ตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดขึ้นจากไม้ขีดไฟที่พ่อบ้านที่นี่ทำขึ้นเอง การอยู่ที่นี่ทำให้ผมกลายเป็นคนรู้คุณค่าของอะไรอะไรหลายอย่างมากขึ้น
ยกตัวอย่างจากการจุดไฟ ที่นี่ไม้ขีดไฟเป็นสิ่งที่หายาก เพราะต้องไปหาซื้อจากพวกเจ๊กพวกจีนถึงในตลาดไกลออกไป พ่อบ้านที่นี่จึงต้องหาซื้อดินประสิวมาทำเอง
การจุดไฟแต่ละครั้งต้องระวังเป็นอย่างมากไม่ให้ไฟดับ เพราะถ้าดับไม้ถึงต้องจุดไม้ขีดอีกอัน เปลือง ในขณะที่ตอนอยู่บ้านแม่ผม ผมเปิดปิดสวิซไฟเป็นว่าเล่น
เดี๋ยวเปลี่ยนช่อง เดี๋ยวเปิดเพลง เดี๋ยวโน๊ตบุ๊ค ทุกอย่างง่ายไปหมด
หรือที่นี่หากแปรงฟันอาบน้ำ จะใช้กะลามะพร้าวรองน้ำอาบ ใช้ทีละขัน ผมเคยนับการอาบน้ำครั้งนึงใช้น้ำแค่ สิบห้าขันก็สะอาเอี่ยมแล้ว ในขณะที่ตอนอยู่บ้าน แปลงฟันทีผมเปิดน้ำทิ้งเป็นว่าเล่น
แสงไฟสว่างวาบขึ้นมาทันที ถึงจะไม่เจิดจ้าเท่าไฟนีออน แต่ก็สว่างพอให้เห็นเงาของตัวเองที่กำลังนอนก่ายหน้าผากคิดถึงสิ่งที่หมอปีย์พูดเมื่อสักครู่
"มันเป็นอะไรของมัน" ผมคิด
"ปังๆๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้ง
"ใคร"
"นอนรึยัง" เสียงชายหนุ่มดังขึ้น
"ถ้านอนแล้วกูจะพูดได้มั๊ย บ้ารึป่าว"
"เปิดประตูหน่อยเถิด พ่อ เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว"
ผมลุกขึ้นขมวดปมกางเกงให้แน่นขึ้น จัดที่จัดทางน้องให้เรียบร้อย
"แอ๊ดดดดดดดดดดด" เสียงประตูเปิดออก
"อ่าว หมอ มีอะไร" หมอปีย์ยืนถือตะเกียงยกขึ้นส่องหน้าตัวเอง หน้ามันเนี๊ยนเนียน คนอะไร
"ให้เราเข้าไปหน่อยเถิด"
ผมปล่อยให้หมอปีย์เดินเข้ามา เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้
"เจ้าจะนอนแล้วรึ"เขาถาม
"ยังหรอก นอนคิดอะไรเพลินๆ" ผมนั่งลงบนเตียงตรงข้ามมัน
"คิดเรื่องที่เราพูดเมื่อสักครู่หรือ"
"เปล่า ไหนล่ะ มีอะไร"
"เอ่อ เราแค่จะเข้ามาบอกเจ้าว่า เอ่อ............" มันอ้ำๆอึ้งๆอีกแล้ว เป็นนิสัยประจำมันไปละ
"นี่ จะเอ่อ อ่า อีกนานป่าววะ มีอะไรพูดตรงๆ เบื่อเว้ย" ผมรำคาญ
"เอ่อ เรื่องที่เราพูดกับเจ้าน่ะ ลืมไปเสียเถิดนะ อย่าคิดมาก"
"เรื่องอะไร" ผมทำไขสือ
"เรื่องนั้นแหละ"
"เรื่องนั้นน่ะเรื่องอะไร" ผมพยายามคาดคั้นให้มันพูด
"ก็เรื่องที่เราพยายามจะบอกเจ้านั่นแหละ" มันหลุดออกมา "อย่าคลางแคลงในตัวเราเลยนะพ่อ เราแค่ไม่เข้าใจตัวเองแค่นั้น"
"หึๆ อย่าพยายามเข้าใจจิตใจตัวเองเลย มันยากเกินไป สำหรับเรา ใจเป็นนาย เรามีหน้าที่ง่ายๆคือ แค่ทำตามใจสั่ง........แค่นั้น ง่ายป่ะ"
"แล้วหากสิ่งที่ใจสั่งมันผิดเล่า เจ้าจักทำตามมันอยู่หรือไม่"
"อะไรล่ะที่เรียกว่าผิด"
"ผิดที่เราว่าก็คือ ผิดจารีต ประเพณี ผิด เอ่อ......ธรรมชาติ"
"ก็ถ้าใจเจ้าว่าผิด มันก็ผิด แค่นั้น อย่าเยอะ"
"เฮ้อ..................." หมอปีย์ถอนหายใจ ดูเหมือนไม่บ่อยนักที่จะเห็นมันถอนหายใจ "เจ้าเคยบอกเราว่า บ้านเมืองเจ้ามี เอ่อ เรื่องชายมีจิตพิศวาสชายด้วยกันมากกระนั้นรึ"
"อ๋อ ใช่ๆ สมัยชั้นทุกอย่างอิสระเสรี เราเรียกความอิสระเสรีนั้นว่า "สิทธิ" คนยุคชั้น เอ่ะอ่ะ อะไรก็จะอ้างว่า มันสิทธิของชั้น พวกเขารับรู้แค่สิทธิของชั้น แต่ไม่เคยใส่ใจกับสิทธิของสาธารณะ เอาง่ายๆนะ เวลาดูหนังจะมีคนนั่งเล่นบีบี ไฟสาดหน้าคนอื่น พอถูกด่า เธอก็จะอ้างว่า นี่มันสิทธิของชั้น แต่เธอลืมไปว่า คนอื่นก็มีสิทธิที่จะดูหนังอย่างสงบเหมือนกัน นายพอเข้าใจมั๊ย"
มันส่ายหน้า
"ช่างเหอะ เอาเป็นว่า เรื่องความรักของชายกับชายก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของคนสองคน คนสมัยชั้นเขาไม่ยุ่ง ไม่สนใจหรอก"
"ช่างน่าอิจฉาบ้านเมืองเจ้าเสียจริง" มันเปรยเบาๆ
"จะอิจฉาทำไม นายอยากมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ" ผมแกล้งแซวไปเล่นๆ
"เอ่อ เปล่าเปล่า หาใช่อย่างนั้นไม่ เจ้าจงอย่าเข้าใจเราผิด ไม่ใช่ๆ" มันแก้ตัวพัลวัน
"อารายกัน แค่ล้อเล่นทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นด้วย โอ้ ดูดิๆ"
ผมลุกขึ้นไปใช้นิ้วจิ้มแก้มมัน
"อย่าสิ เจ้าบ้า" มันอายจริงๆ
"เฮ้ย หน้าแดงจริงนะเนี๊ยะ คิดอะไรกับกูป่าววะ"
"เจ้านี่มันลามปามเสียจริง เราไปนอนแล้ว" หมอนั่นทำท่าลุกขึ้นจะเดิน
"เฮ้ย เดี่ยวสิ" ผมตะโกน มันตกใจสะดุ้ง "เอ่อ อย่าเพิ่งไปได้ป่าว คือ เรานอนไม่หลับน่ะ"
"...................................."