มาแล้วววค่าาา
---------34-----การเดินทางไปเอคบาทาน่าใช้เวลาสองวันกว่าๆ พวกเขาเดินทางจนถึงเที่ยงคืนจึงหยุดพักที่ชายป่า ผมนอนกลางวันมากเกินไปจนไม่รู้สึกง่วงอีกแล้ว ท่านบาลิธนั่งหลับเงียบๆอยู่ข้างกาย ส่วนท่านเซอซัสก็ออกไปนั่งล้อม กองไฟกับพวกทหาร ..เสียงกองทัพคุยกันโหวกเหวกฮะ
ผมพยายามข่มตาเป็นครั้งสุดท้าย….แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมไม่ง่วงเลย
ผมขยับหัวท่านบาลิธให้แนบกับหมอนถูกท่า เปิดประตูรถม้าและกระโดดลงมา
พวกทหารล้อมไฟย่างปลามื้อดึกกันอยู่ไม่ห่างไปมากนัก ผมมองลอดเข้าไปในทิวป่า มีแต่เงาต้นไม้เคลื่อนไหว…
“ไม่นอนเหรอนากัล” ผมสะดุ้ง หันไปมองต้นเสียงที่ปลายขา
กิลนอนเอาหัวพาดโขดหินอยู่ เขาห่มผ้าปรุประสีน้ำตาล
“ข้าไม่ง่วง..” กิลยันตัวขึ้นมา
“หิวหรือเปล่า ? ข้ามีขนมปังนะ”
ผมส่ายหัว ยิ้มจืดๆ ฮะ
กิลมองผม “แล้วเจ้าจะทำอะไร?”
“ก็- -” ผมมองไปที่กลุ่มทหาร ท่านเซอซัสกำลังตอกถ้วยพนันลงไปบนกระดานอย่างสนุกสนาน “ไม่รู้สิ”
“นี่นากัล…เรื่องคำทำนายน่ะ เจ้าไม่ตะขิดตะขวงใจกับข้าใช่มั๊ย” กิลถามเกร็งๆ
ผมเบ้ปาก “ไม่หรอก… ” นั่งลงข้างกิล “ถ้าข้าบอกว่าไม่เชื่อ เจ้าจะหาว่าข้าเป็นพวกนอกรีตรึเปล่า?”
กิลเงียบและส่ายหัว
“มันอาจจะหมายถึงคนอื่นก็ได้?? คำทำนายมันออกจะกว้างนี่หน่า” ผมบอก “มันไม่ใช่ข้าหรอก..”
“แต่ข้าว่า ใช่” กิลพูด
“เจ้าเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ข้าต้องมีชีวิตรอดในวัง” ผมตัดบท ลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด กิลอะ ถ้ากิลไม่พาผมไปแนะนำกับชาวยิว ก็จะไม่มีใครคิดว่าผมเป็น เด็กในคำทำนายนั่น
“ข้าขอโทษ นากัล” น้ำเสียงกิลดูเสียใจ เขาลุกตามผม
“ข้าจะไม่พูดแล้ว… เจ้าอยากเล่นอะไรคืนนี้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อน” กิลยิ้มกว้าง ผมกระเซอะกระเซิงดูตลกชะมัด
ผมหลุดขำ “แล้วเราจะเล่นอะไรล่ะ ดึกขนาดนี้”
“ข้าพาเจ้าไปดูในป่าได้”
“ห๋า” ผมตกใจ “เจ้าพูดจริงหรือ??”
“อื้อ!”
ผมหันไปดูแนวป่าข้างหลัง ต้นไม้สูงชลูดเคลื่อนไหว ลิบสุดสายตามีเพียงเงาทะมึนของกิ่งก้านสาขา แล้วก็อ้าปากค้างใส่กิล “เจ้าเพี้ยนที่สุด!”
“ป่าดินแห่งนี้มีเรื่องเล่าขาน เขาว่ามีนางฟ้าซ่อนอยู่พร้อมกล่องวิเศษ ที่หากเจ้าทำให้นางพอใจ นางจะให้โอกาศเปิดกล่องนั้น…”
“แล้วมีอะไรในกล่องละ?” ผมฉงน
“สิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดในโลกนี้” กิลจริงจัง
ผมหัวเราะ จินตนาการว่า ท่านเซอซัสไม่สามารถดึงร่างใหญ่ๆของเขาออกจากกล่องได้
“ข้าอยากรู้ว่าตำนานนั่นจริงรึเปล่า” กิลขมวดคิ้ว “เราเข้าไปกันเถอะ”
“ไม่เอาอะ” ผมค้าน “บ้าน่ะ กิล ป่ายามวิกาลอันตรายจะตาย แล้วเราเป็นเด็กแค่สองคนเองนะ”
“แต่เจ้าไปกับข้านี่” กิลชักมีดยาวสนิมเขรอะออกมาจากเข็มขัดหน้า “ข้าจะดูแลเจ้าเอง” กิลพูดอย่างแข็งขัน เบ่งแผงอกเลอะเทอะให้ใหญ่ขึ้น ผมกลั้นขำฮะ
“แต่- -” เขาทำท่าจะนำผมเข้าไป ผมมองไปรอบๆ พวกทหารไม่ได้สนใจเรา ผมมองรถม้า “ข้ากลัวท่านบาลิธเป็นห่วง เจ้าจะโดนลงโทษเอานะ!”
“เจ้าไม่อยากรู้ว่า นางฟ้ามีจริงรึเปล่าหรอ?”
“อืม..ก็อยาก” ผมปากบูด “ก็ข้า กลัวนี่หน่า” กิลเข้ามาใกล้ จับข้อมือผมสองข้าง “ข้าจะดูแลเจ้าเองไง พี่โจมาร์สั่งไว้”
กิลยิ้มเหมือนรอยยิ้มของพี่
===
กิลจุดไฟอย่างชำนาญบนกิ่งไม้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า กิลอายุเท่าผมฮะ พวกเราแอบหลบพวกทหาร กิลนำผมเดินเข้าป่าไป
ผมรู้สึกเสียววันหลังวาบ ในป่ามีเสียงจั้กจั่น แล้วก็เสียงนกฮูก
“กิล..” ผมบีบมือเขา “ข้าว่าเราไม่ต้องเข้าไปลึกหรอก แค่เดินอยู่แถวๆนี้แปปเดียวก็พอแล้ว อย่าออกไปไกลแสงไฟกองทัพเลย”
“นิดเดียวนากัล เชื่อข้าสิ”
ผมวิ่งเข้าไปเกาะแขนกิลแน่น กิลโบกกิ่งไม้ไปรอบๆ ต้นไม้แถวนี้สูงสุดเงย เราเหยียบลงไปในกองใบไม้รก
กิลพาผมใต่ขึ้นเนินดิน ข้ามรากใหญ่ๆ ซักพักจากที่กลัว ก็เริ่มรู้สึกคะนองขึ้นมา ผมเริ่มวิ่งเหยาะๆเลียบรากไม้ กิลวิ่งตามมา พวกเราหัวเราะ กิลกระโจนเข้าสวมกอดเอวผม แรงกระแทกทำให้ผมกระเด็นไปชนต้นไม้
“อ้ะ!!!!” กิลรีบพยุงผม “เจ็บรึเปล่า?”
ผมส่ายหัว กิลคลายมือออกเขินๆ
“ไม่เห็นมีใครในป่าเลย ดูท่านิยายของเจ้าจะแหกตานะ”ผมแซว
กิลเขยิบมาประชิดหน้าผม
“นี่เจ้าชอบข้าหรอ?” ผมถามออกไปตรงๆ
กิลดูทำตัวไม่ถูก “ไม่ใช่อย่างงั้นนากัล…”
“อ่าว แปลว่าเจ้าไม่ได้ชอบ?”
“ไม่ใช่!!” กิลทำท่าไม่ถูก “ข-- ข้าชอบ” เขากระสับกระส่าย “แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากับพี่- -”
“อืม” ผมพยักหน้า ก้มหน้าหงุด
“ข้าขอเเค่มิตรภาพ นากัล…ข้าไม่คิดล่วงเกินใต้ฝ่าพระองค์หรอก …แต่ข้าก็แค่ อยากสนิทกับเจ้า ข้าอยากให้ความหวังพวกพ้องข้าบ้าง พี่โจมาร์เดินเรือไปกับพวกเปอร์เซียแล้ว พวกเราสองพี่น้องต้องช่วยเหลือกัน แล้วเราก็อยากให้เจ้าร่วมด้วย”
กิลรวบรวมความกล้า แล้วก็สวมกอดผม เขาซุกหน้าเปื้อนๆที่ซอกคอ แล้วก็ดูเหมือนตั้งใจจะสูดน้ำหอมผมเต็มๆ
“แต่ ข้าไม่ใช่คนในคำทำนายของเจ้านะกิล” ผมลูบหลังเขา “จริงๆนะ- -ข้าขอโทษ”
ผมจุมพิตแก้มกิล “ข้าเป็นเพื่อนกับเจ้าได้ แต่ข้าช่วยเจ้าเรื่องนั้นไม่ได้จริงๆ”
“แล้วพี่โจมาร์ละ!” กิลท้วง ปล่อยกอดผม “พี่ต้องการล้างแค้นมาตลอด เจ้าก็เป็นยิวนะ นากัล มันอยู่ในเลือดของเจ้า”
“แต่ข้ารับใช้คาลเดียล…นี้มันเป็นแผ่นดินของพวกคาลเดียนนะ กิล!!”
