![โอ้ ม้าย :sad4:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/sad4.gif)
วุ่นวายๆๆ บริษัทโดนไฟไหม้แหละ งืมๆ แต่มันไหม้จุดเดียวครับ ปัญหาคือน่าจะเทศบาลมั้งนะเค้าตรวจสอบอะไรไม่รู้วุ่นวายมาก สั่งให้พักกิจการไปก่อน โชคดีที่ไม่ได้มีแค่งานนั่งโต๊ะ ไม่งั้นมีขาดทุนแหง๋มๆเลย
สรุปวันอังคารก็ไม่ได้เข้าที่ทำงานละครับ แต่มีงานเข้ากว่า คือพ่อผมชวนผมไปเยี่ยมพี่สาวที่นอนป่วยที่กรุงเทพ ไปเยี่ยมก็มีเรื่องจะเล่าด้วย อันนี้ใบนึง
พอวันพฤหัส พี่โจก็คิดอะไรแผลงๆเพราะร้านพี่นากปิดวันหยุดยาว (กลัวโดนจับ เหอะๆ) เราเลยไปเที่ยวที่บ้านแม่ของผม หมายถึงจังหวัดอะครับ แต่ไปเที่ยวอีกที่ พี่โจให้แยกคู่วันนึง เพื่อให้ได้คุยกันแบบเปิดอก ฝั่งผมมีตัวผม ไอเดย์ กับพี่นาก อีกฝั่งก็นั่นแหละจับเอาเอง แฮะ่ๆๆ ส่วนหมอบ้ากับแบงค์กะจะชวนไป แต่ดูแล้วยังมีรอยร้าวอยู่เลยไม่ชวนครับ ส่วนพี่ริชกับพี่พานเค้าเลิฟกันแบบคนมีอายุ ไม่ยอมมาเล่นแบบเด็กๆกับพวกผม ผมกำลังนั่งเขียนบันทึกอยู่ คงจะพิมพ์อีกที เนอะ อันนี้อีกใบ
เกริ่นไปแล้วก็มาตามบันทึกหลักกันต่อ
***************************************************************************
บันทึกของคิม หน้าที่ 44 วรรคแรก
ค่ำคืนแห่งความเข้าใจผ่านไปด้วยความสุขสมของผมกับดิษ แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปเตรียมรับศึกใหญ่เรื่องการงานกันแล้วครับ ผมกับดิษเลยไปลาพ่อกับแม่ โดยวากดิษเอาพวกมาลัยมากราบขอขมาด้วย
“ ผมไม่ตั้งใจทำให้เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆครับพ่อเลี้ยง ” วากดิษมันพูดประโยคพวกนี้แทบทุกครั้ง
“ เฮ้อ เองก็เอาแต่คิดมาก ..... พูดตรงๆนะ ใจจริงข้าก็คิดให้เองสองคนดูแลกัน อย่างที่ข้าบอกไงข้าก็คิดจะหลอกใช้เองดูแลไอบ๊องนี่ แต่โตมามันดันเป็นแบบนี้ ”
“ ถามจริงเหอะ ผมกลับไปเอาหัวทิ่มดินใหม่จะดีไหมพ่อ ” พ่อของผมเอื้อมมือจะเขกหัวผม แต่นอนอยู่แบบนั้นมีหรือคิมจะไม่หนี ฮ่าๆๆ
“ เอามันมานี่ข้าวกล้อง ”
“ พ่อ ไม่เอาๆ .... โอ้ยยย ” สองพ่อลูกนั่นเค้าเข้ากันครับ พ่อผมป่วยจริงป่วยเล่นเนี่ย ฮุ้วว
“ ข้าวกล้อง กลับไปก็ดูแลพ่อดีๆนะลูก ” แม่ของผมพูดขึ้น
“ ครับแม่เลี้ยง ผมอยากดูแลให้มากกว่านี้ แต่มันยากแล้วครับ ” ช่วงนั้นผมเคยเล่าในใบแทรกไปแล้ว คือ พวกเราเข็นพ่อวากดิษไปเที่ยวที่ห้างด้วยกัน ท่านปิดจมูกมีถังช่วยหายใจ ตอนนี้พ่อท่านวากป่วยหนักเริ่มมีอาการหลงๆลืมๆ
“ คนน่ะเลือกเกิดก็ไม่ได้ เลือกตายก็ไม่ได้ เองคิดให้ได้นะข้าวกล้อง ” พ่อของผมพูดย้ำอีกครั้ง
“ ผมไปนะครับ ” วากดิษก้มกราบพ่อกับแม่ของผม
“ เออ ข้าขอคุยกับไอคิมมันหน่อยนะ ” วากดิษยิ้มๆก่อนจะเดินออกไปก่อน พ่อของผมเรียกผมไปใกล้ๆ โดยที่แม่ของผมขยับเข้ามาใกล้เหมือนกัน
“ โห สงสัยจะเป็นความลับนะ ” ผมแซว
“ ไม่เล่นเว้ย ไอคิม ...... พ่อของข้าวกล้องน่ะ คงอยู่ได้ไม่นาน ” ผมใจหายวาบเลย
“ ทำไมพ่อไม่คุยกับมันล่ะครับ ”
“ บอกมันจะมีประโยชน์อะไร เห็นอย่างนั้น ข้ามั่นใจว่าเกิดเรื่องจริงๆมันจะต้องเป็นหนักกว่าคนอื่น ” พ่อของผมให้แง่คิดครับ แต่ใจลึกๆของผมไม่คิดอย่างงั้นสิครับ ผมคิดว่าดิษไม่น่าจะเสียใจมากนัก เพราะสองคนนั้นไม่ถูกกัน
“ พ่อกับลูกมีอะไรที่อธิบายไม่ได้อยู่นะลูก ต่างครอบครัวจะต่างเหตุผล ” แต่พอแม่ของผมพูด ผมกลับคล้อยตามครับ เพราะครั้งนึงตอนที่พ่อยอมรับเรื่องที่ผมกับดิษคบกัน นั่นก็ทำให้ผมแปลกใจมากๆ
“ ดิษมันรักพ่อมัน ..... มันเคยต่อยคนที่ว่าพ่อมันเจ้าชู้ด้วยนะ ที่ไร่นี่แหละ ”
“ งั้นทำยังไงดีล่ะพ่อ ผมมีกันแค่สองคน ” แม่ของผมลูบไหล่ของผม
“ พูดแบบนั้นได้ยังไง ลูกแม่เป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้มีครอบครัวแล้วนะ ”
“ แม่อ่า อย่าล้อผมดิ ” เขินแม่ดิครับ คึคึคึคึ
“ ครอบครัวเองอาจจะเล็กกว่าคนอื่น แต่ก็คือครอบครัวนะคิม ” พ่อผมกินยาเข้มมาอีกละครับ
“ ผมเนี่ยนะมีครอบครัว มองไม่ออกเลย แฮะๆๆ ” ผมคงจะหัวเราะเศร้าไปครับ พ่อของผมพยายามจะลุกขึ้น
“ มานี่ มาพยุงข้า แล้วนั่นข้างๆ ” ผมทำตามที่พ่อสั่ง
“ คุณจะทำอะไรคะ ” แม่ของผมพูดกับพ่อผมเพราะมากครับ คือก็พูดมาเพราะมาตลอดนั้นแหละ อาจจะมีบ้างที่พ่อเรียกแม่ไม่เพราะ แต่เวลาคุยกันจะไม่มีคำหยาบให้ผมได้ยินเลย ทุกวันนี้ก็ยังคิดว่าผมไปติดคำหยาบมาจากไหน แฮ่
“ เองอาจจะมโนไปว่า ข้ามีครอบครัวใหญ่ มีลูกสี่คน มีพี่น้องมากมาย ไหนจะเพื่อน ไหนจะคนงาน แต่ความจริงแล้วข้ามีแค่แม่เองคนเดียว ” พ่อของผมพูดไป แม่ก็นั่งนิ่งๆครับ
“ ผมไม่ติดใจเรื่องลูกแล้วพ่อ ”
“ ข้ารู้ ที่เองเที่ยวมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ กับไปช่วยคนมากมาย มันก็ตอกย้ำอยู่ว่าลึกๆเองยังขาดเรื่องนี้ ” ผมนั่งตาปริบๆดิครับ พ่อของผมนี่ติดตามชีวิตผมไม่ห่างเลย
“ เรื่องอะไรพ่อ ”
“ ลูกต้องอยู่กันสองคนให้ได้ เพราะสุดท้ายจะมีกันแค่สองคนนะลูก ” แม่ของผมพูดบ้าง ตอนนี้หลายอย่างเริ่มจะสว่างบนหัวของผมแล้ว
“ ไปๆ ข้าจะนอนแล้ว ” ซึ้งหน่อยไม่ได้จริงๆคนนี้ แม่ของผมกับพ่อไม่เดินมาส่ง เพราะบอกว่าเดี๋ยวก็ต้องเจอกันอีก (ซึ่งทางบ้านผมถือเรื่องนี้นะครับ คือเจ้าบ้านไม่ก็ผัวหรือเมียต้องมาส่งแขกหรือคนที่จะไปไกลๆที่หน้าประตู ไม่งั้นจะมีเหตุให้ได้เจอกันอีก และจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่วันนั้นไม่มีใครคิด ซึ่งก็จะเล่าต่อไป)
พอลาพ่อกับแม่ พี่เคนมาส่งผมที่รถ ผมกับได้คุยกันอีกนิดหน่อยเรื่องทางบ้าน เพราะผมกลัวว่าพี่เคนจะไม่ชอบชีวิตในไร่ อาจมีคนคิดว่ามันง่ายนะ เป็นคนคุมไร่ แต่ความจริงมันหยุมหยิมและยุ่งยากมาก เรียกว่าถ้าเราไม่เป็นแค่อย่างเดียวก็อาจเกิดเรื่องเสียหายได้เลย
“ เฮีย ถ้างานไม่ราบรื่น อย่าลืมน้องคนนี้นะพี่ ” หลังจากคุยกันจบ ผมก็จับมือกับพี่เคน
“ พวกนี้บอกว่าพี่หน้าเหมือนพ่อ แกหน้าเหมือนแม่ สงสัยจะจริง ...... น่ารักอยู่นะน้องกูเนี่ย ”
“ แล้วเฮียไปบ้าตามไอข้าวกล้องทำไม ฮุ้ววว ” หลังๆนี้ผมชักมีน้ำโหละครับ วากบ้าชอบถามนำคนอื่นว่าผมน่ารักไหม คนตอบเค้าก็ต้องตอบน่ารักดิ ฮึ่ยยย
“ ฮ่าๆ เอาเถอะ ไปลาพ่อกับแม่แล้วกลับเถอะ พี่ก็จะรีบไปจัดการตัวเอง แล้วค่อยมาเจอกันที่นี่ ” พี่เคนหมายถึงวันที่พ่ออาการดีขึ้นกว่านี้ เราพี่น้องจะได้มาตกลงกันครับ
ตลอดทางวากดิษดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ขับรถมีน้ำใจม้ากมาก ไม่แซงแบบหวาดเสียว หันมาคุยกับแกล้งจี้เอวผมตลอด นานแล้วที่ไม่ได้เห็นมันอารมณ์ดีขนาดนี้ แต่พอกลับมาถึงหอพักเท่านั้นแหละ
“ ย้ายไปอยู่กับพี่เถอะ ”
“ แล้วนี่ไม่อยู่ด้วยกันเหรอครับ ” ผมถาม
“ ก็ใช่ แต่มันไม่ใช่บ้านของเราไง ในหอเนี่ย ทำอะไรแรงไปก็กลัวคนได้ยิน ” ไอเรื่องอย่างว่านี่พัฒนาขึ้นทุกวันเลยว่ะ
“ ก็เอาหมอนอุดปากดิครับ ” ผมเดินเอากระเป๋าไปวาง เตรียมจะเอาเสื้อผ้าออก
“ คิม ไปเถอะนะ ” กะจะแกล้งเฉย แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนแล้วอดไม่ได้ แฮะๆๆ
“ เอางี้ดีปะ ..... เรากำลังวุ่นกับงานอยู่ หลายอย่างยังไม่ลงตัวเอง แล้วนี่ถ้าเราย้ายก็ไม่มีคนดูแลหอ ”
“ หึหึ มีสิ ” วากดิษยิ้มตาหยีเลย
“ หมายความว่าไง ”
“ คือพี่เห็นน้องยุ่งๆเลยไม่ได้บอก ข้าวจ้าวเค้าสอบติดมหาลัย เป็นน้องเรานี่แหละ ” ผมแทบหงายหลังเลย
“ ไม่นะ เรียนเกษตรเหรอ ทำไมไม่บอกน้องๆ ” ผมบีบแขนของวากบ้า แต่มันดูไม่เจ็บไม่ปวดหรอกครับ ลืมไปนึกว่าผู้หญิง เหอะๆๆ
“ พูดซะเสียเลย เรียนเกษตรแล้วเป็นยังไง ”
“ ไม่เอาๆ บอกให้ซิ่วซะ ” วากดิษยิ้มอีกล่ะครับ
“ เค้าสอบได้ทันตะครับ เตรียมเป็นหนุ่มหมอฟัน ” อ้าว
“ แล้วไม่บอกอะ ฮุ้ว ” ผมกับข้าวจ้าวไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรครับ รู้แค่ว่าเรียนเก่ง และพี่กริชกับเพื่อนอีกคนคอยติวหนังสือให้ตลอดแค่นั้น บวกกับหล่อใสกว่าวากดิษด้วย ก่ากๆๆ พอได้ยินว่าเป็นรุ่นน้องก็ดีใจด้วยครับ
“ คิมมีสาวในเครือเป็นพวกทันตะไหม ”
“ ไม่มีเว้ย ” มันตั้งใจแขวะผมอะ
“ ไม่รู้จะดีไหมถ้าให้มาอยู่หอนอกตั้งแต่ปีแรก ก็กลัวจะโดนเขม่นไง ”
“ มันไม่มีใครบ้าเท่าพวกเราหรอก ” แซวเล่นครับ จากนั้นเราพวกกันอีกเดี๋ยวเดียวถึงออกไปที่บ้านพ่อท่านวากดิษ
พอมาถึง แม่บ้านบอกว่าพ่อของวากดิษถูกส่งไปโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ อาการทรุดหนักน่ากังวลมาก ทั้งแม่ และข้าวจ้าวไปที่โรงพยาบาลแล้ว พอได้ยินป็บวากดิษก็เงยหน้าขึ้น
“ อะไรกันวะ !!!!! ”
“ ดิษๆ เป็นอะไร ” ผมเขย่าแขนของวากดิษ
“ พี่ ..... พี่จะเข้าที่ทำงานนะ คิมจะกลับหอก่อนไหม ” อะไรของมันเนี่ย วันหยุดจะเข้าที่ทำงานทำไม
“ เรารออยู่ที่นี่แล้วกัน ” ดิษหันมาจ้องหน้าผม แต่ไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย มันหอมแก้มผมแล้วเดินขึ้นรถไป
“ คุณดิษนี่อ่อนโยนขึ้นมากเลยนะคะ ” ลืมไปว่าแม่บ้านอยู่ คึคึคึคึ
“ ผมเข้าไปนั่งรอข้างในแล้วกันนะครับ ” แม่บ้านเชิญผมเข้ามาในบ้าน ผมคุ้นเคยอยู่แล้วครับ เลยไม่ต้องเตรียมอะไรให้
ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ครั้งแรกที่ผมได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัวของดิษ เป็นอะไรที่น่าอึดอัดมาก ดิษพยายามจะออกจากเงาและเงื้อมมือของพ่อมาตลอด แต่พอถึงวันที่อายอมหยุดและกำลังจะจากไป ดิษดันไม่แสดงอาการดีใจเสียใจอะไรเลย ผมนั่งคิดอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับดิษ ที่ผ่านมาเค้ามีชีวิตที่สับสนและน่าสงสารจริงๆ
“ อ้าวคิม มาได้ยังไงๆ ” ผมหันไปตามเสียงเรียก
“ สวัสดีครับอา ” อาทนายมาที่บ้านครับ
“ แล้วนี่ไปไหนกันหมดเหรอ ”
“ ได้ยินว่าไปโรงพยาบาลครับ พ่อของดิษป่วยอาการทรุดหนัก ” อาทนายความถอนหายใจ
“ คิมมาดูนี่ ” อาส่งใบคำร้องขอซึ่งเป็นแบบฟอร์มศาลให้ดู ผมอ่านคร่าวๆถึงรู้ว่า
“ เวลาแบบนี้ ทำไมถึงคิดทำได้ครับ ” หลักๆคือเค้าจะพยายามขอแบ่งนู้นแบ่งนี่ กับเอาเรื่องที่พ่อวากดิษเคยยืมเงินมาต่อรอง บวกกับเรื่องอีกเยอะแยะเต็มไปหมด
“ คนเราจะเห็นธาตุแท้ก็ตอนนี้ล่ะ อารับหมายจากศาลเลยเพราะให้คนไปเฝ้าอยู่แล้ว ”
“ จะทำยังไงดีครับ ”
“ อามาเพื่อถามเรื่องพินัยกรรม เพราะอาเคยบอกวิธีเขียนพินัยกรรมให้ไปนานแล้ว ถ้ามันมีพินัยกรรมทุกอย่างจะง่ายขึ้น ”
“ แต่อาป่วยหนักขนาดนี้ จะทำพินัยกรรมได้ยังไงครับ ”
“ หวังให้มันมีเถอะน่า ” อาเป็นเพื่อนกับพ่อของดิษมานานครับ เคยอุ้มชูกันและกันมา ทำให้สนิทและรักนับถือกันมาตลอด ผมเชื่อว่าปัญหาพวกนี้จะต้องผ่านไปได้ อาทนายความบอกผมว่าต้องรีบไปตรวจสำนวนที่สำนักงาน คงไม่ได้อยู่เจอกับดิษ
วันนั้นวากดิษกลับมารับผม พร้อมกับเอาเอกสารมาให้ผมกรอก โดยจะส่งผมไปอบรมที่กรุงเทพฯสองวันหนึ่งคืน
“ ต้องไปพรุ่งนี้เลยเหรอ ”
“ อืม ความจริงพี่จะบอกตั้งแต่อยู่ที่ไร่แล้ว แต่คิมทำพี่ลืมน่ะ ” ผมมองดูดีๆ มันยิ้มอารมณ์ดีผิดปกติอะครับ
“ ดิษ ”
“ คร้าบบ ”
“ ไม่ต้องแกล้งทำหรอก รู้ว่าห่วงพ่อ ” วากดิษนิ่งไปครับ
“ คิมรู้จักพี่ดีแล้วเหรอ ถึงรู้ว่าพี่แกล้งทำ ” น้ำเสียงของมันเข้มขึ้นทันตาเลย ทีนี้เป็นผมที่ยิ้มบ้าง
“ อาจจะรู้จักไม่ดีพอ แต่น้ำเสียงเนี่ยมันฟ้องว่าเราคิดถูก ” มันถอนหายใจเฮือก
“ ขอพี่ทำอะไรตามใจพี่ซักครั้งเถอะนะ ” ผมขยับไปกุมมือของมันเอาไว้
“ อะไรเหรอ นอกใจเรา ? ” วากดิษยิ้มออกละ
“ ถึงเวลา พี่จะพูดให้ฟังนะ ” เราหยุดเรื่องเครียดไว้แค่นั้นครับ
ต่อมาขณะที่ผมไปอบรม ข้าวจ้าวแจ้งผมว่า อาเสียแล้ว ผมต้องกลับจากกรุงเทพฯทั้งๆที่ยังไม่ได้กินเลี้ยงหลังอบรม ระหว่างทางผมโทรบอกกับพี่ๆเพื่อนๆและน้องๆที่รู้จัก ให้เตรียมตัวมาช่วยงานศพของอา
พอกลับมาถึงหอ ตอนนี้มีไอเดย์ ไอวิน พี่โจที่รออยู่หน้าหอ
“ ดิษล่ะ ” ผมถามทั้งสามคน
“ ......... ” ทำไมเงียบวะ
“ เป็นไรวะ อย่าบอกนะว่า มันป่วยอะ ”
“ ไม่อะพี่ แต่พี่ดิษไม่ยอมเจอใครเลยครับ ” ไอเดย์บอกผม ผมเดินนำขึ้นมาที่ห้อง แล้วไขกุญแจ แต่ติดล็อคครับเข้าไปไม่ได้จริงๆ
“ ดิษ ดิษเว้ย อยู่ข้างในใช่ไหม ”
“ ...... อย่า อย่ายุ่ง ” เสียงมันแผ่วเบามาก
“ เปิดเถอะดิษ เราจะเข้าไปคนเดียว ” ผมพูดสวนเข้าไป
“ ไม่ ....... คิมก็ไม่ได้ ฮึกก ” ชัดแล้วครับ มันร้องไห้อยู่นี่เอง
“ เราพังประตูเถอะ แบบนี้ไม่ดีมั้ง ” พี่โจบอก
“ เอาไงดีครับพี่ ” ไอวินถามผม
“ ประตูบานเดียว ไม่ต้องเสียดายหรอกพี่ พังเลย ” ไอเดย์เชียร์ผมอีกคน
“ ไม่เอาว่ะ ลงไปกันก่อนเถอะ ” ทั้งสามคนมองหน้าผม
“ พี่จะถีบคนเดียวใช่ไหม ไหวเหรอพี่ ” ไอเดย์ถามผม ผมผลักๆมันสามคนไปพ้น จากนั้นก็มานั่งที่หน้าประตู
“ ดิษ ....... ตอบเราทีเถอะ ไม่คิดถึงเราเหรอ ”
“ ฮึก พี่ไม่ไหวคิม ”
“ กินข้าวหรือยัง ” คุยผ่านประตูที่โรแมนติกเหลือเกิน เจอหน้ามึงนะ กูจะตีแสกหน้าเลย ฮึ่มม
“ พี่มีแล้ว ..... ขอเวลาพี่เถอะ ”
“ ก็ได้ๆ กูรักมึงดิษ เข้มแข็งนะเว้ย ” ผมเดินลงมาเจอทั้งสามคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่
“ พังแล้วเหรอพี่ เร็วจัง ” ไอเดย์นี่ก็ถามไม่รู้เวลา
“ ไม่พังเว้ย เราไปช่วยงานกันเถอะครับ ”
งานศพของอายุ่งยากมากครับ ญาติของอาก็มาวุ่นวายหาว่าแม่ของข้าวจ้าวเป็นเมียน้อย ญาติจะเป็นคนเก็บซอง จนต้องแก้ไขกันไปตลอดทั้งงาน แม่ของข้าวจ้าวเศร้ามากอยู่แล้ว ยิ่งเจอว่าแบบนี้ยิ่งเสียใจมากเข้าไปอีก ตอนนี้คนที่คอยทำงานซื้อน้ำอาหารเหลือแค้ผม ข้าวจ้าว และพี่น้องเพื่อนๆที่พอจะมาได้ ผมโทรไปบอกพ่อกับแม่ ท่านบอกผมว่ายังมาไม่ได้ แต่จะรีบมา
ในที่สุดวากดิษก็ยอมออกมาจากห้อง และเข้ามาแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งอาทนายความและหุ้นส่วนหลายคนมาช่วยปราบญาติของพ่อดิษจนถอยกันไป แต่ก็ยังไม่วายขู่ว่าจะกลับมา และวันต่อๆมาพ่อและแม่ของผมก็มาสมทบอีกแรง
เสร็จงานศพพ่อท่านวาก ห้างของพ่อวากดิษที่กำลังวางแผนจะแปรสภาพก็ต้องถูกแช่แข็งไป เพราะตกลงกันเรื่องหุ้นส่วนใหญ่คือหุ้นของพ่อวากดิษไม่ได้ ตอนนี้ดิษต้องไปหารือกับพวกทีมกฎหมาย (ลองหาอ่านจากกระทู้ช่วงนั้นนะครับ)
“ สวัสดีครับพี่ๆ ” พี่ริชเดินมากับพี่พานครับ
“ อืม ดีขึ้นหรือยัง ” ระหว่างงานผมเหนื่อยมากครับ
“ ดีแล้วพี่ ..... ว่าแต่สองคนเอาไงดี คบกันยัง ”
“ จำที่พูดได้ไหม ” เฮ้ย วากดิษออกมาได้ไงวะ
“ อะไรเหรอดิษ ”
“ บอกแล้วนะว่าอย่าประเจิดประเจ้อ ทำไมต้องเดินคู่กันมา ” รู้สึกพี่วากจะโมโหนะเนี่ย แฮะๆๆ
“ ดิษ ใจเย็นนะๆ ” ผมพยายาม
“ แค่เดินคู่กัน ไม่ทำให้ใครคิดเหมือนดิษหรอกมั้ง ” ไอพานนี่ก็ไปยั่วมัน
“ ถ้าทำไม่ได้ ..... ก็ไปซะ เข้าใจไหม ” มันพูดจบก็เดินกลับเข้าไป
“ ทำไมมันเป็นแบบนี้วะ ” ผมบ่นๆ
“ สงสัยรักเราจะไม่ง่ายแล้วล่ะ ” พี่ริชพูดจบก็เดินไปครับ
“ พี่พาน ตามไปดิ ” ผมบอกพี่พาน
“ หึหึ เค้าอยากให้ห่างดีนักนี่ ”
“ อ้าวเฮ้ย พี่ .... พี่ ” พวกนี้นี่นับวันจะมีนิสัยประหลาดขึ้นนะ
***************************************************************************
หลังๆนี่ บันทึกออกไปทางหนังชีวิตมากไปไหมครับ แฮ่
ขอบคุณทุกแรงใจที่ให้เสมอๆนะครับ ส่วนเรื่องพี่กริชผมไม่ได้ตั้งใจใส่ความเค้าเลยครับ แค่ถอดคำออกมาเท่านั้นเอง จริงๆผมก็อยากรู้ด้วยแหละว่าคนทั่วไปเค้าคิดกันยังไง ซึ่งก็คงได้บทสรุปแล้ว
บริษัทปิดบางจุด แต่ทำงานได้ครับ ดีอย่างตรงที่มีเวลาเยอะหน่อย เน้นไปทางขายของมากกว่า งานปวดหัวได้พักกันครับ ลาพักเป็นแถวๆเลย มีผมเนี่ยไม่ได้พัก ทำไงได้แฟนเค้านี่
![:mew5:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/mew5.gif)
ขอบคุณทุกคนครับ