เสียงจักจั่นเรไรร้องกันลั่นทุ่ง พื้นหญ้าที่ผมเหยียบนั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำค้าง แสงจันทร์สาดแสงนำทางให้เห็นยอดต้นตาลไกลๆอย่างชัดเจน เงาของสองคนนั้นพาดมาทางด้านหน้า
ผมเดินตามหลังสองคนนั้น ที่เดินกันอย่างเงียบๆ ภาพของหมอปีย์และคำแก้วนั้น ช่างเป็นภาพที่แสนจะธรรมดา ก็แค่ผู้ชายกับผู้หญิงเดินห่างกันเกือบโยชน์ แต่ทำไมในใจผมมันหวิวๆยังไงไม่รู้ มันเหมือนเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดกับผมมาก่อน หรือไม่อย่างนั้นถ้าผมตอบตัวเองแบบไม่โกหก ผมรู้สึกว่าหมอปีย์เปลี่ยนไปเพราะผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ และผมไม่ชอบให้ใครมาแย่งเพื่อนของผมไปแบบนั้น
“อึ อึ อึ” จู่ๆผมก็กระทืบเงาของหมอปีย์ที่พาดผ่านพื้นหญ้า นายนหันมามอง
“เป็นอะไรไปอีกรึเจ้าบ้า”
“ป่าวพยาธิมันไชเท้านะ เนี๊ยะคันยิบๆ” ผมแกล้งยกเท้าขึ้นมา
“ไหนกันเล่า ให้ข้าดูสิ” สนทำท่าจะจับขาผม หมอปีย์หันมามองด้วยหางตา
“อ้ายสน มึงเป็นขี้ข้าใครกันแน่” แสงหมอปีย์คำรามในลำคอ สนก้มหน้า ผละออกมาจากผม
“โอ้ย คันเว้ย คัน คัน คัน” ผมกระทืบเงาของหมอบ้านั่นอย่างเมามันส์ จนคำแก้วหันมามอง
เราทั้งสี่คนเดินเข้าใกล้งานมากขึ้น ชาวบ้านหลายคนเดินนำหน้าพวกเรา พวกเขาหัวเราะกันคิกคักๆ ผิดกับพวกเราที่ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวเงียบจนวังเวง
คำแก้วนั้นดูเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยและมักจะเขินอายทุกครั้งที่หมอปีย์เรียกชื่อเธอ ผมไม่ได้ใส่ใจคนคู่นั้นหรอกนะ เพียงแต่มันอดไม่ได้ที่จะมอง
ก็แหม
ก็เค้าเดินอยู่ข้างหน้านี่นา จะไม่ให้มองได้ยังไง
“เจ้าบ้า” สนเรียกผม ผมได้ยิน แต่ทำไมหนอสติถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เจ้าบ้า” มันเรียกอีกครั้ง
“หา ว่าไง” ผมสะดุ้งละสายตาจากคนคู่นั้นมาหาสน
“เจ้าจะไปขายของกับแม่ข้าหรือไปกับคุณหลวง”
มันถาม แน่นอนไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ไปกับนายนั่นแหละ ชั้นจะไปเป็นก้างขวางคอคู่นั้นเขาทำไม”
เมื่อไปถึงงานเราทั้งคู่เดินลอดผ่านซุ้มที่ทำด้วยทางมะพร้าวนำมาดัดโค้ง ประดับด้วยกระดาษสีสันต่างๆและดอกเฟื่องฟ้าช่องาม ทางเข้างานทั้งสองข้างเต็มไปด้วยร้านขายของกิน ของเล่น เครื่องประดับ และผ้าทองามๆจากหัวเมืองต่างๆ
คืนนั้นลมหนาวเริ่มพัดเข้ามาเป็นวูบๆ แต่ก็ให้บรรยากาศสบายไปอีกแบบ
หมอปีย์นั้นมักจะชี้ชวนให้คำแก้วดูโน่นดูนี่อยู่เสมอ ส่วนผมก็เดินดูของไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนตัวคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ หมาหัวเน่า ประมาณนั้นแหละนะ
“คุณหลวงขอรับ กระผมกับเจ้าบ้าขอตัวไปช่วยแม่ของกระผมขายขนมก่อนนะขอรับ” สนเดินไปบอกกับหมอปีย์
“จักไปแล้วรึ” เขาทำท่าครุ่นคิด
“เราเอ่อ เราอยากไปดูงิ้วจีนที่เจ้าบอกน่ะ แต่ไม่รู้อยู่หนใด พาเราไปหน่อยสิ” หมอปีย์พูด สรุปทั้งผมและสนก็ต้องเดินแม่งไปส่งให้ผัวเมียคู่นี้ไปดูงิ้วอีก
“ไปไม่ถูก พูดมาได้ไงวะ นี่มันบ้านเมืองมันแท้ๆ ทีกูหลงภพหลงยุคมายังเดินซะว่อนงานเลย โด่ ไอ่ ไอ่ตัวปัญหา” ผมบ่นพึมพำๆอยู่คนเดียวเพราะอดขัดใจไม่ได้
ก็จะอะไรกันนักกันหนาหล่ะ กะอีแค่เดินไปดูงิ้ว มันจะยากอะไรกันวะ เป็นถึงหมอ ก็ตามเสียงกลองเสียงฉาบไปนั่นไง ออกจะดัง
ผมเดินหน้าเป็นตูดตามสนไปส่งไอ้หมอเรื่องเยอะนั่น เสียเวลาไปช่วยแม่สนมันขายขนมหมด เดินไปไม่เท่าไหร่เองก็เจอชาวบ้านยืนล้อมกันหนาตา เสียงร้องงิ้วแหลมแสบหูดังมาจากด้านใน แน่นอนว่าถึงโรงงิ้วแล้ว
ชาวบ้านต่างตื่นตาตื่นใจที่ได้ชมงิ้วกัน งิ้วคงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับชาวบ้านสมัยนั้นมั้ง พวกเขาถึงยอมเบียดเสียดกันดูขนาดนี้
“มาส่งแล้วก็กลับกันเถอะว่ะ สน” ผมเซ้าซี้ หมอปีย์คงได้ยินที่ผมพูดเขาหันมาค้อนผมตาเขียว
“งั้นกระผมไปนะขอรับ” สนตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงกลองและเสียงฉาบ
หมอนั่นไม่พูดอะไร สนยืนรอให้เจ้านายมันขออนุญาติก่อน จนผมหงุดหงิด
“เฮ้ย หมอ จะเอายังไง จะให้ไปรึยัง” ผมทนไม่ไหว คำแก้วหันมามองสีหน้าตกใจ
หมอปีย์ยังไม่ตอบอีก ผมตะโกนถามไปอีกครั้งแข่งกับเสียงกลองที่ดังขึ้นดังขึ้น
“จะเอายังไงหา จะให้ไปได้รึยัง”
“ตูม!!!!!” จู่ๆเสียงระเบิดก็ดังขึ้นจนพื้นดินสะเทือน เสียงงิ้วเงียบลง ชาวบ้านเงียบแต่สีหน้าของพวกเขาตื่นกลัว
“ตูม!!!!” แล้วเสียงตูมก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้นั้นเสียงตูมได้นำพาเสียงหวีดร้องของผู้คนที่แตกตื่น เสียงแห่งความโกลาหลอลม่าน ระคนเสียงตูมใหญ่อีกครั้ง
ครั้งที่สามนี่เองที่ผู้คนเริ่มแตกตื่นลุกฮือขึ้นและพากันวิ่งหนี เหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เราทั้งสี่คนนั้นยืนอยู่วงล้อมรอบนอก แต่คลื่นผู้คนที่แตกตื่นกำลังถาโถมเข้ามาหาทางที่พวกเรายืนอยู่
ไม่รอช้าก่อนที่เราทั้งหมดจะถูกชาวบ้านที่ตกใจเหยียบตาย หมอปีย์คว้าข้อมือผมหมับ
มือของเขาเย็นเฉียบจนผมรู้สึกได้
ผมก้มลงมองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าหมอนั่นด้วยความแปลกใจ
ทำไมจู่ๆเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา ทำไมมันถึงได้คว้าข้อมือผม แทนที่จะคว้าแขนของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขา คนที่เขารัก
ทำไมต้องเป็นผม
แต่ไม่ทันที่ความสงสัยของผมจะได้คำตอบ คลื่นแห่งความหายนะของผู้คนที่แตกตื่นนั้นกำลังพุ่งเข้ามาหาเรา ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ถูกฝูงชนเบียดจนออกห่างมาจากสน และคำแก้ว แต่มือของหมอปีย์ยังคงกำข้อมือผมแน่น
ผมชะเง้อมองสนและคำแก้ว หมอปีย์เองก็เหมือนจะได้สติ เขาเขย่งเท้ามองหาคำแก้วคู่หมั้นของเขา แต่สายไปเสียแล้ว เขาไม่สามารถฝ่าฝูงชนที่แตกตื่นกระเจิงเข้าไปช่วยเธอได้
“อ้ายสน พาคำแก้วกลับบ้านไป เราฝากคำแก้วด้วย” สีหน้าสนเองนั้นตื่นตกใจไม่แพ้กัน แต่พอได้ยินคำของหมอปีย์ เขาก็ได้สติและรู้ว่าต้องทำยังไง เขาพาคำแก้ววิ่งออกไปทางหลังโรงงิ้ว ผมหันมองทั้งคู่เป็นระยะๆในขณะที่ตัวเองก็ต้องวิ่งหนีออกมาก่อนจะถูกชาวบ้านเหยียบ
เสียงระเบิดตูมๆนั้นหายเงียบไป ผู้คนเริ่มอยู่ในความสงบมากขึ้น พวกเขาต่างหอบเหนื่อยและสีหน้าซีดเผือด ต่างคนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานาว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆถึงได้มีเสียงระเบีดขึ้นมา
บางคนบอกว่า
“ข้าเห็นลูกไฟลอยมาจากฟ้า ก่อนจะมาตกที่หลังโรงงิ้วนั่นแน่ะ”
แต่บางคนแย้งว่า
“ไม่ใช่เสียหน่อย ที่ข้าเห็นน่ะ ข้าเห็นพวกพม่ามันคาดหัวมาซุ้มอยู่ที่หลังโรงงิ้ว”
ชาวบ้านต่างโจษจันกันไปต่างๆนานา
ผมกับหมอปีย์รวมถึงชาวบ้านอีกหลายคนวิ่งออกมาไกลจนเกือบท้ายงาน ผมนั้นยืนหอบอยู่ใต้ไทรใหญ่ ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก ตกใจ 555 ปอดแหก เพราะนึกว่าเจอข้าศึกบุกจริงๆนะนั่น
ผมจำได้ตอนเรียนประวัติศาสตร์สมัย ม.ต้น ครูสอนเรื่องบางระจัน เราก็จินตนาการถึงการออกรบ ต้องจับดาบฟันกับพม่า แล้วผมเป็นพวกปอดแหก นึกไปว่า โห แม่งยิงกันยังดีซะกว่า เล่นฟันกันนี่เจ็บแย่
ลองนึกดูจู่ๆใครก็ไม่รู้เอาดาบคมๆมาฟันแขนเรา คมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่คมด้วย ขึ้นสนิมด้วย บรื๋อ
เจ็บนะนั่นน่ะ แต่ไม่ถึงตาย แล้วถ้าโดนแทงเข้าไปอีก ฉึก โอย เลือดออก โดนฟันที่หลังอีก
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย ยิงกูเถ๊อะ” ผมตะโกนร้องลั่นเมื่อเก็บเอาเรื่องนี้ไปฝัน
พอวันนี้มันเกิดเสียงระเบิดขึ้นตูมตามใจมันก็เลยพาลคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
“ตกใจมากรึ เจ้าบ้า” หมอปีย์เขย่าแขนผม จนผมได้สติ
“หา หา อ๋อ เอ่อ ป่าวๆ” ผมละล่ำละลักตอบ รู้สึกเปียกที่ข้อมือก้มลงไปมอง
“หมอ ปล่อยแขนชั้นได้รึยัง มันเปียก”
หมอทำหน้าเล๋อล๋า ก่อนจะรีบปล่อยแขนผม
“แล้วนี่ทำไมตกใจแล้วมาคว้าแขนชั้นหล่ะ ทำไมไม่คว้าแขนแฟนนาย คำแก้วอ่ะ ป่านนี้ไปไหนถึงไหนแล้ว”
หมอปีย์ไม่ตอบอะไร
“แมนจริงๆเล้ย”
ผู้คนยังคงตื่นตกใจทำอะไรกันไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันดี จะเข้าไปข้างในงานต่อ หรือกลับบ้าน พวกเขานั่งลงรอให้เหตุการณ์มันผ่านไปสักพักใหญ่ก่อน บางคนรอไม่ไหวพาลูกหลานที่ร้องไห้โยด้วยความตกใจกลับบ้าน
สักพักใหญ่ก็มีชายที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสองสามเดินมาที่กลุ่มพวกเรา พวกเขายิ้มแหยๆ นั่นยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปใหญ่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สรุปก็คือ ชายสามคนนั่นเดินมาบอกว่า ไม่ต้องตกใจ
“เชี่ย กูตกใจเยี่ยวเล็ดไปแล้ว เสือกมาบอกว่าไม่ต้องตกใจ” ผมคิด
พวกเขาแจ้งว่า พอดีปีนี้เป็นปีฉลองใหญ่ หลวงท่านก็เลยโปรดให้จุดปืนใหญ่เป็นการเฉลิมฉลอง
“ฮ่วย แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า นี่ถ้ามีใครหัวใจวายตายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ” ผมคิดอีกแล้ว ไม่กล้าพูด กลัวโดนจับขังคุกเหมือนครั้งนั้นอีก ไม่ไหว
เมื่อบรรยากาศคลี่คลายลงชาวบ้านก็ทะยอยเดินเข้างานกันด้วยความโล่งอก
เหลือผมกับหมอปีย์ที่นั่งมองหน้า ไม่รู้จะเอายังไงกันดี
“จะเอายังไงอ่ะ” ผมถาม
หมอนั่นหันมามองหน้าผมหน้าตาตื่น
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรเล่า” เขาตอบ
“อ่าว งั้นก็กลับบ้านสิ อยู่ทำไม แฟนนายก็กลับไปแล้วนี่” ผมลุกขึ้น ทำท่าจะเดิน
“แต่เรายังไม่อยากกลับนี่” หมอนั่นลุกขึ้นตาม “ถ้าเจ้ามิรังเกียจ อยู่เที่ยวเป็นเพื่อนเราก่อนได้หรือไม่”
แววตาของหมอนั่นดูเว้าวอนและบีบคั้นหัวใจผมมาก แววตาคู่นี้ของมันเป็นคนละคู่กับแววตาที่คอยจับผิดคู่นั้น
ถึงผมจะโกรธมันแค่ไหน แต่พอเห็นแววตาคู่นี้พร้อมกับคำพูดอ้อนวอนซื่อๆของมันแล้วนั้น มีหรือผมจะใจแข็ง
“อ่ะ อ่ะ ก็ได้ๆ นี่ถือว่าสงสารนะเนี๊ยะ” ผมพูด สีหน้าแสดงความรำคาญ แต่พอหันหลังกลับทำไมจึงเผลอยิ้มออกไปก็ไม่รู้
“ขอบใจเจ้ามากนะเจ้าบ้า นานแล้วที่เราไม่เคยออกมาเที่ยวงานภูเขาทอง” เขาพรรณนาให้ผมฟังขณะที่เรากำลังเดินเข้าไปในงานใหม่
ผมรู้สึกว่าเรากำลังย้อนเวลากลับมาใหม่ ย้อนไปยังจุดที่ผมไม่อยากให้คำแก้วมาด้วย จุดที่ผมอยากเดินเที่ยวแค่มันกับผม ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ผมแอบคิดอยู่ลึกๆในใจจะเกิดขึ้นจริง เฟี้ยววววววววววววววว
“ยิ้มอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบ้า” หมอปีย์พูด เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม ผมสะดุ้งโหยง หุบยิ้มเกือบไม่ทัน
“ปล่าวๆ ยิ้มอะไร ใครยิ้ม นี่ไม่ได้ได้ยิ้มนะ”แก้ตัวๆ
“เราหิวแล้วน่ะ” หมอปีย์ลูบท้อง
“อ่าว หิวก็หาอะไรกินเอาเองสิ ของกินเยอะแยะ มาบอกชั้นทำไม”
“ก็เจ้าเที่ยวที่นี่เสียช่ำชองแล้วนี่ นะเจ้าบ้า พาเราไปหาของอร่อยๆกินหน่อยเถิด” หมอปีย์ส่งสายตาแบบนั้นมาอีกแล้ว
“อะ อะ ก็ได้ อะไรกันนักกันหนา” ผมอมยิ้ม “ เดี๋ยวจะพาไปกินขนมเบื้องเจ้าอร่อย รับรอง จะติดใจ”
หมอนั่นทำท่าตื่นเต้น
ผมพาหมอปีย์แทรกผ่านผู้คนที่เริ่มกลับมาเดินกันคึกคักเหมือนเดิม หมอนั่นเดินตามหลังผมมาติดๆ จนในที่สุดเราก็มาถึงร้านของแม่สนที่กำลังวุ่นวายกับลูกค้าที่รุมอยู่หน้าร้านเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปทักทาย แม่ของสนบอกว่า
“มาก็ดีแล้วเอ็งน่ะ ข้ากำลังยุ่งอยู่พอดี อ้ายสนมันก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ไม่มาช่วยข้า” หล่อนก้มหน้าก้มตาคลึงแป้งลงบนกะทะเหล็ก
“อ้าว นั่นพาใครมาละนั่นนะ เข้ามาๆพ่อหนุ่ม มาช่วยคนแป้งให้หน่อย เร่งเข้า” แม่ของสนแกไม่รู้จักหมอปีย์หรือไงนะ ทำไมถึงกล้าสั่งหมอนั่น ผมยังไม่ทันจะอ้าปากอธิบายอะไร แกก็ดึงทั้งหมอปีย์และผมเข้ามาหลังร้าน
เรามองหน้ากัน แต่หมอปีย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร จับกระบวยก่อนจะหันมาพูดกับผม
“เจ้าคอยดูเรานะ เจ้าบ้า เราจักคนแป้งนี้ให้เสร็จ ชั่วเพลาแค่เคี้ยวหมาก” เขายิ้มโอ้อวด ก่อนจะลงแรงทั้งหมดคนแป้งที่อยู่ในอ่าง แต่ด้วยความที่แรงเขามากเกิน แป้งที่อยู่ในอ่างจึงกระฉอกออกมาเลอะเทอะไปหมด
“อ้าวๆ เจ้านี่ พาลจักทำให้ขนมข้าเสียหมดแล้วมั๊ยล่ะ เบาๆมือหน่อยเถิด” แม่ของสนเอ็ด
“ไอ้หมอเอ้ย เป็นหมอไปน่ะดีแล้ว มานี่ชั้นทำเอง” ผมดึงกระบวยมาจากมือมัน ก่อนจะไล่ให้มันไปช่วยขูดมะพร้าวห้าว
ท่าทีเก้เก้กังกังนั้นทำเอาผมขำอยู่หลายยก
“ทำเยี่ยงไรกันเจ้าบ้า” มันหันมากระซิบผม สงสัยคงอาย
“เฮ้อ” ผมส่ายหัว “มานี่มา ทำแบบนี้” ผมนั่งลงใกล้ๆมันใช้มือขวาจับมือของหมอปีย์ กำมันจนแน่น ก่อนจะค่อยๆบังคับมือของเขาขึ้นลงตามจังหวะ จนเส้นมะพร้าวหลุดร่อนออกมา
“เห็นป่าวหล่ะ ไม่เห็นจะยาก มันก็เหมือนกับการที่นาย....................” ผมพูดไปเรื่อยๆตามประสาผม โดยที่ไม่สังเกตุเลยว่าหมอนั่นนั่งมองหน้าผมและเผลอยิ้มออกมา
“เนี๊ยะแค่นี้อ่ะ ง่ายมั๊ย” ผมลุกขึ้นยืน มันยิ้มให้ในทีว่าเข้าใจ
“มองอะไร”
“เจ้านี่เก่งนะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ จิ๊บๆ” ผมหัวเราะ ก่อนจะหันไปช่วยแม่ของสนที่ตอนนี้ก้มหน้าเกือบจะนาบไปกับกะทะอยู่แล้ว
ชาวบ้านที่มุงอยู่อย่างหนาแน่นเมื่อครู่ เริ่มบางตาลง ผมเริ่มมีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น แต่ก็ไม่เหนื่อยหรอกนะ การได้ทำอาหารแล้วมีลูกค้ารอคิวซื้ออย่างใจจดใจจ่อ มันไม่เหนื่อยเลย ตรงกันข้าม เรายิ่งกลับมีกำลังใจที่จะทำอาหารให้พวกเขาได้กินอย่างสุดฝีมือที่สุด
เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าของผมเริ่มไหลปร่า ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
“เอา รับนี่ไว้สิ เจ้าบ้า” หมอปีย์ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวมาให้ผม ผมเงยขึ้นไปมอง โอ้ว มันช่างเหมือนในหนังเกาหลีที่ผมเคยดูตอนเช้าวันอาทิตย์เลย
“ถุ้ย คิดอะไรของมึง ไอ้ปอ” ผมเรียกสติตัวเองคืนมาเมื่อเห็นว่าเริ่มเคลิ้มไปกับแววตาคู่นั้นของไอ้หมอบ้านั่นเสียแล้ว
“เออ ขอบใจนะ แต่...........ไม่ต้อง” ผมปฏิเสธน้ำใจของหมอปีย์ด้วยการยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้า หมอนั่นหน้าเสียไปนิดนึง แต่เขาก็ฝืนยิ้มขึ้นมาอีก
“เจ้าบ้า” เขานั่งลงมาใกล้ผม
“เจ้าบ้า”
“อะไร เรียกทำไม” ผมหันมาทำท่าหงุดหงิดใส่
“เราหิว”
โอ้ยยยยย ลืมไปสนิทเลย หมอไม่ได้กินข้าวมาเลยตั้งแต่เย็นนี่นา แล้วนี่กี่โมงกี่ยามกันแล้วเนี๊ยะ
“เออๆ ชั้นขอโทษ เดี๋ยวชั้นบอกให้ป้าแกทำขนมให้นะ”
“เจ้าบ้า” หมอฉุดมือผมไว้ขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้น ผมหันไปมอง ส่งแววตาเป็นเครื่องหมายคำถามว่า “มีอะไรกับกูอีก”
“เราอยากกินฝีมือเจ้า” โอ้ว อารมณ์หนังเกาหลีมาพร้อมแววตาออดอ้อนแบบนั้นอีกแล้ว
“ไม่ ไม่ ชั้นจะไม่หลงกลเอ็ง ไอ้หมอบ้า ไม่ ไม่” ผมท่องในใจหลังจากสลัดมือจากหมอนั่น
“ป้า ป้า ทำขนมให้ชิ้นดิ” ผมร้องขอให้แม่นายสนช่วยด้วยแววตาล่องลอยเหมือนโดนของ ในขณะที่จิตใจผมยังถูกตรึงอยู่กับแววตาคู่นั้นของหมอปีย์
“พ่อหนุ่มเอ้ย ให้ป้าได้นั่งสักประเดี่ยวก่อนเถิด เหนื่อยสายตัวแทบขาด เอ็งอยากกินอันใด จัดหาเอาตามใจเถิด”