“หมายความว่า เราต้องยอมแพ้งั้นหรอ?”
.
“เฮ้ย!!!” ผมและกิล กระโดดเด้งด้วยความตกใจ แทบจะล้มลงไปกอง เมื่อได้ยินเสียงผู้ชายต่ำๆดังขึ้น
ท่านเซอซัสยืนถือแก้วพนันอยู่ในมือ ไม่มีคบเพลิงในมือท่าน ใบหน้าครึ่งนึงจึงซ่อนอยู่ในความมืด น่าผวามากกว่าที่ผมจะนึกออก
ความเงียบสนิทเกิดขึ้น…..
ท่านเซอซัสเอ่ยเสียงเนือยๆ “กิล….”
….
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าคืนนี้… ” เขาถุยน้ำลายลงไปที่ใบไม้ “แต่ถ้าข้าเห็นเจ้าทำอะไรก็ตาม…ถึงผิดกฎเพียงเสี้ยวเดียว เจ้าลาโลกแน่นอน ข้าสาบาน”
กิลก้มหัวนิ่ง “กลับไปเฝ้ารถม้าซะ !!” เขากล่าวขอบคุณท่านเซอซัส ก่อนจะวิ่งพรวดออกไป
ผมก้มหน้าหลับตาปี๋ ฮือ…ผมไม่น่าเลยฮะ ท่านเซอซัสเดินมาใกล้
ท่านเซอซัสโยนถ้วยพนันทิ้งไป
ผมรอว่าท่านจะพูดว่าอะไร แต่ท่านก็ไม่ยักจะเอ่ยซะที อย่าทำแบบนี้สิ ผมปวดท้องตุบๆเลยนะฮะ ต้องโดนดุหนักมากแน่เลย แงๆ
“อะ..เออะ คือเรื่องเมื่อกี้ที่กิลคุยกับผม มันไม่ใช่อย่างนั้นนะฮะ ผมหมายถึง- -“ ผมพยายามอธิบาย แต่ท่านเซอซัสกดริมฝีปากไว้
“อย่าให้เจอแอบหนีมาที่อันตรายแบบนี้อีก” ท่านสั่งเสียงดุ นัยน์ตาเข้ม
อ๋า น่ากลัวอะ ”ท- -ท่านฮะ ”
“อย่าเถียงข้า!!” เขาตะคอก ผมห่อใหล่ด้วยความกลัว
ยักษ์เซอซัสถอนหายใจ ยื่นมือมาวางพาดบนศีรษะผม
“ข้าไม่ได้จะอยู่ช่วยเจ้าได้ทุกวินาทีนะ นากัล เจ้าจะอายุสิบสามแล้ว” ท่านอ่อนลง “ต้องคิดเป็นได้แล้ว ไป- - กลับไปนอนซะ”
“ผมไม่ง่วง” เสียงผมหรี่เล็ก
“เจ้าเด็ก…”
“ท่านเซอซัสฟังผมสิฮะ… ก็ผมนอนไม่หลับ ท่านมัวแต่เล่นพนันอะ ผมก็ไม่กล้าเดินเข้าไปเรียก ผมขอโทษนะฮะ ให้อภัยผมนะฮะ ท่านเซอซัส” ผมเขย่าแขนเขา
“เออ เออ มันก็แน่อยู่แล้วละว่ะ เจ้าเด็กเปรตหนิ่!” ท่านเซอซัสพูดฉุน แต่ผมแอบเห็นท่านอมยิ้มนิดนึง ท่านเซอซัสน่ารักที่สุด
ผมโผเข้ากอดเอวท่าน เงยหน้าอ้อน…ก่อนจะไซร้หน้าท้องท่าน
“ไม่เอา นากัล” ท่านดันผมออก ร่างใหญ่ขยับเข็มขัด ไม่สบตาผม
…
“เมื่อไหร่?” ผมถามห้วน
ท่านเซอซัสขมวดคิ้ว “นากัล เจ้าทำหน้าแบบนี้ไม่สมเด็กเลยนาเว้ย มาๆ ข้าให้ขี่หลังพากลับไปนอน” เขาย่อจะให้ผมขึ้นหลัง
ผมมองหน้าท่านเซอซัสนิ่ง “ช่างเถอะฮะ” ผมรีบเดินออกจากดงไม้กลับไปที่รถม้า
===========
ตอนเช้ารถม้าเคลื่อนตัวต่อ ครั้งนี้เร็วกว่าเมื่อวาน เสียงทหารหวดแซ้เพิ่มความเร็วรอดเข้ามาทางหน้าต่าง ท่านบาลิธสอนผมเขียนหนังสือเพิ่มในตอนสาย ท่านให้ผมนั่งตักและจับมือผม ลากแท่นดินเป็นตัวอักษร
ผมอารมณ์ดีขึ้นจากเมื่อคืน พอเล่นกับท่านบาลิธแล้วผมสบายใจจังเลยฮะ ผมยิ้มแป้นให้ท่าน
“เจ้าเขียนชื่อข้าถูกแล้ว” ท่านบาลิธหอมแก้มฟอดนึง
“ที่นี้ลองเขียนชื่อ - - อืม เขียนชื่อเซอซัสบ้างเป็นไง”
ผมมุ่ยหน้า “ไม่เอาอะฮะ ผมอยากเขียนชื่อ เจ้าเอลลี่ มากกว่าฮะ ท่านบาลิธ”
“อะ งั้นก็ได้ เอล เริ่มด้วย อักษรนี้” ท่านบาลิธจับมือผมลากต่อ ท่านตัวนิ่ม กลิ่นก็หอมกว่าท่านเซอซัสตั้งเยอะ แบร่~~ ผมเล่นกับท่านบาลิธก็ได้ ท่านเซอซัสไม่สนใจผม งึ๊ย!! เป็นความผิดของเขาทั้งหมดเลย
ท่านเซอซัสขี่ม้านำขบวณข้างหน้าวันนี้ ท่านบาลิธแซวว่าท่านเซอซัสได้พนันเมื่อวานไปเยอะแน่ เลยบ้าพลัง จริงๆผมว่า เขาจะหลีกเลี่ยงผมซะมากกว่า
ผมน่าจะจูบกิลซะให้รู้แล้วรู้รอด
…
ท่านเซอซัสเป็นยักษ์งี่เง่าเห็นแก่ตัว!
ผมโกรธท่านเซอซัสละ - -
“เออนี่ นากัล”
“ฮะ”
“โชว์ที่อาจารย์อิเลียสสอนน่ะ เจ้าคงไม่อายถ้าจะเล่นให้กองทัพดูระหว่างอาหารค่ำใช่มั๊ย?” ท่านบาลิธลูบไรผมของผมเล่น
“อา ไม่ฮะ ” ผมตอบ
“ข้าไม่อยากให้พวกทหารเบื่อน่ะ พอไปถึงแล้วพักซักคืนก่อน แล้วคืนต่อมา เจ้าแสดงได้ใหม?”
“ได้สิฮะ แล้วแต่ท่านบาลิธเลยฮะ” ผมวางแท่งดินลง ท่านบาลิธกอดผมแน่น แล้วงับใบหูแกล้ง
“อะ ฮะๆๆๆ” ผมบิดตัวจั๊กจี้ “ง่า ท่านบาลิธแกล้ง!”
“ไปถึงแล้ว ข้ากับเจ้าจะนอนบนขนหมีป่า แล้วก็กองไฟอุ่นๆในหอไม้” ท่านบาลิธกระซิบข้างหู เกาไรผม“ข้าอยากอยู่ข้างในเจ้าจะแย่อยู่แล้ว นากัล”
ผมประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าท่านบาลิธจะพูดอะไรแบบนี้กะเขาด้วย แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกเลยอะ…หวา แย่จัง ผมเลยเอี้ยวหน้าไปจุ้บปากท่านเบา ๆ
ท่านบาลิธก็ชอบคิดถึงอโดนิส ผมก็ชอบคิดถึงท่านเซอซัส จะว่าไป ..
เราสองคนก็ไม่ได้ต่างกันนักเลย
+++++++++++++++++++++++++++++
ขุนเขาเรียงรายอยู่นอกหน้าต่าง การเดินทางเริ่มวิบากขึ้นมาในเวลาบ่าย กองทัพเคลื่อนตัวขึ้นเทือกเขา รถม้าเอียงไปตามถนน ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ผมเห็นแอ่งดินเบื้องล่าง เทือกเขาใหญ่ ผาสูงฉลูด เอคบาทาน่าดูซับซ้อนและลึกลับกว่าที่คิด ยิ่งนับป่าดำทมิฬซึ่งล้อมภูมิประเทศแถบนี้ทั้งหมดไว้
ตกเย็น อากาศหนาวชนิดที่ผมสั่นควบคุมไม่อยู่ ท่านเซอซัสตะโกนอะไรโหวกเหวก เกี่ยวกับม้าจะตกหน้าผาอยู่ด้านนอก
ลมพัดหอบเอาฝุ่นมหึมาจากทิศใต้ ผมกัดฟันกึกๆ รถม้าไม่อุ่นพอ
“อีกแปปเดียวก็ถึงที่พักแล้วนากัล อดทนหน่อยนะ”ท่านบาลิธจุดไฟในตะเกียงเพิ่ม ผมกอดท่านกลมดิ้ก
ฟึ่บ!! ประตูรถม้าเปิด ลมพัดโกรกเข้ามามากอย่างน่าหวั่น
“ฝ่าบาทลงจากเขาลูกนี้ ก็ถึงใจกลางหุบเขาแล้วพะยะค่ะ” ท่านพูดฝ่าลม
“งั้น จุดไฟสัญญาณเลย”
“จุดไฟบอกค่าย!!” ท่านเซอซัสหันไปสั่ง ท่านทำอะไรกุกกักกับเสื้อผ้า รู้อีกทีคือเสื้อหนังถูกโยนมาครอบหัวผม และห่มไปทั้งตัว
…
กว่าจะลงจากเขามาได้ ผมมั่นใจว่ากองทัพต้องหิวโซและอ่อนเพลียกันสุดๆ ผมปลาบปลื้มใจเลยทีเดียว ตอนที่หัวขบวณประกาศว่าเรามาถึงค่ายแล้ว
“เดี๋ยวเซอซัสมาพาเจ้าไปห้องข้านะ นากัล” ท่านบอกก่อนปิดประตู ผมมองรอบๆจากหน้าต่าง
ท่านบาลิธลงไปพร้อมดาบคู่ใจอย่างแข็งขัน พระญาติที่เฝ้าค่ายแห่งนี้ปรี่มารับท่านเข้าไปในวัดเล็กๆ
และท่านเซอซัสก็โผล่มาฮะ ท่านพาผมลงจากรถ ลมยังคงพัดโกรกอยู่ ผมหนาวจนไม่อยากทำอะไร แทบจะมองรอบๆไม่รู้เรื่องเพราะฝุ่นกระเด็นเข้าตาทุกครั้ง ท่านเซอซัสจับตัวผมเดินฝ่าลม ผมเงยหน้าเห็นหอพักสร้างจากไม้แผ่นๆยาวไปหลายหลัง กำแพงหินเก่าๆมีร่องรอยสงครามล้อมอยู่รอบค่าย
ท่านเซอซัสพาผมปีนบันใดขึ้นมาถึงชั้นสามของหอ พอประตูปิดลง เสียงอื้ออึงของลมก็หายไป
“ข้าบอกฝ่าบาทแล้ว ว่านี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสำหรับสนมเด็ก”
ผมโซเซไปที่เตียง ไอแค่ก
ท่านเซอซัสทำสายตาเป็นห่วง ผมยังงอนอยู่นะ
“นี่แหละ แอคบาทาน่า! เจ้าจะอยู่ที่นี้ไม่ต่ำกว่าสองเดือน…เดือนหน้าก็เข้าหน้าฝน และทุกอย่างจะโหดร้ายกว่านี้”
“หน้าฝนเป็นวันเกิดผม” ผมทรุดลงไปเตียง คว้าผ้าห่มมาห่อตัวเกร็ง
ท่านเซอซัสเดินเข้ามาอยู่เหนือร่างผม “เจ้าไม่ควรมาโตที่นี้” เขาทรุดตัวลงแล้วจูบปากผมหนักหน่วง ผมยังไม่ทันได้ทั้งตัวเลย ท่านดูดงับมันอย่างถนุถนอม “งอแงนัก คืนพรุ่งนี้เลยดีมั๊ย?”
ผมเบิ่งตาโตอย่างดีใจ “ฮะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ “ ท่านเซอซัสหัวเราะราวยักษ์ ขยี้หัวผมแรงมาก โอ้ย!! “ เดี๋ยวข้าให้มหาดเล็กไปตามเมยามาทำห้องบรรทมฝ่าบาท เจ้าพักไปก่อนเถอะ”
แล้วท่านก็ออกไป
========================
หายไปนาน กลับมาแล้วค่า:กอด1:ขอบพระคุณผู้อ่านอย่างสูงที่ยังคงติดตามนะคะ แฮะๆ ผู้แต่งซาบซึ้งใจค่ะ
ดีใจที่กลับบมา เหง้อออ รักกผู้อ่านนน หมับๆๆๆ:3123: