A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1163594 ครั้ง)

ออฟไลน์ aum_15597

  • สายน้ำไม่หวนกลับ วันเวลาไม่หวนคืน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
แสงตะเกียงเจ้าพายุ สาดส่องนำทางเราสองคนไปทั่วพื้นทราย หัวใจที่เร่งเร้าบอกให้เท้าทั้งเดินถอยหลังในขณะเดียวกันก็สั่งให้เดินหน้า ผมไม่รู้ว่ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ จู่ๆความคิดบ้าๆนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้
หมอปีย์เดินตามหลังผมมาอย่างเงียบๆ

“หมอ” ผมวางตะเกียงลงบนพื้นทราย หมอปีย์เองยืนมองผมอย่างไม่เข้าใจ
“ฟังชั้นนะหมอ” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเขา ยื่นมือไปรับตะเกียงจากมือเขาก่อนจะวางลงกับพื้นทราย
“มันยากสำหรับชั้น ที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง” มือทั้งสองข้างจับมือหมอปีย์


“นายชกชั้นทีเถอะ” ก่อนจะยกมือของเขาแตะที่ใบหน้า แววตาของหมอปีย์แน่นิ่ง ผมเห็นเพียงแสงตะเกียงวิบวับอยู่ในตาเขาเท่านั้น
“ทำให้ชั้นรู้ว่านายแข็งแกร่งกว่าชั้น หนักแน่นกว่าชั้น แน่วแน่กว่าชั้น ทำให้ชั้นรู้ว่านายอยู่เหนือชั้น ชกชั้นสิหมอ” ผมกำมือเขาแน่นขึ้น แต่หมอปีย์ยังคงนิ่งเฉย เขายืนตัวแข็งราวกับหินสลักโรมัน
“ชกชั้น” ผมขึ้นเสียง
“ชกชั้นสิ” ผมตวาดลั่น
“ทำไม่ได้ เราทำไม่ได้” เขาดึงมือกลับ
“นายต้องทำหมอ ถ้านายอยากให้ชั้นยอมรับ นายต้องชกชั้น”
.
.
.
.
.
.
.
เราทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากัน เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเร่งเร้า ลมทะเลพัดแรงจนเสื้อหมอปีย์สะบัดไปตามแรง แสงตะเกียงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน
แต่เราสองคน กลับเงียบเฉย
“เจ้าคิดจักทำอันใดของเจ้า”
“ผั๊วะ!!!” หมัดลุ่นๆซัดเข้าไปที่ใบหน้าของหมอปีย์จนหน้าเขาหันไปตามแรง หมอปีย์หยุดค้างไปชั่วครู่ๆ
ส่วนผมนั้น ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดภายนอกเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ ภายในของผมร้อนรุ่มดั่งไฟเผา
“ทีนี้นายจะชกชั้นได้รึยัง” ผมท้า
แต่เหมือนหมัดที่ผมซัดไปไม่ได้ทำให้หมอนั่นแค้นเคืองขึ้นมาเลย เขายังคงยืนนิ่งเฉย เย็นชา
“ผั่วะ!!”
“จะชกมั๊ย”
“ผั๊วะ!!”
“ชกสิเว้ย ไอ้หมอ ชกกูสิวะ”
“ผั่วะ!!”
“ชกสิ หมอ ชกชั้นที ชกให้ชั้นรู้สักทีว่าชั้นก็ยังมีหัวใจ” ผมปล่อยโฮ ออกมาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาแห่งความสับสนไหลบ่าไม่ขาดสาย บางทีการที่เราทำอะไรบ้าๆไปก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เหมือนที่ผมทำครั้งนี้ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าผมทำไปเพื่ออะไร
“ผั่วะ!!” เสียงวิ้งๆพร้อมสายลมแล่นผ่านใบหน้าใบอย่างรวดเร็ว ความแรงของลมทำให้ผมต้องหันหน้าตาม สักพัก ผมถึงได้รู้สึกถึงความรู้สึกตุบๆที่มุมปาก และรับรู้ถึงของเหลวที่อยู่ในปาก
“เจ็บ” นี่คือความรู้สึกสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับผม
ผมหันหน้ามาช้าๆ ภาพหมอปีย์ยืนกำหมัดแน่น เขาขบฟันกรอดจนกรามขึ้น เหงื่อผุดขึ้นใบหน้า แววตาดูแข็งกร้าว ผมไม่เคยเห็นหมอเป็นแบบนี้มาก่อน
“ผั๊วะ!!!” ย้ำรอยเดิม หมัดของหมอปีย์ซัดเข้าตรงมุมเดิมเป๊ะ จากความรู้สึกเจ็บเมื่อครู่ ตอนนี้ผมชักยั๊วะขึ้นมาแล้ว ไอ้บ้า กูให้มึงชกกูทีเดียว แม่งเล่นเบิ้ลเลยหรือวะ
คราวนี้เป็นผมที่กัดฟันกรอด เราทั้งคู่กัดฟันกรอด ดูเหมือนเราจะกลายเป็นวัวป่าที่พร้อมจะพุ่งชนเข้าหากัน

สายลมพัดแรงขึ้น ใบหูกวางใบสุดท้ายร่วงหล่น และทันทีที่มันแตะพื้น ก็เป็นเหมือนสัญญาณให้การต่อสู้ของลูกผู้ชายครั้งนี้.....เริ่มขึ้น

MokGaLaKom

  • บุคคลทั่วไป
มานั่งรอด้วยคนจ้า
**************
หวังว่าเขาคงไม่ได้มาคั่นนะ เขาไม่ได้ตั้งใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2011 20:57:47 โดย MokGaLaKom »

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“อ๊ากกกกซ์” ผมกระโจนเข้าหาหมอนั่นอย่างแรง  หมอปีย์ก็อยู่ในท่าตั้งรับ เสียงปั๊กดังขึ้นเมื่อหน้าอกของเรากระแทกกันอย่างแรง
หมอปีย์กอดรัดฟัดเหวี่ยงผมในขณะที่เสียงคำรามของเขาดังหึ่มๆอยู่ข้างหู ผมเองก็ไม่ลดละ พยายามที่จะใช้หมัดทุบหลังเขา
การชกต่อยครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราโกรธ หรือเกลียดกันแต่ชาติปางไหน แต่สำหรับเรามันคือการได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นมานานตั้งแต่เราทั้งคู่ได้เจอกัน หมอปีย์ต้องต่อสู้กับกรอบประเพณี และวัฒนธรรมความถูกต้องในยุคของเขา ส่วนผมต่อสู้กับกรอบความคิดและจิตใจที่มัดแน่นอยู่ภายใน
เมื่อผมหาทางปลดปล่อยความอึดอัดเหล่านั้นออกมาไม่ได้ การได้ทำอย่างนี้ก็เหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ผั๊วะ” หมอปีย์ซัดหมัดลุ่นๆเข้าที่ใบหน้าผมอีกหมัด พร้อมๆกับที่ผมซัดหมัดที่กำแน่นเข้าที่ท้องน้อยของเขา เราทั้งคู่ล้มตึงลงบนพื้นทรายทันทีที่มัดของเราละออกจากกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงคลื่นกระทบหาด และเสียงหอบหนักหน่วงของเรา เหมือนเราทั้งคู่จมดิ่งลงในทะเล และกำลังจะขาดหายใจ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะหมด แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็ทำให้เรามานอนหายใจแย่งอากาศกันอยู่บนหาดยังไงยังงั้น
.
.
.
.

“เจ็บมั๊ยหมอ” ผมถามเมื่ออาการหอบค่อยๆคลายหายไป
เขาไม่ตอบ แต่ผมรู้ดีว่าต้องเจ็บแน่ๆ
“นายเคยต่อยกับใครแบบนี้รึเปล่า......ชั้นนะ เมื่อก่อนมีเรื่องชกต่อยแทบทุกวัน ไม่ได้ทำแบบนี้มานาน พอได้ทำก็ดีเหมือนกันนะ” ผมหัวเราะ

“บอกเราได้รึยัง ว่าทำเยี่ยงนี้ทำไม” หมอปีย์ถาม

ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่



“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
“พิสูจน์?” เขาทวนคำ
“ใช่ ชั้นแค่อยากรู้ว่าชั้นจะยังเป็นลูกผู้ชายได้อยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อหัวใจของชั้นมัน..............................”
จู่ๆหัวใจผมก็เต้นโครมครามๆ
“หัวใจของเจ้ามันทำไม” หมอปีย์ลุกขึ้นมานั่งมองผม ใบหน้าของเขาดูไม่จืดเลยทีเดียว
“หัวใจของเจ้าทำไม พ่ออัชย์” ดูเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“หัวใจของชั้นมันเสือก...............เอ่อ  เอ่อ”
เลือดในกายสูบฉีด อย่างแรงจนเกินจะควบคุม ลมหายใจพ่นออกมาเหมือนหวูดรถไฟ
เสือกรักผู้ชาย..................อย่างนายนะสิวะ  ไอ้หมอเชี่ย” ผมสบถ 


เหมือนฝัน เหมือนฝันที่ผมพูดคำนั้นออกมาได้ในที่สุด ทันทีที่พูดออกมา มันก็รู้สึกได้ว่า
“เออแหะ ไม่เห็นจะยากเลยนี่หว่า” ผมโล่งอก โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ความกลัว ความละอายที่คิดว่าจะมี กลับไม่มีแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ถึงแม้ผมจะรักผู้ชายแต่ผมก็ยังเป็นผู้ชาย
ตอนนี้เหลือแต่รอยยิ้มที่รู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่มุมปากเท่านั้นที่เปื้อนใบหน้า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หมอ หมอ” ผมเรียกหมอ เมื่อเห็นว่าเงียบไปนาน
“หมอ สิ้นใจตายไปแล้วเหรอ”

ผมหันไปมองเขา ร่างของเขานอนแผ่หราบนหาดทราย รอยยิ้มและประกายในดวงตาทำให้ผมรู้ว่า เขาก็มีความสุข
“พ่ออัชย์” เขาเอื้อมมือมาจับมือผม แต่ไม่ยอมหันหน้ามา
“ปากหนักนักนะเจ้า กว่าจะง้างปากออกมาได้ ทำเราปางตาย” หมอปีย์หัวเราะเต็มเสียง มือกำมือผมแน่น
“อูย ซี๊ด” เขาเอามือแตะริมฝีปากพลางร้องโอดโอยเพราะหัวเราะมากเกินไป “เจ้าเอ่ยคำรักออกมาแล้ว ห้ามคืนคำ สาบานต่อหน้าพระจันทร์สิว่า คำที่เจ้าเอ่ย คือคำที่มาจากใจ”
“เออ เรื่องมากจริง” ผมถอนหายใจ  “สาบาน สาบานว่าผม นายอัชย์ รักหมอบ้าที่นอนพะงาบๆอยู่ข้างๆตั้งแต่ครั้งแรกที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ไม่สิ จริงๆแล้วรู้สึกวูบวาบที่ท้องตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าเขา ไม่รู้ว่าเวรหรือกรรมที่ทำให้ให้เป็นแบบนี้   แต่จันทร์เอ๋ย ผมสาบานว่าผมรักเขา.....จริงๆ”

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ความจริงแล้วถ้าผมทำตามความรู้สึกตัวเอง ผมคงจะบอกรักหมอนั่นไปนานแล้ว ผมไม่ได้รังเกียจที่หมอนั่นเป็นผู้ชาย ไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย เพียงแต่ผมไม่อยากจะรักมัน เพราะว่าหากวันหนึ่งผมต้องตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองต้องนอนคนเดียวในยุคปัจจุบันที่ผมจากมา คราวนี้ หัวใจผมคงแหลกละเอียดเป็นแน่


“กลับขึ้นเรือนกันเถิด น้ำค้างลงแรง เดี๋ยวจักพาลไม่สบายเอาอีก” หมอปีย์ลุกขึ้นยืน เขาก้มลงมองผมที่นอนแผ่หราด้วยแววตาที่เอ่อไปด้วยความสุข
“ชั้นยังอยากนอนตรงนี้อยู่เลยว่ะ หมอ สบายดี” ผมหลับตาพริ้ม รู้สึกเหมือนตัวเองเบาหวิว
“ไปกันเถอะ”

แต่แล้วผมก็กลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นและเดินนำหน้าหมอนั่นขึ้นเรือน



“เจ็บมั๊ยหมอ ชั้นขอโทษนะที่ซัดนายซะหลายหมัด” ผมนั่งลงตรงหน้าเขา พลางเอามือแตะมุมปาก
“เจ้าก็เจ็บมิน้อยกว่าเราดอก รู้มั๊ย พ่ออัชย์ ตั้งแต่เจ้าเข้ามาในชีวิตเรา โลกที่เคยเงียบสงัดของเราก็ไม่เคยเหมือนเดิมเลยแม้แต่วันเดียว เจ้าทำให้เราหัวเราะ ทำให้เราปวดหัวบ้างบางเพลา ทำให้เราเป็นห่วง ทำให้เราหวง ทำให้เรารู้ว่าเราพร้อมจะตายแทนคนๆนึงได้อย่างจริงใจ” เขาพูดไม่หยุด

“หมอ” ผมมองตาของเขาที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เมื่อต้องแสงเทียน
“ชั้นขอจูบนายได้มั๊ย”
ผมไม่มีคำพูดสวยหรูแบบเขา ไม่รู้จะบรรยายพรรณนาความรู้สึกตัวเองอย่างไร แต่ตอนนี้ผมมีเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้หมอปีย์รู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร และอยากจะขอบคุณความหวังดีที่เขามีให้ตลอดมา สิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนและสื่อแทนคำพูดได้ นั่นก็คือสิ่งนี้

หมอปีย์แย้มรอยยิ้มบางๆ มันทำให้หัวใจของผมแทบจะละลายไปทันทีที่ต้องลมหายใจของเขา
“ผู้ชายอะไรวะ น่ารักชิบหาย” ผมนึกในใจแล้วจึงเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกัน

เพียงสบเนตร............เนตรสบก็พบรัก
เพียงพบพักตร์.............พักตร์พบกันใจพลันเผลอ
เพียงบอกรัก...............รักบอกใจให้ละเมอ
เพียงแต่เพ้อ.....................เพ้อหลงใหลใจพะวง


“เจ้าบ้า”
“หึ”
“จักจ้องเราอีกนานไหม”
“แป๊บนึง”
.
.
.
.
.
.
“เจ้าบ้า นานแล้วนะ”
“เออ แป๊บนึง”
“หน้าเรามีอะไรรึ เจ้าถึงจ้องเอาจ้องเอา”
“ก็ตานายสวยนี่หว่า ชั้นอยากจ้องนานๆ”
.
.
.
.
.
.
“เจ้าบ้า”
“หือ”
“ถ้าเจ้าไม่จูบเรา เราจักจูบเองแล้วนะ”
ว่าแล้วหมอปีย์ก็ค่อยๆโน้มตัวลงมา ใบหน้าของเขาแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด
“หึ” ผมร้องในลำคอเบาๆ ตาเบิกโพรงทันทีที่ริมฝีปากของหมอนั่นประทับรอยบนริมฝีปากของผม ไม่มีจูบอันดูดดื่ม อย่างที่ผมเคยทำกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา ไม่มีการแลกลิ้น แลกน้ำลาย ลิ้นพันใดๆทั้งสิ้น
แค่ริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันปล่อยให้ลมหายใจของเรากอดรัดกันไปมา แค่นั้น
แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้อารมณ์กระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหน ผมรู้สึกได้ว่าหน้าแดงโดยเฉพาะใบหู มันเคยแดงแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้มันแดงกว่านั้นมาก หัวใจเต้นแรงเหมือนกลองสะบัดชัย ลมหายใจเร่งเร้าที่ผมพยายามอย่างหนักเพื่อจะควบคุมไม่ให้มันแรงไปจนทำให้หมอนั่นรู้สึกว่าผมตื่นเต้น
“เป็นอย่างไร” เขาถอนรอยจุมพิตออกมาในขณะที่ผมกำลังหลับตาพริ้ม
“เอ่อ” ผมทำหน้าไม่ถูกรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ไม่รู้สึกอะไรเลยว่ะ ขอลองอีกครั้งได้ป่าว”

เป็นอีกครั้งที่เขาโน้มตัวใช้ริมฝีปากแตะริมฝีปากผมอย่างเนิ่นนาน
ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออกก่อนจะเอียงคอแสดงสีหน้าคล้ายจะถามว่าคราวนี้เป็นยังไง
“อืม แปลกๆว่ะหมอ ไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่า ชั้นจะไม่ได้.............................ฮึบ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ หมอปีย์ก็ประกบปากอีกครั้งแต่ครั้งนี้รุนแรงและ..............ดูดดื่ม

ดูดดื่มจนยากที่ผมจะนิ่งเฉยปล่อยให้เขาบดขยี้ริมฝีปากผมโดยที่ผมไม่ตอบโต้อะไรเลย

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
เราทั้งคู่จมดิ่งลงสู่เบื้องลึกของภวังค์ที่หมุนวนลงไปเบื้องล่างราวกับไม่มีวันสิ้นสุด มีเพียงเราสองคนเท่านั้นในห้วงอากาศที่เปลือยเปล่า ลมแห่งสิเน่หาพัดพาเอาไอเย็นอย่างรุนแรงเข้าใส่เรา จนเราทั้งคู่ต้องกอดก่ายกันจนไม่เหลือช่องว่าง แต่เมื่อไอเย็นพัดผ่าน ไอร้อนก็แผ่ซ่านตามมาโอบล้อมเราไว้จนต้องถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ออก
เมื่อไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่าง ก็ไม่ต่างจากทารกแรกเกิด ผมไม่เหลือความคิดแบ่งแยกชายหญิงอีกต่อไป คนที่อยู่เบื้องหน้า เขาไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น แต่เขาคือคนที่กำลังฉุดผมดำดิ่งสู่ทะเล.....ทะเลแห่งอารมณ์


เกินใจ จะเก็บ กลั้นอารมณ์
ดั่งสายลม ปรารถนา เจ้าเพรียกพร่ำ
ทะเลโลม ละเลียด ผืนนหาดดำ
ละเลงน้ำ ไล้ลูบทั่ว อณูทราย

แทรกซึม ซอกซอน ทรายทุกเม็ด
กระฉูดเกล็ด เม็ดฟองขาว กระเซ็นกระสาย
โหมกระหน่ำ ยามเจ้าคลั่ง แทบวางวาย
ก่อนสยบ ซบซอกสลาย แนบฟากฝั่ง

แล้วน้ำนั้น ก็ไหล ย้อนลงมา
ก่อนจะถา โถมเข้า ไปอีกครั้ง
ผาแกร่ง เจ้าซอกซอน จนเจียนพัง
โอ้...มิอาจ หยุดยั้ง ยังพรั่งพรู

ทะเลคลั่ง หรือไร ใจเจ้าเอ๋ย
จึงสาดเลย เกยเกิน ก้องเสียงกู่
แนวหญ้านั้น ชุ่มน้ำ แน่นอณู
พรายฟองฟู เปลื้องอาภรณ์ แห่งอารมณ์

จึงหยิบแก่น กฤษณา ข่มขีดเขียน
ละเลงผืน ทรายนวลเนียน ด้วยสุขสม
บทกวีไร้ ฉันทลักษณ์ อันรื่นรมณ์
กดแก่นข่ม กรีดร่อง รอยทะเล

ทะเลคลั่ง สร้างผืนทราย ให้งดงาม
ฟ้าสีคราม หลังฝน เจ้ากล่อมเห่
บางเวลา บางอารมณ์ เช่นทะเล
บางทุ่มเท รับใช้ ทะเลอารมณ์ ทะเล...ใจ








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2011 21:26:18 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
เช้าวันใหม่ที่อะไรๆจะไม่เหมือนเดิม ผมหลับตาพริ้มทั้งๆที่ตื่นนอนมาได้ครู่ใหญ่แล้ว จินตนาการถึงความรู้สึกที่มีมือของใครคนหนึ่งโอบกอดผมไว้อย่างแผ่วเบา เขาคงประคองกอดผมอย่างรักใคร่ ที่ผมได้อบอุ่นอยู่ตอนนี้คงเพราะอ้อมกอดของเขา   หมอปีย์แน่ๆ

“ไอ้หมอ!!!” มันโรแมนติกมาก เมื่อเราหลับตาและจินตนาการ แต่เมื่อลืมตาขึ้น แม่ง กลับคนละเรื่อง
ผมตะโกนใส่หมอปีย์เมื่อพบว่าอ้อมกอดที่ผมพร่ำเพ้อนั้นกลับกลายเป็น
“มึงบ้ารึป่าว เอาขามาพาดคอกูแบบนี้ คิดว่ากูเป็นจา พนมรึไงวะ” ผมจับท่อนขาอันหนักอึ้งและปกคลุมไปด้วยขนหน้าแข้งอันรกครึ้มของหมอปีย์โยนออกไปก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งมอง
“อ้าว” และพบว่ากลายเป็นผมเองที่นอนดิ้นจนมาอยู่ปลายเตียง
“นอนกันอีท่าไหนวะ”
“ตื่นแล้วรึ” หมอปีย์ลุกขึ้นมาถาม
“ยัง หลับอยู่มั้ง” ผมตอบกวนโมโห
“ตื่นมาก็ปากเก่งเลยนะ เมื่อคืนไม่ได้เห็นจักเก่งแบบปาก”
“อะไรๆ ไอ้หมอ พูดอะไร เดี๋ยวโดน”







ชาวบ้านที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านแวะมาในสายของวันนั้น เขาแปลกใจที่เห็นมีคนอยู่ที่บ้าน หมอปีย์อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังพร้อมทั้งมอบหมายหน้าที่ให้เขาเอาความไปแจ้งทางพระนครว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะกลับไปในอีกไม่กี่วัน

หมอปีย์กับผมอยู่บ้านหลังนี้ในบ่ายที่อากาศดีวันนั้น เขารื้อเอาสัมภาระที่ฝากไว้กับบ่าวในครั้งแรก พร้อมทั้งเอาเอกสารออกมาแปลโดยมีผมนอนเด็ดลูกหวายที่ลุงคนเฝ้าบ้านเก็บมาฝากโยนเข้าปาก ผมไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานะที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย
ไม่มีความรู้สึกอะไรพิเศษ นี่นะเหรอ ที่บอกว่าเป็นแฟนกับผู้ชาย มันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดที่หว่า อย่างน้อยก็ไม่เห็นมีอะไรต่างไปจากตอนที่เป็นเพื่อนกันเลย
ผมหันไปมองหมอนั่นอีกครั้ง ในโหมดเคร่งขรึม ดูจริงจังแน่วแน่กับงานที่เขากำลังทำอยู่ คิ้วที่สองขมวดเข้าหากัน ปากที่เม้มเป็นระยะๆ ดูเขาจะเคร่งเครียดเกินไปรึเปล่า
“หาทางคลายเครียดให้เขาหน่อยดีกว่า” ว่าดังนั้นแล้วจึงเด็ดลูกหวายมาลูกหนึ่งก่อนจะปาใส่เขา พลางแกล้งหลับ
หมอปีย์เงยหน้ามามอง แต่ก็ไม่พูดอะไร
ผมได้ใจจึงปาไปอีกหลายครั้งแล้วแกล้งหลับ
“อย่ามัวแต่เล่นอยู่เลย มาช่วยเราแปลเอกสารพวกนี้หน่อยเถิดพ่อ มันล่าช้ามาหลายเพลาแล้ว”
“โห หมอ นี่เรามาพักผ่อนนะเว้ย ยังจะหอบงานมาอีก” ผมบ่น
“เรามีเวลาพักผ่อนอีกมาก แต่คนป่วยเขาไม่มี อย่างเดียวที่รอพวกเขาคือความตาย”
เมื่อหมอปีย์พูดมาถึงประโยคนี้ ภาพของแดงก็ฉายเข้ามาในแววตา ผมหลับตา ก็ยังนึกถึงหน้าแดงตอนที่เงยหน้ามองผมได้อย่างชัดเจน
“ก็ได้ ไหนหล่ะ จะให้แปลอันไหน” ผมนั่งลงใกล้ๆเขา หยิบเอกสารตำราเก่าๆสีซีดๆมาแผนหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นแปล
เวลาคงจะล่วงไปจนเย็นหากไม่มีป้าซึ่งเป็นภรรยาของลุงคนเฝ้าบ้านเดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมปิ่นโต
“พักกินข้าวกินปลากันก่อนเถอะจ๊ะ พ่อหนุ่ม” ผมเงยหน้าไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงและได้กลิ่นอาหารในปิ่นโตที่โชยออกมา
หมอปีย์ละสายตา วางปากกาหมึก ก่อนจะบิดขี้เกียจ
“อ้ายกล่ำมันอาสานั่งเรือไปแจ้งข่าวให้ที่พระนครน่ะ เห็นว่าพรุ่งนี้เช้าก็คงจักได้ความ” หล่อนว่า
“ข้าวางปิ่นโตไว้ตรงนี้แหละนะ” ก่อนจะวางปิ่นโตและหม้อหิ้วใบสีเขียวไว้บนโต๊ะไม้


“หมอ ทำไมป้าแกไม่จัดการจัดสำรับให้เราหล่ะ” ผมถามเมื่อเห็นว่าผู้หญิงแก่คนนี้ไม่เหมือนบ่าวไพร่คนอื่น
“ป้าแกมิใช่ทาสมิใช่บ่าว แกเป็นชาวบ้านที่หมอจรัสไหว้วานให้ดูแลเรือน” หมอปีย์ว่า พลางลุกขึ้นไปหยิบปิ่นโตและหม้อหิ้ว
“อ้าว ชั้นนึกว่าคนไทยถ้าไม่เป็นเจ้านายก็เป็นทาสเสียหมด”
“ไม่หมดดอก ชาวบ้านแถวนี้เขาทำประมงหาปูหาปลาเลี้ยงตัว มิจำเป็นต้องเป็นทาสใคร”
“เหรอ” ผมพยักหน้าเข้าใจ





มือเที่ยง ไม่สิ มื้อบ่ายของเราถูกทำให้หายไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด บ่ายวันนั้นผมใช้เวลาส่วนใหญ่นอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมา เพราะแดดยามบ่ายก็ร้อนเสียจนเกินจะเดินเล่น
หมอปีย์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของเขา เหมือนกับวันเวลาที่เขาติดอยู่ที่เรือนหลวงบ้านั่น ทำให้เขาเสียเวลาทำงานไปค่อนชีวิตอย่างนั้นแหละ
ผมเฝ้ามองเขาเม้มปากไปมาอยู่พักใหญ่ จนเผลอหลับไปในที่สุด




.........................................................................................


ความฝันเรื่องเดิมที่หายไปนานกลับตามมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง ผมกำลังจะดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำที่ดำมืด มือของหมอปีย์เอื้อมลงมา ผมหวังว่าเขาจะช่วยดึงมือผมขึ้น แต่เปล่าเลย เขากลับกดหัวผมให้ยิ่งจมดิ่งลงไปในสายน้ำที่หนาวเหน็บ

“หมอ อย่า!!!” ผมตะโกนสุดเสียงพร้อมสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย มือคว้าไปทั่วจนได้สัมผัสเข้ากับมือคู่หนึ่ง
“อัชย์ พ่ออัชย์ เป็นอะไรรึ” ผมลืมตาขึ้นมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ และเกือบจะพลั้งปากถามว่าทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้นกับผม
“เปล่า หมอ แค่....................ความฝันน่ะ”

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ผมหมกมุ่นอยู่กับความฝันนั้นตลอดทั้งวันหลังจากนั้น ความกลัวที่อยู่ในใจลึกๆที่เมื่อคืนได้ถูกหมอปีย์ทับถมมันไว้ลึกก้นบึ้งในใจ แต่ตอนนี้มันกลับพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าชั้นต้องจากที่นี่ไป ชั้นจะทำยังไง     หมอ”










ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผมใช้ชีวิตร่วมกับหมอปีย์ ณ ที่แห่งนั้น เป็นเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้เลยก็ว่าได้ มันเหมือนกับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสุขที่ผมพบเจอล้วนแต่จอมปลอม เป็นความสุขเรี่ยรายปลายทางก่อนที่จะเจอความสุขที่แท้จริง
ทุกค่ำคืน
ทุกรุ่งเช้า
ทุกก้าวย่าง
ทุกคำพูด
มีแต่ผมกับหมอปีย์
สถานะความเป็นคนรักของเราแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะหมอปีย์เองก็มีกรอบของเขา ส่วนผมเองก็มีกรอบของผมเอง เราทำอะไรถึงต้องระมัดระวังไม่ให้ประเจิดประเจ้อกว่าปกติ

ชีวิตประจำวันของผมหมดไปกับการช่วยหมอปีย์แปลเอกสารที่เขาอุตส่าห์หอบมาจากพระนคร คำศัพท์บางคำผมก็แทบจะไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเลย
“สมัยชั้นนะ สบายมาก ไม่รู้อะไรถามอากู๋ได้คำตอบหมด” ผมส่ายหัวไปมา เพราะเหนื่อยกับการต้องเดาสุ่มศัพท์ทางเทคนิคการแพทย์
“ผู้ใดคืออากู๋”
“ก็กูเกิ้ลไง เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ไม่ว่าเราจะใส่อะไรลงไปมันก็จะมีคำตอบให้เราเสมอ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็มีประโยชน์” ผมอธิบายให้เหมอปีย์เข้าใจง่ายๆ
“อ้อ พวกหมอผีหมอดู” เขาตอบตาใส
ผมหัวเราะขำในความช่างคิดของเขา


นอกจากใช้เวลาหมดไปกับการแปลงานและกวนประสาทหมอปีย์คลายเครียดเป็นพักๆแล้ว ผมยังถือโอกาสเดินไปบ้านของลุงกับป้าที่ดูแลบ้านหลังนี้ ไปช่วยป้าทำกับข้าว ได้เรียนรู้เคล็ดลับและสูตรอาหารพื้นบ้านหลายๆอย่าง และทุกครั้งผมก็จะกลับมาจดสูตรกันลืมไว้เสมอ


“เจ้าชอบดูพระอาทิตย์ตกรึ” หมอปีย์เดินมานั่งลงใกล้ๆผม ขณะที่ผมทิ้งตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ทอดสายตามองออกไปไกลเท่าที่สายตาจะมองเห็น
“ มั้ง” ผมตอบสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองคิดอย่างไรกับพระอาทิตย์ตกดิน ผมไม่ใช่พวกเพ้อฝันพรรณนา จินตนาการเปรียบเปรยอะไรมากมาย  พระอาทิตย์ตกดินก็คือพระอาทิตย์ตกดิน มันไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้
“เราชอบพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่า”  เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมกับหมอนั่นรู้สึกไม่เหมือนกัน
“ทำไม”
“เหมือนชีวิตใหม่กำลังเริ่มขึ้น”
“แล้วพระอาทิตย์ตกดินหล่ะ”
“เหมือนการสิ้นสุดลงของชีวิต”
“เฮ้อ......................” ผมถอนหายใจ
“เจ้าถอนหายใจหลายครั้งแล้วนะวันนี้” หมอปีย์ตั้งข้อสังเกต
“มีอันใดไม่สบายใจกระนั้นรึ”
“ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ตกดิน มันหมายถึงการสิ้นสุดไปอีกวันหนึ่งของชีวิต...............ใช่มั๊ย” ผมถาม
หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“คงงั้นกระมัง” เขาทอดสายตามองไปข้างหน้า สายลมอ่อนๆพัดมาลูบไล้ใบหน้าเราอย่างแผ่วเบา
“นั่นคงเป็นสัญญาณว่าเวลาของชั้นสำหรับที่นี่ คงน้อยลงไปด้วย” น้ำเสียงของผมเจืออารมณ์อ่อนไหว
“เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้รึ” หมอปีย์พูด
“ไม่รู้สิหมอ  ชั้นรู้สึกนะ รู้สึกตลอดเวลาว่าการที่ชั้นมาที่นี่ มันมีบางอย่างที่ชั้นต้องทำ หมดภาระชิ้นนั้นชั้นก็คงต้อง.......................”



“เราไม่ให้เจ้าไป  ไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” หมอปีย์พูดน้ำเสียงแน่วแน่ “เรารอเจ้ามาค่อนชีวิต ค่อนชีวิตเชียวนะ พ่ออัชย์”
“ถ้ามันลิขิตสวรรค์ นายจะทำอะไรได้วะ เป็นแค่หมอนะเว้ย อย่าลืม” ผมแซว แต่ก็ยังเศร้าใจเมื่อคิดถึงวันนั้น
“เจ้าคอยดูแล้วกัน เจ้าบ้า”
“เออ จะคอยดู”

เราทั้งคู่เงียบอยู่พักใหญ่ นั่งมองแสงอาทิตย์สีทองฉาบน้ำทะเล ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง รับลมยามเย็นที่มีกลิ่นหอมทะเลอ่อนๆ
ความเงียบที่มีแค่เสียงคลื่นนี้หาไม่ได้ง่ายนักในสมัยผม แต่สำหรับที่นี่ มีเกือบทุกหนแห่ง

“เรารักเจ้านะ” จู่หมอปีย์ก็พูดคำนี้อีกมา  ผมหันไปมองเขาแวบหนึ่ง แวบเดียวที่มองแววตาเขาก็พอจะรู้ว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้เป็นอย่างไร
คงไม่ต่างจากผม
โหวงเหวง
หวิวๆ
ใจคอไม่ดี
กลัวอนาคต
กลัววันพรุ่งนี้

กลัวไปหมดทุกอย่างว่าความสุขที่เราพบเจอและโอบกอดมันอยู่ตอนนี้จะอยู่กับเราไม่นาน
ผมไม่มีคำตอบใดๆให้หมอปีย์ มีเพียงการเอนหัวลงไปซบบ่าเขา และปล่อยให้เงาของเราทั้งสองคนทอดยาวไปตามหาดทรายสีขาว พร้อมแสงอาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป






ออฟไลน์ VICTORY

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 787
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
''เรารักเจ้าน่ะ'' หมอปีพูดคำนี้ออกมา แทบจะกรี๊ดดดดด
เขิลแทนพ่ออัชย์

หลงรักหมอปีย์เข้าเต็มๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2

เช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่หัวรุ่ง แต่ไม่ยอมตก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้าและทะเลยามมืดครึ้มยิ่งทำให้ใจหาย
รู้สึกเหมือนกับว่าความสุขของเรากำลังจะหมดไปแล้ว แต่พอคิดไปสักพักก็ต้องเลิกคิด ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อไป
“เสร็จแล้วรึ” หมอปีย์เดินตามออกมาขณะที่ผมกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างล่าง
“อืม จะต้องไปกันแล้วใช่มั๊ย” เขาพยักหน้า พลางบอกว่าหากผมอยากมาอีกก็มาเมื่อไหร่ก็ได้ ผมยิ้มรับ


เกวียนพาเราแล่นห่างออกไปจากเรือนหมอจรัสมากขึ้นๆ ผมหันกลับไปมองบ้านไม้หลังงามนั้นอีกครั้ง บ้านที่ทำให้ผมยอมรับหมอปีย์ บ้านที่เราทั้งคู่เป็นของกันและกัน
“ลาก่อนนะ แล้วชั้นจะกลับมาใหม่” ผมพูดเบาๆก่อนจะหันกลับมา



เกวียนวิ่งมาตามเส้นทางเดิมที่เราเคยมา ภาพที่เราพบเจอกับโจรยังชัดเจนในความทรงจำ แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว คงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นและบ้านของพระยาบริรักษ์อีกแล้ว

ในที่สุดเรือที่จะพาเรากลับพระนครก็แล่นมาเทียบท่า พ่อค้าแม่ค้าที่หอบหิ้วของจากพระนครมาขายต่างทยอยลงจากเรือกลไฟ ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งไปมารอบๆเรือ ต่างพากันส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกช่างตื่นเต้นที่ได้เห็นเรือเหล็กขนาดยักษ์ลอยน้ำได้
หมอปีย์หันมาพยักหน้ากับผม เป็นนัยว่าให้ขึ้นเรือได้แล้ว
“ชั้นจะเมาเรืออีกรึเปล่าหมอ” ผมถาม
“ไม่ดอก เอาพริกแห้งนี่เหน็บเอวไว้ จักได้ไม่เมา” ผมทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็ยอมรับไว้โดยดี



เรือคำรามดังลั่นท้องน้ำ ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวแล่นออกสู่ทะเล ผมนั่งเอาคางเกยแขน มองไปหาฝั่งที่จากมา ในหัวไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่วันรุ่งขึ้น
“คิดอันใดอยู่รึ พ่ออัชย์”
“คิดถึงวันพรุ่งนี้  เออ หมอ ถามอะไรหน่อยสิ” ผมหันมามองหมอปีย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ถ้ากลับบ้านที่พระนครแล้ว นายจะเหมือนเดิมมั๊ย”
เขาหัวเราะ “เราเคยไม่เหมือนเดิมด้วยรึ”
“ไม่รู้ดิ บางทีนายอาจจะ...............เปลี่ยนไป”
“อย่ากลัวอันใดไปเลยพ่ออัชย์ เห็นเจ้าคิดมากมาหลายเพลาแล้ว พาลไม่มีความสุขไปกับเจ้าด้วย ช่างมันเถิดพ่อ อันใดจักเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด เราอยากให้เจ้ามีความสุขกับวันนี้ก็พอ ชีวิตคนเราสั้นนัก พบพรากจากลาเป็นเรื่องธรรมดา หากมัวแต่กังวล จิตใจจักหาความสุขที่อยู่ใกล้ๆเจ้ามิได้”
หมอปีย์พูดปลอบใจเสียยืดยาว แต่ก็ได้ผล มันทำให้ผมรู้สึกดี และคิดอะไรได้มากขึ้น
“อื้อ นั่นสินะ จะไปคิดอะไรมาก” ผมยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ 
คนบนเรือขากลับพระนครวันนี้ไม่แน่นเหมือนขามา เราจึงมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับทั้งคู่ ท้องฟ้ามืดครึ้มหนักกว่าเดิม เหมือนกับห่อผ้าที่อุ้มน้ำ ในที่สุด ฝนเม็ดแรกก็ตกแปะลงมาบนหัวผม
“หมอฝนตก”  ผมบอกหมอ ทั้งๆที่เรื่องแค่นี้ไม่ต้องบอกเขาก็ได้ แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยากพูดกับเขาทุกๆวินาที
“เข้ามาข้างในเถิด ประเดี๋ยวจักไม่สบาย” เขาเดินนำเข้ามา
“เรือจะล่มมั๊ยหมอ ฝนตกหนักนะนี่ ดูท่า”
“ไม่ดอก อย่างมากก็แค่โครงเครง”

“โครงเครง!!!”  และก็เป็นอีกครั้งที่ผมอาเจียนจนหมดเรี่ยวหมดแรง ด้วยแรงลมและคลื่นทำให้เรือโยกไปโยกมา ผมพยายามมองท้องฟ้าอย่างที่หมอบอก แต่ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย ในที่สุดผมก็เหนื่อยกับการอ๊วกถมทะเลจนหลับไปในที่สุด
 




เรือเหล็กนำเรามาถึงปากแม่น้ำพระนครที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มารอรับญาติ มารอรับของ มารอขึ้นเรือ มาค้าขาย และหลายๆเหตุผล หนึ่งในนั้นมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ในร่มไม้ชายฝั่ง ผมไม่รู้จักคนกลุ่มนั้นเลยนอกจากสน ที่ยืนปะปนอยู่พร้อมด้วยสีหน้าโล่งใจ
หมอปีย์หน้าเจื่อนเล็กน้อยเมื่อเขามองไปยังชายรูปร่างสูงใหญ่ผมสีดอกเลาที่ยืนอยู่ไกลๆ ผมเดาว่าชายผู้นั้นคงจะเป็นหมอจรัส
ทันทีที่ก้าวลงเรือ ความรู้สึกผมก็แปลกๆไป เหมือนกับสามวันที่อยู่ตามลำพังกับหมอปีย์จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“สัญญานะหมอว่าจะเหมือนเดิม” ผมนึกในใจ



หมอปีย์เดินก้มหน้าก้มตาเหมือนเด็กสำนึกผิดที่หนีเที่ยว ท่าทางเขาจะกลัวหมอจรัสเอามาก
“โชคดีที่รอดมาได้” คำแรกที่หมอจรัสพูดกับหมอปีย์ น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ตำหนิติเตียน ถึงใบหน้าและแววตาของหมอจรัสจะดูเป็นคนแก่ใจดีธรรมดาคนหนึ่ง แต่การวางตัว ท่าทาง และคำพูดของเขาน่าเกรงขามไม่น้อย
“I am sorry I just.......’’” หมอปีย์พยายามจะอธิบายบางอย่าง
“Go home we’ll talk this later” หมอจรัสพูดพลางปรายตามามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินนำหน้ากลับไปยังเกวียน

ระหว่างทางไม่มีใครพูดเรื่องอะไรกันเลย มีแต่สน ที่นั่งใกล้ๆผมที่เอาแต่พร่ามเรื่องที่หมอจรัสทราบเรื่องที่พวกเราหนีไปตากอากาศและถูกโจรทำร้าย
“เจ้ารู้รึไม่ หมอท่านโกรธมาก เรามิเคยเห็นท่านโกรธอันใดเยี่ยงนี้มาก่อน”
“ข้านึกว่าพวกเจ้าจักไม่รอดกลับมาเสียแล้ว”
“กลับเรือนไปเรื่องคงใหญ่โตมิน้อย”



และก็จริงดั่งสนว่า ทันทีที่กลับถึงเรือน หมอจรัสก็เรียกเราทั้งสองคนเข้าห้อง และสั่งให้บ่าวไพร่ลงจากเรือนจนหมด



“เจ้าทำเยี่ยงนี้มันถูกมันควรแล้วรึ” สำเนียงของหมอจรัสชัดมาก แต่ก็ยังมีเสียงแปร่งๆตามประสาชาวต่างชาติพูดไทยอยู่บ้าง
“เราวางใจให้เจ้าเฝ้าเรือน ดูแลเรือนแลบ่าวไพร่ แต่เจ้ากลับเอาแต่สนุก ทิ้งเรือนไปเที่ยวจนเกือบจักเอาชีวิตไม่รอด”
หมอปีย์ก้มหน้าสำนึกผิด ผิดกับผมที่ใจเต้นระริกที่อยากจะพูดแก้ตัวให้หมอ  ผมรู้สึกว่าคุ้นเคยกับนิสัยฝรั่งดี พวกเขายอมรับฟังเหตุผลมากกว่าคนไทย เพราะฉะนั้นผมจึง
“หมอไม่ผิดหรอกครับ ผมเองที่...............”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ หมอจรัสก็หันขวับสายตาแข็งกร้าวจ้องมาที่ผม จนผมนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร
“เราถาม เจ้าจึงจักตอบ” แค่สั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมต้องก้มหน้าเหมือนหมอนั่นไปโดยปริยาย
“สงสัยอยู่ไทยนานไป” ผมคิดในใจ

อ๊บๆ

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โดนนนนนนนนนนนนนนนน :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ยังไม่ได้อ่านแต่มาเมนก่อน

ไปอ่านแล้วจ้า ....

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
หมอจรัสต่อว่าหมอปีย์อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงหันมาที่ผม
“เจ้าเป็นใคร” เขาถาม
ผมเงยหน้าแววตาตื่นอยากจะตอบคำถามเขาใจจะขาด
“ผมเอ่อ เป็นคนที่หลุดมาจากโลกอนาคต”  หมอปีย์หันขวับมาที่ผม ทำท่าจะเอามือปิดปาก แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“ผมมาจากปี พุทธศักราช 2553 หรือ คริสตศักราช 2010” หมอจรัสเอียงคอสงสัย
แล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดเหมือนที่เล่าให้หมอปีย์ฟัง แต่เป็นภาษาอังกฤษ และนั่นเองที่ทำให้หมอจรัสทึ่งไม่น้อย เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“เอาล่ะ หมดธุระเจ้าแล้ว ออกไปก่อน” หมอจรัสพูด ผมลังเลมองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อหมอปีย์พยักหน้าให้ทำตาม ผมจึงออกไปแต่โดยดี


“สั่งให้ออกไป แต่ไม่ได้สั่งห้ามให้แอบฟังนี่หว่า”
ว่าแล้วด้วยสันดานช่างเสือกของผม ไม่สิ ไม่น่าจะเรียกว่าเสือก น่าจะแค่สอดมากกว่าของผม จึงทำให้ผมทำในสิ่งที่เรียกว่าน่าละอายสำหรับคนสมัยก่อน นั่นคือการเอาหูแนบประตู



“แต่หมอขอรับ ถ้าเราไล่เขา แล้วเขาจักไปอยู่ที่ใด” ผมยืนฟังสองคนนั่นคุยกันอยู่พักใหญ่ จนมาถึงประโยคนี้ที่ทำให้ผมถึงกับหน้าซีด
“เราจักรับเลี้ยงเขามิได้ เจ้าก็รู้ เรามิรู้หัวนอนปลายตีนของเขา จักเป็นพวกเชื้อพวกศึกเสียก็มิรู้ หลวงท่านยิ่งกวดขันแลสถานการณ์บ้านเมืองครานี้ยิ่งตึงเครียด เผลอๆเราอาจจักโดนข้อหาขบถเข้าก็เปนได้”
หมอจรัสอธิบาย ดูน้ำเสียงของเขาเคร่งเครียด ผมถอยออกมาจากหน้าห้อง รู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังทำอะไรไม่ถูก เพราะนอกจากเรือนนี้ ผมก็นึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีที่ไหนให้ซุกหัวนอน
สิ่งที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่ผิดจริงๆ หลังจากกลับมาจากชะอำ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ แต่ไม่นึกว่าจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้  เท้าสองข้างพาผมเดินลัดเลาะขอบรั้วผ่านต้นจำปีจนมาถึงต้นมะขามต้นใหญ่ต้นเดิมในเรือนคุณชั้น
ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ความคิดที่วนเวียนไปมากำลังทำให้จิตใจผมว้าวุ่น
“อ้าว เจ้านั่นเอง” เสียงเล็กๆดังขึ้นมาจากใต้ถุนเรือน หนูวาดนั่นเอง เธอวิ่งปรี่เข้ามาหาผมทันทีที่เห็น
“เจ้าหายไปไหนมาเสียนาน” หนูวาดยืนอยู่เบื้องหน้า ในมือกำช่อดอกเข็มสีแดงสด มืออีกข้างกำลังดูดน้ำหวานจากมัน
“ไปเที่ยวชะอำไง ยาย เอ้ย หนูวาดจำไม่ได้เหรอ” ผมแค่นยิ้ม
“จำได้ แต่ทำไมไปนานจัง รู้มั๊ยหนูวาดคิดถึง  คุณป้าก็บ่นคิดถึง”
ผมตาถลึงทันทีที่หนูวาดพูดคำนี้
“อะไรนะหนูวาด เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” ผมจับแขนหนูวาดเขย่า
“ก็หนูวาดบอกว่าหนูวาดคิดถึง”
“หลังจากนั้นหล่ะ หลังจากนั้น” น้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างออกนอกหน้า
“อ๋อ คุณป้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน คุณป้าบอกว่า ไม่รู้จักเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่ถามไถ่ก็ดูจักใจไม้ไส้ระกำเกินไป เพราะว่าเจ้าเคยช่วยหนูวาด”
ผมยิ้มกริ่มขึ้นมา ในที่สุดคุณชั้นก็ยอมรับผมซะที
“งั้นผมขอไปหาคุณเธอได้มั๊ย”
“ได้สิ คุณป้าอยู่บนเรือนพอดี”

หนูวาดนำผมเดินฉับๆขึ้นเรือน ผมจุ่มเท้าลงในอ่างสี่เหลี่ยมล้างเท้าก่อนจะนั่งรอที่บันได ให้หนูวาดขึ้นไปบอกคุณชั้นก่อน
หนูวาดหายไปพักใหญ่ ก่อนจะรีบเดินกลับมาหาผมและส่งยิ้มให้

“หายไปไหนมาล่ะ หึ” เธอทักผมในขณะที่กำลังนั่งม้วนยาสูบอัดใส่โหลแก้วสีใสโดยไม่เงยหน้ามามองผม
แต่ผมนั้นทันทีที่เห็นเธอ น้ำตาผมก็รื้อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เหมือนกับได้กลับมาเห็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของตัวเองอีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดได้กลับมา
“ผมไป เอ่อ.................”
“ขึ้นมานั่งเสียด้วยกันบนนี้สิ” ในที่สุดเธอก็มองมาที่ผม สีหน้าดูอ่อนลงไปมาก คำแก้วนั้นนั่งจัดดอกปีบแห้งอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรขอรับ ผมนั่งข้างล่างดีกว่า” ผมเลือกที่จะไม่ขึ้นไปนั่งบนแคร่กับเธอ เพราะคิดว่าถึงเธอจะเริ่มเมตตาผม แต่ก็ไม่ควรจะตีตัวเสมอ
“ตามใจนะ” เธอวางมือจากงานเบื้องหน้า ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผมจริงจัง “ไหนเล่ามาสิ ว่าหายไปไหน รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นเดือดเป็นร้อนกันทั้งเรือน”
สายตาคุณชั้นดูสนใจใคร่รู้ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
“คุณพระคุณเจ้า” เธอยกมือขึ้นทาบอก “ ปลอดภัยมาก็ดีแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็อย่าไปไหนที่อันตราย เจ้ายิ่งเป็นคนแปลกถิ่น.....................” คุณชั้นทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้
“พวกเจ้าลงไปข้างล่าง ไปเตรียมสำรับกับข้าวก่อน เจ้าด้วยคำแก้ว” บ่าวไพร่ทั้งหมดยกข้าวยกของลงไปข้างล่าง มีเพียงคำแก้วที่อิดออด แต่ก็ยอมลงไปแต่โดยดี
“เจ้าเคยบอกกับเราว่า บ้านของเจ้าคือเรือนหลังนี้” จู่ๆคุณชั้นก็พูดคำที่ผมเคยพูดไว้ออกมา
“ขอรับ” ผมตอบ
“อย่างไร”
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเล่าดีหรือเปล่า แต่พอคิดๆไป หลังจากนี้ ก็ไม่รู้ต้องระหกระเหินไปอยู่ที่ไหน เล่าๆไปก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“เอ่อ เรื่องมันอาจเหลือเชื่อไปนิดนะครับ แต่ผมสาบานได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง” ผมเงียบมองดูปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยของคุณชั้น
“บ้านหลังนี้เคย  ไม่ใช่สิ จะเป็นของผมในอีก 100 ปีข้างหน้า” 
เป็นอีกครั้งที่สีหน้าของเธอเรียบเฉยจนยากจะคาดเดา
“จำได้มั๊ยขอรับว่าจู่ๆผมก็มาโผล่ที่เรือนหลังนี้ จริงๆแล้ว ผมแค่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาก็มาโผล่ที่นี้ ในเวลาของผมนั้น ห่างจากเวลาของที่นี่เป็นร้อยปี”
“เจ้ากำลังจักบอกเราว่าเจ้ามาจากยุคพระศรีอารย์รึ”
“ไม่ใช่ครับ แค่มาจากอนาคต”
“อืม” เธอแค่พยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้แค่นั้น
“เอ่อ คุณชั้นไม่ประหลาดใจหน่อยเหรอครับ” ผมถาม
“ไม่นิ หนูวาดเองก็เล่าให้เราฟัง เธอว่า เธอเห็นเจ้าหายตัวไปตอนที่กำลังช่วยเธอจากน้ำ”
ผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะเชื่อง่ายขนาดนี้
“แล้วเจ้าเป็นอะไรกับเรือนหลังนี้”
“อ๋อ ผมเป็นหลานของคุณยายวาด ซึ่งก็คือหนูวาดตอนนี้แหละครับ” สีหน้าของคุณชั้นเริ่มมีอาการประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าในที่สุด
“หนูวาดยังอยู่ดีรึ สมัยเจ้า”
“อยู่ดีครับ ยายหนูวาดอายุยืน และก็แข็งแรงทีเดียว”
“แล้วหลานชั้นออกเรือนไปกับผู้ใดกันเล่า”
“คุณตาผมเป็นพ่อค้าชาวจีนครับ”
“หา!!! อะไรกัน” ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ทำให้คุณชั้นตกใจเท่ากับการบอกว่าหนูหวาดแต่งงานกับคนจีน
“เวรกรรมแท้ๆ หนูวาดเอ้ย”
“ไม่ใช่เวรกรรมหรอกครับ คุณตาผมเป็นเศรษฐีชาวจีนที่มาค้าขายในสยามจนร่ำรวย คุณยายสุขสบายและมีความสุขมากครับ”
ถึงเธอจะถอนหายใจเบาๆออกมา แต่ก็ยังคงแสดงอาการห่วงใยในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“เอาหล่ะ เราหมดธุระจักคุยกับเจ้าแล้ว ออกไปได้” เธอว่า

ผมยกมือลา ก่อนจะลุกขึ้น
“อ้อ แล้วถ้าอยากจะมาเรียนสำรับกับข้าวก็มาได้นะ” เธอว่า ผมได้แต่ยิ้มรับ แต่ในใจนั้นกลับหม่นหมอง เพราะไม่รู้ว่าหลังจากโดนไล่ออกจากเรือนหมอปีย์แล้ว จะต้องไปอยู่ไหน

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
คืนนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ จะไปดูชิงร้อยชิงล้าน  อิๆ ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายของข้าพเจ้านะครับ :z2: :bye2:

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
หงะ :sad4:แล้วเจอกันอีกน่ะหมอปีย์

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22

Crossley

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้คุณชั้นน่ารักจัง นึกถึงผู้ใหญ่ปากร้ายใจดีเลย :man1:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เยอะจุใจสมการรอคอยค่ะ

ลุ้น อยากให้ลงเอยแฮปปี้อ่ะ  :monkeysad:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
หง่ะ!!  o22 กำลังค้างเลยอ่ะ

ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาอ่านต่อก็ได้

ออฟไลน์ savada

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
งะ  อย่าไล่กันน้าแค่นี้โอปอกะแย่แล้ววว   แงแง 

กลัวเศร้าง่าาาา

Smilelimsminy

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ CheeTah

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
สงสารพ่ออัชย์ถ้าต้องถูกไล่จากเรือนหมอจรัสแล้วหมอปีย์ล่ะ จะทำยังไง :sad4:

ออฟไลน์ celegana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กำลังสนุกเลยอ่าาา :sad4:  อ่านไปลุ้นไป ไว้เดี๋ยวมาตามต่อนะคะ  :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ sweetyYY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-9
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด (ยังไม่อ่าน แต่เม้นก่อน) 55

มาเยอะเลยนะคะรอบนี้ สมกับที่รอคอยมานาน

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
ลุ้นมากมายเลยทีเดียว
อ่านจนแทบลืมหายใจ
แต่จะว่าไปการอ่านกลอนบท...รัก
มันก็ให้อารมณ์...ได้ดีเหมือนกันนะครับ :o8:
ขอบคุณครับ :L2:และจะติดตามจนจบครับ

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
หมอจรัส  ทำไมดูแล้งน้ำใจจัง

PAAPAENG~

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ากกกกกกกกกกก!!
บอกรักกันแล้ว  ได้กันแล้ว!!!
อ๊ากกกกดกกดกกก!!
ดีใจจนน้ำตาไหล  555
คุณชั้นก็ยอมรับแล้ว  แต่หมอจรัสกำลังจะไล่ออกจากบ้าน
ไม่เอาอ่ะ  หมอปีย์ต้องช่วยพ่ออัชช์นะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ  ขอเยอะๆแบบนี้อีกนะ  :)

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
รออ่านต่อ คึคึ เรื่องนี้ไม่พลาดแน่ๆ...รอตอนจบอยู่จ้า
กำลังลุ้นว่าหมดจรัสจะทำไง แล้วพ่ออัชย์กับหมอปรีย์จะเป็นไงต่อไปหว่า ลุ้น!!!!!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด