"The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "The Story Of Me and You ... เรื่องเล่าของเราสอง  (อ่าน 38672 ครั้ง)

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
   จวบจนวันเวลาได้ผ่านเลยไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนแล้วก็เดือนเล่า เก่งและตุ่นยังคงอยู่ในปฏิกิริยาที่ยังคงเดิมต่อกัน โดยที่เก่งจะต้องเก็บกดเอาความรู้สึกเจ็บปวด รวดร้าวหัวใจเอาไว้ในอก ไม่ให้ปรากฏออกมาบนหน้าของตัวเอง เกรงว่าจะทำให้ตุ่นไม่สบายใจ เก่งและตุ่นยังคงนั่งเล่นกีต้าร์ด้วยกันตรงจุดเดิม ตุ่นยังคงเตรียมมอเตอร์ไซค์ไว้ให้เก่งใช้ ยามที่เก่งต้องใช้ โดยที่เก่งไม่ต้องไหว้วาน ดื่มเหล้ากิจวัตรประจำที่ทำร่วมกัน เก่งและตุ่นยังคงนั่งใกล้กันในวงเหล้า เพียงแต่น้อยครั้งที่เก่งจะเอามือไปวางไว้บนหน้าขาของตุ่นเหมือนที่เคย ๆ ทำ ตุ่นเองก็น้อยครั้งที่จะเอามือมาขยี้ผมของเก่งเหมือนแต่ก่อน
   ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันถ้าเราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเราเอง เราว่าตุ่นก็ดูจะอึดอัด หรือดูท่าทางจะไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนทั้งเราและตุ่นต่างก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ ในส่วนตัวของเราเองนั้น เราพยายามที่จะเก็บเกี่ยวเอาความสุขจากตุ่นให้ได้มากที่สุด เพราะเรามีแผนอยู่แล้วในใจของเรา ส่วนตุ่นนั้น เราบอกตามตรงว่าเราเริ่มรู้สึกว่านับวันเรายิ่งหยั่งใจของเขาไม่ถึงลงไปทุกที
   ภาคเรียนที่ 1 ผ่านพ้นไป ช่วงเวลาปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่เราได้พักความคิด ความเครียดเกี่ยวกับตุ่น เพราะเราได้มีโอกาสกลับไปอยู่บ้าน อยู่กับพ่อ กับแม่ หลายกิจกรรมที่เราทำด้วยกันจึงทำให้เราลืมที่จะคิดเรื่องของตุ่นไปได้เหมือนกัน
แต่ความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เมื่อวันเปิดเทอมมาถึง เรากลับรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าตุ่นคนที่เรารักมานาน เมื่อเราเจอกันที่บ้านเช่าของตุ่น เราจึงถือโอกาสบอกสิ่งที่เราคิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนปิดภาคเรียน
   บอกรักตุ่นนะเหรอครับ ไม่ใช่แน่นอน เรามันคนขี้ขลาด เราไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้นแน่นอน สิ่งที่เราบอกตุ่นมันทำให้เราเจ็บปวดใจเสียเอง
   “เทอม 2 นี้เก่งย้ายไปอยู่กับเพื่อนห้องคอมฯ นะตุ่น” เราเริ่มต้นบอกสิ่งที่เราคิดเอาไว้ โดยที่ตุ่นยังคงเงียบ และยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
   “เทอมนี้เราต้องทำโปรเจคจบ เราต้องอยู่ใกล้เพื่อน ๆ และสถาบัน เพื่อที่จะได้ช่วยกันติวและสะดวกกับการเข้าไปขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สถาบัน” ตุ่นยังคงเงียบ
   “เก่งเรียนไม่ได้เก่ง อยากให้เพื่อน ๆ ช่วย ไม่งั้นเก่งคงไม่ได้จบพร้อมเพื่อน” เก่งยังคงเน้นย้ำ
   “ให้ตุ่นไปส่งมั๊ย” ตุ่นพูดออกมาหนึ่งประโยค หลังจากนั้น เราและตุ่นต่างก็เงียบ
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเก่งนั่งรถสองแถวไปก็ได้” เราตอบตุ่นกลับไป
   “แวะมาหาบ้างละ” ตุ่นตอบก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเราเองเดินจากมาด้วยอาการหน้าชา ตัวชา ขึ้นรถสองแถวมาโดยที่เหมือนกับไร้ความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น เราจากมาโดยที่เก็บเอาเฉพาะข้าวของที่จำเป็นมาก่อน เราเลือกที่จะกลับไปเก็บข้าวของที่เหลือในวันเสาร์ เพราะวันเสาร์เป็นวันที่เราคิดว่าตุ่นคงจะไม่อยู่ที่บ้าน ตุ่นคงจะไปต่างจังหวัดเพื่อไปอยู่กับแฟนของเขา เราไม่อยากที่จะเจอตุ่นตอนที่เราต้องขนของย้ายออกมา เพราะมันคงยากที่เราจะกลั้นเอาน้ำตาไว้ได้
เราวุ่นวายกับการทำโปรเจคทุกเวลาที่ว่างหลังจากการเรียน สนามวอลเล่ย์บอล สนามเปตอง หรือแม้แต่ร้านหนังสือเช่าของพี่เยาว์ เราแทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปเลย เพราะเมื่อใดที่เราเข้าไป ภาพความทรงจำดี ๆ มันก็มาตอกย้ำให้เราต้องเจ็บปวดใจอยู่เสมอไป แต่ถึงยังไง เราก็ยังได้เจอตุ่นที่สถาบันอยู่บ้าง เรายังคงได้ยินเสียงตะโกนบอกเขาว่า “ไอ้ตุ่น แฟนมึงมาหา” เหมือนเดิม เวลาเราเดินไปหาตุ่นที่บ่อประมง ตุ่นเองก็ยังคงพูดคุยกับเราอย่างอบอุ่น แต่การย้ายมาอยู่ไกลกับตุ่นแบบนี้ มันทำให้เราห่างกัน ห่างกันมาก เหมือนอยู่กันคนละโลก เราไม่รู้ความเป็นไปของตุ่น เราไม่รู้ว่าเวลาตุ่นเมาแล้วใครจะพาเขาไปอาเจียน ใครจะเช็ดตัวให้เขา ถึงแม้ที่หอที่เราอยู่รวมกับเพื่อน ๆ จะมีเสียงกีตาร์ของเพื่อน ๆ เราดังอยู่เป็นประจำ แต่มันก็ไม่ใช่เสียงกีตาร์ของตุ่น เสียงที่เราคุ้นเคย ยิ่งนับวันยิ่งดูเหมือนว่าเราจะห่างกันมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น และในช่วงหลัง ๆ เราก็ไม่ได้เจอตุ่นที่สถาบันมากนัก เพราะตอนนั้นนักศึกษาคอมฯ ส่วนใหญ่จะฝังตัวเองอยู่ในห้องคอมฯ เพื่อเขียนโปรแกรม ทำโปรเจคจบกัน รวมทั้งเราด้วย เราเลยไม่มีโอกาสได้ไปเจอเขาที่บ่อประมงสักเท่าไหร่
   วันเวลาผ่านเลยไปโดยที่เราไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว และแล้วในเย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นเย็นของวันเสาร์ เราและเพื่อน ๆ อยู่ที่ห้องเช่า นอนดูหนัง ฟังเพลงกันตามประสา เราได้ยินเสียงของชัยที่อยู่หน้าห้องเช่ากับน้อยตะโกนประโยคที่ทำให้เราถึงกับกระโดดลงจากเตียงนอนในทันควัน
   “เก่ง เก่ง แฟนเก่งมาหา” คำว่าแฟนที่ชัยพูดถึง เราเข้าใจความหมายได้ดีว่าชัยหมายถึงใคร เรารีบวิ่งออกไปที่หน้าหอพักทันที เราเห็นตุ่นนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเราก็ไม่คุ้นเหมือนกันว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ของใคร
   “แต่งตัวเร็วเข้า ไปหาอะไรกินกัน” ตุ่นพูดเมื่อเราไปยืนอยู่ใกล้ ๆ เขา ในตอนนั้นหัวใจของเราเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เราตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เราทำได้แค่เพียงยืนยิ้มให้ตุ่น
   “ไหนละ บอกว่าให้ไปแต่งตัวไง” ตุ่นย้ำขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกตัว
   “รอแป๊บนึงนะ” เราพูดจบก็หายกลับเข้าไปในหอพัก เปลี่ยนชุดให้พอดูได้ แล้วจึงออกมานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่น ตุ่นไม่พูดอะไรแต่กลับขับรถออกไปจากจุดนั้นในทันที
   คราวนี้เราไม่ปฏิเสธ ไม่ลังเล เหมือนตอนที่ตุ่นเคยชวนเราตอนแรกที่เราเพิ่งได้เจอกัน ตอนนี้เราไว้ใจตุ่น ตุ่นจะพาไปไหนเราก็ไป  ถึงแม้ว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับมา เราก็จะไปถ้าได้ไปกับตุ่น วันนี้เป็นวันที่หัวใจเราเต้นแรงอีกครั้ง  หลังจากที่เราจากกันมานาน  เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน เราตื่นเต้นอีกครั้งที่ได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กับตุ่น คราวนี้เรากล้าที่จะเอามือไปจับสะเอวของตุ่นอีกครั้ง จับโดยที่เราไม่ได้เมาเหมือนตอนมางานสังสรรค์ในสถาบัน  ถ้าเรามีความกล้าขึ้นอีกหน่อย เราอยากจะเอามือเราโอบกอดไปที่สะเอวตุ่นด้วยซ้ำไป ตุ่นขับรถไปไม่ได้พูดอะไรมาก เราก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จนไปถึงร้านร้านนึง   
   “นี่ไงร้านผัดไท ที่เคยซื้อไปให้กินนะ วันนี้พามากินถึงที่เลยดีไหม” ตุ่นบอกเราพร้อมกับจอดรถที่หน้าร้าน
ตอนนั้นเราอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ อยากจะกอดตุ่นให้เต็มแรง ด้วยความที่ดีใจ ไม่ได้ดีใจที่ได้มากิน   แต่ดีใจที่ตุ่นจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่เราเจอกันได้ เพราะตุ่นเคยซื้อผัดไท ไปฝากเราและบอกว่าเป็นร้านที่อร่อย มีโอกาสจะพาเราไปกินที่ร้าน นี่เขายังจำได้เหรอ ส่วนเรานั้นจำได้ไม่มีวันลืม
วันนั้นเราสั่งผัดไทมากิน แต่ตุ่นไม่ได้กิน ตุ่นสั่งเบียร์ แล้วเราก็กินไป คุยกันไป ตุ่นก็ถามเราหลาย ๆ เรื่อง อยู่ที่หอเป็นไงบ้าง โปรเจคทำไปถึงไหนแล้ว ไม่เห็นไปหาที่บ่อเลย ฯลฯ สารพัดคำถาม เราก็ตอบกลับไป
และถามคำถามที่เราอยากจะถามเขามากออกไป   
   “ยังไปสุราษฎร์อยู่อีกไหม” เราถามออกไป
ตุ่นเงยหน้าจากแก้วเบียร์ แล้วมองหน้าเรา “  รู้ด้วยเหรอว่าที่ไปนะไปสุราษฎร์” เราพยักหน้ารับรู้
   “ไม่ไปแล้ว” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “ทำไมละ” เราถามต่อ
   “เลิกแล้ว” ตุ่นตอบ
   ได้ยินคำตอบออกมาจากปากตุ่นเรารู้สึกว่าตัวเราลอยอีกครั้งหนึ่งแล้ว เราบอกไม่ได้ว่าเราดีใจที่ตุ่นเลิกกับคนคนนั้นซะได้ หรือว่าตุ่นดีใจที่ตุ่นไม่ต้องขับรถไปสุราษฎร์อีก เราเป็นห่วง กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก แล้วถ้าเกิดขึ้นอีกคราวนี้ใครจะดูแลเขา  เราไม่ได้อยู่ใกล้ที่จะดูแลเขาได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราพูดคุยกันต่อหลังจากจบเรื่องนั้นของตุ่น คราวนี้เราคุยกันแต่เรื่องสนุก ๆ จนทำให้เขาหัวเราะได้ แต่สำหรับเรานั้น เราอยากจะร้อง ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าจะร้องทำไม ร้องเพราะอะไร แต่ที่รู้คือ ไม่ได้ร้องเพราะเสียใจอะไรในตัวตุ่นเลย ตุ่นเป็นตุ่น ตุ่นเป็นคนที่เรารักมาเกือบ 2 ปี
   เมื่อเรากินผัดไทเสร็จ เขาก็ดื่มเบียร์หมดพอดี หลังจากออกมาจากร้านนั้น ตุ่นขับรถพาเราชมแสงสีของตัวเมืองในยามค่ำคืน ผ่านซอยนั้น ไปทะลุยังซอยนี้ โดยที่ตุ่นไม่ได้ถามเราเลยว่าเราจะรีบกลับรึเปล่า ซึ่งในตอนนั้นถ้าตุ่นถาม เราก็คงตอบว่าไม่รีบกลับ เราอยากเก็บเวลาได้ใช้ร่วมกับตุ่นเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะว่าหลังจากนี้ เราทั้งสองคนคงต้องแยกจากกันเมื่อเรียนจบ
   “เรียนจบแล้วเก่งจะเรียนต่อไหม” ตุ่นถามในขณะที่ขับรถไปเรื่อย ๆ
   “เก่งยังไม่เรียนต่อละครับ เก่งอยากหางานทำก่อน ได้งานแล้วค่อยหาโอกาสเรียนต่อ” เราตอบไปยาวเหยียดเพราะรู้ดีว่าฐานะทางบ้านของเราคงไม่พร้อมที่จะส่งเสียให้เราได้เรียนต่อ
   “แล้วเก่งจะไปหางานที่ไหนละ” ตุ่นถามต่อ
   “เก่งกะว่าจะไปหางานที่หาดใหญ่ เพราะใกล้บ้านเก่ง และคงมีงานมากกว่าแถวบ้านเก่ง” เราตอบ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกสาเหตุที่เราอยากไปทำงานที่หาดใหญ่ เพราะว่า บ้านของตุ่นอยู่ที่นั่นนั่นเอง ซึ่งถ้าเราและตุ่นอยู่หาดใหญ่ เราก็อาจจะยังคงได้ใกล้ชิดกันต่อไป
   “แต่ตุ่นต้องไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรีนะ” ตุ่นพูด ทำให้วิมานที่เราวาดไว้พังลงทันใด
   “ไปเรียนที่ไหนละ” เราเค้นเสียงถามออกไป
   “สุรินทร์” ตุ่นตอบสั้น ๆ
   “แต่ปิดเทอมตุ่นก็กลับมาอยู่บ้าน เราคงจะได้เจอกันที่หาดใหญ่” ตุ่นพูดทิ้งท้าย ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้าง
   เราขับรถชมเมืองกันพักใหญ่ ก่อนที่ตุ่นจะขับรถไปตามเส้นทางกลับหอพักของเรา เวลาช่วงสั้น ๆ ในวันนี้ทำให้เรามีความสุขยิ่งนัก หลังจากที่ห่างหาย ไม่เห็นหน้ากันมานานแสนนาน
   “ขอบคุณนะที่พาไปกินผัดไท” เราพูดเมื่อตุ่นจอดรถที่หน้าหอพักของเรา
   “ไม่เป็นไร กลับเข้าห้องไปได้แล้ว” ตุ่นพูด
   “ตุ่นก็กลับได้แล้ว ขับรถดี ๆ นะ” เราพูด
   “เก่งเข้าหอไปก่อนเหอะ เดี๋ยวตุ่นกลับเอง” ตุ่นพูด เหมือนเคยทุกครั้งที่ตุ่นพาเราไปไหนมาไหน ถ้าเขามาส่งเรา เขาจะรอให้เรากลับเข้าบ้านไปก่อนทุกครั้ง
   หลังจากนั้นเราก็ต่างวุ่นกันอยู่กับเรื่องโปรเจคและเรื่องเตรียมสอบปลายภาค จนห่างกันไปอีกครั้ง
แต่ห่างครั้งนี้มีความสุขมากกว่าครั้งก่อน     จนเราได้เจอกันอีกครั้งก่อนจบ เราได้มีโอกาสบอกแผนการของเรากับเพื่อน ๆ ว่าจะฉลองการเรียนจบ และการอำลาอาลัยกันยังไง ตุ่นเองก็บอกแผนการของเขาเหมือนกัน แผนของเราและเพื่อน ๆ คือ หลังจากสอบเสร็จ จะอยู่ต่อกันอีกสองวัน ไปเที่ยวน้ำตกด้วยกัน และฉลองกันเพื่อล่ำลาในคืนสุดท้ายของชีวิตในสถาบัน ส่วนของตุ่นตุ่นบอกว่าไม่ได้กำหนดว่าจะอยู่กี่วัน แต่คงจะอยู่นานกว่าเรา แต่ยังไงวันที่เรากลับ ตุ่นจะมาส่งเราที่สถานีรถไฟ
   เมื่อถึงวันสอบวันสุดท้าย ตุ่นมารับเราไปฉลองกันกับกลุ่มเพื่อนประมง แต่เราไม่สามารถที่จะไปร่วมฉลองด้วยกันได้ เพราะว่าเพื่อน ๆ เราเองต่างก็จัดฉลองกันเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดตกดึกตุ่นยังคงขับรถมาหาเราที่กำลังฉลองกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ไปร่วมฉลองกับพวกเขาจนได้
   “ไอ้พวกนั้นมันบอกให้มารับเก่งไปให้ได้” ตุ่นพูดเมื่อเห็นหน้าเรา
   “งั้นตุ่นต้องมาส่งเก่งด้วยนะ” เราบอก
   “ได้สิ” ตุ่นตอบ พร้อมกับขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยที่มีเรานั่งซ้อนท้ายเหมือนเช่นเคย
   เราฉลองกับตุ่นและเพื่อนกลุ่มประมงด้วยการร้องไห้อีกครั้ง เพราะในครั้งนี้ เพื่อน ๆ ต่างแย่งกันดึงเอาเราไปกอด คนนั้นกอด คนนี้กอด จนเราไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ไหว ส่วนตุ่นนั้นไม่ได้กอดแต่กลับเอามือมาขยี้ผมของเรา ตุ่นขยี้ผมของเราอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปเนิ่นนาน ในใจของเรารู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ อย่างบอกไม่ถูก
   ในวันรุ่งขึ้น เราเตรียมตัวกลับบ้าน โดยที่ยกเลิกแผนไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อน ๆ แผนการที่จะฉลองกันต่ออีกคืน เพราะว่าเราเองรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับการล่ำลา การล่ำลามันช่างเจ็บปวดเกินที่จะบรรยาย เราจึงอยากที่จะกลับบ้านก่อนเพื่อน ๆ คนอื่น เราบอกตุ่นแล้วว่าเราจะกลับในวันนี้ ตุ่นเองก็ย้ำว่าจะมาส่งที่สถานีรถไฟ จนถึงเวลาที่เราที่เราหิ้วกระเป๋าก้าวขึ้นสู่ขบวนรถไฟ เรายังไม่เห็นตุ่น เรารู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาก่อนจาก แต่เราก็พยายามที่จะเข้าใจว่าเมื่อคืนเขาค่อนข้างเมา เขาอาจจะตื่นไม่ไหว ขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีอย่างช้า ๆ เรายังไม่เห็นวี่แววของตุ่น เราเลือกที่จะยืนชิดขอบหน้าต่างของรถไฟเพื่อที่จะได้หันหน้าไปล่ำลาสถาบันที่เราได้เรียนรู้มาสองปีเต็ม แต่ในทันใดนั้น เราเห็นชายหนุ่มที่เราแสนจะคุ้นเคย นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถนน เขายกมือขึ้นโบกเบา ๆ การกระทำของเขาทำให้เราถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้าอย่างไม่อายผู้คนบนขบวนรถไฟนั้น เราหันมองเขาจนเขาหายไปจากสายตา เราถึงได้นั่งลง แต่ยังคงร้องได้อยู่เหมือนเดิม
   ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เราต้องจากกับรักแรกของเรา คนที่เรารักมากที่สุด คนที่เรารักมานานเกือบสองปีเต็ม แล้วต่อไปนี้ชีวิตของเราจะเป็นยังไง เราหมดหนทางที่จะให้คำตอบตัวเราเองจริง ๆ
   “ลาก่อน สุดที่รัก”

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
จะได้เจอกันอีกไหมหนอ :undecided: :undecided:

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องราวของเก่งและตุ่น ยังไม่จบลงเพียงแค่นี้นะครับ
ยังไงฝากติดตามต่อกันด้วยนะครับถ้าหากตอนต่อ ๆ ไปโพสต์ช้าหน่อย
ไม่ใช่เพราะอะไรครับ เพราะ duckhero พิมพ์ไม่ทันแล้วครับ

duckhero

  • บุคคลทั่วไป

   หลังจากที่เราทิ้งคนที่เรารัก ทิ้งกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ยังฉลองการเรียนจบกันที่วิทยาลัยไว้เบื้องหลัง คราบน้ำตาของเราเหือดแห้งลงได้เมื่อเราได้กลับมาอยู่บ้าน ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้คิดถึงตุ่น ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้คิดถึงเพื่อน ๆ แต่เพราะเมื่อเราอยู่บ้าน เราได้อยู่กับพ่อ กับแม่ กับน้อง ได้อยู่กับครอบครัวที่เราเองห่างหายไปเกือบตลอดชีวิต มีหลาย ๆ อย่างให้เราได้ทำที่บ้าน เราจึงไม่มีเวลาว่างมากนักที่จะมานั่งคิดเรื่องราวของตุ่นและเพื่อน ๆ ของเรา
   “จะเอายังไงต่อ จะเรียนหรือจะทำงาน” พ่อของเราเอ่ยถามเราในค่ำวันหนึ่ง
   “เก่งรอใบประกาศจากวิทยาลัยอยู่ครับพ่อ ได้แล้วเก่งจะรีบไปหางานทำที่หาดใหญ่” เราตอบไปตามความคิด
   “แล้วจะเรียนต่ออีกไหม หรือหยุดไว้แค่นี้” พ่อยังคงถามต่อ ดูเหมือนพ่อจะยังอยากให้เราได้เรียนต่อให้จบในระดับปริญญาตรี แต่พ่อเองก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะพ่อไม่มีทุนให้เรานั่นเอง
   “ไว้ทำงานสักปีก่อนครับพ่อ แล้วเก่งจะเรียนต่อปริญญาตรีเอง เรียนวันเสาร์ อาทิตย์เอาก็ได้” เราตอบพ่อไปตามโปรแกรมที่เราคิดเอาไว้
   “พ่ออยากให้เก่งได้เรียนสูง ๆ นะลูก จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อกับแม่ แต่กำลังกับพ่อและแม่คงจะส่งเก่งได้ไม่ดีนัก พ่อขอโทษเก่งด้วยนะที่ต้องให้เก่งส่งตัวเองเรียน” พ่อพูดคำพูดนี้ที่ทำให้เราถึงกับน้ำตาคลอ เราเองไม่ได้หวังที่จะให้พ่อและแม่ส่งเราเรียนต่อ เราคิดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเมื่อเราสามารถทำงานเองได้ โดยวุฒิประกาศนียบัตรชั้นสูงของเราได้ เราจะส่งตัวเราเรียนโดยที่ไม่ต้องลำบากพ่อกับแม่ เพราะพ่อกับแม่ยังมีน้องชายของเราต้องส่งเสียอีกคน
   “เก่งเข้าใจครับพ่อ” เราพูดพร้อมกับหันไปดูหน้าแม่ที่นั่งเงียบมาตลอด เราจึงได้รู้สาเหตุที่แม่นั่งเงียบเพราะแม่เองเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาแล้ว
   “แม่จะร้องทำไม เก่งสัญญาเก่งจะจบปริญญาตรีให้พ่อกับแม่ให้ได้” เราให้คำสัญญา
   เมื่อใบประกาศรับรองการจบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของเราถูกส่งมาถึงบ้าน ตามความจำนงของเราที่ได้แจ้งกับทางวิทยาลัยเอาไว้ว่า เราจะไม่ไปรับ ให้ทางวิทยาลัยจัดส่งให้ เราจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ รูปถ่าย เตรียมความพร้อมของตัวเราเองอีกสองวันให้พร้อมกับการสัมภาษณ์งาน และเมื่อเอกสารทุกอย่างพร้อม ตัวเราพร้อม เราจึงมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอหาดใหญ่ของจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นอำเภอที่ถือว่าเป็นอำเภอที่มีความเจริญมากในแถวนั้น อำเภอหาดใหญ่ถึงแม้จะอยู่คนละจังหวัดกับบ้านของเรา แต่ก็ถือว่าไม่ไกลนัก เราคิดหางานที่นั่นเพราะว่าไม่ไกลจากบ้านของเรานัก และเมืองใหญ่แบบนั้นคงจะมีงานให้เราทำตามที่เราวาดฝันเอาไว้ และที่สำคัญ บ้านของตุ่นอยู่ที่หาดใหญ่นี่เอง
   ถือว่าเราโชคดีมากที่ได้งานหลังจากที่ไปสมัครได้เพียง 3 ที่เท่านั้น
   “พร้อมทำงานได้เมื่อไหร่” ฝ่ายบุคคลที่นัดแนะรายละเอียดการทำงานต่าง ๆ ถาม
   “พร้อมทำได้พรุ่งนี้เลยครับ” เราตอบไป เพราะไม่อยากให้เขาต้องรอและที่สำคัญเราเองก็อยากที่จะได้เงินเดือนให้เร็วที่สุด
   ในช่วงแรกเราเองยังคงนั่งรถประจำทางไป กลับ ระหว่างบ้านกับที่ทำงาน เพราะยังไม่มีความพร้อมที่จะเช่าห้องพักอาศัย นับเป็นการเดินทางที่ไม่ได้ไกลนัก แต่ค่อนข้างที่จะเหนื่อย เพราะต้องตื่นแต่เช้า กลับถึงบ้านก็มืดค่ำ แต่หลังจากที่ได้รับเงินเดือนเดือนแรกเราจึงขอพ่อและแม่ไปเช่าห้องอยู่ด้วยตัวเองในอำเภอหาดใหญ่
   “ต้องกลับมาบ้านทุก ๆ เดือนนะ” แม่พูดก่อนที่เราจะหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นรถประจำทางไปอาศัยยังห้องเช่าที่เราเช่าเอาไว้
   “แหม กลัวว่าจะไม่เอาเงินเดือนมาส่งเหรอแม่” เราแกล้งแซวแม่
   “แม่ไม่ได้หวังเงินจากลูกหรอก ใช้จ่ายให้พอตัวเองเถอะ อย่าลืมเก็บไว้สำหรับเรียนต่อด้วยละ” แม่พูด
   “แหม แม่ เก่งล้อเล่นนะ” เราพูด
   “โน่น พ่อแกโน่นที่สั่งให้แม่มาบอกว่าให้กลับบ้านทุกเดือนนะ” แม่พูดพร้อมกับชี้ไปหาพ่อที่ไม่ได้มาส่งเราขึ้นรถ แต่นั่งมองอยู่ไกล ๆ
   “บอกพ่อด้วยแม่ แล้วจะกลับมาให้เห็นจนเบื่อหน้าเลย” เราแหย่แม่กลับไป
   “ไม่ต้องบ่อยหรอก เสียดายค่ารถ” แม่พูด
   “คร้าบแม่” เราพูดพร้อมกับยกมือไหว้แม่อีกครั้งก่อนก้าวขึ้นรถ
   ชีวิตการทำงานของเราไม่ได้ยากอะไรนัก เพราะเราได้ทำงานที่เราถนัด นั่นคือ งานที่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ ถึงแม้ในตอนนั้น คอมพิวเตอร์ถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับแล้วนั้น สองปีที่อยู่กับคอมพิวเตอร์ทำให้เราสามารถรับภาระงานได้เป็นอย่างดี ส่วนกับเพื่อนร่วมงาน เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เป็นเพราะพื้นฐานนิสัยของเราที่อัธยาศัยดีและในตอนนั้นเราเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในที่ทำงาน ทั้งเจ้านาย หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน ต่างเอ็นดูเราทั้งนั้น เราจึงถือว่าโชคดีกับเรื่องงานที่ได้ทำมาก
   ชีวิตการทำงานของเราเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เราเพิ่งได้สัมผัส เพื่อนกลุ่มใหม่ ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เรายอมรับว่าในตอนนั้นเราลืมคิดถึงตุ่นไปได้เหมือนกัน แต่เมื่อใดที่เราคิดถึงตุ่นขึ้นมา เป็นอันให้เราต้องโกรธตัวเองทุกครั้งไป เพราะว่าเราจากตุ่นมาโดยที่หวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่เรากลับไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านของตุ่นเอาไว้ ในช่วงนั้นโทรศัพท์มือถือยังแพงมาก พวกเราที่เพิ่งเรียนกันจบใหม่ ๆ ไม่มีใช้แน่นอน แล้วเราจะเจอตุ่นได้ยังไงกัน ถึงแม้หาดใหญ่จะเป็นแค่อำเภอ ๆ หนึ่งของจังหวัดสงขลา แต่จำนวนประชากรของหาดใหญ่ เท่ากับจังหวัดเล็ก ๆ ได้เลยทีเดียว
   วันเวลาผ่านเลยไป เราสนุกกับการทำงาน แต่เราไม่เคยที่จะลืมคิดถึงตุ่น จนถึงช่วงปิดเทอม เราคิดว่าตุ่นเองคงจะต้องกลับมาบ้านแน่นอน ยิ่งทำให้เรากระวนกระวายใจเป็นยิ่งนักที่เราหาทางติดต่อตุ่นไม่ได้ แต่เรายังไม่สิ้นหวัง เพราะเราคิดว่าความรักที่เรามีให้ตุ่นมาสองปีเต็ม คงจะส่งผลให้เราได้พบกับตุ่นเข้าสักวัน เรายังคงมีหวังอยู่เต็มเปี่ยม
   จนวันที่ฟ้าเห็นใจเรา วันนั้นเราสะพายกระเป๋าเป้ออกไปรอรถประจำทางเพื่อที่จะกลับบ้าน ในขณะที่กำลังยืนรอรถอยู่นั้น เราได้ยินเสียงที่เราค่อนข้างคุ้นเรียกชื่อของเรา
   “เก่ง ใช่เก่งรึเปล่า” เราหันไปตามทิศของเสียงที่เราได้ยิน ภาพที่เราได้เห็นเบื้องหน้าทำให้เราใจชื้นขึ้นได้เป็นที่สุดและยิ้มออกมาได้
   “โต เก่งเอง” เราตอบกลับเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อของเรา
   “เก่งมาทำอะไรอยู่ที่นี่” โตถามเรากลับมา
   “เก่งทำงานอยู่แถวนี้ละโต แล้วโตละมาทำอะไรที่หาดใหญ่” เราย้อนถามกลับไป
   “อ๋อ โตมาทำธุรแถวนี้ และพอดีได้ข่าวว่าปิดเทอมไอ้ตุ่นมันกลับมาบ้านถึงแวะมาหามัน” โตพูด
   “จริงเหรอโต ตอนนี้ตุ่นอยู่หาดใหญ่เหรอโต” เราถามกลับไปด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความดีใจ
   “อ้าวเก่งไม่รู้เหรอ” โตถาม
   “เก่งไม่ได้ติดต่อกับตุ่นตั้งแต่เรียนจบแล้วละ” เราตอบ
   “ไม่รักมันแล้วเหรอ” โตถามด้วยน้ำเสียงแกมหยอก
   “โตก็ ... เราไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อตุ่นนะ เลยติดต่อเขาไม่ได้เลย” เราตอบ
   “อะ เดี๋ยวโตบอกให้ แต่บอกโตก่อนสิว่า ถึงตอนนี้แล้ว เก่งยังรักมันอยู่อีกเหรอ” โตถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากยิ่งขึ้น
   “อืมมม” เราตอบไปสั้น ๆ
   โตได้ยินคำตอบจากเราเป็นการยืนยันไปแล้ว โตจึงได้จดเบอร์โทรของตุ่นให้กับเรา วันนั้นเป็นวันที่เราถือว่าเป็นที่พิเศษมากวันหนึ่ง เพราะนอกจากได้เจอเพื่อนเก่าอย่างโตที่คอยดูแลเรามาตลอดแล้วนั้น เรายังมีหนทางที่จะได้ติดต่อกับคนที่เรารักและคิดถึงเหลือเกิน ก่อนที่เราและโตจะกล่าวคำลากัน โตโผเข้ามากอดเราท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มารอรถประจำทาง เราเองไม่ได้อายอะไรกับการกระทำของโต กลับเต็มใจและปลื้มใจมากกว่า
   เราตัดสินใจอยู่นานกับการที่จะโทรหาตุ่นในตอนนั้น หรือไว้โทรหาหลังจากที่กลับมาจากบ้านแล้ว ในที่สุดเราตัดสินใจที่จะโทรหาตุ่นหลังจากกลับมาจากบ้านแล้ว เพราะเรารู้ดีกว่าถ้าหากเราโทรไปหาตุ่น เกิดตุ่นบอกว่าอยากที่จะเจอเรา ให้เราไปหาตุ่น เราคงไม่ได้กลับบ้าน เพราะเรารู้ดีว่า เราไม่เคยที่จะปฏิเสธตุ่นได้เลยแม้แต่สักครั้ง และถ้าปฏิเสธตุ่นไม่ได้แล้ว เราก็คงจะไม่ได้กลับบ้านตามที่สัญญากับพ่อและแม่ไว้ พ่อและแม่คงจะเป็นห่วง เราจึงตัดสินใจที่จะขึ้นรถประจำทางกลับบ้านไปก่อน ตลอดเส้นทางที่นั่งรถกลับบ้านเรารู้สึกว่าหัวใจของเราพอโต เราเห็นอะไรก็แล้วแต่เป็นอันว่าเราจะต้องยิ้มตลอด
   “เก่ง เก็บกระเป๋าได้แล้ว มัวชักช้าเดี๋ยวรถก็หมดซะก่อนหรอก” แม่พูดเตือนเมื่อเห็นว่าเรายังไม่ได้จัดเตรียมอะไรเลย
   “ครับแม่ กำลังจะไปเก็บเสื้อที่ซักไว้ครับ” เราตอบแม่ไป แต่ในทันใดนั้นเมื่อพูดถึงคำว่าซัก หัวใจของเราตกวูบหายไปจากตัวทันที อาการหน้าชา ตัวชา เข้ามาจับจองพื้นที่บนตัวเราในทันใด เราจำได้ว่าเราเอากระดาษที่โตจดเบอร์โทรศัพท์บ้านของตุ่นให้เราใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวที่เราซัก โดยที่เราลืมที่จะหยิบมันออกมา คิดได้ดังนั้นเราจึงรีบล้วงไปดูในกระเป๋าเสื้อหยิบเอากระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เปื่อยจนไม่มีชิ้นดีออกมาดู กระดาษสภาพเปื่อยยุ่ยปรากฏสีของน้ำหมึกปากกาให้เห็น แต่ไม่สามารถที่จะอ่านได้เลยว่าเป็นตัวเลขอะไรบ้าง เราเห็นดังนั้นถึงกับเข่าอ่อนไปกับความสะเพร่าของตัวเราเอง เราได้เบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่นมาอย่างไม่คาดฝัน แต่เรากลับมาทำให้มันหายไปด้วยฝีมือของเราเอง ในตอนนั้นเรารู้สึกโกรธตัวเราเองยิ่งนัก
   “เก่ง เมื่อไหร่จะเสร็จละเนี่ย” แม่พูดอีกครั้ง ทำให้เราหลุดจากความคิดที่อยากจะเอามือทั้งสองข้างจิกลงไปบนผมของเรา แล้วดึงมันออกมา ดึง ดึง ดึง มันให้หลุดออกมาให้หมดหัว แล้วหาอะไรมาแทงสมองของเราให้มันเจ็บกว่าที่ใจของเรากำลังเจ็บอยู่ในตอนนี้
   “ครับแม่ เสร็จแล้วครับ” เราตอบแม่ไป
   เรานั่งรถประจำทางกลับหาดใหญ่ด้วยความคิดที่รู้สึกโกรธ รู้สึกผิดหวังกับตัวเองเป็นอย่างมาก เราถึงที่หมายโดยที่เราไม่รู้ตัว เราโกรธตัวเองที่ทั้งโง่และงี่เง่าที่ทำให้วิธีเดียวที่เราจะติดต่อคนที่เรารักและรอคอยได้หายไปกับตา แต่เมื่อถึงเวลาทำงาน เราต้องลืมทุกอย่างและตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
   ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่เราได้พบกับโต เรายังคงเก็บเศษกระดาษที่โตจดเบอร์โทรฯ บ้านของตุ่นให้เราเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่มันเปื่อยจนไม่มีชิ้นดี เราหวังว่าถ้าเราได้เห็นมันอาจจะทำให้นึกตัวเลขที่อยู่บนกระดาษนั้นออกได้ แต่ยิ่งมองยิ่งทำให้โมโหตัวเองเป็นที่สุด
   “เก่ง หาเบอร์โทรร้านซ่อมแอร์ให้พี่จูนหน่อย” พี่จูนพี่ในที่ทำงานพูดกับเรา แต่เราไม่ได้ยินหรอก จนพี่เขาพูดมาเป็นครั้งที่สอง เพราะเรามัวแต่คิดโกรธตัวเองอยู่
   “พี่จูนจะให้เก่งหาจากไหนละครับ” เราย้อนถามพี่จูนกลับไป
   “เดี๋ยวจะเคาะกะโหลกให้สักที สมุดหน้าเหลืองไงน้องรัก” พี่จูนบอก
   “พี่จูนรอแป๊บนึงครับพี่” เราพูดพร้อมกับหยิบสมุดหน้าเหลืองมาเปิดหาร้านซ่อมแอร์ตามชื่อร้านที่พี่จูนให้มา เราเปิดผ่านไปหลายหน้าแต่ก็ยังไม่พบ เพราะเปิดไปแต่ใจคิดไปถึงไหน ๆ จนความคิดของเรามาสะดุดอยู่ที่
   “ทำไมเราไม่หาในสมุดหน้าเหลืองละ” เราพูดออกมาเบา ๆ
   “อะไรของเก่ง ก็ที่หาอยู่ไม่ใช่สมุดหน้าเหลืองเหรอ” พี่จูนพูดสวนกลับมา
   “เปล่าครับพี่จูน โหเก่งพูดเบา ๆ คนเดียวยังจะได้ยินอีกนะครับ” เรารีบย้อนพี่จูนกลับไป
   “เออ ไม่ต้องมาย้อน หาเจอแล้วยัง” พี่จูนถาม
   “อีกแป๊บนึงครับ” เราพูดพร้อมกับเปิดสมุดหน้าเหลืองอย่างมีจุดหมายในการค้นหา ตอนนี้ความคิดเราไม่ได้ล่องลอยอีกต่อไปแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าเราจะหาเบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่นได้ยังไง ไม่นานนักเราจึงหาเบอร์ของร้านซ่อมแอร์ให้พี่จูนได้สำเร็จ
   หลังจากที่เราทำงานให้พี่จูนได้ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีเวลาว่างเราจึงลงมือปฏิบัติตามแผนที่เราได้คิดเอาไว้นั่นคือ เปิดสมุดหน้าเหลืองหาเบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่น โดยในตอนนั้นเราคิดว่าการจดทะเบียนเบอร์โทรของแต่ละบ้าน จะต้องใช้ชื่อของคนที่เป็นเจ้าของบ้านตามทะเบียนบ้าน และเจ้าของบ้านตามทะเบียนบ้านน่าจะเป็นชื่อของพ่อของตุ่น และเราจำชื่อของพ่อของตุ่นได้ดี เพราะว่าในตอนที่อยู่ในวงเหล้ากันกับตุ่นและเพื่อน ๆ นั้น เมื่อตุ่นทำอะไรที่แสบ ๆ กับเพื่อน ๆ ตุ่นมักจะโดนเพื่อนล้อชื่อพ่ออยู่เสมอ เราจึงจำได้ขึ้นใจส่วนนามสกุลของตุ่นนั้นเราจำได้ดีกว่าอะไร เพราะเป็นนามสกุลที่เราอยากจะใช้พอ ๆ กับใช้นามสกุลของพ่อเราเอง เราคิดได้ตามนั้น เราจึงรีบเปิดหาไปในสมุดหน้าเหลือง และโชคดีมากที่ชื่อที่เราหานั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในสมุดหน้าเหลือง เรารีบจดเบอร์โทรฯ นั้นลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ เพราะกลัวว่าถ้าเป็นแผ่นเล็ก ๆ เราจะทำมันหายหรือเผลอทิ้งมันไปซะอีก
   ก่อนที่จะโทรตามเบอร์ที่เราได้มานั้น เราคิดคำพูดเอาไว้เสร็จสรรพ ว่าถ้าเกิดไม่ใช่เบอร์โทรฯ ของบ้านตุ่น เราก็จะแก้เก้อแกล้งเป็นว่าโทรผิดไปแล้วกัน
   “ฮัลโหล” เสียงผู้หญิงจากปลายสายตอบรับ
   “สวัสดีครับ ขอสายตุ่นครับ” เราพูดไปด้วยความมั่นใจว่ายังไงก็ไม่ผิดแน่ แต่ถ้าผิดก็คิดคำแก้ตัวเอาไว้แล้ว
   “ตุ่นเหรอ ตุ่นกลับไปเรียนแล้วละ” เสียงนั้นตอบกลับมา เราเองไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกันดี ดีใจที่เบอร์นั้นใช่เบอร์บ้านตุ่นอย่างแน่นอน แต่ที่เสียใจก็เพราะว่ากว่าเราจะคิดได้ หาเบอร์มาได้ ตุ่นก็กลับไปเรียนซะแล้ว
   “ตุ่นกลับไปเมื่อไหร่ครับ” เรายังถามต่อ
   “เมื่อไม่กี่วันนี่เอง แล้วใครโทรมาละ” เสียงผู้หญิงคนดังกล่าวถามกลับมา
   “อ๋อ ผมเป็นเพื่อนของตุ่นครับ” เราตอบกลับไป ทั้ง ๆ ที่ใจบอกว่าไม่ได้อยากเป็นแค่นั้น
   “จะเอาเบอร์ที่หอพักของเขาไหมละลูก” เสียงปลายสายถามกลับมา
   “ครับ ดีครับ ดี” เราตอบด้วยอาการหัวใจพองโต เรารีบจดเบอร์โทรหอพักของตุ่นหลังจากที่ผู้หญิงจากปลายสายบอกให้
   “ขอบคุณมากครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ” เราพูดก่อนจะวางสาย การโทรศัพท์ของเราในครั้งนี้เหมือนกับการได้โอกาสใหม่อีกครั้ง เราจะไม่มีวันที่จะลืมเบอร์โทรทั้งสองนี่เลย
   หลังจากเลิกงานในวันนั้น เมื่อเรากลับถึงห้องพัก หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จ เราก็นั่งรอเวลาให้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึก เป็นเวลาที่เราคิดว่าตุ่นน่าจะอยู่ที่หอพักแน่นอน เราจึงได้กดเบอร์ที่เพิ่งได้มาในวันนี้ทันที
   “ฮัลโหล” เสียงปลายตอบรับเป็นเสียงที่เราค่อนข้างจะแน่ใจว่าเป็นเสียงของตุ่น เสียงที่ทำให้หัวใจของเราพองโต เสียงที่ทำให้เราตื่นเต้น หลังจากที่เราไม่ได้มีความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้มานานแสนนานแล้ว
   “สวัสดีครับ ขอสายตุ่นครับ” เราพูดกลับไป เพื่อให้แน่ใจว่านั่นเป็นตุ่นแน่นอน ป้องกันการหน้าแตก
   “กำลังพูดครับ นั่นใครครับ” ตุ่นพูดกลับมา ถึงแม้จะน้อยใจนิดหน่อยที่ตุ่นจำเสียงเราไม่ได้ แต่ก็สู้อาการดีใจที่ได้คุยกับตุ่นอีกครั้งไม่ได้
   “จำกันไม่ได้แล้วเหรอ” เราถามประชดไปนิดหน่อย
   “จำไม่ได้ครับ” เป็นการตอกย้ำเหมือนโดนตีแสกเข้ากลางหน้าเลยครับกับคำตอบของตุ่น
   “โอ้โห ตุ่น นี่เก่งเอง” เรายังตอบกลับไป
   “อ้าว เก่งเหรอ โทษที” ตุ่นพูดพร้อมกับเสียงหัวเราดัง ๆ เสียงหัวเราะของตุ่นที่เราแสนจะคุ้นเคยนัก
   “ตุ่นคิดว่าไอ้พวกบ้าไอ้คิด ไอ้โต โทรมาอำนะ” ตุ่นพูดต่อหลังจากที่หยุดหัวเราะ
   “แล้วได้เบอร์มายังไง” ตุ่นถามต่อ
   เราก็เลยได้โอกาสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ และวิธีที่ได้เบอร์โทรของตุ่นมา
   “ต้องให้ขอบคุณไอ้พวกนั้นไหมเนี่ย ที่ชอบด่าชื่อพ่อตุ่นตอนเมานะ ทำให้เก่งหาเบอร์โทรมาได้นะ” ตุ่นพูดพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง
   หลังจากนั้น เราก็พูดคุยกันอีกหลาย ๆ เรื่อง ตุ่นถามเราเรื่องงาน เรื่องเพื่อนในที่ทำงาน เราถามตุ่นเรื่องเรียน เรื่องเพื่อนใหม่ของเขาไปเหมือนกัน แต่มีคำถามหนึ่งที่เราอยากจะถามมากแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามนั่นคือ มีแฟนแล้วหรือยัง เราคิดว่าประโยคคำถามนี้ไม่ควรจะอยู่ในการสนทนากันหลังจากที่ไม่ได้พูดคุยกันมานาน หรืออีกใจหนึ่งเรากลัวคำตอบมากกว่า ถ้าหากตุ่นตอบกลับมาว่า มีแล้ว หัวใจเราคงแตกสลายอีกครั้ง เราเลยไม่ได้ถามไป วันนี้ขอเราเก็บเอาความสุขเอาไว้ให้มากที่สุดจะดีกว่า
   “ปิดเทอมใหญ่กลับบ้านแล้วจะไปหานะ” ตุ่นพูดเป็นการปิดท้ายในการสนทนากันในครั้งนี้
   “ครับ ดูแลตัวเองนะ” เราตอบกลับไป คืนนั้นเป็นคืนที่เรานอนหลับอย่างมีความสุขที่สุด ขอบคุณฟ้าที่ให้โอกาสเราอีกครั้ง

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เก่ง นะ บอกไม่ถูกไม่รู้ทำไม ไม่อยากให้เห็นเก่งเศร้าเลย  :sad4:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

teerasak

  • บุคคลทั่วไป
 :L2: มาให้กำลังใจนะครับ ชอบแบบนี้ อ่านแล้วมีความสุขจัง :L1:

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
แล้วไอ้คุณตัวตุ่นมันมีแฟนเปล่าน้อ อยากรู้จังเลยนิ