แม่สนล้มตัวลงนั่งอย่างหมดแรงทันทีที่ลูกค้าคนสุดท้ายเดินจากไป ข้อดีอีกอย่างที่ผมได้จากการมาเป็นลูกมือแม่ของสนในครั้งนี้คือ ไม่ว่าเราจะเหนื่อยแค่ไหน สิ่งสำคัญที่เราต้องมีให้ลูกค้าทันทีที่เขาก้าวเข้ามาที่ร้านนั่นคือรอยยิ้ม แม่ของสนยิ้มให้ชาวบ้านทุกคนที่มาซื้อขนม ไม่สิ ที่เดินผ่านร้านเลยก็ว่าได้
แม่ค้าบางคนอาจคิดว่าจะยิ้มอะไรกันนักหนา เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าลูกค้าเข้ามาเขาไม่รู้หรอกว่าเราเหนื่อย เราเป็นอะไร เขาไม่สนใจหรอก เขาเข้ามาเพราะเขาอยากกินฝีมือเรา และพร้อมจะเอาเงินมาให้ เพราะฉะนั้น รอยยิ้มคือสิ่งแทนคำขอบคุณสิ่งแรกที่เราจะสามารถมอบให้ลูกค้าได้
แต่ตอนนี้ แม่ค้าคนเก่งของผมนั่งหายใจหอบแฮกๆอยู่ข้างเตาเสียแล้ว
ทำไงได้ ไม่มีใครทำ ทำให้หมอนั่นกินเองก็ได้
ผมยื่นมือไปหยิบแป้งมาก่อนจะใช้กระบวยตัก
“เป็นขี้ข้ามึงรึไง สั่งอยู่ได้” ผมบ่น แต่มือก็ยังทำให้
“แฟนตัวเองก็มี ไม่ใช้ เสือกไล่กลับบ้าน” แป้งถูกวนจนเป็นวงกลมอย่างชำนาญ แต่สงสัยจะวนเพลินไปหน่อย มันเลยบานซะ
“อย่างงี้มันน่าแกล้งซะให้เข็ด” แล้วแผนชั่วร้ายของผมก็เกิดขึ้นในสมอง ผมเหล่ไปมองหมอนั่นหน่อยนึงก่อนจะลงมือละเลงอะไรต่อมิอะไรลงในแผ่นขนมที่กำลังส่งเสียงกรอบแกรบๆ
“ใส่พริกไทยลงไป น้ำปลา นี่ๆโรยฝอยทอง มะพร้าวๆ กุ้ง มีอะไรก็ ใส่ใส่ลงไป” ผมเลียนเสียงอาจารย์ยิ่งศักดิ์เบาๆ โยนอะไรต่อมิอะไรลงไปอย่างเมามันส์
“อ่ะ เสร็จและ” ผมยิ้มพร้อมยื่นขนมที่ไอร้อนกรุ่นๆขึ้นมาส่งกลิ่นหอม หอมแบบแปลกๆ
“ขอบใจเจ้ามาก” หมอปีย์ยิ้ม ก่อนจะค่อยๆรับมันมาอย่างเบามือ มองขนมอย่างชื่นชม
“กินเลยสิ กำลังร้อนๆ เดี๋ยวหายร้อนจะไม่อร่อยนะเว้ย” ผมคะยั้นคะยอ
“อืม เราจักกินฝีมือเจ้าประเดี๋ยวนี้แหละ” ว่าแล้วหมอปีย์ก็อ้าปากกว้าง กำขนมเบื้องส่งเข้าปาก ก่อนจะกัดหมับเข้าให้ แล้วเคี้ยว
เคี้ยว
เคี้ยว
เคี้ยว
“เป็นยังไงมั่ง” ผมกลั้นหัวเราะสุดกำลัง
“อืม...............” หมอนั่นทำท่าครุ่นคิด
“เป็นไง” ผมตื่นเต้น
“อืมเจ้าบ้า เราขออะไรเจ้าอย่างได้มั๊ย” เขาพูดขนมเต็มปาก
“อื้ม ว่ามาสิ”
“เราขอคายขนมเจ้าทิ้งได้รึไม่”
แค่นั้นแหละครับ ผมปล่อยหัวเราะคำใหญ่ออกมาอย่างสุดกลั้น นึกขำสีหน้ากระอักกระอ่วนของมันไม่ได้ มันพยายามจะกลืน แต่ก็กลืนไม่ลง เข้าทำนองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“อะไรนะ” ยังไม่หายสะใจ
“เราบอกว่า เราขอคายขนมเจ้าได้หรือไม่” หมอปีย์อ้อมแอ้มไม่เป็นภาษา แต่ผมเดาออกแหละว่ามันตั้งใจจะพูดอะไร เพียงแต่ยังสนุกอยู่
“นายพูดอะไรน่ะ ชั้นไม่รู้เรื่องเลย มันอู้อี้ๆ” ผมหัวเราะ
หมอปีย์มองผมอย่างไม่มีทางเลือก ในที่สุดเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะกลืนขนมที่ผมทำสุดฝีมือลงคอ
“เฮือก” และแล้วเขาก็กลืนมันสำเร็จ “เราจะบอกเจ้าว่า เราขอคายขนมเจ้าทิ้งได้หรือไม่” หมอปีย์ทำหน้าแหย
“อ๋อ โธ่ แล้วก็ไม่บอก” ผมหยุดหัวเราะ “อ้าวก็คายสิ มาบอกชั้นทำไม”
555 กวนเน๊อะ มันกลืนไปแล้วจะให้มันอ๊วกออกมาหรือไง หมอปีย์เหมือนรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้ง มันเลยมองหน้าผมเชิงรู้ทัน
“เจ้าแกล้งเราหรือ เจ้าบ้า” เขายิ้มมุมปาก
“ปล่าวนา ชั้นไม่ได้แกล้ง”
“เอาเถิด เชิญเจ้าสนุกไปเถิด มิต้องมาสงสารเราดอก ให้เราหิวตายไป เจ้าคงจะพึงใจมากกว่านี้” แล้วมันก็งอนตุ๊บป่อง หันหลังให้
“โอ้ หมอ หมอ ชั้นขอโทษ” ผมรีบปรี่เข้าไปง้อ กลัวมันโกรธแล้วไล่ออกจากบ้านจะเรื่องใหญ่
“อ่ะ นี่ ชั้นทำให้นายอันนี้ตะหาก นี่รับไปสิ”
หมอปีย์หันมามองท่าทางไม่ไว้ใจ
“กินได้จริงๆ ถ้าชั้นแกล้งนายอีก ชั้นขอรับโทษด้วยการกินมันเองทั้งหมด” ผมแสดงแววตามั่นใจให้มันเห็น
“แน่นะ”
“แน่สิ”
“ป้อนเราหน่อยสิ เราขูดมะพร้าวจนมือระบมไปหมดแล้ว” หมอปีย์แบมือให้ผมดู
“มึงจะบ้าเหรอ” ผมหน้าชาเพราะรู้สึกว่าเลือดมันสูบพุ่งขึ้นหน้า หันไปมองคนอื่น “รับไป ไม่รับชั้นจะทิ้งแล้วนะ”
หมอปีย์รับขนมจากมือผม
ไออุ่นของความรู้สึกประหลาดระคนแปลกใจไล่ปร่าจากนิ้วมือแล่นสู่หัวใจจนผมรู้สึกกลัว ความรู้สึกนี่คืออะไร มันเหมือนความรู้สึกที่ชาแปลบที่ปลายนิ้วก่อนจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ส่งผลให้เลือดไหลย้อนกลับไปที่ใบหน้าและใบหู มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจนผมต้องรีบปล่อยมือออกจากขนมจนขนมแทบหล่น
ผมถอยออกมานิดนึง ก่อนจะตั้งสติและนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่หนึ่งอย่างฉงน
“มันคืออะไร” ผมนึกถามตัวเอง
“อื้ม อร่อยมาก เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียกชื่อผม ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อครู่ รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้น ทำให้ผมลืมความรู้สึกตกใจเมื่อครู่ ผมยิ้มให้เขาอย่างโล่งอก ทำไมถึงต้องโล่งอกก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ผมดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น
“อื้ม อร่อยใช่มั๊ยหล่ะ ฝีมือชั้น” ผมยิ้มแต่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