ตอนที่ 38 ความรัก(ครึ่งแรก)
“จะว่าไปมึงก็สติดีเหมือนกันนะคลื่น เป็นกูนะคงหลบไม่ทันแน่ๆ แม่งสวนมาเร็วขนาดนั้น” จะเที่ยงคืนแล้วแต่ผมกับคลื่นยังนอนคุยกันเสียงใสแจ๋ว ตอนแรกผมเร่งมันให้ปิดไฟนอนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน แต่พอล้มตัวลงนอนก็ดันตาสว่างคุยกันจนหายง่วง ตอนนี้สายตาเริ่มชินกับความมืดแล้ว
“เพราะเราโชคดีมากกว่า” ไอ้คนที่นอนก่ายหน้าผากอยู่ข้างๆผม มันหันมายิ้มให้ ผมก็ยิ้มตอบ
“แต่ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะ ที่พากูรอดมาได้ ฮ่าๆ”
“ทำเป็นพูดดีไป สุดที่รักมึงโทรมาหารึยัง” ไอ้ฝัด ไอ้เลว ไอ้เชี่ยคลื่นเปลี่ยนเรื่องกระทันหันชนิดที่ว่าผมเกือบหัวทิ่ม
“ยัง”
“หึหึ ป่านนี้มันมีแฟนใหม่ไปแล้วม้าง” ฉึก เหี้ยเอ๊ย เจ็บใจดำชิบหาย ไอ้เรื่องที่ว่าภูมิไม่โทรหา ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ออนเอ็ม ผมยอมรับว่าทั้งน้อยใจทั้งห่วงและกลัว กลัวว่ามันจะป่วยรึเปล่า แต่ที่ผมกลัวมากกว่านั้นคือกลัวว่าภูมิจะไปเจอคนใหม่ กลัวจะมีใครมาแทนที่ผม
“พีม ไอ้พีม เฮ้ย กูพูดเล่น อย่าทำหน้าอย่างงั้นดิ โกรธเหรอ กูขอโทษ” ไอ้คลื่นเขย่าแขนผมเบาๆ ทั้งสายตาและน้ำเสียงดูเป็นห่วงผมจนน่าหมั่นไส้ ใครจะไปโกรธเพราะเรื่องแค่นี้วะ ไอ้นี่ชักจะเป็นคนดีเกินไปแล้ว
“เปล่าๆ กูจะโกรธมึงทำไม กูแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ เออคลื่น มึงไม่มีแฟนเหรอวะ” ผมถามสิ่งที่เคยสงสัยมานานแต่เพิ่งมีโอกาสได้ถาม
“หืม?” ไอ้คลื่นหันมาเลิกคิ้วใส่ผมที่มองมันอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่มันจะหันกลับไปก่ายหน้าผากมองเพดานเหมือนเดิม “ทำไมอยู่ดีๆมาถามล่ะ หรือว่าชอบกูแล้ว”
“มึงนี่…. ก็กูอยากรู้ไง เพอร์เฟคแมนอย่างมึงไม่น่าจะอยู่รอดมาได้นะ”
“หึ ไอ้พีม กูไม่ใช่สัตว์ป่าหายากนะเว้ย….กูก็มีคุยๆบ้างแต่ไม่ได้คบจริงจัง”
“หล่อเลือกได้ว่างั้น”
“แต่คนที่กูเลือกเขาไม่เลือกกู” มันหันมายักคิ้วทำตากรุ้มกริ่มใส่ผม ไอ้นี่นิ
“โห่หหห” ผมเบะปากยิ้มล้อมัน แม่งแซวตลอด หยอดกูตลอด แต่ถ้ามันทำแล้วมีความสุขก็ปล่อยมันทำไปเถอะ ถึงผมต้องทนกับความอายความเขินก็จะไม่บ่นเลยครับท่าน “เอาดีๆดิวะ กูอยากรู้นะเนี่ย ไหนบอกจะยอมกูทุกอย่างไง”
“ได้ทีขี่ควายไล่เลยนะมึง กูก็ตอบจริงๆ กูไม่มีแฟนกูเป็นหนุ่มโสดในฝัน มึงเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะครับคุณพีม ฮะๆ”
“ท่าทางจะฝันร้าย แต่ทั้งหล่อทั้งรวยอย่างมึงเนี่ยนะไม่มีแฟน อืม….เหลือเชื่อ”
“ถ้ากูมีแฟนกูคงไม่มาจมปลักอยู่กับมึงแบบนี้หรอกไอ้เปี๊ยก หึ” ดูแม่งใช้คำ เหมือนกูชั่วช้าเลวทรามมาก ไอ่เชี่ย
“เอ่อ… ก็… ก็จริงอ่ะเนอะ แหะๆ” ผมก็ดันบ้าจี้ไหลไปกับมัน ไอ้คลื่นมันหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“เมื่อเดือนก่อนน่ะมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“ห๊ะ มึงเพิ่งเลิกกับแฟนเหรอวะ” ผมพลิกตัวตะแคงมาหาไอ้คลื่นทันที ข่าวใหม่ที่เพิ่งรับรู้ทำเอาผมตาเหลือก มันเพิ่งอกหักเหรอเนี่ย ไอ้คลื่นหันมายิ้มน้อยๆ มือที่ก่ายหน้าผากเปลี่ยนมาผลักหัวผมคล้ายจะหยอกล้อแต่คอผมเกือบหัก
“อืม แล้วมึงจะตกใจอะไรขนาดนั้นพีม หื้ม”
“ก็ตกใจดิเพื่อนอกหักทั้งคนนะเว้ย กูว่านะคลื่นผู้หญิงคนนั้นต้องมีปัญหาทางจิตแน่ๆๆถึงกล้าทิ้งมึงน่ะ”
“กูบอกเหรอว่าเค้าทิ้งกู”
“อ้าว นี่อย่าบอกนะว่า…. เฮ้ย จริงดิ ทำไมมึงถึงเลิกล่ะ”
“มึงแน่ใจนะว่าอยากฟังเหตุผล”“เอ่อ”
“จะเลิกเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้กูโสดสนิท แต่เฉพาะในนามนะ เพราะหัวใจกูมีคนจองแล้ว”
คลื่นยังบอกผมด้วยรอยยิ้ม แม้จะมองฝ่าแสงสลัวแต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นเช่นเคย เพราะอะไร ทำไมผู้ชายอย่างมันถึงมารักคนธรรมดาอย่างผม ทำอะไรเพื่อผมมากมาย
เมื่อวานคำว่าตายแทนได้ของมันทำให้ผมร้องไห้ในรอบหลายปี ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรดีๆให้มันเลยสักครั้ง ถึงผมจะรู้สึกดีหรือให้คลื่นเป็นคนพิเศษแต่ความรู้สึกนั้นมันต่างกับที่ผมมีให้ภูมิ
ผมมั่นใจว่าไม่ได้รักคลื่นแบบคนรัก พื้นที่ในหัวใจของผมยังเป็นของภูมิคนเดียว และสำหรับคลื่นมันคือความรู้สึกดีที่โอบล้อมอยู่รอบๆ เหมือนใยบางๆที่คอยห่อหุ้มหัวใจเอาไว้
“คลื่น มึงเจ็บมากมั้ยที่กู…..…” รักมึงเกินคำว่าเพื่อนไม่ได้คลื่นพลิกตัวนอนตะแคงหันมาหาผม มันส่งยิ้มแบบของมันมาให้
“มึงอย่าคิดมากเลยพีม กูไม่ได้เจ็บมากมาย ถึงกูได้มึงมากูก็เอามารัก แต่ถึงไม่ได้มา กูก็รักมึงได้อยู่ดี ไม่เห็นต่างกันตรงไหน กูเจ็บแค่เรื่องเดียวที่มึงมีแฟนแล้วกูไม่อยากเลวเพราะว่าแย่งแฟนใคร แค่มึงให้กูเป็นคนพิเศษ ให้กูได้รักมึง ให้กูได้ยืนอยู่ข้างๆมึงตรงนี้ก็ดีที่สุดแล้ว อย่าสงสารกูนะพีม อย่าปันใจมาให้กูเพราะสงสาร เพราะถ้ามึงทำแบบนั้นคนที่จะเจ็บที่สุดก็คือมึงเอง”
“อื้ม ขอบคุณมึงอีกครั้งนะสำหรับทุกๆอย่าง”
“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้มั้ย”
“อะไร”
“ต่อไปถ้ามึงมีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือมีปัญหากับมัน กูหมายถึงแฟนมึงน่ะ ถ้ามึงไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ขอให้บอกกูเป็นคนแรกได้มั้ย”
“อือ ได้สิ ได้อยู่แล้ว ก็มึงเป็นคนพิเศษของกูนิหว่า”
“แล้วไอ้คนพิเศษนี่มันทำอะไรได้บ้างวะ” มันยิ้มกว้าง มึงต้องยิ้มแบบนี้แหละคลื่น ยิ้มเหงาๆแบบเมื่อกี้กูไม่อยากเห็นเลย
“ไปกินข้าว ไปดูหนัง ไปเที่ยว ติวหนังสือ”
“
เฮอะ เพื่อนชัดๆ”
“กูยังพูดไม่จบห่านี่ ก็แบบว่า กูมีอะไรก็จะบอกมึงเป็นคนแรกๆไง”
“หึหึ มึงอย่าใจดีมากสิพีม แค่นี้กูก็รักจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”“………………………………”
“………………………………”
“กูว่าเรานอนดีกว่าเนอะ”
“พีม กูติดหมอนข้าง”
“อย่ามา เมื่อคืนกูเห็นมึงนอนได้ จะหลอกกอดกูอ่ะดิ๊ ฮ่าๆ”
“ว๊า รู้ทันอีก”
“อย่าลีลา นอนได้แล้ว พรุ่งนี้กูเดี๋ยวพาไปเที่ยวน้ำตกที่ไร่ตากู ใกล้ๆเดินไปแปบเดียวถึง”
“เหรออออ เดินแปบเดียว มึงไม่ต้องเลยพีม เมื่อวานไปตลาดก็บอกใกล้ๆ เหี้ย กูเดินจนขาแหลม”
“ฮ่าๆๆ เออ คราวนี้ใกล้จริงๆ นอนๆง่วงแล้วพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้า”
“………………………………”
ผมหลับตาปิดกั้นแสงจันทร์นวลที่สาดส่องเข้ามาในห้อง สายลมเย็นพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ยามราตรีมาแตะจมูกจนเคลิบเคลิ้ม
“พีม”
“หื้ม” ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง และหันไปมองคลื่น มันก็มองผมอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน
“ขอกอดมึงได้มั้ย”“นอนกอดน่ะเหรอ”
“อืม แค่กอด”
“กอดแปบเดียวแล้วต้องปล่อยนะ นอนกอดคงไม่ได้ กูให้ได้แค่….แค่จับมือได้มั้ย” ไม่ใช่ไม่ไว้ใจคลื่น ไม่ใช่ไม่ไว้ใจตัวเอง แต่ผมไม่มีสิทธิ์นอนกอดใครถ้าไม่ใช่ไอ้โหดคนนั้น
“อืม แค่นี้ก็ดีแล้ว” คลื่นขยับเข้ามาใกล้ แขนของมันโอบกอดรอบตัวผมไว้ กอดของคลื่นอบอุ่น แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรในทางแบบนั้นเลย นอกจากความรู้สึกของคำว่า “มิตรภาพ”
สัมผัสแผ่วเบาที่ประทับไว้บนหน้าผากของผมก่อนที่คลื่นจะผละออกไปและกุมมือผมไว้ตลอดทั้งคืน
“ขอบคุณนะพีม แค่นี้ก็ดีเกินพอสำหรับกูแล้ว ฝันดีนะไอ้ความรักตัวเตี้ย”……………………………………
เช้าวันนี้อากาศแจ่มใสแต่ทำไมตาขวาผมกระตุกวะ แต่ก็ช่างมันเถอะคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง หลังจากอิ่มแปล้กับมื้อเช้าที่แสนอร่อยฝีมือพี่กิ่ง ผมกับคลื่นก็ออกไปเที่ยวน้ำตกท้ายไร่คุณตา ด้วยว่านี่เป็นหน้าฝนไอ้พวกสัตว์ทั้งหลายที่ชอบความชื้นมันก็ออกมาลัลล้ากันทั้งไส้เดือนเอย หอยทากเอย กิ้งกือ
และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าไอ้คลื่นกลัวหอยทาก แม่งแหกปากร้องลั่นป่าแทบแตก กร๊ากกกก พวกเราเดินเล่นชมนกชมไม้จนบ่ายก็แวะไปกินข้าวที่บ้านคุณตา มื้อนี้ยกขันโตกกันเลยทีเดียว
กินข้าวเสร็จผมก็ออกไปเก็บผลไม้ในไร่กับคนงาน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกสนุกและหวังว่าคลื่นก็คงรู้สึกเหมือนผม เรากลับถึงบ้านก็เกือบหกโมง พอดีแม่ไปซื้อต้นกุหลาบมา เลยให้ผมกับคลื่นช่วยกันปลูกแต่ดูสภาพตอนนี้ต้นกุหลาบจะแหลกคามือแล้วครับ
“นี่ มึงเคยปลูกต้นไม้มั้ยคลื่น มึงก็ใส่ปุ๋ยลงไปก่อนดิวะ”
“เอาดินลงไปก่อนค่อยใส่ แล้วมึงจะปลูกแบบไม่แกะถุงดำให้มันรึไง”
“มึงก็ใส่ปุ๋ยซักทีเด้”
“มึงก็เอาต้นไม่ลงก่อนเด้” เห็นได้ชัดว่าผมกำลังถูกมันกวนตีน หนอยแหนะ
“ไอ้คลื่น”
“หึ อะไรไอ้พีม”
“ไอ้เตี้ย”“หนอยมึงกล้าเรียกกูตะ…. เตี้ยเหรอ” เตี้ยงั้นเหรอ ไม่มั้ง ผมคงหูฝาดหูแว่ว ไม่ใช่เสียงมันหรอกมันอยู่ที่อิตาลีจะมาเรียกผมที่เชียงใหม่ได้ยังไง ผมมองหน้าไอ้คลื่นเพื่อให้มันช่วยยืนยันทีว่าข้างหลังผมไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ทั้งนั้น แต่คลื่นกลับหลบตาผม
“ไอ้เตี้ย”คราวนี้ตาขวาผมเริ่มเต้นระบำ เสียงนี้ คนที่เรียกผมด้วยคำนี้ ผมปล่อยมือจากต้นไม้ ค่อยๆหันกลับไป ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทัน มือเย็น เท้าเย็น ขนหัวลุก กูกำลังจะสติแตกครับพี่น้อง
“ภูมิ” คุณพระ!!!
มันจริงๆด้วย ไอ้ภูมิตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับไอ้พวกเพื่อนตัวดีทั้งหลายเกือบสิบชีวิต พวกมันยิ้มร่าให้ผม และรอยยิ้มนั้นก็เริ่มหายไป ยิ่งภูมิเดินเข้ามาใกล้ผมเท่าไรหน้าตามันก็ยิ่งนิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“กูว่าตายแน่ๆ งานนี้ตายอย่างเขียดแน่มึง ไอ้แคระ” เสียงไอ้เชี่ยคิว
“กูว่าตายทั้งคู่ว่ะ” น่าจะเป็นไอ้เบียร์
“เชี่ยนั่นใครวะ หน้าตาด้อยกว่ากูมากอ่ะ” ไอ้ปันมึงช่างกล้าที่จะเอ่ยนะว่าไอ้คลื่นหน้าด้อยกว่ามึง
“หึ เดือนคณะกูนี่หว่า ก็ถือว่าสูสีกับน้องชายกูล่ะนะ” เย็นยะเยือกมาแต่ไกลเลยไอ้ฟ่าง
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง มันก็ยืนขึ้นแล้ว และภูมิก็หยุดยืนอยู่ใกล้จนบังแสงไฟ ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน
ใบหน้าที่คุ้นเคย คนที่ผมคิดถึง คนนี้ไม่ได้เจอมาหลายเดือน มันอยู่ตรงหน้าผมแล้ว มันกลับมาแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอ”
“ใครจะตายก่อน มึงหรือมัน เลือกเอา” ……………………………………….