ผมลืมวันลืมเวลาไม่อยากจะจำว่าผมกับภูมิเลิกกันแล้วเลิกทั้งที่ยังรัก ผมถูกห้ามไม่ให้อยู่ด้วยกันแต่พวกเขาห้ามความรู้สึกของผมไม่ได้ผมยังรักภูมิเหมือนเดิมหัวใจของผมยังเป็นของภูมิเสมอ เย็นนี้ผมกลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวันเจออาปุ้ยกำลังจะออกจากบ้านพอดี
“อ้าวหลานชายสุดที่รักสุดสวาทขาดใจของฉันกลับมาแล้วเหรอ อากำลังจะไปที่ร้านพอดีคุณหลานไปกับอาไหมคะ”
“อาไปเหอะพีมเพลียๆน่ะขอไปนอนดีกว่า” อาปุ้ยถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามาใกล้และลูบหัวผมเบาๆ
“พีมซึมแบบนี้ทำอาเศร้าไปด้วยเลยรู้ไหมอย่าคิดมากนะลูกตอนนี้พีมแค่อดทนไว้ อดทนกับความเหงาความเจ็บปวดถ้าภูมิกับพีมคือคนที่เกิดมาคู่กันจริงๆซักวันก็จะได้ใช้ชีวิตด้วยกันอีก ตอนนี้ปล่อยให้เวลาช่วยรักษานะลูก”
“ครับ” ผมยิ้มให้อาก่อนจะเดินขึ้นห้อง ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงและอยากให้กำลังใจแต่จะมีใครรู้บ้างว่าจะกี่คำแนะนำกี่คำปลอบใจกี่ข้อคิดดีๆมันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้เลย
ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรงมันเป็นแบบนี้ทุกวันพอผมกลับมาถึงบ้านผมมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนอยู่บนเตียงปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปแสนไกล ในหัวว่างเปล่าจากนั้นน้ำตามันก็จะไหลไหลออกมาเองเหมือนเป็นกลไกอะไรซักอย่างมันเป็นแบบนี้ซ้ำๆ
ในห้องเริ่มมืดลงแต่ผมก็ไม่คิดจะลุกไปเปิดไฟผมซุกหน้ากับหมอนเพื่อให้มันช่วยเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะเอามือถือขึ้นมา รูปหน้าจอยังเป็นรูปของผมกับภูมิที่ผมถ่ายเองจากกล้องมือถือเครื่องนี้รูปที่ผมมองกล้องทำหน้าตาน่าเกลียดส่วนภูมิมันมองผมแถบยังแลบลิ้นใส่ด้วย
“หึ” ผมหัวเราะทั้งที่กำลังร้องไห้แต่ผมคงไม่เช็ดมันอีกแล้วเพราะต่อให้เช็ดมันก็คงไหลออกมาอีกอยู่ดี ผมกดเปิดเพลงฟังเป็นของเราเพลงที่ภูมิเคยให้ผมฟังหรือเพลงที่มันเคยร้องบอกรักผมพอยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนจะตายให้ได้ ผมเปิดดูข้อความเก่าๆที่ภูมิเคยส่งให้ ดูรูปที่เราถ่ายคู่กันหรือรูปของภูมิที่ผมแอบถ่ายไว้ตอนมันเผลอ ไหลไปเถอะน้ำตา ไหลออกมาให้พอ ยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึงยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเจ็บปวด
คิดถึงภูมิ คิดถึงเหลือเกิน………………………………
เช้านี้ผมไม่มีเรียนแต่ก็ต้องไปมหาลัยแต่เช้าเพราะไอ้คิวมันถ่อมารับมันบอกว่าให้ผมไปช่วยหาหนังสือที่หอสมุดกลางแถมยังหอบไอ้เต้ยมาด้วย ถึงว่าทำไมวันนี้ท้องฟ้ามันมืดครึ้มเหมือนฝนจะตกเพราะเชี่ยคิวตื่นเช้าและชวนผมเข้าห้องสมุดนี่อีก
แต่พอมาถึงยังไม่ทันได้หาหนังสือไอ้คิวก็ฟุบหลับคาโต๊ะมีไอ้เต้ยนั่งซุกไหล่เกาะแขนเกาะขาอยู่ไม่ห่าง ผมนั่งมองมันสองคนอยู่ๆก็รู้สึกอิจฉาถ้าครอบครัวภูมิเข้าใจและยอมรับพวกเราได้เหมือนครอบครัวไอ้คิวกับไอ้เต้ยก็คงจะดี ไอ้เต้ยมันคงเห็นว่าผมจ้องนานเกินไปมันเลยเงยหน้ามายู่ปากใส่ผม
“เฮียพีมมองไรอ่ะพี่คิวของเต้ยนะ” ไอ้เต้ยพูดเสียงค่อนข้างดังแต่ก็ยังดีที่เช้าๆแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไรเลยไม่รบกวนคนอื่นมากนัก
“หึ ทำไมจะมองไม่ได้กูมาก่อนมึงอีกนะไอ้นมปั่น”
“โป้งเฮียพีมเดี๋ยวแช่งให้เฮียภูมิไม่รั…….. เอ่อ เต้ย เต้ยขอโทษครับ” ไอ้เต้ยเอ่ยขอโทษมันหน้าจ๋อยลงทันทีคงคิดว่าผมจะโกรธ ผมไม่ได้โกรธแค่รู้สึกหนึบๆทุกครั้งที่ได้ยินชื่อภูมิ ผมยักคิ้วให้ไอ้เต้ยรู้ว่าผมไม่ได้โกรธ แต่หน้ามันยิ่งหงอยนหนักกว่าเดิม
“เฮียอย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ เต้ยชอบเฮียพีมนะชอบเวลาเฮียยิ้มเฮียพีมของเต้ยน่ารักยิ้มหน่อยนะเดี๋ยวเต้ยแบ่งพี่คิวให้วันนึงก็ได้” มันยิ้มแฉ่งจนแก้มเกือบฉีก
“หึหึ ขอบใจที่เอื้อเฟื้อแต่มึงเก็บไว้เหอะเห็นแบบนี้กูก็เลือกนะ” ผมยิ้มให้ไอ้เต้ยตามที่มันขอพอผมยิ้มไอ้เด็กตี๋ตาโตก็ยิ้มตามก่อนจะนึกได้ว่าผมประชดมันเลยบุ่นงุ้งๆงิ้งๆจนไอ้คิวรำคาญสลึมสลือขึ้นมาบีบปากมัน
“ไอ้เต้ยเมื่อไรถ่านมึงจะหมดวะ ฮึ ช่วยเงียบซักสองนาทีให้กูรู้สึกสบายรูหูหน่อยได้ไหม เมื่อคืนก็ป่วนจนกูไม่ได้นอนแม่งอยากรู้จริงๆตอนเด็กๆมึงแดกปุ๋ยสูตรไหนเป็นอาหารหลักหรือป๊ากับม๊ามึงเซ็ตโปรแกรมไว้”
ไอ้คิวบ่นไปแต่ไอ้เต้ยก็ไม่สนใจมันลุกขึ้นดมฟุดฟิดๆตามหัวตามผมไอ้คิวเหมือนหมา และไม่นานไอ้เต้ยก็ถูกหิ้วออกไปเพราะมันเกิดอยากเล่นซ่อนแอบในห้องสมุดไอ้คิวเลยต้องลากไอ้เต้ยออกไปก่อนที่พี่ๆบรรณารักษ์จะเอาสารานุกรมมาฟาดหัวมัน
ผมยิ้มตามหลังพวกมันสุดท้ายก็เหลือแค่ผมคนเดียวที่ต้องหาหนังสือ ผมเดินหาหนังสือไปเรื่อยๆเจอเล่มไหนน่าสนใจก็เปิดอ่านเปิดดูแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อรายงานก็ตาม แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ชั้นหนังสือช่องถัดไปบทสนทนานั้นทำให้ร่างกายของผมชาจนไม่กล้าขยับตัวไปไหน
“แกๆฉันได้ข่าวว่าพี่ภูมิอกหักแหละ”“ภูมิไหน”
“พี่ภูมิเดือนวิศวะที่เป็นเพื่อนพี่เบียร์เดือนคณะเราอ่ะ พี่ภูมิสุดหล่อของพวกเราไง”
“อ๊ออห๊ะ พี่ภูมิเนี่ยนะอกหักไม่มีทางอ่ะข่าวแกมั่วรึป่าวถ้าอย่างพี่ภูมิอกหักโลกนี้ก็ไม่มีคนสมหวังแล้ว”
“โหยยยยจริงๆแก ได้ข่าวว่าพี่แกเฮิร์ทมากตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะแต่เมื่อวานชั้นไปหาเพื่อนที่คณะวิศวะแล้วบังเอิญเจอพี่ภูมิด้วยฉันแบบตกใจอ่ะแก จากที่เคยหล่อๆตอนนี้โทรมมากอย่างกับคนป่วยแหนะ”
“จริงดิแกไม่ได้จำผิดคนนะ”
“โหยยยยจะจำผิดได้ไงหล่อขนาดนั้นเห็นแค่เสี้ยววินาทีฉันก็เมมลงซีรีบรัมแล้ว”
“ไม่อยากเชื่อเลยระดับพี่ภูมิเลยนะเว้ยฉันอยากเห็นหน้าแฟนพี่เขาว่ะแก แม่งกล้าทิ้งพี่ภูมิได้ไงฉันว่ามันบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“นั่นน่ะสิแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกพี่ภูมิออกจะหล่อรวยขนาดนั้นเจ็บได้ไม่นานเดี๋ยวก็มีแฟนใหม่มาเลียแผลใจเองแหละ” ตัวหนังสือที่ผมก้มดูเริ่มพร่ามัวก่อนที่น้ำตาจะหยดลงเปื้อนหมึกเป็นดวงๆ ผมก้าวถอยหลังติดกับชั้นหนังสือเพื่อให้ผู้หญิงสองคนนั้นเดินผ่านไป ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ได้โกรธที่โดนว่าโดนนินทาแบบนั้น มันก็เหมือนกับว่าหัวใจที่แหลกละเอียดของผมมันกระจายอยู่บนพื้นแล้วพวกเธอก็แค่เดินผ่านและเหยียบซ้ำโดยไม่รู้ตัวแค่นั้นเอง
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวคือคำว่า “ภูมิป่วย ภูมิไม่สบาย” อยากไปหาถ้าผมแอบไปจะเป็นอะไรรึเปล่านะ อยากเจอภูมิ อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงที่มันเรียก “ไอ้เตี้ย”
ผมสะบัดหัวพร้อมกับแอบเช็ดน้ำตาก่อนจะเก็บหนังสือเข้าที่เดิมแล้วเดินออกมาแต่พอออกมาข้างนอกก็ต้องเจอว่าฝนกำลังตก ผมถอนหายใจเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีเทาๆสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ผมลองยื่นมือออกไปรองเม็ดฝนแต่ก็ต้องรีบขยับถอยหลังกลับเมื่อกระแสลมพัดละอองฝนสาดเข้ามาและเหมือนผมจะถอยไปชนกับคนอื่นเข้า
“อ่ะ ขอ………” ผมหันกลับไปจะขอโทษแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี ร่างกายผมก็เหมือนถูกสาปให้แน่นิ่งใจผมชาวูบราวกับถูกยึดลมหายใจ ผมรู้สึกเหน็บหนาวเย็นเยือกข้างในหัวใจเหมือนยืนอยู่ขั้วโลกถูกพายุหิมะเย็นเฉียบโหมพัดใส่ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ผมเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “ภูมิ” และมันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
เคยไหมครับที่เราคิดถึงใครซักคนมากๆพอเจอก็อยากมองใบหน้าเขาตรงๆแต่ก็ไม่กล้าให้หลบตาก็ทำไม่ได้ ผมสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้วจนหมดสิ้นผมกลืนน้ำลายลงลำคออยากยากลำบาก
ก่อนจะสบตากับดวงตาที่คุ้นเคยแววตาคู่นั้นที่สะท้อนกลับมามันเคยทอดมองผมด้วยความรักยังไงวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นและหวังว่าภูมิจะรับรู้ความรู้สึกของผมผ่านสายตาเช่นกัน
เรายืนจ้องตากันนิ่งๆหัวใจผมไม่รู้จะเต้นจังหวะไหนบางทีเหมือนมันบีบจังหวะถี่เร็วจนเหมือนจะหลุดออกมาแต่ว่าบางทีมันก็เต้นช้าๆค่อยๆแผ่วลงจนเหมือนจะหยุด
พอได้เจอภูมิผมถึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหนภูมิของผมหน้าซีดมันดูซูบเซียวลงไปมาก หนวดเคราก็ขึ้นเหมือนไม่ได้สนใจดูแลตัวเองเลยหัวใจผมถูกบีบจนแหลกละเอียดสภาพของภูมิทำให้ผมผมอยากจะคว้ามันมากอด อยากจะกอดมันแน่นๆให้สมกับความคิดถึง แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น
“อ้าวพีม หวัดดี ไม่เจอกันนานหายไปไหนมาครับผมถามไอ้ภูมิ….อื้อไออิคอ่อยอูเอี้ยไออ๊ะอัด” ผมเพิ่งสังเกตว่ามีเพื่อนคนอื่นเดินตามภูมิออกมาจากข้างใน ไอ้มิคกระโดดตะครุบปิดปากไอ้แซคก่อนจะลากกลับเข้าไปข้างใน ส่วนไอ้ปริ๊นมองผมกับภูมิสลับไปมามันส่งยิ้มให้ผมและตบไหล่ภูมิก่อนจะเดินตามพวกไอ้มิคไป
“เอ่อ หวัดดี” เป็นคำพูดที่ผมคิดว่ามันสิ้นคิดและฟังดูงี่เง่ามากที่สุดในการเริ่มบทสนทนาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคำไหนที่ดีกว่านี้
“หวัดดี”
“มา….มาอ่านหนังสือเหรอ”
“อืม” ภูมิตอบแค่สั้นๆมันจับจ้องมองผมไม่วางตาแทบไม่กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะกัดปากแน่น พยายามคิดหาคำพูดแล้วผมควรจะพูดอะไรต่อในเมื่อตอนนี้ก้อนแข็งๆมันดันขึ้นมาจุกแน่นที่หน้าอกอีกแล้ว ถ้าขืนผมยังยืนอยู่ตรงนี้ผมต้องขาดใจตายแน่ๆ
“….เอ่อ งั้นกู…..ไปเรียนก่อนนะ” ก่อนที่ผมจะก้าวขาออกไปข้อมือกูถูกดึงไว้
“อย่าเพิ่งไปฝนตกอยู่เดี๋ยวจะไม่สบาย” แค่สัมผัสเพียงบางเบาที่ข้อมือมันจะรู้ไหมว่าผมต้องใช้เรี่ยวแรงมากแค่ไหนไม่ให้ตัวเองหันกลับไปกอดมันไว้เหมือนที่ใจอยากจะทำผมอยากดึงมันมากอดเหมือนที่ผมเฝ้าฝันอยู่ทุกค่ำคืน ผมอยากจะโผเข้าหาอ้อมกอดของมัน อยากจะกอดมันปลอบมันบ้างภูมิซูบเซียวจนแทบไม่เหลือภูมิที่เคยสดใสคนเดิม
“พอดีมันเลยเวลาเรียนแล้ว…..ต้องรีบไป”
“ขอไปส่งได้ไหม”
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวพีม” ภูมิถอดเสื้อช้อปของมันคลุมให้ผมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยเหมือนจะค่อยๆทำลายความเข้มแข็งอันน้อยนิดของผมให้หายไป “เอาเสื้อคลุมไว้ก็ยังดี”
“ขอบคุณนะ” ผมเอาเสื้อของภูมิคลุมหัวผมยิ้มให้ภูมิอีกครั้งก่อนจะเดินตากฝนออกมา นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมทิ้งภูมิครั้งที่สองที่เดินจากภูมิผมร้องไห้จนสุดเสียง ปล่อยน้ำตาให้ไหลเพราะคงไม่มีใครเห็นให้สายฝนช่วยบดบังชะล้างความทรมานนี้ที
ผมโทรไปบอกไอ้คิวและตัดสินใจกลับบ้านระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่ผมกอดเสื้อภูมิไว้แน่นแนบอกจนตอนนี้ที่นอนอยู่บนเตียงผมก็ยังกอดไว้ เสียงเคาะประตูทำให้ผมเช็ดน้ำตากับหมอนเพราะกลัวว่าอาปุ้ยจะเห็น
“ห้องไม่ได้ล็อคครับ” ผมบอกอนุญาตแต่ก็ยังนอนอยู่แบบเดิมผมไม่อยากลืมตาไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น
“พีม” ผมหันไปมองต้นเสียงทันทีที่รู้ว่าไม่ใช่อาปุ้ย
“แทน ฮึก” เมื่อเห็นว่าใครที่เดินเข้ามาผมก็ลุกขึ้นและเดินไปกอดมันไอ้แทนก็กอดผมไว้แน่น
“ร้องไห้อีกแล้ว เพื่อนกูร้องไห้เก่งตั้งแต่เมื่อไรวะ” นั่นน่ะสิเมื่อไรความรู้สึกนี้จะผ่านพ้นไปเสียที
“กู ฮึก กูเจอภูมิด้วย มันผอมมากเลยแทน ไอ้หล่อของกู ฮึกเหมือนไม่สบาย แทนกูไม่ไหวแล้วว่ะ” ผมได้แต่พร่ำเพ้ออยู่ในอ้อมกอดของไอ้แทน นานกว่าที่ผมจะควบคุมสติได้ มันไล่ผมไปอาบน้ำและบอกว่าจะลงไปหาอะไรให้กิน ผมอาบน้ำเสร็จก็เห็นไอ้แทนนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ประตูระเบียง มันหันมาพยักหน้าให้ผมก่อนจะหันไปดูดบุหรี่และมองละอองฝนที่เพิ่งหยุดตก ผมแต่งตัวเสร็จก็ออกไปนั่งกับมัน
“มึงเข้าไปในห้องไปเดี๋ยวหวัดแดกอีกแล้วก็กินโจ๊กด้วยกูซื้อมาฝาก” มันลุกขึ้นและผลักหัวผมให้เดินเข้าห้อง ผมไม่ค่อยหิวแต่ก็ไม่อยากดื้อให้ไอ้แทนมันเป็นห่วงเลยยอมกินตามที่มันสั่ง แต่กินได้ไม่กี่คำผมก็ฝืนกลืนไม่ได้ไอ้แทนก็ไม่บังคับ
ห้องตกอยู่ในความเงียบผมนั่งพิงหัวเตียงมองไอ้แทนเอามือก่ายหน้าผากสายตามันเหม่อลอยและถอนหายใจบ่อยครั้งผมเลยยื่นมือไปผลักหัวมันบ้าง
“เป็นไรวะโดดเรียนมาหากูแค่นี้ถึงกับต้องถอนหายใจเลย”
“เจ็บมากไหมพีม” ผมเม้มปากก่อนจะพยักหน้าได้ยินเสียงไอ้แทนถอนหายใจก่อนจะลุกมากอดผม
“ฟ่างก็ไม่สบาย พวกกูต้องแอบเจอกัน หึ แม่งทรมานสิ้นดีทั้งที่รักกันแต่ต้องหลบๆซ่อนๆเหมือนพวกกูเป็นชู้เหมือนกูทำผิดเหมือนกูไปฆ่าใครตาย”
“อดทนหน่อยนะ” ผมตบหลังมันเบาๆ
“มึงว่าพวกกูควรเลิกกันดีไหม”
“มึงอย่าทำแบบนั้นนะแทน มึงก็เห็นว่า……เลิกกันแล้วผลมันเป็นยังไง” ผมไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเจอความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นบางทีการแอบพบเจอกันเป็นบางครั้งมันอาจจะอึดอัดแต่ก็คงดีกว่าการแยกจากกันก็ได้
“แล้วมึงจะให้กูมีความสุขทั้งที่สภาพมึงไม่ต่างจากซากไร้วิญญาณงั้นเหรอ” ไม่มีใครมีความสุขหรอกแทน ไม่มีเลย
“กู…ไม่เป็นไร ไม่ใช่สิ กูชินแล้วแทน กูชาไปหมดแล้ว”
“เหี้ยเอ๊ยแค่เรารักกันมันผิดมากหรอวะ แค่กูอยากดูแลอยากทำดีอยากอยู่ใกล้ๆใครซักคนไปตลอดชีวิตกูผิดมากใช่ไหม พวกเราผิด ฮึก มากหรอวะพีม” ไอ้แทนทรุดลงซบหน้ากับบ่าของผม ผมกอดปลอบมันด้วยความรู้สึกรวดร้าว
มันยากจะอธิบายที่ต้องมาอยู่แบบนี้ สภาพมันก็ไม่ต่างจากผมเท่าไร แทนที่เข้มแข็งในวันก่อน ในวันนี้กลับอ่อนแอเหลือเกิน เสียงสะอื้นของมันที่หูผมได้ยิน น้ำตาของมันที่ซึมผ่านเสื้อ ทำให้หัวใจผมมันปวดหนึบ
ผมได้แต่กัดปากจนเจ็บชา ลูบหัวเพื่อนกอดเพื่อนรักของผมไว้แม้ตัวผมเองแทบจะไร้เรี่ยวแรงก็ตามที
“ไม่เป็นไรนะแทน พวกเราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่เข้าใจ แค่เรารักใครซักคนทำไมต้องกีดกันวะ” ผมแค่นยิ้มให้คำถามนั้นก็เพราะพวกเขารักเราแต่ไม่เข้าใจเรา
พ่อแม่ทุกคนบนโลกนี้ก็อยากเห็นลูกชายที่พวกเขาเฝ้าเลี้ยงเฝ้าดูแลมาทั้งชีวิตได้เติบโตเป็นคนดี มีชีวิตที่ดี ทั้งการเรียน การงานและสุดท้ายการมีครอบครัวที่อบอุ่นคงหมายถึงการมีภรรยาที่เพียบพร้อมมีลูกที่น่ารัก
แล้วจะมีพ่อแม่สักกี่คนที่จะยอมรับชีวิตอีกแบบที่มันอยู่นอกกติกาที่พวกเขาวางไว้แม้ว่าชีวิตที่ว่านี้จะมีความรักเป็นพื้นฐาน มีความรักเป็นจุดหมายปลายทางไม่ต่างจากชีวิตคู่ของคนอื่นทั่วไป ยิ่งเป็นครอบครัวของภูมิที่มีหน้าตาในสังคม เรื่องนี้คงถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
“กูสงสารมึง สงสารไอ้ภูมิ สงสารฟ่าง กูคิดถึงฟ่างว่ะ” กูก็สงสารภูมิกูคิดถึงและยังรักมันทุกลมหายใจ ในตอนนี้ไอ้แทนมีผมคอยกอด
แล้วไอ้ภูมิละ ใครจะกอดใครจะปลอบมัน ผู้ชายที่ดูเหมือนเข้มแข็งแต่แท้จริงแล้ว ไอ้ภูมิแสนจะเปราะบางกว่าใคร มันก็เหมือนแก้วใสบางๆที่ถูกกระทบเพียงนิดก็ร้าว แล้วถ้ามันแตกสลายไปถ้าหัวใจของผมสลายไป พวกเขาจะรับผิดชอบยังไง จะชดใช้ยังไง
TBC >>>>>>>>>>>>>>>
………………………………………..
- ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่คอยให้กำลังใจและรักเรื่องนี้ค่ะ คงไม่เบื่อใช่มั้ยคะที่ตาลขอบคุณบ่อยๆเพราะตาลรู้สึกอยากขอบคุณจริงๆ
- ไม่ได้มีแค่คนอ่านที่ร้องไห้ อีตาลอ่านไปก็เจ็บเหมือนกันตอนนี้ไม่ดราม่าแต่เป็นอะไรที่ยากมากค่ะ ฮือออ
- เรื่องของภูมิกับพีมไม่มีส่วนเกียวข้องกับชีวิตตาลนะคะ คนอ่านบอกว่าเพราะตาลอกหักรึเปล่าทำไมมันเศร้าคือตาลไม่ได้อกหักนะคะ มันเป็นไปตามท้องเรื่องฮ่าๆ ปล คำผิดเยอะก็ขอโทษด้วยนะคะฝากดูด้วยนะคะเดี๋ยวตาลเข้ามาแก้ ขอบคุณค่า
- เปิดเพลง “ความคิด” จะได้เจ็บเป็นเพื่อนภูมิ ฟังเพลง “สุดท้าย” จะได้เข้าใจพีม T^T