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
   หลังจากการที่ได้ติดต่อกันอีกครั้งกับตุ่นในวันนั้น ทำให้เราตระหนักถึงความต้องการของเราดีว่า ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านเลยไปแค่ไหน ไม่ว่าเราจะไม่ได้คุย ไม่ได้เห็นหน้ากันนานแค่ไหน แต่เรายังคงรักตุ่นอย่างที่ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงได้ ทุกครั้งที่เราพูดคุยกัน ทุกครั้งที่เราได้เจอหน้ากัน เราจะยังคงตื่นเต้น หัวใจพองโต ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มเหมือนกับครั้งแรกที่ได้รู้จักเขาทุกครั้งไป
   ถึงแม้ว่าเราทั้งสองคนจะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก แต่จะมีวันหนึ่งในหนึ่งปีที่เราจะต้องโทรไปหาเขาให้ได้ เมื่อวันนั้นได้เวียนกลับมาถึงอีกครั้ง
   “สุขสันต์วันเกิดนะตุ่น” เราพูดเมื่อตุ่นรับสาย โดยที่เรายังได้ยินเสียงที่เล็ดลอดมาทางสายโทรศัพท์ถึงเสียงของผู้คนจำนวนหลายคน ที่พูดคุยกันอยากออกรส เสียงเพลงที่ดังไม่น้อย
   “กำลังเลี้ยงฉลองอยู่กับเพื่อนเหรอ” เราถามตุ่นกลับไป
   “ใช่แล้วละ ก็กับเพื่อน ๆ ในห้องนั่นแหละ” ตุ่นตอบกลับมา
   “แล้วเก่งละ ฉลองวันเกิดที่ไหนรึเปล่า” ตุ่นถามเรากลับมา
   “ก็เหมือนเดิมแหละ ไม่ได้เลี้ยงฉลองอะไร” เราตอบ
   “งั้นเดี๋ยวตุ่นสนุกเผื่อเก่งแล้วกันนะ” ตุ่นพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสุข
   “ได้ ขอบคุณมาก ว่าแต่ตุ่นลืมอะไรรึเปล่า” เราแกล้งถาม
   “ของขวัญเหรอ ไกลกันจะให้ได้ไง” ตุ่นตอบกลับเรามา
   “เปล่า ไม่ได้ขอของขวัญซักหน่อย” เราพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังงอน
   “ตุ่นไม่ลืมหรอกน่า ก็กะว่าก่อนจะวางสาย เดี๋ยวจะอวยพรวันเกิดให้เก่ง” ตุ่นพูด
   “โอเค คิดว่าลืมซะอีก” เราพูด
   “วันเกิดปีนี้ ตุ่นของให้เก่งยังคงเป็นที่รักของทุกคนนะ และก็เป็นคนดี มีความสุขเยอะ ๆ” ตุ่นพูดคำอวยพรวันเกิดให้กับเรา ในขณะที่เรารู้สึกว่าหน้าของเราร้อนผ่าว ซึ่งถ้าใครเห็นเราในตอนนั้น คงจะเข้าใจได้ว่าเรากำลังอาย หลังจากได้มอบคำอวยพรให้แก่กันแล้ว เราพูดต่อกันอีกนิดหน่อย เพราะไม่อยากขัดจังหวะสนุกของตุ่น
   หลังจากที่ได้ติดต่อกับตุ่นแล้ว ถึงแม้ว่าเราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นใบหน้าของเขาอีกครั้งนั้น ทำให้เราทรมานใจอยู่บ้างในบางครั้ง แต่โดยรวมแล้วเราก็มีความสุขที่ยังคงได้ยินเสียงของเขา และยังคงมีความสุขที่ได้รอวันที่เขาจะกลับมา และจะแวะมาหาเราตามที่เขาได้สัญญาเอาไว้
   ชีวิตการทำงานของเราก็เป็นไปได้ด้วยดี เราได้รับโอกาสจากทางเจ้านาย และทางหัวหน้าที่ไว้ใจมอบหมายงานให้เราได้รับผิดชอบอยู่เรื่อย ๆ
   “เก่ง คืนนี้ไปนั่งกินอะไรกันไหม” พี่โจ้ พี่ในที่ทำงานเอ่ยปากชวนเรา
   “ไปไหนอะครับพี่ แล้วจะไปกันกี่คน” เราถามพี่โจ้กลับไป โดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
   “ก็ไปกินข้าว กินเบียร์กัน” พี่โจ้สาธยาย
   “แล้วมีใครไปบ้างครับ” เรายังคงถามคำถามที่พี่โจ้ยังไม่ได้ตอบ
   “ก็มีพี่กับเก่งไง” พี่โจ้ตอบกลับมา
   “ไม่ชวนคนอื่นไปอีกละครับ หลาย ๆ คนสนุกดี” เราพูดตอบกลับพี่โจ้
   “ชวนแล้ว ไม่มีใครว่าง” พี่โจ้ตอบ
   “ก็ได้ครับพี่ แต่เก่งดื่มเบียร์ไม่เก่งนะ” เราตอบโดยที่ไม่ได้คิดอะไร
   “โอเค งั้นเดี๋ยวพี่โทรหาคืนนี้” พี่โจ้พูด
   “ครับ” เราตอบรับ
   มาถึงตอนนี้ เราเองในวัยที่เพิ่งจะ 21 เรารู้สึกได้ว่าเรามีความต้องการบางอย่าง ความต้องการที่มากกว่าการนั่งรอคอยความรักจากใครสักคน ความต้องการทางกายที่เราว่าหลาย ๆ คนอาจจะได้รับการตอบสนองความต้องการในส่วนนั้นไปแล้ว แต่เราเองยังต้องกดและเก็บมันเอาไว้กับความรู้สึก เก็บเอาไว้กับความเป็นส่วนตัวของเรา เพราะเรายังคงมีความหวังที่จะเก็บความต้องการในส่วนนี้ไว้ให้กับคนที่เรารักเหลือเกิน และเราพร้อมที่จะอดทน และรอต่อไป
   ในช่วงหลังนี้เราสนิทกับเพื่อนร่วมงานในแผนกเดียวกัน อย่างน้อย 4 – 5 คน กลุ่มเพื่อนที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเรา นั่นก็คือ จากการที่เราเลิกงานกลับบ้าน เราเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ มากยิ่งขึ้น ออกไปกินข้าว ออกไปนั่งดื่มน้ำชา ซึ่งในเมืองหาดใหญ่นี่ถือว่ามีอยู่เยอะมาก ไปนั่งดื่มน้ำชา กินขนมปังกันชิว ๆ แต่เราก็ใช้เวลานั่งกันได้นาน ๆ นั่งฟังเพลงที่ร้านน้ำชามักจะเปิด เราได้สนุกกับเพื่อน ทำให้ชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี เราว่าชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เรากล้าเปิดเผยกับเพื่อนกลุ่มนั้นว่าเราไม่ได้เป็นผู้ชายเต็มตัว แต่โอกาสที่ได้รับจากเพื่อน ๆ นั้นเป็นโอกาสที่แสนจะยิ่งใหญ่ ไม่มีใครคิดรังเกียจเรา กลับให้ความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น สุดสัปดาห์ของการทำงาน พวกเรามักจะเข้าใจกันว่าเลิกงานแล้วไม่ต้องมีใครกลับเข้าบ้าน เราไปรวมกันที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากนั้นจัดแจงเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องกันใหม่ เมื่อเริ่มมืดค่ำ พวกเราจะพากันไปนั่งทานข้าว หลังจากนั้นเปลี่ยนไปนั่งดื่มน้ำชากัน เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมที่จะไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือผับ ที่ที่ทำให้พวกเราได้ปลดปล่อย ได้ร้องเพลงเสียงดัง ๆ และได้เต้นสุดเหวี่ยง ซึ่งอย่างหลังนี่เราชอบมาก หลายคนที่เห็นอาจจะคิดว่าเราและเพื่อน ๆ คงจะเมากันไม่น้อย แต่เปล่าเลย เราและเพื่อน ๆ มักจะสั่งน้ำอัดลมมาดื่มกัน แต่การแสดงออกดูเหมือนจะเมากว่าที่จะดื่มน้ำอัดลม แต่จะว่าไปแล้ว การไปเที่ยวในสถานที่อย่างนี้ มันยิ่งทำให้ความรู้สึกทางกายของเรานั้นยิ่งมีมากเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะในบางครั้งเราได้ไปเจอ ไปพบเห็นการกระทำของคู่รักที่เป็นเกย์ที่ไม่แคร์ต่อสายตาใครต่อใคร พวกเขาจับมือ โอบกอด หรือแม้กระทั้งจูบกัน หรือที่จะเห็นจนชินตาก็คือกลุ่มหญิงชายที่เป็นแฟน เป็นกิ๊กกัน กับการแสดงออกถึงความลึกซึ้งของกันและกัน เท่านั้นยังไม่พอ เรายังได้รับการกระตุ้นจากหลายคนที่เข้ามาพูดคุย หรือแอบจับมือเราในขณะที่เดินผ่าน ถึงขั้นที่มีคนเข้ามาพูดคุยด้วยทั้ง ๆ ที่เราอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ
   “เกินไปแล้วเก่ง พวกเราสาว ๆ ทั้งนั้น ยังไม่มีใครมาชวนไปเต้นเลย” พี่ลิคหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่อายุมากกว่าเราพูดขึ้นมา เมื่อมีคนมาลากมือเราไปเต้นด้วย
   “นั่นสิ แกเล่นขายออกอยู่คนเดียวเลยนะเก่ง” กิ่งหนึ่งสาวในกลุ่มเพื่อนพูดเสริมขึ้นมา
   “ของอย่างนี้ใครดีใครได้” เป็นคำพูดที่ออกจากปากเราไป แต่เราไม่ได้คิดอะไรไปไกลมากมาย และรู้ดีว่าเพื่อน ๆ เองก็แค่แซวเล่น เพราะยังไง พวกเราทั้งกลุ่มถือคติมาด้วยกัน กลับด้วยกัน ไม่มีใครที่จะได้แยกไปไหน กับใคร
   “สวัสดีครับ” เราสลึมสลือรับสายโทรศัพท์ในตอนสายของวันเสาร์ หลังจากที่ไปเที่ยวมาจนเกือบจะเช้าในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
   “ไปเที่ยวมาอีกละสิเมื่อคืน” เสียงอันคุ้นชินของตุ่นดังขึ้น
   “อืมมมม” เราลากเสียงยาว เพราะยังไม่อยากตื่น
   “ตุ่นสอบเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะกลับไปหาดใหญ่แล้ว” ตุ่นพูด
   “จริงเหรอ ดี ดี มาเพื่อไหร่ โทรมาหาด้วยนะ”เราพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นขึ้น
   “แน่นอน แล้วอย่าหนีหายไปไหนซะละ” ตุ่นพูดกลับมา
   “อยู่แล้ว จะหายไปไหนได้ละ” เราพูด พร้อมกับคิดต่อว่า “ก็ในเมื่อนี่คือวันที่รอคอยมาเป็นปี ฟ้าจะถล่มดินจะทลาย เราก็จะเจอกับตุ่นให้ได้”
   “งั้นเก่งนอนต่อเถอะ” ตุ่นพูดก่อนตัดสายไปทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ล่ำลาอะไร และแล้วเราก็หลับต่อไปจริง ๆ
   วันเวลาแค่เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่เรารอคอย เราช่างรู้สึกว่ามันผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับเต่าคลาน ทำไมเวลาเป็นปี ๆ ในขณะที่เรามีความสุขมันดูจะผ่านไปเร็วกว่าซะอีก เราตั้งหน้าตั้งตารอโทรศัพท์อยู่เสมอ ไม่ออกไปไหนกับเพื่อนบ่อยนัก เพราะกลัวว่าตุ่นโทรมาแล้วจะไม่ได้รับสาย
   “คืนนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหมเก่ง” พี่โจ้คนเดิมเอ่ยชวน
   “ไม่ได้ละครับพี่ เก่งไม่ว่างครับ” เราตอบกลับไป
   “ไปเที่ยวกับกลุ่มสาว ๆ อีกเหรอ” พี่โจ้เอ่ยถาม
   “เปล่าครับ เก่งมีธุระจริง  ๆ ครับพี่โจ้” เราตอบปฏิเสธพี่โจ้กลับไปเพราะต้องการกลับไปรอโทรศัพท์ที่ห้อง เพราะเห็นว่าเป็นปลายสัปดาห์ของการทนรอของเราแล้ว ตุ่นอาจจะโทรมาได้ทุกวินาที
   “ไม่เป็นไร ไว้เมื่อไหร่เก่งว่า เราไปเที่ยวด้วยกันนะครับ” พี่โจ้พูดปิดท้าย
   “ครับพี่” เราตอบ
   และแล้ววันเวลาแห่งการรอคอยของเราก็จบลงในเย็นวันหนึ่งเมื่อเราได้รับโทรศัพท์จากคนที่เรารอคอยมานานแสนนาน
   “เก่ง คืนนี้ว่างไหม” ตุ่นพูดผ่านสายโทรศัพท์มา
   “ว่างสิ” เราตอบไปโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนัก
   “เดี๋ยวจะไปรับนะ” ตุ่นบอก
   “ได้ เก่งจะรอที่ห้องนะ” เราตอบตุ่นกลับไป พร้อมกับอธิบายให้ตุ่นได้รู้ว่าเราพักอยู่ตรงส่วนไหนของหาดใหญ่ เราเชื่อเขาเป็นคนในพื้นที่มานาน เขาคงจะมาหาเราได้ถูกต้องแน่นอน หลังจากนั้นเราก็กระวนกระวายอยู่กับตั้งหน้าตั้งตารอให้ตุ่นมารับ เราคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าเมื่อได้เจอกันแล้วเราจะทักทายตุ่นว่าอะไร จะแค่ทักทาย หรือจะจับมือ จะโอบไหล่ หรือจะโอบกอด แต่เมื่อตุ่นมาถึงและเจอหน้ากันจริง ๆ สิ่งที่เราทำได้ก็แค่เพียงยิ้มออกมากว้าง ๆ จนหน้าแทบจะฉีกพร้อมกับทักทายไต่ถามทุกข์สุข ไม่มีการจับมือ การโอบไหล่หรือแม้แต่การโอบกอดแต่อย่างใด
   ตุ่นเป็นคนเลือกร้านเองว่าเราทั้งสองจะไปนั่งกัน หนึ่งในหลาย ๆ อย่างบนโต๊ะอาหารที่พนักงานนำมาเสิร์ฟนั่นคือเหล้า ในคราวนี้ตุ่นเป็นคนบอกให้พนักงานชงเหล้าให้กับเราเอง ไม่ได้ห้ามปรามเราแต่อย่างใด การดื่มดำเนินไปพร้อม ๆ กับการพูดคุยกัน ตุ่นเล่าเรื่องของเขาที่ไปเรียนให้เราฟัง เราเองก็เล่าเรื่องของเราให้เขาฟังเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ที่ผ่านมาเวลาที่เราคุยกันทางโทรศัพท์เราก็ต่างได้เล่าให้ต่างคนได้ฟังไปแล้ว เวลาล่วงเลยผ่านไปจนใกล้ถึงเวลาร้านปิด ตุ่นเองเมาพอดูถ้าเทียบจากปริมาณของเหล้าที่หมดไป ส่วนเราเองนั้นไม่ได้เมามากนัก เพราะมัวแต่นั่งมองหน้าตุ่นอยู่ ทุกครั้งที่ตุ่นไม่ได้มองหน้าเรา เราจะใช้สายตาสำรวจ มองดูเขาในทุกอิริยาบถ เราอยากเห็น อยากมองเขาจริง ๆ แต่เมื่อรู้สึกว่าตุ่นจะหันมาพูดด้วย หันมามองหน้าเรา เรากลับเบนสายตาไปมองอย่างอื่นแทน แทนที่จะมองนัยน์ตาของเขา
   “กลับกันเถอะ” ตุ่นพูด
   “ไปสิ” เราตอบ เราซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของตุ่นอีกครั้ง แต่เส้นทางที่ตุ่นขับรถไปนั้น ไม่ได้ไปตามเส้นทางที่จะกลับไปยังห้องพักของเรา
   “ตุ่นไม่ไปส่งเก่งก่อนเหรอ” เราถาม แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากของตุ่น เราเองก็ไม่ถามซ้ำ เพราะเรารู้ดีว่า ยังไงถ้าไปกับตุ่น เราก็จะปลอดภัยอย่างแน่นอน ตุ่นขับรถไปจอดที่บ้านหลังหนึ่งใจกลางเมืองหาดใหญ่ ที่ด้านล่างเป็นร้านขายน้ำชายามค่ำคืน
   “ลงมาก่อนสิ” ตุ่นพูดพร้อมกับก้าวลงและเดินนำหน้าเราไปที่บ้านหลังดังกล่าว
   “จะมากินน้ำชาต่อเหรอ” เราถาม
   “เปล่า จะมาบ้านไง นี่บ้านของตุ่น” ตุ่นพูดพร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่าง
   “เหรอ” เราพูดไปแค่นั้น พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ เขา
   “นี่น้องชายตุ่น” ตุ่นพูดพร้อมกับชี้ไปทางน้องชายของเขาที่เป็นคนดูแลร้าน เราคิดในใจอย่างติดตลกว่า แนะนำอย่างนี้ จะให้เรายกมือไหว้น้องเขาไหมเนี่ย ตามหลักแล้วน่าจะแนะนำคนที่อายุน้อยให้รู้จักคนที่อายุเยอะกว่าสิ แต่ตุ่นกลับทำตรงกันข้าม แต่ในขณะที่เรากำลังคิดอยู่นั้น ตุ่นเรียกให้น้องชายของเขาเข้ามาหา
   “นี่พี่เก่งนะ” ตุ่นพูดสั้น ๆ พร้อมชี้มือมาที่เรา น้องชายของตุ่นยกมือไหว้เรา เรารับไหว้แทบไม่ทัน
   “จะกินอะไรไหมพี่” น้องชายของตุ่นถาม
   “ไม่ละ อิ่มมากแล้ว” เราตอบไป
   “งั้นไป” ตุ่นพูดขึ้นมาดื้อ ๆ
   “ไปส่งเก่งเหรอ” เราถาม
   “ไม่ไปส่งแล้ว ง่วงแล้ว” ตุ่นพูด
   “อ้าว แล้วไม่ไปส่งแล้วจะเรียกให้มาซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำไมกันละ” เราสงสัย เพราะถ้าตุ่นไม่ไปส่งเราก็กลับมอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวนั้นได้
   “ก็ไปนอนที่บ้านไง” ตุ่นพูด
   “อ้าว ก็บ้านอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ” เราถามพร้อมกับชี้กลับไปที่บ้านหลังที่เพิ่งจากมา
   “บ้านอีกหลัง” ตุ่นพูดสั้น ๆ พร้อมกับขับรถไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เรากลับตื่นเต้น ดีใจ ที่จะได้ใกล้ชิดกับตุ่นอีกครั้ง ตุ่นขับรถไปไกลพอใช้ จนไปจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านที่สวยงามมากในสายตาของชีวิตคนจน ๆ อย่างเรา
   “ถึงแล้ว ลงสิ” ตุ่นพูด เราก้าวลงจากรถ ตุ่นเข็นรถเข้าไปจอดในบ้าน
   “แล้วนี่บ้านใครอีก” เราถาม
   “ก็บ้านของครอบครัวตุ่นนี่แหละ” ตุ่นตอบ
   เมื่อเข้าไปในบ้านตุ่นเดินนำหน้าเราไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน ซึ่งตัวบ้านจะเป็นบ้านสองชั้น เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ตุ่นจัดการหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้เรา พร้อมกับบอกให้เราไปอาบน้ำ เราถือผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำด้วยหัวใจที่แสนจะตื่นเต้น
   “ชุดนอนวางอยู่บนที่นอนนะ” ตุ่นตะโกนบอกเรา
   “ครับ” เราตอบไปสั้น ๆ
   เมื่อเราอาบน้ำเสร็จ เรานุ่งผ้าเช็ดตัวออกไป เห็นตุ่นนั่งอยู่บนเตียงนอนในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เราเองในตอนนั้นทั้งตื่นเต้น ทั้งสับสนกับความคิดของเราที่คิดอะไรต่อมิอะไรไปอย่างมากมาย ไหนจะอายตุ่นที่เรานุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เราจึงแก้เก้อด้วยการถามตุ่นออกไปว่า แล้วเขาอาบน้ำที่ไหน
   “ขึ้นไปอาบห้องน้ำข้างบน” ตุ่นตอบ
   “รีบใส่ชุด มานอนได้แล้ว พรุ่งนี้เก่งทำงานไม่ใช่เหรอ” ตุ่นพูด
   “ใช่ครับ” เราตอบ
   คืนนั้นเราสองคนได้นอนบนเตียงนอนเดียวกัน นอนใกล้กัน ถึงแม้สภาพจะต่างกับตอนที่เรานอนเฝ้าตอนที่ตุ่นเมา หรือตอนที่ตุ่นประสบอุบัติเหตุก็ตาม แต่เราได้นอนใกล้กันอีกครั้ง ในใจของเรามันเต้นไม่เป็นจังหวะนัก เรารู้สึกถึงความตื่นเต้นของตัวเราเองได้ดี ยิ่งเราสองคนนอนห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน เรากลับยิ่งเตลิดไปไกล ทุกครั้งที่แขนของเราทั้งสองคนมาโดนกัน เรารู้สึกตื่นเต้นมาก มากกว่าครั้งที่เรียนด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นเรื่องที่ธรรมดา คุ้นชินไปแล้ว แต่เรากลับรู้สึกถึงบางอย่างในร่างกายเรา ที่หลับใหลรอวันตื่นขึ้นมา อารมณ์ทางกายของเราที่ไม่เคยรู้สึกอะไรมาก่อน แต่คราวนี้มันรุนแรงยิ่งนัก ในที่สุดไม่ว่าอารมณ์เราจะปั่นป่วนสักแค่ไหนเราก็หลับไปด้วยฤทธิ์ของเหล้าในที่สุด
   “เก่ง เก่ง ตื่นได้แล้ว” ตุ่นเรียกพร้อมกับเขย่าแขนเรา
   “ครับ ตื่นแล้วครับ” เราตอบทั้ง ๆ ที่ตายังไม่เปิด
   “เดี๋ยวเก่งต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ” ตุ่นพูด
   “ครับ ใช่” เราตอบ
   “งั้น ตื่นและไปอาบน้ำได้แล้ว” ตุ่นหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเดิมโยนมาปิดหน้าเรา เราลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัวด้วยชุดเดิมที่ใส่เมื่อคืนอีกครั้ง พร้อมกับเดินตามตุ่นออกมาจากห้อง ตุ่นแวะไปที่ตู้เย็นหยิบเอานมเปรี้ยวออกมาหนึ่งกล่อง ส่งมาให้เรา เรารับมาถือเอาไว้ในมือ เมื่อตุ่นออกรถเราจึงทำหน้าที่เอาหลอดเจาะลงไปในกล่องนมเปรี้ยวและส่งให้ตุ่น
   “จะส่งมาให้ตุ่นทำไมละ” ตุ่นพูด
   “อ้าวก็คิดว่าตุ่นจะดื่มเลย” เราตอบกลับไป
   “ตุ่นหยิบออกมาให้เก่งนั้นแหละ” ตุ่นพูดประโยคที่ทำให้เราปลื้มได้อีกครั้ง
   “แต่เก่งยังไม่หิวนะ” เราตอบไปเพราะเกรงใจตุ่น เห็นว่านมมีเพียงหนึ่งกล่อง
   “กินก่อนเถอะ นี่ก็ไปทำงานจะสายแล้ว ข้าวเช้าคงไม่ได้กินหรอก” ตุ่นพูด ทำให้เราคิดได้ว่า เราเองคงไม่ทันได้กินข้าวเช้าแล้วเพราะไปทำงานก็เกือบจะสายอยู่แล้ว สิ่งที่ตุ่นทำในครั้งนี้ มันยิ่งตอกย้ำถึงการที่เขาเอาใจใส่เรา ดูแลเรา ทำให้เรายิ่งประทับใจในตัวเขามากอยากยากยิ่งที่จะบรรยาย
   ช่วงวันเวลาที่ตุ่นอยู่หาดใหญ่ในช่วงปิดเทอม เรายังไปกินข้าว ดื่มเหล้ากันอีกครั้ง สองครั้ง ซึ่งเป็นหลาย ๆ ครั้งที่เราปฏิเสธพี่โจ้ที่คอยชวนเราไปเที่ยว ไปดื่มอยู่ตลอดเหมือนกัน จนตุ่นต้องกลับไปเรียนในปีต่อไป ชีวิตของเราจึงกลับเข้าสู่โหมดของการรอคอยอีกครั้ง แต่ในขณะที่รอ เราก็เริ่มสนุกสนานกับการเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ ผู้หญิงของเรา และบางครั้งที่ออกไปดื่มกับพี่โจ้บ้าง
   หลังจากที่ได้พบกับตุ่นในครั้งนี้ คำตอบที่เราตอบตัวเราเองได้ดี คือ เรายังคงรักตุ่นอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าวันเวลามันจะผันผ่านไปมากน้อยแค่ไหน และเรายังคงยินดีที่จะรอให้เขากลับมาหาเรา...อีกครั้ง

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
หนึ่งคอมเม้นต์เป็นสุดยอดกำลังใจให้กับ duckhero ครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ได้เจอกันแล้ว :impress2:

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
duckhero ไม่อยากให้ link หลุดไปหน้าอื่นครับ
เลยต้องมาเม้นต์เองครับ
ฝากติดตามด้วยนะครับ
หนึ่งเม้นต์ คือหนึ่งแรงใจครับ
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ bvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
พาเก่งไปบ้านแบบนี้ เหมือนพาไปแนะนำหรือเปล่า ตุ่นคิดอยู่อะ มองไม่ออก  :serius2:
แต่ที่แน่ๆ อย่ามาทำให้เก่งเสียใจซ้ำอีกล่ะ ไอ้คุณตุ่น  o18

subaru

  • บุคคลทั่วไป
รักมั่นคงจริง ๆ นะคุณเก่ง  :กอด1:

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
น้องเก่งนายตัวตุ่นมันคิดงัยกับน้องเนี้ย อยากให้น้องเก่งลองถามนายตัวตุ่นดูซิ..
ไม่ใช่ไหร่หรอกน่ะ เราอยากรู้ว่านายตัวตุ่นมันจะตอบว่างัย

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
แหลกสลาย

   หลังจากที่ตุ่นได้กลับไปเรียนต่อในปีการศึกษาต่อไปนั้น เราและตุ่นจำต้องห่างกันอีกครั้ง แต่การห่างกันไม่ได้ทำให้เราตัดขาดจากกันและกัน บางครั้งตุ่นจะโทรมาหาเราหรือบางครั้งเราก็จะโทรไปหาตุ่นเอง และเป็นที่แน่นอนว่า ไม่ว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง ไม่ว่าเราจะห่างกันสักแค่ไหนเราจะต้องโทรหาตุ่นแน่นอนในวันเกิดของพวกเราทั้งสองคน ผลัดเปลี่ยนกันมอบคำอวยพรให้กันและกัน ถึงแม้วันเวลาจะผ่านมาหลายปี แต่ของขวัญชิ้นแรกที่ตุ่นได้ให้กับเรานั้น ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี และติดตัวเราไปไหนมาไหนตลอด
   ชีวิตของตุ่นที่มหาลัยเราพอจะรู้รายละเอียดบ้างในบางเรื่องเท่าที่ตุ่นเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ ส่วนชีวิตของเรานั้นดำเนินไปอย่างไม่มีอะไรติดขัด เรายังคงเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงอย่างมีความสุข สนุกสนานกันแทบจะทุกอาทิตย์ การออกไปดื่มหรือกินอาหารกับพี่โจ้ก็มีบ้างเป็นบางครั้ง การที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์กับเหล้าเบียร์ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เราเริ่มที่จะเอาชนะความต้องการทางกายเพื่อที่จะรอตุ่นไม่ได้ลงทุกที
   การกลับมาของตุ่นอีกครั้งในช่วงปิดเทอม ตุ่นยังคงโทรมาหาและรับเราออกไปนั่งดื่มกันเหมือนเคย ครั้งนี้ก็เหมือนเดิม ตุ่นโทรมานัดเราในตอนบ่าย และพอตกค่ำก็มารับเราไปนั่งดื่ม บนโต๊ะของเราไม่ได้มีอาหารมากนักแต่ที่ไม่เคยขาดก็คือเหล้า วันนี้เราสังเกตว่าตุ่นจะพูดน้อยมาก ดูไม่ค่อยจะร่าเริงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเหล้าขวดแรกหมดไป ขวดที่สองเริ่มไหลเข้าไปในปากของเขา เขาเริ่มพูดมากขึ้น และมีหนึ่งประโยคที่เขาเอ่ยถามเราออกมา ทำให้เราที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับกับแกล้มถึงกับอึ้งจนเงียบไปเลย
   “ทำไมถึงเลือกตุ่น” ตุ่นถามคำถามนี้ออกมา ทำให้เราถึงกับเงียบไปชั่วขณะ
   “เลือกอะไรเหรอ” เราถามตุ่นกลับไป ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเขาหมายความถึงอะไร
   “เก่งก็รู้อยู่แก่ใจว่าคืออะไร” ตุ่นยังคงพูดต่อเมื่อเห็นเรายังคงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในคำถาม
   “ไม่รู้เหมือนกัน ก็ตุ่นเป็นคนดีนี่ และตุ่นก็ดีกับเก่งด้วย ดีมาก ๆ คอยช่วยเหลือ คอยดูแลเก่งทุก ๆ เรื่อง ไม่รู้ละ ก็เก่งเลือกแล้ว” เราตอบออกไป ถึงแม้จะไม่เคลียร์กับคำตอบนักแต่คำตอบดังกล่าวทำให้เราถึงกับหน้าร้อนผ่าวได้โดยไม่ต้องอาศัยฤทธิ์ของเหล้าเลย
   หลังจากเราตอบคำตอบนี้ออกไป ตุ่นเองก็ถึงกับนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไรออกมา ส่วนเรานั้น คำตอบนั้นคงทำให้เราเหมือนกับเป็นใบ้ เราไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาอีกเลย สุดท้ายตุ่นเป็นคนที่ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เราทั้งสองนั้นเงียบกันจนเกินไป หลังจากที่เราเริ่มจะเมามายนิดหน่อย แต่ตุ่นเองนั้นมีอาการเมาแบบถึงกับนั่งยกหัวไม่ขึ้น
   “กลับกันเถอะ” ตุ่นเอ่ยขึ้นหลังจากที่จัดการจ่ายเงินเรียนร้อยแล้ว
   “อืม กลับก็กลับ” เรายังคงพูดน้อย
   “เดี๋ยวเก่งขับรถเองนะ” เราพูดในขณะที่รีบแย่งคว้าเอากุญแจมอเตอร์ไซค์มาถือไว้ในมือ
   “ไม่ได้เมา ขับได้นะ” ตุ่นพูดพร้อมกับแบมือยื่นมาจะรับเอากุญแจรถไปจากเรา แต่เรายังคงดื้อดึงกับเขา  เราเดินตรงไปหารถมอเตอร์ไซค์และสตาร์ทรถรอเขา ตุ่นเห็นดังนั้นจึงเดินมานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เราจึงค่อย ๆ ขับรถออกไปอย่างช้า ๆ เพราะไม่กล้าที่จะขับเร็วนักเพราะเห็นอาการเมาของตุ่นแล้ว กลัวว่าถ้าหากเราขับรถเร็วจนเกินไปอาจจะทำให้ตุ่นตกจากรถมอเตอร์ไซค์ได้ หลังจากเราขับรถออกไปได้ไม่นาน ตุ่นที่นั่งรถอยู่กลับปล่อยขาของเขาทั้งสองข้างให้ลากไปกับพื้นถนน
   “ตุ่น นั่งดี ๆสิ” เราห้ามปราม
   “ขับต่อไปเถอะ เลี้ยวซ้าย ๆๆ” ตุ่นพูด
   “จะไปส่งเก่งที่ห้องต้องเลี้ยวขวาสิ” เราค้าน
   “ยังไม่ไปส่ง ขับตามที่บอกไปก่อน” ตุ่นพูดออกมา
   ตุ่นบอกทางให้เราขับรถเลี้ยวไปทางนั้น เลี้ยวไปทางนี้ ตามที่เขาต้องการ จนผ่านไปยังถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านใจกลางเมืองหาดใหญ่ ปกติถนนเส้นนี้ค่อนข้างจะมีรถราขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน หรือช่วงกลางคืน แต่ในขณะที่เราและตุ่นผ่านไปนั้น ไม่มีรถสักเท่าไหร่ เพราะเป็นเวลาที่ผับยังไม่ปิดให้บริการ
   “จอดตรงนี้ก่อน” ตุ่นพูด เราเลี้ยวรถลงไปจอดข้างทาง
   “ให้จอดทำไมเหรอ” เราถามตุ่น
   “ปวดฉี่” ตุ่นพูดแต่ก็ยังคงนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม
   “พาไปฉี่หน่อยสิ” ตุ่นพูดออกมา
   “ไปเองสิ” เราตอบกลับไปสั้น ๆ
   “พาไปหน่อยนะ เดินไม่ไหวแล้ว” ตุ่นอ้อนวอน ดังนั้นเราจึงต้องลงจากมอเตอร์ไซค์พร้อมกับพยุงตุ่นโดยที่จับมือข้างหนึ่งของตุ่นมาโอบไหล่ของเราไว้ และมือเขาเราด้านที่ว่างอยู่ก็จับพยุงที่สะเอวของตุ่น ตุ่นเดินด้วยท่าทางที่โซซัดโซเซเต็มที การพยุงตุ่นไม่ถึงกับทุลักทุเลนัก เพราะว่าขนาดร่างกายของเรากับตุ่นไม่ต่างกันมากนัก เรานึกภาพไม่ออกว่าถ้าหากขนาดตัวของตุ่นใหญ่กว่าเรา มีหวังทั้งเราและตุ่นคงได้ลงไปกองอยู่กับพื้นถนนเป็นอันแน่ เมื่อเราพยุงตุ่นไปจนถึงข้างถนน ตุ่นจึงจัดการปลดซิปกางเกงลงพร้อมทั้งควักเอาความเป็นชายของตัวเองออกมา โดยที่ยังมีเราคอยพยุงร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ในขั้นตอนสำคัญที่ตุ่นกำลังทำภารกิจอยู่นั้น เราไม่อยากที่จะถือโอกาสแอบมองของสงวนของเขา ทั้ง ๆ ที่อีกใจนึงนั้นอยากจะมองจนแทบขาดใจ เราจึงเบี้ยงหน้าของเราหันไปมองยังทางตรงกันข้าม
   “ทำไมไม่มองละ” ตุ่นเอ่ยถามขึ้นมาดื้อ ๆ
   “มองอะไรละ” เราถามกลับไป ทั้ง ๆ ที่รู้ความหมายของตุ่นดี
   “ก็มองอย่างที่อยากจะมองไง” ตุ่นพูด คำพูดของตุ่นในครั้งนี้ ทำร้ายเราได้ไม่น้อย แต่เราคิดว่าตุ่นอาจจะพูดเพราะความเมา เราถึงไม่ใส่ใจในคำพูดของเขามากนัก
   “ฉี่ให้เสร็จเถอะ จะได้กลับบ้านกัน” เราพูดพร้อมทั้งรู้สึกกลัวกับอารมณ์ของตุ่นขึ้นมาในทันใด แต่ตุ่นกลับไม่พูดอะไร หลังจากที่เขาฉี่เสร็จเขาจึงปลดเราออกจากการพยุงตัวของเขาและเดินปรี่ไปนอนลงบนฟุตบาทข้างทางเดิน เราเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหาตุ่นพร้อมทั้งนั่งลงข้าง ๆ และช้อนเอาหัวของตุ่นมาวางบนตักของเรา ด้วยเกรงว่าหัวของตุ่นจะไปฟาดเอาฟุตบาทได้
   “ทำสิ” ตุ่นพูดขึ้นมา
   “ทำอะไร นี่เมามากแล้วนะตุ่น กลับบ้านกันเถอะ” เราพูด
   “ไม่กลับ ถ้าเก่งไม่ทำตุ่นก็จะนอนตรงนี้ละ” ตุ่นพูด
   “ตุ่นจะให้เก่งทำอะไรละ” เราถาม แต่เมื่อเห็นพฤติกรรมของตุ่นเราถึงได้เข้าใจว่าตุ่นบอกให้เราทำอะไร เพราะในตอนนั้นเราเห็นว่าตุ่นยังไม่ได้เก็บเอาความเป็นชายของเขาเข้าไปในกางเกงอย่างที่ควรจะเป็น แต่ตุ่นกลับจับเอามันโบกไปมาอยู่ต่อหน้าเรา
   “ทำสิ” ตุ่นยังคงพูดต่อไป
   “เก็บเข้าไปซะเถอะ แล้วกลับบ้านกัน” เราพูดในขณะที่เราเริ่มจะร้องไห้ออกมา น้ำตาของเราไหลออกมาเองอย่างไม่ยอมหยุด
   “ถ้าเก่งไม่ทำตุ่นก็จะนอนอยู่ตรงนี้แหละ นอนให้มันเช้าไปเลย” ตุ่นยังคงดื้อดึง
   “ตุ่น ไม่เอานะ กลับกันเถอะ ทำไมตุ่นถึงทำอย่างนี้ละ” เราถามในขณะที่ยังคงร้องไห้ ตุ่นยังเงียบและยังคงจับเอาความเป็นชายโบกไปมาอย่างไม่ยอมหยุด เราสังเกตเห็นผับใกล้ ๆ เริ่มมีผู้คนทยอยกันออกมาแล้ว เราเริ่มสับสน เพราะถ้าเกิดยังปล่อยไว้อย่างนี้ มีหวังได้เป็นเป้าสายตาของใครต่อใครแน่นอน แล้วถ้าเราจะทำตามที่ตุ่นบอก มันก็ไม่ใช่ความต้องการของเรา ถึงแม้เราจะรักตุ่นมากสักแค่ไหน แต่การกระทำอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราต้องการให้มันเป็นไปด้วยความเต็มใจ แต่นี่เราไม่ได้เข้าใจตุ่นเลยว่าที่ตุ่นทำลงไปนั้นมันหมายความว่ายังไง ตุ่นกำลังคิดอะไรอยู่ หรือแค่เพียงตุ่นเมา ในขณะที่ความคิดของเรายังคงคิดวกไปวนมา เสียงของผู้คนเริ่มดังขึ้น อีกทั้งเริ่มมีรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมาบ้างแล้ว ซึ่งทุกคันที่ผ่านมาต่างหันมามองกันอย่างถ้วนหน้า เราจึงตัดสินใจครอบปากของเราลงไปตรงความเป็นชายของตุ่นที่ยังคงโผล่ออกมานอกกางเกง เราแค่คอรอบปากลงไป ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อเราถอนปากกลับออกมาจากความเป็นชายของตุ่น ตุ่นจัดการเก็บเอาความเป็นชายของเขากลับเข้าที่หลังจากนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินปรี่ตรงไปหารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ โดยที่เขาเดินไปได้โดยที่ไม่มีเราพยุง เขาเดินไปเหมือนกับคนที่ไม่มีอาการเมามายแต่อย่างใด เราเองถึงกับอึ้ง เราไม่เข้าใจ เราสับสน ตุ่นคิดอะไรอยู่ หรือตุ่นจะเกลียดเราที่เราหลงรักเขา เรายังคงนั่งอยู่ที่เดิมและเริ่มร้องไห้มากขึ้น
   “ไม่กลับบ้านเหรอ” ตุ่นถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   “กลับ” เราตอบแต่น้ำตายังคงไหล
   “งั้นก็มาขึ้นรถสิ จะได้กลับบ้านกัน จะเช้าแล้วนะ” ตุ่นพูดยาวด้วยไม่มีทีท่าเหมือนคนเมาแต่อย่างใด เราจึงลุกขึ้นเดินตรงไปหาเขาและขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ตุ่นขับรถย้อนกลับไปยังทิศทางที่จะไปยังห้องเช่าของเรา ตุ่นขับรถได้อย่างปกติ ตุ่นขับรถเหมือนกับไม่ได้มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดของเขาเลย ตลอดเส้นทางเราและตุ่นไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย จนตุ่นขับรถมาจอดที่หน้าบ้านอันเป็นบ้านที่เราเช่าห้องอยู่
   “เข้าบ้านไปได้แล้ว” ตุ่นพูด เราก้าวลงจากรถและเดินตรงไปยังประตูบ้าน โดยที่ไม่ลืมหันมาขอบคุณที่ตุ่นขับรถมาส่ง ในขณะที่เรากำลังจะไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน เรากลับได้ยินเสียงเรียกของตุ่นอีกครั้ง
   “เก่ง กลับมานี่ก่อน” ตุ่นพูด เราเดินย้อนกลับมาหาตุ่นและยืนอยู่ข้าง ๆ เขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
   “ขอตบทีได้ไหม” ตุ่นเอ่ยถาม คำถามนี้เป็นคำถามที่ทำให้เราเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ ถึงแม้ตุ่นจะตบ จะตี หรือแม้กระทั้งจะเตะเรา เราก็คิดว่ามันคงไม่เจ็บเท่ากับสิ่งที่ตุ่นขอ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตุ่นมีแต่คอยดูแลและเทคแคร์เรา แต่ทำไมวันนี้ตุ่นกลับคิดที่จะตบหน้าเรา เรารู้สึกเจ็บ เจ็บทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้โดนตุ่นตบแต่อย่างใด ในความคิดของเราตอนนั้นเราคิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่า ตุ่นคงจะโกรธเราที่เราไปหลงรักเขา และคงจะโกรธที่เราไปล่วงละเมิดน้องชายของเขา ความคิดมากมายวิ่งวนสลับไปมาในหัวเรา ตอนนั้นถ้าหัวของเราเป็นลูกโป่ง เราว่ามันคงจะแตกออกมาแล้วที่ตรงนั้น
   “เอาสิ” เราตอบพร้อมกับยื่นหน้าของตัวเองไปให้ตุ่นตบตามที่เขาเอ่ยขอ
   “เพี๊ยะ” เสียงดังไม่มากนัก เพราะตุ่นไม่ได้ตบหน้าเราแรงมากนัก แต่เรากลับรู้สึกว่าในตอนนั้นถ้าตุ่นฆ่าเราซะก็จะดีกว่า เราร้องไห้อีกครั้ง แต่ในตอนนั้นมีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา
   “กลับเข้าห้องไปได้แล้ว” ตุ่นพูด
   “ตุ่นก็กลับได้แล้วเหมือนกัน” เราพูดทั้งน้ำตา พร้อมทั้งหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูบ้าน
   “เก่ง กลับมานี่ก่อน” ตุ่นเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่เราจะเดินไปถึงประตู เราได้ยินเสียงของตุ่นเราจึงเดินย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้เว้นระยะห่างจากเขานิดหน่อย
   “เข้ามาใกล้ ๆ สิ” ตุ่นพูด เราจึงขยับเดินเข้าไปยืนชิดเขา และแล้วสิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตุ่นยกนิ้วโป้งของเขาทั้งสองข้างขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าของเรา
   “ขอโทษนะ หยุดร้องได้แล้ว” ตุ่นพูดในขณะที่มือยังปาดน้ำตาบนหน้าของเรา
   “ไป เข้าบ้านไปได้แล้ว” ตุ่นบอกให้เราเข้าบ้านอีกครั้ง
   “ตุ่นก็กลับได้แล้ว ขับรถดี ๆ ละ” เราบอก
   “เก่งเข้าบ้านไปก่อน แล้วเดี๋ยวตุ่นจะไปเอง” ตุ่นพูด หลังจากที่เราเดินเข้าไปในบ้านแล้ว เราจึงได้เห็นตุ่นขับรถมอเตอร์ไซค์ของเขาออกไปจากตรงจุดนั้น
   ในค่ำคืนนั้นเราน่าจะหลับได้โดยง่าย เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด แต่กลับกลายเป็นว่าแอลกอฮอล์เหล่านั้นทำอะไรเราไม่ได้เลย เรายังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เราคิดไปต่าง ๆ นานา แต่แล้วไม่ว่าจะพยายามคิดยังไง ความคิดของเราก็มาจบลงที่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเรากับตุ่นคงจะจบลงแล้ว ที่ผ่านมาตุ่นอาจจะเป็นแค่เพื่อน แค่พี่ที่ดีกับเรา ตุ่นคงไม่เคยที่จะคิดอะไรกับเราอย่างที่เราคิดกับตุ่นมาตลอด และในคืนนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่าหัวใจของเราสลายลงอีกครั้ง กำลังใจต่าง ๆ ที่มีมาเสมอหมดลงไปในทันใด เราเจ็บปวด เจ็บอย่างที่ไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ว่าเจ็บอย่างไร เรารับรู้แค่เพียงว่าเจ็บเหลือเกิน เจ็บเหมือนใจจะขาด และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยการที่เราหลับไปทั้งน้ำตา หลังจากวันนั้นเราไม่กล้าที่จะโทรไปหาตุ่นอีกเลย และตุ่นเองก็ไม่ได้โทรมาหาเราด้วยเช่นกัน
   วันเวลาแห่งความเจ็บปวดผ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ตุ่นเคยบอกเราว่าเป็นวันที่จะเดินทางกลับไปเรียนเทอมสุดท้าย แต่ตุ่นก็ยังคงไม่โทรมาหาเรา เราเองก็ยังคงไม่กล้าที่จะโทรไปหาเขา เพราะแม้แค่เพียงคิดน้ำตาของเรามันก็ไหลออกมาซะแล้ว
   จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเดือน จากเดือนแล้วเดือนเล่า เราและตุ่นยังไม่ได้ติดต่อกันแต่อย่างใด เราเองทำใจได้มากขึ้น เราไม่ได้ร้องอีกต่อไปเมื่อคิดถึงเขา เพื่อนเป็นทุกสิ่งที่เรามีในขณะนั้น เพื่อนของเราทุกคนรับรู้เรื่องราวของเราและตุ่นดี หลายคนบอกให้เราตัดใจและเปิดใจให้กับคนใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตเรา ในช่วงนั้นเพื่อน ๆ ของเราชวนเราเที่ยวทุกสุดสัปดาห์ เราก็พร้อมที่จะไปสนุกกับพวกเขา และทำอย่างที่พวกเขาแนะนำนั่นคือ เปิดใจรับกับใครสักคนที่จะเข้ามาในชีวิต แต่เหมือนกับฟ้าไม่เป็นใจ เรายิ่งเปิดใจรับกลับไม่มีใครที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของเราเลย ไม่เหมือนตอนที่เที่ยวกับเพื่อน ๆ ในครั้งแรก ๆ ตอนที่เรายังคงรักตุ่นอย่างล้นเหลือ ผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาวอแวกับเราไม่เว้นแต่ละวัน แต่เราก็ปฏิเสธออกไปทั้งนั้น แต่ยังมีอยู่คนหนึ่งที่ยังคงพยายาม พี่โจ้ที่พยายามชวนเราไปทานอาหาร ไปดื่มเหล้าเบียร์ ไปนั่งฟังเพลงกับเขา เมื่อเราเปิดใจมากขึ้นเราถึงได้รับรู้ว่าที่พี่เขาพยายามนั้น ดูเหมือนพี่เขาจะพยายามจีบเราอยู่
   “เก่งคืนนี้ไปกินเบียร์กันที่บ้านพี่นะ” พี่โจ้เอ่ยชวนในตอนเย็นวันหนึ่ง
   “ได้ครับพี่” เราตอบรับไป
   เมื่อไปถึงบ้านของพี่โจ้ เรากลับรับรู้ว่าที่นั่นมีเพียงเราและพี่โจ้เพียงสองคน ไม่ได้มีหลายคนอย่างที่พี่โจ้บอกเราเอาไว้
   “พอดีไอ้พวกนั้นมันเปลี่ยนโปรแกรมไม่ยอมมากันนะ” พี่โจ้บอกเรา
   “ไม่มาก็ไม่มา เก่งกินกับพี่สองคนก็ได้” เราตอบ
   หลังจากที่เบียร์หมดไปแล้วจำนวนหนึ่ง อาการมึนตึงของเราและพี่โจ้มีไม่น้อย พี่โจ้เริ่มที่จะล้วงแคะแกะเกาเรา มากขึ้น มากขึ้น จนกลายเป็นหอมแก้มเรา ในตอนแรกเราตกใจที่พี่โจ้ทำแบบนั้นกับเราแต่เราก็ไม่พยายามปกป้องแต่อย่างใด เราจะไม่โทษว่าเป็นเพราะเราคิดว่าเราอกหักจากตุ่นแล้ว แต่เรายอมรับว่าความต้องการทางกายของเรา ที่เรารู้สึกว่ามันเรียกร้องมานานแสนนานแล้วนั้นเป็นตัวกระตุ้นเรามากกว่า จนในที่สุดสิ่งที่เราหวงแหนเอาไว้ในช่วงเวลาหลายปี ตั้งแต่เราได้เจอกับตุ่นก็สลายไปในคืนนั้น คนที่ได้รับมันไปกลับกลายเป็นคนที่เราไม่ได้รู้สึกรักเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดเราเองที่เป็นคนที่ทำเลวต่อตุ่น
   หลังจากครั้งนั้นพี่โจ้ยังคงพยายามที่จะมีครั้งต่อไป ซึ่งสุดท้ายเราเองก็ยอมเขาทุกครั้งไป บางครั้งเราคิดว่าเรากำลังประชดชีวิต แต่บางครั้งเราก็คิดว่าเราไม่ได้ประชดใครเลย แต่เรากลับต้องการตอบสนองความต้องการของตัวเราเองต่างหาก เราจึงไม่คิดแม้ที่จะโทษตุ่นที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอดทนรอมาได้หลายปี และสุดท้ายแล้วเราและเขากลับไปไม่ถึงไหน เราไม่ได้โทษใครเลย แต่เป็นเพราะเราเอง
   นับวันนอกจากพี่โจ้ เรายังคงเลวต่อไปเรื่อย ๆ ในหลาย ๆ ครั้งที่เราไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ เราได้เบอร์โทรฯ ของใครสักคนมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราไม่คิดที่จะโทรหาหรือสานสัมพันธ์อะไร แต่เดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยการมีเซ็กซ์กันระหว่างเราและเขา
   ชีวิตของเรากลายเป็นชีวิตที่คลุกเคล้าอยู่กับเรื่องพวกนี้ได้อย่างรวดเร็ว และอย่างต่อเนื่อง จากที่ห้องเช่าของเราไม่เคยมีใครได้เหยียบย่างเข้าไป แม้กระทั่งเพื่อน ๆ ในตอนนี้กลับกลายเป็นสถานที่หาความสุขใส่ตัวของเรานับครั้งไม่ถ้วน เราไม่เคยนึกเสียใจกับการกระทำของเรา แต่เรากลับยิ่งสนุกกับมันมากยิ่งขึ้น
   ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เราล้มตัวลงนอนหลังจากที่เราเพิ่งเปิดประตูส่งผู้ชายคนหนึ่งกลับออกไปเมื่อกิจกรรมระหว่างเราและเขาจบสิ้นลง เสียงของโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นก่อนที่เราจะหลับลงไป เรารีบคว้าโทรศัพท์มาพูดทันที
   “ฮัลโหล” เราตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เพลียเต็มที่
   “เก่ง เก่งเหรอ” เสียงอันคุ้นเคยพูดกลับมา
   “ตุ่นเหรอ” เราถามกลับไป
   “ทำไมไม่เห็นเคยโทรหาเลยละ” ตุ่นถามกลับมาทันที คำถามของตุ่นทำให้เราอึ้งไปอีกครั้ง เพราะเราเองไม่คิดว่าตุ่นจะถามคำถามนี้กับเราหลังจากที่เราห่างหายการติดต่อกันไปนานแสนนาน เราไม่คิดว่าตุ่นกับเราจะติดต่อกันอีก เพราะเราเองที่ไม่กล้าที่จะหวัง เมื่อเมื่อตุ่นติดต่อมาและถามคำถามที่เหมือนกับบอกให้รู้ว่ารอการติดต่อจากเราอยู่นั้น ทำให้เราถึงกับตัวชา หน้าชากับสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำลงไปก่อนหน้านี้ ทุกอย่างแหลกสลายไปแล้ว
   เมื่อตุ่นกลับมาในชีวิตของเราอีกครั้ง โดยที่เรายังคงไม่รู้ว่าตุ่นคิดยังไงกับเรา คิดกับเราแค่ไหน แค่เพื่อน แค่น้อง แต่การที่ตุ่นกลับมาทำให้เรารู้สึกผิดขึ้นมาในทันที จากที่เราไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำ ทำให้เรารู้สึกเกลียดตัวเราเองขึ้นมาในทันทีกับสิ่งที่เราได้ทำลงไป ชีวิตของเราแหลกสลายไปแล้ว


ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
กรี๊ดดดดดดดดด ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ทำไมเก่งต้องทำอะไรแบบน เก่งที่น่ารักของเราหายไปแล้ว  :monkeysad:
ส่วนตุ่นนี่ช่วยไปไกลๆ เลยปะ

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
เริ่มแรกออจะน่ารักปนหวาน
แต่หลังมานี้ เศร้าไม่ไหวแล้วววววววว :o12:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ทำไมเป็นแบบนี้ o22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nhum_Tai

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ อยากให้เป็นเหมือนเดิม

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
เราไม่เข้าใจไอ้ตัวตุ่นเลยง่ะ ไม่เข้าใจมันจริงๆช่วยมาต่อให้เราหายข้องใจที่เหอะ

subaru

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาเป็นกำลังใจให้เก่ง...เกลียดไอ้ตุ่น :z6:

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
อย่าเกลียดตุ่นกันเลยนะครับ
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้เก่งนะครับ
ถึงแม้ว่าเก่งจะทำตัวไม่ดีก็ตาม
แต่อย่าเพิ่งเกลียดตุ่นเลยนะครับ
แล้ว duckhero จะรีบโพสต์ตอนต่อไปนะครับ

vvivy

  • บุคคลทั่วไป
 o22


รอติดตามๆๆค่ะ

duckhero

  • บุคคลทั่วไป
หรือน้ำตาจะไม่เคยเหือดแห้ง

   การกลับมาของตุ่นในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้เราหวังเหมือนเมื่อก่อน หวังที่ตุ่นจะมารักเรา แต่สำหรับแล้วเราขอแค่เพียงให้เราได้มีตุ่นอย่างหลายปีที่ผ่านมา แค่นี้เราก็พอใจแล้ว ถ้าถามตลอดเวลาที่ผ่านมาเรายังคงรักตุ่นหรือไม่ เราตอบได้โดยที่ไม่ต้องใช้เวลาคิดให้นานเลย เรายังคงรักตุ่นอยู่ เมื่อตอนที่เรียนด้วยกันเรารักตุ่นยังไง ถึงตอนนี้เราก็ยังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นการกลับมาติดต่อกับตุ่นอีกครั้งทำให้เราเลิกการทำตัวที่เราเองก็ยังรู้สึกรังเกียจตัวเราเอง เราเลิกอย่างเด็ดขาด ไม่ยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวกับใครอีก เราขอแค่ได้เที่ยวกับกลุ่มเพื่อนของเรา และการได้ออกไปนั่งร้านน้ำชา ฟังเพลง ดูบอล จิบน้ำชา หรือแม้กระทั่งออกไปนั่งร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อได้กินข้าวในมื้อค่ำกับตุ่น เรากลับมารักและรอคอยตุ่นได้อย่างโดยง่าย ไม่ต้องใช้เวลา หรือแรงบันดาลใจอะไรเลย ถึงแม้ในตอนนี้เราจะคิดแค่ว่าตุ่นเห็นเราเป็นเพียงเพื่อน หรือน้องของเขาสักคน แค่นี้เราก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว
   “ตุ่นจะไปทำงานกับสมคิดนะเก่ง” ตุ่นเอ่ยขึ้นในขณะที่วางแก้วเบียร์ลง
   “เหรอ แล้วไปทำที่ไหนละ” เราถามกลับไป
   “สมคิดทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งอยู่ที่สตูลนะ” ตุ่นตอบ
   “อืมมม ก็ดี ไม่ได้ไกลจากบ้านมากนัก และก็ได้ไปทำงานกับเพื่อนด้วย” เราพูดพร้อมกับคิดถึงใบหน้าของเพื่อนประมงของตุ่นที่ชื่อสมคิด
   “เดี๋ยวตุ่นให้เบอร์มือของสมคิดเอาไว้แล้วกัน เผื่อเก่งอยากจะโทรไปหานะ” ตุ่นพูด
   “แล้วทำไมไม่คิดจะซื้อเองบ้างละมือถือนะ” เราถามในขณะที่นำเอามือถือเครื่องแรกของเราออกมาบันทึกเบอร์ของสมคิดไว้
   “ไม่อยากซื้อ มันไม่จำเป็น” ตุ่นตอบ
   เราและตุ่นยังคงติดต่อกันเรื่อย กินข้าวด้วยกันบ่อย ๆ จนถึงวันที่ตุ่นเดินทางไปทำงานที่จังหวัดสตูล เรากับตุ่นจึงต้องห่างกันอีกครั้ง การห่างกันในครั้งนี้เราไม่ถึงกับโหยหา หรือเหงามากนัก ไม่ใช่เพราะว่าเราจะกลับไปทำตัวไม่ดีเหมือนเดิม แต่เรายังโชคดีที่มีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่ให้เราได้ไปเที่ยวด้วย หรือไปกินข้าวด้วย ตั้งแต่ตุ่นไปทำงานเราตั้งใจว่าจะโทรไปหาตุ่นโดยโทรไปหาสมคิดตามเบอร์ที่ตุ่นให้ไว้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้โทรไปหาตุ่นสักที จนวันสำคัญของเราสองคนมาถึง นั่นก็คือวันเกิดของเรา เราจึงได้โทรไปหาเพื่ออวยพรวันเกิดให้กับตุ่นเหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
   “ฮัลโหล” เสียงจากปลายสายตอบรับมา
   “สวัสดีครับ ใช่สมคิดรึเปล่าครับ” เราทักทายและถามย้อนกลับไป
   “ใช่ครับ ว่าแต่ใครครับ” สมคิดถามย้อนกลับมาเช่นกัน
   “จำกันไม่ได้แล้วเหรอ” เราแกล้งย้อนถาม
   “เอ่อ ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ แค่เสียงผมจำไม่ได้ครับ” สมคิดตอบ
   “เก่งเอง จำเก่งได้ไหม” เราพูด
   “เก่งเหรอ เก่งแฟนไอ้ตุ่นนะเหรอ” สมคิดพูดกลับมา ทำให้เราถึงกับอึ้งกับประโยคที่เขาพูด
   “นี่เก่งยังติดต่อกับมันอยู่อีกเหรอ” สมคิดถาม
   “ก็ติดต่อกันตลอดตั้งแต่เรียนจบนั่นแหละ” เราตอบกลับไป
   “แล้วเก่งยังรักมันอยู่อีกเหรอเนี่ย” สมคิดถามในคำถามที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ก่อนว่าจะได้ยิน
   “เอ่อ เก่ง..” เราพูดไปได้แค่นั้น สมคิดกลับพูดสวนกลับมา
   “เก่ง เลิกรักมันได้แล้ว”
   “เอ่อ” เราพูดได้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
   “ว่าแต่เก่งสบายดีนะ อืมมมมม ได้เจอกันเมื่อไหร่ขอผมกอดทีนะเก่ง” สมคิดเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นแหย่เรากลับมา
   “แหม ได้สิ” เราตอบกลับไป หลังจากเราและสมคิดถามสารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ เราจังเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้เราโทรไปหาสมคิด
   “ตุ่นไม่อยู่เหรอ” เราถาม
   “อืมม ครับเก่ง ตุ่นมันออกไปที่ฟาร์ม อีกนานละกว่าจะกลับ” สมคิดตอบ
   “ว่าแต่เก่งมีอะไรจะคุยกับมันรึเปล่า ไว้เย็น ๆ โทรมาใหม่สิ” สมคิดพูดต่อ
   “ก็ว่าจะโทรมาอวยพรวันเกิดนะ ไม่มีอะไรมากหรอก” เราตอบ
   “ถ้างั้นวันนี้ก็วันเกิดเก่งด้วยนะสิ สุขสันต์วันเกิดนะเก่ง มามะ จุ๊บทีนึง” สมคิดอวยพรวันเกิดให้เราพร้อมกับแหย่เรากลับมาอีก
   “อย่ามา เรารับแค่คำอวยพรวันเกิดแล้วกัน ส่วนจุ๊บไม่ให้” เราตอบพร้อมกับเราและสมคิดต่างคนต่างหัวเราะ
   “ขอบคุณที่จำวันเกิดเก่งได้นะ แล้วเก่งจะโทรไปใหม่นะครับ” เราพูดก่อนที่จะวางสาย เราฝากสมคิดให้บอกตุ่นว่าเราโทรมาอวยพรวันเกิด เพราะเราไม่อยากจะโทรไปอีกครั้ง เกรงใจสมคิดเจ้าของโทรศัพท์
   ตุ่นกลับมาบ้านที่หาดใหญ่อีกครั้งในวันหยุดปีใหม่ หลังจากที่ไปอยู่สตูลเพื่อทำงานเกือบปี ตุ่นโทรมาหาเราในเย็นของวันสิ้นปี เพื่อชวนไปนั่งดื่มและฉลองต้อนรับปีใหม่ที่บ้านของเขา เราตอบรับไปในทันทีด้วยความเต็มใจ และตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เราจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องที่คิดว่าดูดีที่สุดในการไปร่วมฉลองกับตุ่นและญาติ ๆ ของเขาที่บ้านของเขา เราไปโดยที่ไม่ลืมที่จะถือเอาเหล้าติดมือไปด้วย เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีหลายคนที่นั่งดื่มกินกันอยู่ก่อนแล้ว ตุ่นเรียกให้เราเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ กับเขา พร้อมทั้งแนะนำคนนั้น คนนี้ เรายกมือไหว้ไปด้วยมารยาท แต่เท่าที่รู้ เราไม่สามารถที่จะจำชื่อของใครได้เลยแม้แต่สักคนเดียว ใจเรามัวแต่จดจ่ออยู่กับตุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา เราไม่ได้เห็นหน้าเขามาเกือบปีแล้ว วันนี้เราของมองใบหน้าของเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
   “วันนี้กินให้เมาเลยนะเก่ง” ตุ่นพูดพร้อมกับเอามือของเขามาตีเบา ๆ บนหน้าขาของเรา
   “เมาเป็นเมาวันนี้” เราตอบ
   “ตาหยิบแก้วมาให้พี่เก่งหน่อย” ตุ่นตะโกนเข้าไปในบ้าน เราหันไปมองตามสายตาของตุ่นเพราะเราไม่คุ้นกับชื่อของคนที่ตุ่นเอ่ยขึ้น ไม่นานนักผู้หญิงผมยาว หน้าตาดี ดูท่าทางอายุจะยังน้อยกว่าเราและตุ่นอยู่หลายปีเดินถือแก้วใบหนึ่งออกมาจากในบ้าน
   “ตานี่พี่เก่งนะ เพื่อนพี่เอง” ตุ่นแนะนำเรากับผู้หญิงคนนั้น เรารู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกชาไปทั้งตัว หน้าชา มือชา เท้าชาและหัวใจเต้นแรง เรายกมือขึ้นรับไหว้ผู้หญิงคนนั้นแทบจะไม่ไหว เพราะในตอนนี้สมองของเรามันประมวลผลออกมาแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นควรจะเป็นใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับตุ่น
   “เอ้า เอ้า ว่าที่เจ้าสาวยังไม่เห็นจะเมาเลย มา มา มานั่งดื่มด้วยกัน” เสียงของญาติของตุ่นคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ประโยคนี้มันตอกย้ำความคิดของเราได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้นเรารู้สึกว่าท้องฟ้าที่สดใสมาทั้งวัน พร้อมใจกันมืดในทันใด เราไม่รู้ว่ามีอะไรที่มันหนักมาทับอยู่บนหัวของเราหรือเปล่า เพราะในตอนนั้นเรารู้สึกว่าหัวของเราหนักมาก เราจากที่นั่งเงียบ ไม่ได้คุยอะไรกับใครมากนัก จะมีก็แค่เพียงคุยกับตุ่น ตอนนั้นถึงกับกลายเป็นใบ้ไปเลย อย่างเดียวที่เราทำได้ก็คือบอกให้มือของเรายกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วก็ดื่มมันเข้าไป จากที่เรานั่งมองหน้าของตุ่นแทบจะตลอดเวลา ตอนนั้นเรารีบหลบสายตาจากตุ่นทันทีด้วยการนั่งก้มหน้าตลอด
   “แล้วนี่เตรียมงานไปถึงไหนแล้ว” ผู้ชายคนเดิมยังคงเอ่ยถาม
   “??????????????????” เสียงว่าที่เจ้าสาวตอบกลับ แต่เราไม่รับรู้เลยว่าเขาพูดว่าอะไร
   “เก่ง” ตุ่นเรียกเราพร้อมทั้งเอามือมาเขย่าบนหน้าขาของเราแรง ๆ
   “อะไรเหรอ” เราถามกลับไปหลังจากหลุดออกมาจากภวังค์
   เราส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้ตุ่นพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก ตุ่นเอามือมาขวางเอาไว้ไม่ให้เราดื่ม
   “เดือนหน้าตุ่นจะแต่งงานนะเก่ง” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของตุ่นในที่สุด
   “อืมมม ยินดีด้วย” เราพูดแต่ยังคงก้มหน้าอยู่ เพราะเรารู้ดีว่าถ้าเราเงยหน้าขึ้นมา ทุกคนที่โต๊ะนั่นจะต้องเห็นอาการตาแดง น้ำตาเอ่อของเราเป็นแน่นอน
   “แล้วเตรียมงานไปถึงไหนแล้วละ” เราถามต่อทั้ง ๆ ที่ยังก้มหน้า มือของตุ่นถูกเจ้าของนำมาตีลงบนหน้าขาของเราอีกครั้งเบา ๆ เหมือนตุ่นรู้ดีว่าความรู้สึกของเราในตอนนั้นเป็นยังไง
   “เตรียมการ์ดเชิญเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้แจกเพราะยังเขียนหน้าซองยังไม่เสร็จ” ตุ่นพูด
   “เอางี้สิ เอาซองของการ์ดเชิญมา เดี๋ยวเก่งเอาไปปริ๊นท์กับคอมฯ ให้ แป๊บเดียวก็เสร็จ” เราพูดไปตามความคิดของเรา ถึงแม้ตุ่นจะทำให้เราอึ้ง เจ็บปวด ทรมานหัวใจอย่างสุดกำลัง แต่นั่นคือสิ่งที่เราพูดออกมาด้วยความเต็มใจ เรายินดีที่จะทำทุกอย่างให้ตุ่นเพื่อที่จะให้เขาได้ก้าวไปมีครอบครัว มีอนาคตที่ดี เราเองที่เอาตัวเรามาผูกพันกับเขา ตุ่นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะตุ่นไม่เคยที่จะบอกว่าชอบ หรือรักเรา เราเองต่างหากที่เอาตัวเราไปผูกมัดกับเขาไว้
   “พรุ่งนี้เก่งมาเอารายชื่อและซองแล้วกันนะตุ่น วันนี้เก่งกลับแล้วนะ เดี๋ยวจะไปฉลองต่อกับเพื่อน ๆ นะ” เราพูดไป ทั้ง ๆ ที่เรายกเลิกนัดกับเพื่อน ๆ ไปแล้วเมื่อตุ่นโทรมาชวนในตอนแรก เราโดนเพื่อน ๆ บ่นนิดหน่อย แต่สุดท้ายเพื่อน ๆ ก็ลงความเห็นกันว่า ให้เราได้ไปฉลองกับคนที่เรารักนั่นแหละดีแล้ว เราไม่รู้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าการมาฉลองของเราครั้งนี้ ทำให้เราเจ็บจนแทบจะล้มทั้งยืนนั้น พวกเขาจะว่ายังไง แต่ในตอนนี้นั้นเราไม่สามารถที่จะทนนั่งอยู่ที่บ้านของตุ่นได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะเราจะโกรธ หรือเกลียดตุ่น แต่เพราะถ้าเรานั่งต่อไปอีกซักนาทีเดียว ทุกคนคงจะได้เห็นน้ำตาของเราเป็นแน่ เรารีบเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของเรา โดยที่เราไม่ได้กล่าวลา หรือยกมื้อไหว้ใครเลย ในขณะที่เราสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ตุ่นเดินเข้ามาหาเราที่รถ พร้อมทั้งยื่นมือของเขามาจับมือของเราไว้
   “เก่ง” ตุ่นพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วเราทั้งสองก็ต่างคนต่างเงียบ จนเราขับรถออกไปจากตรงนั้น ตลอดเส้นทางที่เราขับรถมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปหาเพื่อน ๆ ที่กำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่ เรารู้สึกว่าเส้นทางมันช่างไกลเหลือเกินทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันไม่ได้ไกลเลย ขณะที่ขับรถไปนั้นน้ำตาของเราไหลออกมาตลอด ยิ่งโดนลมพัดมาโดนใบหน้าน้ำตาของเรายิ่งไหลอย่างไม่หยุดหย่อน
   ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของเพื่อนของเราคนหนึ่งซึ่งเป็นจุดรวมตัวกัน ดื่มกันเล็กน้อยก่อนที่จะออกไปฉลองปีใหม่กันในผับที่ได้นัดกันเอาไว้ เมื่อเราจอดรถเราเดินปรี่ไปหาเพื่อน น้ำตายังคงไหล
   “เก่งเป็นอะไร” พี่ลิค เพื่อนที่มีอายุมากกว่าใครในกลุ่มของเราเอ่ยถามเรา เราไม่ได้ตอบอะไร เดินเลี่ยงไปนั่งบนโซฟาพร้อมทั้งก้มหน้าร้องไห้
   “เฮ้ย แกเป็นไรวะ” ยาเพื่อนที่เราสนิทมากกว่าใครในกลุ่มเดินมานั่งพร้อมทั้งโอบไหล่เรา เราโผเข้าไปกอดยาและเริ่มต้นปลดปล่อยน้ำตา และความเศร้าออกมา โดยที่เพื่อน ๆ ทุกคนไม่มีใครเอ่ยถามอะไรเราอีกเลย ปล่อยให้เราได้ร้องไห้ได้อย่างเต็มที่ จนเมื่อเรารู้สึกว่าน้ำตามันคงจะหมดแล้ว เราจึงได้หันมาคุยกับเพื่อน ๆ เราบอกสาเหตุที่ทำให้เราร้องไห้ได้อย่างหนัก เมื่อเพื่อนทุกคนได้ยิน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป โดยส่วนใหญ่จะเน้นที่ด่าไปที่ตุ่นมากกว่า
   “อย่าไปด่าเขาเลย เก่งไปชอบเขาเอง เขาไม่เคยบอกว่าเขาชอบเก่งเลยนะ” เราพูดไปเพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ ของเราด่าว่าตุ่นมากนัก
   “ไป งั้นเราไปฉลองความช้ำของแกพร้อม ๆ กับฉลองรับปีใหม่ดีกว่า เมาให้อ้วกแตกกันไปเลย” แอ๋วเพื่อนอีกคนในกลุ่มพูดขึ้น และแล้วคืนนั้นเราก็ได้เมาจนได้อ้วกจริง ๆ หลังจากที่กลับจากฉลองกัน ทุกคนมานอนรวมกันที่บ้านที่รวมกลุ่มกันในตอนค่ำโดยที่เราไม่รู้ว่าเรากลับมาถึงบ้านนั้นได้ยังไง
   จนถึงวันก่อนที่เขาจะต้องยกขบวนขันหมากไปบ้านของเจ้าสาวเพื่อทำพิธีของการแต่งงาน เราไม่ได้โทรไปหาเขาเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเขาอยู่บ้านที่หาดใหญ่ตลอด ตุ่นโทรมาหาเราในเย็นวันนั้นพร้อมทั้งบอกให้เราเข้าไปที่บ้านหลังใหญ่ของเขา หลังจากที่รับปากเขาแล้ว เราจึงแต่งตัวและขับรถมอเตอร์ไซค์ของเราไปหาเขาที่บ้านของเขา ซึ่งในตอนนี้กำลังคึกคักกันน่าดู มีผู้คนมากมายมาช่วยกันเตรียมงาน เราไปถึงที่นั่นเราจึงได้มีอาการหน้าชา มือชาขึ้นมาอีกครั้ง แต่เราคิดว่าเราจะยินดีกับตุ่นให้ได้ กับอนาคตที่เขาเลือก กับสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเขา เราจึงได้ก้าวเข้าไป หลายคนที่ไม่รู้จักเราแต่พอจะเดาออกว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าวเพราะเราดูรุ่นราวคราวเดียวกันกับตุ่นอยู่แล้ว ในที่สุดว่าที่เจ้าบ่าวก็ออกมาจากบ้านตามเสียงเรียกของใครคนหนึ่งที่เราเองก็ไม่รู้จักเหมือนเดิม ตุ่นเดินออกมาเมื่อเห็นเราตุ่นเดินเข้ามากอดเรา เราตั้งตัวไม่ทันในตอนนั้น จึงเอามือของเราดันที่หน้าอกของตุ่นออกไปเบา ๆ
   “ทำอะไรอะ อายคน” เราพูด
   “ก็ตุ่นดีใจที่เก่งมา” ตุ่นพูด
   “ตุ่น พาเพื่อนไปกินข้าวก่อนสิลูก” แม่ของตุ่นที่อยู่ไม่ไกลนักเอ่ยขึ้น เราจึงได้ยกมือขึ้นไหว้ ตุ่นพาเราไปนั่ง พร้อมกับหาอาหารมาให้กิน ทั้ง ๆ ที่เราบอกว่าเราไม่กิน ก็ใครมันจะไปกินลง แต่โดนตุ่นขู่ว่าถ้าไม่กินตุ่นจะโกรธ เราจึงต้องกินไปตามระเบียบ ในขณะที่เรานั่งกินข้าวตุ่นนั่งพูดคุยกับเราตลอด เราไม่รู้ว่าเขาตื่นเต้นหรือมีอาการดีใจมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่เราเห็นดูเขาจะเฉย ๆ
   “ตุ่น มานั่งทำอะไรตรงนี้ เข็มขัดกับรองเท้าหาได้แล้วเหรอ” พี่สาวของตุ่นเป็นคนเอ่ยขึ้น เรายกมือไหว้พี่เขา พร้อมทั้งหันไปมองหน้าตุ่น
   “อะไรกัน นี่ยังเตรียมตัวไม่พร้อมอีกเหรอ” เราถามตุ่นด้วยน้ำเสียงเข้ม
   “ดูสิน้อง พรุ่งนี้มันจะไปขอเมียแล้ว มันยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน” พี่สาวของตุ่นบ่นตุ่นให้เราฟัง
   “เอางี้ เดี๋ยวเก่งขับรถกลับเข้าไปในเมืองไปหาซื้อเข็มขัดกับรองเท้ามาให้” เราพูด
   “ไม่เอาหรอกเก่ง เดี๋ยวตุ่นจัดการเองได้ เข็มขัดไม่ต้องใส่ก็ได้ ใส่สูทมันก็มองไม่เห็นแล้ว” ตุ่นพูด
   “จะบ้าเหรอ ไม่เรียบร้อยได้ไงกัน วันสำคัญนะตุ่น” เราพูดพร้อมกับรู้สีกเหมือนกับว่ามีอะไรมาอุดตันที่ลำคอของเรา เราพูดต่อไปไม่ได้ เราจึงลุกขึ้นและบอกให้ตุ่นรอ เราจะกลับมาในอีกไม่ช้า เราขับรถย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองหาดใหญ่ที่ห่างกับบ้านหลังนี้ของตุ่นอยู่หลายกิโล เรามุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด เลือกซื้อเข็มขัดและรองเท้าให้ตุ่น เมื่อเราได้ของที่ต้องการแล้วเราจึงขับรถกลับไปหาตุ่นอีกครั้ง ในตอนนั้นถามว่าเราเจ็บไหม เราเจ็บปวดมาก แต่อีกใจหนึ่งเราก็รู้สึกยินดีกับคนที่เรารักมาก ถ้าหากเขาจะมีอนาคตที่สดใสได้ในที่สุด เราเอาของทั้งสองอย่างส่งให้ตุ่น ตุ่นรับพร้อมกับเอามือมาขยี้ผมของเรา เราเบี่ยงหลบทันทีโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าสมองของเรามันจะสั่งให้เราเลี่ยงเอง อาจจะกลัวที่จะต้องเจ็บปวดอีกก็เป็นไปได้
   “พรุ่งนี้เก่งไปกับตุ่นด้วยนะ” ตุ่นพูด
   “เก่งไปไม่ได้หรอก ต้องทำงาน” เราตอบ
   “เก่งก็ลาสักวันสิ” ตุ่นยังคงยื้อ
   “ไม่ได้จริง ๆ ถ้าลางานได้เก่งลาแล้วละ” เราตอบ
   “งั้นคืนวันงานฉลอง เก่งต้องไปให้ได้นะ” ตุ่นพูด
   “แน่นอนครับ” เราพูด พร้อมกับบอกลาตุ่นและอวยพรให้เขาโชคดี เราขับรถมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของเรา ขับไปได้ไม่นานนัก น้ำตาเราไหลออกมาอีกแล้ว แต่เรารู้สึกว่าคราวนี้น้ำตาที่ไหลออกมามันไม่ได้ทำให้เราเจ็บปวดใจเหมือนกับครั้งก่อน ๆ แต่มันไหลออกมาเหมือนกับว่าเรากำลังอิ่มเอม และเป็นสุข เป็นปลื้มกับอนาคตที่ดีของคนที่เรารักมาก และแล้วในวันรุ่งขึ้น วันที่ตุ่นต้องไปบ้านเจ้าสาว เรากลับลางาน นอนอยู่ที่ห้อง เพราะเราไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปพบหน้าใครได้เลยในตอนนั้น เรารู้สึกเหนื่อยเกินที่จะทำอะไรทั้งสิ้น วันทั้งวันเราจึงได้แต่นอนอยู่บนที่นอนของเราไปเรื่อย ๆ เหมือนกับนอนรอให้เวลามันผ่านไป หรือรอให้เราได้ตายไปเสียที

subaru

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า   :monkeysad: สงสารเก่ง

The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป


เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ พยายามเขียนต่อไป ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ
เม้นท์อาจจะไม่เยอะก็จริง แต่ถ้าเป็นเม้นท์ที่ดี ที่เป็นประโยชน์
มันน่าดีใจกว่าเป็นไหนๆ สู้ต่อนะจ๊ะ  :L2:


ปล. การขึ้นย่อหน้าใหม่ กับบางประโยค โดยการเว้นให้แต่ละบทชัดเจนขึ้น
จะช่วยส่งให้ ประโยคนั้นๆ ดูมีความสำคัญและน่าสนใจมากขึ้นนะจ๊ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โห เก่ง เสียน้ำตลอดเลย เมื่อไรจะได้ยิ้มได้มีความสุขสักทีนะ  :monkeysad:

vvivy

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด