ผมหมกมุ่นอยู่กับความฝันนั้นตลอดทั้งวันหลังจากนั้น ความกลัวที่อยู่ในใจลึกๆที่เมื่อคืนได้ถูกหมอปีย์ทับถมมันไว้ลึกก้นบึ้งในใจ แต่ตอนนี้มันกลับพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าชั้นต้องจากที่นี่ไป ชั้นจะทำยังไง หมอ”
ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผมใช้ชีวิตร่วมกับหมอปีย์ ณ ที่แห่งนั้น เป็นเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้เลยก็ว่าได้ มันเหมือนกับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสุขที่ผมพบเจอล้วนแต่จอมปลอม เป็นความสุขเรี่ยรายปลายทางก่อนที่จะเจอความสุขที่แท้จริง
ทุกค่ำคืน
ทุกรุ่งเช้า
ทุกก้าวย่าง
ทุกคำพูด
มีแต่ผมกับหมอปีย์
สถานะความเป็นคนรักของเราแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะหมอปีย์เองก็มีกรอบของเขา ส่วนผมเองก็มีกรอบของผมเอง เราทำอะไรถึงต้องระมัดระวังไม่ให้ประเจิดประเจ้อกว่าปกติ
ชีวิตประจำวันของผมหมดไปกับการช่วยหมอปีย์แปลเอกสารที่เขาอุตส่าห์หอบมาจากพระนคร คำศัพท์บางคำผมก็แทบจะไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเลย
“สมัยชั้นนะ สบายมาก ไม่รู้อะไรถามอากู๋ได้คำตอบหมด” ผมส่ายหัวไปมา เพราะเหนื่อยกับการต้องเดาสุ่มศัพท์ทางเทคนิคการแพทย์
“ผู้ใดคืออากู๋”
“ก็กูเกิ้ลไง เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ไม่ว่าเราจะใส่อะไรลงไปมันก็จะมีคำตอบให้เราเสมอ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็มีประโยชน์” ผมอธิบายให้เหมอปีย์เข้าใจง่ายๆ
“อ้อ พวกหมอผีหมอดู” เขาตอบตาใส
ผมหัวเราะขำในความช่างคิดของเขา
นอกจากใช้เวลาหมดไปกับการแปลงานและกวนประสาทหมอปีย์คลายเครียดเป็นพักๆแล้ว ผมยังถือโอกาสเดินไปบ้านของลุงกับป้าที่ดูแลบ้านหลังนี้ ไปช่วยป้าทำกับข้าว ได้เรียนรู้เคล็ดลับและสูตรอาหารพื้นบ้านหลายๆอย่าง และทุกครั้งผมก็จะกลับมาจดสูตรกันลืมไว้เสมอ
“เจ้าชอบดูพระอาทิตย์ตกรึ” หมอปีย์เดินมานั่งลงใกล้ๆผม ขณะที่ผมทิ้งตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ทอดสายตามองออกไปไกลเท่าที่สายตาจะมองเห็น
“ มั้ง” ผมตอบสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองคิดอย่างไรกับพระอาทิตย์ตกดิน ผมไม่ใช่พวกเพ้อฝันพรรณนา จินตนาการเปรียบเปรยอะไรมากมาย พระอาทิตย์ตกดินก็คือพระอาทิตย์ตกดิน มันไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้
“เราชอบพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่า” เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมกับหมอนั่นรู้สึกไม่เหมือนกัน
“ทำไม”
“เหมือนชีวิตใหม่กำลังเริ่มขึ้น”
“แล้วพระอาทิตย์ตกดินหล่ะ”
“เหมือนการสิ้นสุดลงของชีวิต”
“เฮ้อ......................” ผมถอนหายใจ
“เจ้าถอนหายใจหลายครั้งแล้วนะวันนี้” หมอปีย์ตั้งข้อสังเกต
“มีอันใดไม่สบายใจกระนั้นรึ”
“ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ตกดิน มันหมายถึงการสิ้นสุดไปอีกวันหนึ่งของชีวิต...............ใช่มั๊ย” ผมถาม
หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“คงงั้นกระมัง” เขาทอดสายตามองไปข้างหน้า สายลมอ่อนๆพัดมาลูบไล้ใบหน้าเราอย่างแผ่วเบา
“นั่นคงเป็นสัญญาณว่าเวลาของชั้นสำหรับที่นี่ คงน้อยลงไปด้วย” น้ำเสียงของผมเจืออารมณ์อ่อนไหว
“เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้รึ” หมอปีย์พูด
“ไม่รู้สิหมอ ชั้นรู้สึกนะ รู้สึกตลอดเวลาว่าการที่ชั้นมาที่นี่ มันมีบางอย่างที่ชั้นต้องทำ หมดภาระชิ้นนั้นชั้นก็คงต้อง.......................”
“เราไม่ให้เจ้าไป ไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” หมอปีย์พูดน้ำเสียงแน่วแน่ “เรารอเจ้ามาค่อนชีวิต ค่อนชีวิตเชียวนะ พ่ออัชย์”
“ถ้ามันลิขิตสวรรค์ นายจะทำอะไรได้วะ เป็นแค่หมอนะเว้ย อย่าลืม” ผมแซว แต่ก็ยังเศร้าใจเมื่อคิดถึงวันนั้น
“เจ้าคอยดูแล้วกัน เจ้าบ้า”
“เออ จะคอยดู”
เราทั้งคู่เงียบอยู่พักใหญ่ นั่งมองแสงอาทิตย์สีทองฉาบน้ำทะเล ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง รับลมยามเย็นที่มีกลิ่นหอมทะเลอ่อนๆ
ความเงียบที่มีแค่เสียงคลื่นนี้หาไม่ได้ง่ายนักในสมัยผม แต่สำหรับที่นี่ มีเกือบทุกหนแห่ง
“เรารักเจ้านะ” จู่หมอปีย์ก็พูดคำนี้อีกมา ผมหันไปมองเขาแวบหนึ่ง แวบเดียวที่มองแววตาเขาก็พอจะรู้ว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้เป็นอย่างไร
คงไม่ต่างจากผม
โหวงเหวง
หวิวๆ
ใจคอไม่ดี
กลัวอนาคต
กลัววันพรุ่งนี้
กลัวไปหมดทุกอย่างว่าความสุขที่เราพบเจอและโอบกอดมันอยู่ตอนนี้จะอยู่กับเราไม่นาน
ผมไม่มีคำตอบใดๆให้หมอปีย์ มีเพียงการเอนหัวลงไปซบบ่าเขา และปล่อยให้เงาของเราทั้งสองคนทอดยาวไปตามหาดทรายสีขาว พร้อมแสงอาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป