค่าเรา ผมก็อยากคบไว้ วันหนึ่งพี่ตั้งเกิดเบื่อนิสัยผมขึ้นมา ไม่อยากจะทน ก็ต่างคนต่างไปก็แค่นั้นเอง”
พูดจบไปแล้วก็แปลกใจว่า เขาพูดอะไรยาวๆที่เป็นเรื่องเป็นราวก็ได้ สิ่งที่เขาพูดเหมือนกับบอกตัวเองไปด้วย ว่าถ้าจะมีเหตุผลที่เขาจะคบกับพี่ตั้งหรือไม่มันคืออะไร
“ถ้าพี่ตั้นจะมาห้ามผมไม่ให้คิดแบบนี้ผมคงทำไม่ได้ พี่จะห้ามไม่ให้ผมหรือไม่ให้พี่ตั้งคบใครก็ไม่ได้เหมือนกัน เราต่างโตๆกันแล้ว ผมจะตัดสินใจยังไงมันก็เรื่องของผม”
“แต่พี่ห่วง ตั้งไม่เคยมีแฟน การตัดสินใจของเขาอาจจะไม่ดีพอ” พี่ตั้นที่ดูเป็นคนเชื่อมั่นตัวเอง แต่เมื่อมีเรื่องเพื่อนรักอย่างพี่ตั้ง พี่ตั้นกลับดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด พูดซ้ำๆเหมือนซีดีตกร่องอยู่ได้ว่า ‘ห่วง’ คิดๆแล้วเขาก็บาป ทำให้คนเป็นทุกข์ ทั้งๆที่เขาก็สงสัยว่าใครที่จะมาคบกับเขามันน่าห่วงขนาดนั้นเลยหรือ ออกจะสมเพชตัวเองอยู่เหมือนกัน
หนักใจจนต้องถอนหายใจออกมา “ผมช่วยอะไรพี่ไม่ได้จริงๆ ให้พี่ตั้งตัดสินใจดีกว่าว่าจะคบกับผมแบบไหน ต่อไป หรือยังไง ถ้าพี่ตั้งเลือกผมแล้วผิดหวัง อย่างมากพี่ตั้งก็เลือกคนใหม่ พี่ไม่เคยเหรอ เลือกสส.ไปแล้วมันแย่ มันห่วยไม่เหมือนที่มันพูดหาเสียง เราก็แค่ทนๆ ไปช่วงหนึ่ง แล้วพอถึงเวลาเราก็เลือกใหม่แค่นั้นเอง ผมรู้ว่าพี่ตั้งไม่โง่ คงไม่ทนทู่ซี้อยู่กับผมหรอกถ้าผมมันแย่”
พี่ตั้นทอดตัวลงนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ดูผิดหวังที่ภารกิจนี้ไม่สำเร็จอย่างที่หวัง ทั้งที่ลงทุนลากเขามาเลี้ยงข้าวก็แล้ว แต่เรื่องแบบนี้จะมาบังคับกันได้ยังไง เขาไม่ใช่คนพูดยากถึงจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็เถอะ แต่ก็ยังมีความคิดเป็นของตัวเองไม่จำเป็นต้องเชื่อใครง่ายๆ
เขาดูเวลาใกล้เข้างานแล้ว เขาคงต้องรีบไป เหลือบมองข้าวในจานที่ยังไม่ได้กินสักคำ ออกจะเสียดาย เสียงท้องไส้โอดครวญกันกับกระเพาะว่าใครเป็นคนผิดที่ทำให้ไม่ได้กิน แล้วอวัยวะทั้งสองก็ลงความเห็นเหมือนกันว่าพี่ตั้นนั่นแหละที่ผิด
“ผมต้องไปแล้ว ขอบคุณพี่ตั้นที่ชวนมาคุย ขอให้พี่เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ” เขาขยับลุกขึ้นจะหันหลังกลับออกไป แต่พี่ตั้นกลับเรียกไว้เสียงอ่อยๆ
“เหลิมกินข้าวก่อนสิ ไหนๆ สั่งมาแล้ว เสียดาย” น้ำเสียงพี่ตั้นฟังออกว่าเสียดายเงินจริงๆ เขามองหน้าพี่ตั้นแล้วกลับมามามองข้าวอีกครั้ง เหมือนเมล็ดข้างมันตัดพ้อที่เขาตักไปแล้วแต่ไม่ยอมกิน มันกำลังบอกเขาว่าชาวนายากลำบากต้องหลังขดหลังแข็งหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน แต่เขากลับกินทิ้งกินขว้าง
อืม...กินก็กินวะ คงไม่ถือว่าเขาถูกซื้อสิทธิ์ขายเสียงไป กินด้วยแต่ไม่ทำตามที่บอก เหมือนกับเงินก็เอาแต่กูไม่เลือกจะทำไม อยากให้เองนี่หว่า
“งั้นผมรีบกินรีบไปนะพี่ ขอเสียมารยาท” เขาก้มหน้าก้มตาตักข้าวกินอย่างรวดเร็ว รสชาติเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าหิวมากถึงมากที่สุด มาเอะใจตอนที่มันเงียบผิดปกติ เงยหน้ามาอีกครั้ง พี่ตั้นไม่ได้ทานเลยเอาแต่เขี่ยข้าวในจานเล่น สีหน้าเงียบขรึมหมกมุ่น วุ่นวายใจ
“ทำไมพี่ไม่ทานล่ะ อร่อยพอใช้ได้นะ กินสิ เสียดาย”
พี่ตั้นส่ายหน้า “ขอคิดอะไรอีกหน่อย เหลิมกินเถอะ ไม่ต้องรีบมาก แค่นี้ก็ดูแย่แล้ว คนอื่นเค้าจะนึกว่าตายอดตายอยากมาจากไหน” พี่ตั้นยิ้มเล็กๆ ที่หลอกด่าเขาได้อีก
ข้าวติดคอ เขาต้องรีบยกน้ำขึ้นดื่มไม่งั้นคงไอสำลักให้ได้อายอีก เขากับพี่ตั้นคงไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร มีโอกาสต้องเอาอีกฝ่ายให้แสบ เขาดูเวลาอีกครั้ง อย่างมากก็วิ่งเข้าสำนักงาน ลดสปีดในการกินหน่อยก็ดีรู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน เข้าช้าไปนิดพี่ไก่คงไม่ว่าเพราะเมื่อเช้าแกดูอารมณ์ดี
ใช้เวลาไม่ถึงนาทีเขาก็จัดการอาหารตรงหน้าจนหมด พี่ตั้งยิ้มเนือยๆ ถามเขาว่า “อร่อยมั้ยเหลิมกินเกลี้ยงเลย ของฟรีแบบนี้”
เขายักไหล่ทำท่าไม่แคร์ “ไม่ค่อยอร่อย พอกินได้ รสชาติงั้นๆ ไม่ต่างกับข้าวราดแกงในซอยข้างออฟฟิศเท่าไหร่ ที่กินเพราะเสียดายนะ ไม่ได้อยาก แค่เห็นว่าพี่เลี้ยง”
พี่ตั้นพยักหน้า “ขอให้เหลิมอย่าคิดกับตั้งแบบนั้นแล้วกัน เหลิมไปเถอะเดี๋ยวจะสาย ยังไงก็ลองเอาที่พี่พูดไปคิดตามเหตุผลนานๆนะ ก่อนที่เหลิมจะตัดสินใจอะไรลงไป” ทำปัดมือไล่เขาไปเหมือนรำคาญ ทำราวกับเขาเป็นแมลงวันถึงต้องมาไล่ ก่อนลุกออกมาเขายกมือไหว้พี่ตั้นพอเป็นพิธี อย่างน้อยเขาก็กินข้าวพี่ตั้นไปแล้วนี่
เขาแยกจากพี่ตั้นมานานแล้วก็จริง แต่ยังติดหูติดใจกับคำพูดประโยคสุดท้ายของพี่ตั้น
อะไรที่พี่ตั้นบอกว่า ‘ขอให้เหลิมอย่าคิดกับตั้งแบบนั้นแล้วกัน‘ คิดยังไงเขาก็ยังไม่เข้าใจ พี่ตั้นกำลังจะบอกอะไรกับเขา เขามัวแต่คิดวนเวียนอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง
“พี่เหลิม จะไปซื้ออะไรเหรอ บ่ายโมงกว่าแล้วนะ” เสียงน้องจิ๊บเรียกสติเขากลับมา น้องจิ๊บยืนทำสีหน้างุนงง สองมือพะรุงพะรังไปด้วยข้าวของและขนมเต็มทั้งสองมือ แต่ปากน้องจิ๊บยังขยับไม่หยุด “พี่จะไปไหน ขนมหนูซื้อมาให้แล้วนะ ไม่พอเหรอ นี่ไง”น้องจิ๊บยกมือให้เขาดูถุงขนม ไม่ใช่ไม่พอ มันเกินพอเสียด้วยซ้ำ
เขาส่ายหน้า “พอแล้ว จะให้พี่กินเป็นสัปดาห์เหรอ เยอะขนาดนี้ พี่กำลังจะเข้าออฟฟิศไง ไม่ได้จะไปไหน”
น้องจิ๊บขมวดคิ้วมุ่น “นี่มันเลยออฟฟิศมาสามสี่ซอยแล้วนะ พี่อย่ามาโกหกเลย จะอู้งานไปไหนแน่ๆ”
เขาหันมองรอบกาย จริงอย่างที่น้องจิ๊บบอก เขาคิดเพลินจนเดินเลยมาไกลพอสมควร อยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ กับอาการเปิ่นของตัวเอง ได้แต่เกาหัวแกรกๆ ยิ้มกับกลุ่มน้องๆด้วยความอาย
“พี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย เผลอเดินเลย แหะๆ” กลุ่มสาวๆส่งเสียงแซวเขาว่าแก่แล้วอย่างสนุกสนาน
น้องจิ๊บหัวเราะยื่นถุงขนมให้เขา “พี่เหลิมนี่เด๋อด๋าเป็นที่สุด เอาขนมของพี่ไป หนักจะตาย”
“เอ๊ยเอามาให้พี่ทำไม ซื้อมาก็ถือเองสิ” น้องจิ๊บทำปากเบะ ก่อนบอกว่า “มือไม่ว่าง รับไปด่วนเลย”
เขารับทั้งขนมทั้งของในมือน้องจิ๊บมาถือปากก็บ่นพึมพำ “ของๆตัวเองก็เอามาให้พี่ถือทำไมกันล่ะนี่ ไหนว่ามือไม่ว่าง ให้พี่มาถือหมดก็ว่างแล้วนี่ เอาของตัวเองคืนไป” แฟนก็ไม่ใช่ เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษที่จะมาถือของให้ผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟน
น้องจิ๊บยิ้มกว้างก่อนเอามือมาคล้องแขนเขาอย่างถือสนิท “นี่ไงล่ะ ทำให้มือไม่ว่าง ขอควงคุณพี่เล่นๆสักวันสิ”
เขาได้แต่ส่ายหน้าในความกล้าของผู้หญิงสมัยนี้ ไม่รู้ว่าจิ๊บอยากควงเล่น หรืออยากหลอกใช้ให้้เขาถือของให้กันแน่
ขณะที่เขากำลังเดินคุยกับน้องๆ จะเข้าตึกไป เสียงของพี่ตั้นดังเรียกเขาขึ้นมาอีก
“เหลิม...พี่รอฟังคำตอบอยู่นะ ตัดสินใจยังไงบอกพี่ด้วย” พี่ตั้นยังไม่ไปไหนยืนรอเขาอยู่นั่นเอง
พี่ตั้นยังทำหน้าหยิ่งแต่ก็ผงกหัวให้เขา และเผื่อแผ่รอยยิ้มไปยังสาวน้อยที่เดินตามเขาเป็นพรวนก่อนมาหยุดที่แขนของน้องจิ๊บที่เกี่ยวอยู่กับแขนเขา พี่ตั้นเงยหน้ามองเขาก่อนยิ้มเยาะให้
“พี่อยากให้เหลิมคิดก็เพื่อความสุขของเหลิมเองนะ”
พวกสาวๆหันมามองหน้าเขาสลับกับพี่ตั้น สายตาเต็มไปด้วยคำถามและความอยากรู้อยากเห็น เขาตัดปัญหาด้วยการตอบรับพี่ตั้นไปส่งเดช “อืม ไว้ผมจะลองคิดดูแล้วกัน ไปก่อนนะพี่ ได้เวลาเข้างานพอดี”
เขาผละจากพี่ตั้นมาด้วยความหงุดหงิด เขาไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย ทำไมเขาจะเดาความคิดพี่ตั้นไม่ออก พี่ตั้นคงนึกว่าเขาทำตัวเป็นเพลย์บอยแล้วยังมีหน้าจะไปหลอกพี่ตั้งให้รักอีก เฮ้อ...ทำไมคนหน้าตาดีแบบเขายังต้องมีปัญหาอีกนะ
“พี่....เหลิมมมม..” เขาสะดุ้งตกใจกับเสียงน้องอ้อย “อะอะ...อะไร จะตะโกนเพื่อ?...”
“ก็เรียกพี่แล้วพี่ไม่ตอบนี่ นึกว่าแก่ด้วยหูตึงด้วยเลยต้องตะโกน ไอ้จิ๊บมันตาลอยแล้ว พี่ไปรู้จักผู้ชายหล่อๆคนนี้ได้ยังไง”
เสียงน้องๆ อีกหลายคนต่างแย่งกันถามเรื่องพี่ตั้นจนเขาปวดหู เอาแล้วสิ เสน่ห์พี่ตั้นเกินห้ามใจไม่รู้ใช้โคโลญจน์ยี่ห้ออะไร แต่เขาจะบอกได้ยังไงล่ะว่าพี่ตั้นเป็นเพื่อนของผู้ชายที่ตามจีบเขาอยู่ คงจะงามหน้าพิลึก
“เอ่อ...เอ่อ...อ๋อ...เขามาชวนพี่ไปทำงานด้วย แต่พี่ไม่ไปหรอก ก็แค่นั้น เลิกถามได้แล้ว สายแล้ว”
เขารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าลิฟต์ไปก่อนแล้วทำท่าจุ๊ปากเพราะผู้บริหารระดับสูงดันอยู่ในนั้นด้วย ทำให้ทุกคนเงียบกริบเพราะตอนนี้เท่ากับเลยเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่มีใครกล้าเปิดปากถามอะไรอีก ได้แต่หน้าซีด เพราะตอนนี้กลัวจะโดนหมายหัวจากเจ้านายมากกว่า
หลังจากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันทำงาน ขนมที่น้องจิ๊บซื้อมาเขาไม่มีเวลากินเลยเพราะเจ้านายเดินตรวจงานไปทั่วออฟฟิศก่อนเข้าไปห้องพี่ไก่ นาทีนี้ขยันกันลืมตาย ไม่มีใครกล้าคุยกับใคร ได้ยินแต่เสียงพลิกกระดาษ เสียงรัวแป้นคอมพิวเตอร์ แม้แต่เสียงลมหายใจยังแทบไม่ได้ยิน เขาจึงได้แต่ตั้งใจทำงานไปเงียบๆจนได้เวลาเลิกงานไม่รู้ตัว
“เหลิมเค้ากลับกันหมดแล้ว ทำไมยังอยู่อีก” เสียงของพี่ไก่ทำเขาสะดุ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรพี่ไก่ก็ลากเก้าอี้ข้างๆ มานั่ง “ได้ข่าวว่าจะเปลี่ยนงานเหรอ?”
“เฮ้ย ! พี่ไปเอามาจากไหน ใครบอก” ใครปากเสียไปพูดเรื่องแบบนี้
“อ้าว ก็เห็นไอ้จิ๊บมันบอกมีคนมาชวนเปลี่ยนงานไม่ใช่เหรอ” พี่ไก่ทำสีหน้าเรียบนิ่งจนเขาไม่แน่ใจว่าพี่ไก่คิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่เรื่องที่เขาพูดไปโดยไม่ได้คิดกลับย้อนมาเป็นเรื่องเสียแล้วสิ
“ก็..มีคนชวนแต่ผมไม่ได้บอกว่าจะไป”
“แต่เท่าที่ฟังเค้าเล่ามา เห็นว่าเค้ายังรอคำตอบของเหลิมอยู่นี่” พี่ไก่คิดอะไรแน่ ถึงไม่ยอมจบ
“ผมไม่เข้าใจว่าพี่อยากให้ผมไปมากรึไง ถึงมาไล่ต้อนผมแบบนี้ พี่ไม่พอใจอะไรผมรึเปล่า” ทำไมช่วงนี้ชีวิตมันวุ่นวายนักหนา หรือจะเป็นเพราะว่าเขาเกิดปีชงแต่ไม่ได้ไปแก้ชงที่วัดจีน
พี่ไก่หัวเราะ “เหลิมหงุดหงิดไปทำไม พี่ก็แค่ถาม ไม่ได้อยากให้เหลิมออก เพียงแต่ช่วงนี้พี่ดูว่าเหลิมเปลี่ยนไป มีหลายอารมณ์ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะคิดมากเรื่องเปลี่ยนงานรึเปล่า ไม่ได้คิดจะออกก็แล้วไปสิ ใครจะไปว่าอะไรได้”
ถึงพี่ไก่จะอธิบายแต่เขาก็ยังกรุ่นๆในอารมณ์อยู่ “พี่คิดว่าผมทำงานนี้ไปอย่างงั้นเองเหรอ ผมรักในงานของผม ยังสนุกกับงานของผมอยู่ ไม่ได้คิดทำงานนี้เพราะบังเอิญได้งาน ผม...” เขากำลังจะพล่ามต่อ พี่ไก่รีบยกมือห้ามคงกลัวจะยาว
“พอแล้วเหลิมพี่รู้แล้ว ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้ พี่กลับก่อนดีกว่า เหลิมก็ด้วย กลับซะ พี่ไม่ชอบให้คนทำโอ เจ้านายก็บอกมา เวลางานมาให้ตรงเวลาก็พอแล้วทำให้เต็มที่ ไม่ใช่เข้าเลทแล้วมาทำงานชดเชย หรือพอนายมาก็ทำขยัน ท่านไม่ชอบ”
พี่ไก่เดินออกไปแล้ว แต่ทิ้งระเบิดลูกเล็กๆ เอาไว้ในใจเขา ในสายตาของคนทั่วไปเขาคงเป็นคนที่ทำอะไรไม่จริงจัง ทุกอย่างดูเป็นเล่นไปหมด ทั้งที่เขาตั้งใจทำงานมาตลอด เขาออกจะท้อใจอยู่เล็กๆ ในชั่ววินาทีนั้นเองเขาเกิดความคิดวาบเข้ามาในหัว หรือที่พี่ตั้นพูดเมื่อกลางวันจะมาจากคำพูดของเขาเอง เมื่อเขาพูดถึงรสชาติของข้าวผัดพี่ตั้น
“ไม่ค่อยอร่อย พอกินได้ รสชาติงั้นๆ ไม่ต่างกับข้าวราดแกงในซอยข้างออฟฟิศเท่าไหร่ ที่กินเพราะเสียดายนะ ไม่ได้อยาก แค่เห็นว่าพี่เลี้ยง”
พี่ตั้นคงกลัวว่าถ้าเขาจะคบกับพี่ตั้งก็เพราะพี่ตั้งมาจีบเอง แล้วเขาก็คงไม่ได้จริงจังอะไร เห็นพี่ตั้งเป็นเหมือนข้าวผัดฟรีๆ กินเพราะจะทิ้งก็เสียดาย
เขากำมือแน่น ความรู้สึกโกรธพุ่งพล่านอยู่ในกาย เลือดสูบฉีดไปทั่วหน้า โกรธพี่ตั้นที่ดูถูกเขา โกรธพี่ไก่ที่ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวลูกน้องเลย โกรธเจ้านายที่ดันเข้าออฟฟิศพร้อมกันกับลูกน้อง โกรธน้องจิ๊บที่พิเรนทร์มาควงแขนเขาตอนที่พี่ตั้นอยู่ โกรธพี่ตั้นที่มาจีบเขาทำไม(วะ) แล้วที่โกรธที่สุดก็โกรธตัวเอง ทำไมเขาต้องเป็นคนแบบนี้นะ ทำไมและทำไม
เขาจะทำยังไงกับชีวิตของเขาดี เหมือนเขากำลังเดินวนอยู่ในเขาวงกต ที่หาทางออกไม่เจอได้แต่ติดอยู่อย่างนั้น
*********************
พรุ่งนี้อย่าลืมไปเลือกตั้งกันนะคะ เพื่อประเทศชาติของเรา ไม่เลือกคนที่ไม่รัก ไม่รักพรรคที่เราไม่ชอบ