คำร้องขอคำนั้นของหมอปีย์ทำให้ผมน้ำตารื้อไปเหมือนกัน สิ่งที่หมอปีย์พูดแสดงถึงอาการสิ้นหวัง และต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้างจริงๆ การที่เขารู้สึกอย่างนั้นก็คงจะแย่มากพอแล้ว นี่ยังรู้สึกว่าต้องต่อสู้เพียงลำพังในกรอบวัฒนธรรมที่ปิดกั้นทุกวิถีทาง ยิ่งทำให้เขาเหมือนถูกทิ้งหนักเข้าไปอีก
“เอาเถอะหมอ อย่าเพิ่งไปพูดถึงมันเลยนะ” ผมเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มจะอึดอัด
“ชั้นเองก็มีเรื่องติดอยู่ในใจเหมือนกัน เรื่องหมอจรัส”
“กระไรรึ” หมอปีย์ถาม
“นายพอรู้มั๊ยว่า หมอจรัสอยากให้ชั้นช่วยงานอะไร”
“รอให้ท่านบอกเจ้าเองจักดีกว่า อีกไม่นานหรอกพ่ออัชย์”
เขายิ้มออกมาได้ในที่สุด
“เจ้าไม่ทำงานแล้วรึ” หมอปีย์หันมาถาม
“ไม่แล้ว ก็นายมัวแต่ชวนคุย”
“แล้วจักทำอะไรเล่า ยามนี้”
“ทำอะไรเหรอ” ผมเป็นฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์บ้าง “แหม มีคนมาหาถึงห้อง ปลาทูมาหาแมว อย่างนี้แมวจะปล่อยไปได้ยังไง” พลางยื่นมือไปบีบแก้มหมอ เขาหัวเราะคิกคักอยู่ในคอ
“เวลาเจ้าแสร้งทำแววตาเยี่ยงนี้แล้ว ดูไม่เหมือนเจ้าบ้าเลย” เขาหัวเราะเขินๆ
“ทำไม แล้วเหมือนอะไร”
“เหมือนคนหื่นกระเหี้ยนกระหือรือมากกว่า”
“อ้าว ก็ได้ ถ้างั้นไม่ทำอะไรก็ได้ กลับห้องไปดิ ชั้นจะนอนแล้ว”
“อืม” หมอปีย์ พยักหน้า พลางลุกขึ้น ผมตกใจไม่คิดว่าเขาจะออกไปจริงๆจึงจับมือเขาไว้
“จะไปจริงเหรอหมอ”
“อืม”
“จริงอ่ะ”
“อื้ม”
“หมอจรัสไม่อยู่ไม่ใช่รึ มานี่เถอะ อย่าเล่นตัว” ผมดึงหมอเข้ามา
แล้วหลังจากนั้น หมอปีย์กับผมก็เริงร่าอยู่ในโลกที่เราสร้างขึ้น. ลืมเรื่องราวที่เราทั้งคู่กังวลใจ แล้วแหวกว่ายไปมาในห้วงทะเลอารมณ์............เพียงแค่เราเท่านั้นในโลกแห่งนี้...เพียงแค่เรา...........จริงๆ