ตอน ๑๕
ไตติลากำลังใช้ชีวิตอยู่บนความกลัว ทุกครั้งที่ไตติลาเข้านอน เขามักหวาดกลัวเสมอ ว่าผู้เป็นดั่งหัวใจรักจะจากไป ด้วยเพราะร่ายกายนั้น อ่อนล้าสิ้นแรง ราวกับเปลวเทียนที่หดสั้นอ่อนแสง และพร้อมจะดับวูบลงในทุกเวลา ไตติลามักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับกษิดิส คอยพูดคุย ดูแลอย่างเอาใจใส่ จวบจนถึงเวลาเข้านอนของกษิดิสจึงกลับ
“วันนี้ก็มาหรือ?” เสียงแหบเบาถามได้ไม่ดังไปกว่ากระซิบ ไตติลานั่งลงข้างเตียง มือนวลบางนั้น ลูบเส้นผมของอีกฝ่ายให้พ้นจากดวงหน้า พลางมองกษิดิสที่นั่งเอนหลังบนเตียงอย่างรักใคร่พร้อมทอดยิ้มอ่อนจาง
“มาสิ ติลาจะมาทุกวัน”
“คุณดิสนอนหลับดีไหม?” มือนวลบางไล้ปลายนิ้วลงหลังมือที่ผิวกายมิได้เต่งตึงด้วยความอ่อนเยาว์อีกสืบไป ทุกการกระทำ ถูกทอดมองด้วยดวงตาที่ยังคงมีประกายเช่นครั้งอดีต
“หลับดีสิ ฝันถึงเธอด้วย” ไตติลายิ้มกว้างขึ้น พลางว่า ดีจัง...
“ติลานานๆทีจะได้กลับบ้าน ไม่อยากอยู่บ้านให้หายคิดถึงก่อนหรือ?”
“บ้านเมื่อไหร่ก็กลับได้ แต่คุณดิสของติลา มีแค่คนเดียว” ทั้งคู่เงียบงันไปนานหลายอึดใจ ไตติลาได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่าย
“อย่ามาอยู่กับคนแก่ใกล้ตายอย่างฉันเลย” คนฟังหลุบสายตาลง ริมฝีปากเม้มเข้าด้วยกัน
“ทำไมล่ะ คุณดิสของติลายังหนุ่มเสมอ” ไตติลาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นทุกวัน
“ติลา...อย่ายึดติดกับฉันเลย” เสียงกระซิบนั้นจริงแท้นั้นแผ่วเบา ทว่ากลับสะท้อนก้องอยู่ในหัวใจไตติลา แม้จะพยายามซ่อนความรู้สึกของตนเองไว้อย่างไร ทว่ากษิดิสมองเห็นว่า ดวงตาคู่ที่มีประกายตากล้าแกร่งเสมอนั้น วูบไหว ด้วยความเจ็บร้าว
“เวลาของฉัน หดสั้นลงทุกทีแล้ว” น้ำเสียงอ่อนล้านั้นบอกชัด ด้วยโรคภัยรุมเร้า ไตติลาฝืนยิ้มแห้งแล้ง
“ไม่หรอก เราอุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว คุณดิสจะทิ้งติลาไปได้หรือ? เอาน้ำไหมครับ?” คนถูกถามมองไตติลาอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ มือนวลจึงรินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะแตะหลอดลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย
“ถ้าสมิทธิ์ไม่บอก ติลาคงไม่รู้ว่าเขาเป็นหลานคุณดิส” ไตติลาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“เขาเหมือนแม่ เขาล่ะ” ผู้เป็นปู่ยิ้มเอ็นดูน้อยๆ พลางทอดมองภาพถ่ายที่โต๊ะหัวเตียง ภาพครอบครัวเรียงราย ภาพเด็กน้อยดวงหน้ามีเค้าลูกครึ่ง แก้มยุ้ยยิงฟันอยู่ในภาพ ทั้งสองต่างมองภาพเหล่านั้นอย่างเงียบๆ
“คุณดิสแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่ครับ?”
“ยี่สิบเก้าย่างสามสิบเห็นจะได้ ผู้ใหญ่จัดการให้ทั้งนั้น” ไตติลารับฟังพลางทอดสายตามองภาพ ชายหนุ่มดวงหน้าคมสันที่คุ้นใจไตติลา กับหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางอ่อนหวานเรียบร้อย
“แปลว่า คุณดิสเรียนจบก็กลับเมืองไทย”
“ใช่ หลังเรียนจบ ก็อยู่ต่ออีกปี แต่สุดท้ายก็รู้สึกเหมือนที่นั่นไม่ใช่บ้านที่จะลงหลักปักฐาน เลยกลับ”
“หนึ่งปี...หรือว่ารอติลา?” กษิดิสไม่ได้ตอบ หากดวงตานั้นให้คำตอบชัด…กษิดิสรอ...รอมาทั้งชีวิต
“ติลาละไม่อยากจะเชื่อ ว่าคุณดิส จะเล่าเรื่องของเราเป็นนิทานก่อนนอน” ไตติลาพูดพลางหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่แม้จะเลือนด้วยความชรา กลับทอประกายเหมือนวันวาน
“เพียงแต่หวังว่า สักวัน เราอาจจะได้เจอกันอีก อาจไม่ใช่กับตัว แต่อย่างน้อย ให้คนรุ่นต่อไปได้รู้ว่าใคร....เป็นคนที่เคยทำให้คนในครอบครัวของเขาเป็นสุขที่สุด ในช่วงชีวิตหนึ่ง” มือนวลกุมหลังมือกษิดิส ก่อนจะวางลงบนตำแหน่งหัวใจของตนเอง ก่อนจะเอนกายซบอีกฝ่าย ให้หัวใจตนเองเต้นอย่างช้าๆ ทว่าเจ้าของมือที่กุมไว้แนบอกรับรู้
“คุณดิสรู้ไหม ว่าติลาต้องการอะไรที่สุด” ไตติลาพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก
“ติลา ต้องการจะรักคุณดิสไปจนตลอดทั้งชีวิต เหมือนที่คุณดิสทำ” ริมฝีปากอุ่นนั้นมอบจุมพิตอ่อนหวานลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างของกษิดิส ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยหวังว่า ความจงรัก จะพาข้ามผ่านห้วงน้ำอันไม่เห็นฝั่งในใจตนเองไปได้ โดยไม่กลัวอีกต่อไป
ไตติลาทอดสายตามองชายชราที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ด้วยความรู้สึกหลากหลาย คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจไตติลา กษิดิสตรงหน้าเขานี้ ไม่ได้เป็นชายหนุ่มดวงหน้าคมสันชวนมองอีกต่อไป เป็นเพียงชายชราคนหนึ่ง ที่ผิวกายเหี่ยวย่นด้วยกาลเวลา น้ำเสียงในยามพูดไม่ได้กังวานอย่างแต่ก่อน แต่คนตรงหน้านี้ก็ยังคงเป็นกษิดิส คนที่ไตติลาถูกโชคชะตา หรือความบังเอิญใดๆ ทำให้ได้พานพบ....และได้รัก
“พักบ้างเถอะ เดี๋ยวให้พยาบาลเขาดูแลต่อ” สมิทธิ์แตะมือลงบนบ่าไตติลา
“กลับบ้านตอนเย็นก็ได้พัก” ไตติลาทอดเสียงอ่อนล้า ไม่ใช่ที่กายแต่ที่ใจ
“ แต่ที่บ้านโทรมาตามนะ”
“อ้อ” ไตติลาลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองกษิดิสอีกครั้ง ราวกับจะทวนถามกับตนเองว่า เมื่อกลับมาอีกหนกษิดิสจะยังอยู่กับตนหรือไม่
“คุณดิสตื่นแล้วช่วยโทรบอกหน่อยได้ไหม? ไม่แน่ใจว่าจะนานหรือเปล่า ช่างเขาจะมาซ่อมประตูบ้านน่ะ” สมิทธิ์ มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด
“ติลา ถ้าคุณรู้ว่าผมจะพาคุณมาเจอปู่ที่อยู่ในสภาพแบบนี้ คุณยังจะมาหรือเปล่า?” ไตติลาสบตาเจ้าของคำถาม ดวงตาคู่นั้นมีเค้าปวดร้าวปะปน ไตติลาคลี่ยิ้มบ้าง ทั้งที่ดวงตาโศก
“มาสิ” เสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา แต่กลับบีบหัวใจคนฟังหนักหนา
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ติลาจะไปหา”
“ติลารักปู่มากสินะ....มันมากแค่ไหนหรอ?” สมิทธิ์ลอบตกใจกับคำถามของตนเองที่หลุดถามออกไปอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ หัวใจในอกนี้เต้นหนักๆด้วยความหวาดหวั่น
“มีหน่วยวัดอะไรวัดความรักได้หรอสมิทธิ์” ราวกับมีบางสิ่งกดทับคนทั้งคู่เอาไว้ กดให้จ่อมจมลงในความเงียบงัน
“สมิทธิ์เคยบอกติลาใช่ไหม? ว่าจะเปลี่ยนตอนจบของนิทานเรื่องนั้น” สมิทธิ์ครางรับในคอ ไตติลาจ้องมองกลับมาด้วยดวงตาแห้งแล้ง
“สมิทธิ์เปลี่ยนมันไม่ได้หรอก สุดท้าย ‘เรา’ ก็จะจากกันอยู่ดี เพียงแต่เร็วช้าเท่านั้น”
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ไตติลากลับไปที่บ้านของตนเองในยามเที่ยง เพื่อรอทำธุระของตน บ้านทั้งบ้านเงียบเหงาๆ เพราะคนในบ้านต่างออกไปทำภาระหน้าที่ของตน เหลือเพียงไตติลาลำพัง เขาพิจารณาบ้านของตนเองเงียบๆ บ้านหลังเล็กกะทัดรัดสำหรับคนสี่คน อยู่ด้วยกันมานานปี ยังคงทำให้หัวใจไตติลาอบอุ่นเสมอ แม้ในยามตัวไกล มือนวลเปิดประตูตู้ของตนเอง หยิบกล่องไม้ใบเล็กๆออกมา ภายในมีถุงกำมะหยี่บรรจุแหวนหยกแดงสองวง ที่อาม่าเคยให้ไว้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไตติลาก็นึกขัน เพราะญาติฝ่ายบิดาเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนทั้งหมด แต่ตนกลับมีใบหน้าละม้ายมารดา ผู้มีเชื้อสายเนปาลเจือปน ไตติลาเก็บแหวนทั้งคู่ใส่ถุงกำมะหยี่ ก่อนจะใส่ในกระเป๋ากางเกงตนเองพร้อมกับความตั้งใจบางอย่าง
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
เมื่อไตติลากลับมาที่บ้านของกษิดิสและสมิทธิ์อีกครั้ง สองคนปู่และหลานกำลังนั่งสนทนากันเบาๆ สีหน้าสมิทธิ์เคร่งเครียด เช่นเดียวกับกษิดิส ที่มีเค้าความอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ไตติลาคิดว่าอาจะเป็นธุระในครอบครัวจึงถอยหลบฉากออกมาเสียก่อน แต่กลับถูกชายหนุ่มเรียกไว้ ไตติลาจึงส่งยิ้มจางๆให้กษิดิส โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สายตาที่ตนใช้มองอีกฝ่ายนั้น แสดงถึงเนื้อหัวใจขนาดไหน สมิทธิ์มองก่อนจะทอดสายตาลงต่ำ คล้ายครุ่นคิด
“ที่บ้านเรียบร้อยแล้วหรือ?” กษิดิสถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“เรียบร้อยแล้วครับ” มือนวลวางลงในอุ้มมือกษิดิส จึงกอบกุมกันไว้แผ่นเบา
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอไปทำธุระก่อนนะครับปู่ แล้วเจอกันตอนค่ำ” สมิทธิ์ กล่าวขึ้นด้วยเสียงคล้ายพึมพำ
“วันนี้จะทานข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่า?” กษิดิสถามหลานชาย สมิทธิ์ชะงักงัน ก่อนจะตอบรับ เมื่อร่างสูงนั้นหายลับออกไป ไตติลาจึงพ้อเบาๆ
“วันนี้คุณดิสงอแง”
“เราต่างหากงอแงทุกวัน”
“ติลาเปล่านะ” กษิดิสไม่ต่อคำ กลับนิ่งมองไตติลาเนิ่นนาน จนสุดท้าย ไตติลาเป็นฝ่ายหลบสายตา และเลือกที่จะซากนอนหนุนตักอีกฝ่าย
“คุณดิสคิดว่า ทำไมเราถึงมาเจอกันได้ ทำไมเวลามันถึงเหลื่อมซ้อนกัน ไม่ใช่ที่อื่นๆแต่เป็นห้องเรา” ชายชราทอดสายตาไปไกลอย่างใช้ความคิด มือที่อ่อนแรงลูบเส้นผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างถนอม
“ไม่มีใครรู้หรอกติลา บางที อาจะเพราะความรักของใครบางคน อาจจะพันผูกห้องนั้นไว้ก็ได้”
“จำมิสเจ้าของห้องที่สอนผมถักไหมพรมได้ไหม สติแกไม่ค่อยจะครบ เห็นเพื่อนบ้านเขาร่ำลือ ว่าคนรักแกเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด แต่เสียไปด้วยเหตุอะไรไม่มีใครจำได้มิสแกเลยตรอมใจ พอติลาหายไปได้สักเกือบเดือนแกก็เสีย ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าอาจจะเป็นมิสแก ที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น” กษิดิสยิ้มขันกับตนเอง
“ไม่มีใครรู้หรอกติลา ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรแน่ เรารู้แต่เพียงว่า เรื่องราวเหมือนในนิยายนี้ มันเกิดขึ้นจริงกับเรา” ไตติลารับฟังเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“เมื่อกี้ติลากลับไปค้นตู้ เจอแหวนคู่หนึ่ง อาม่าเคยให้ไว้ แต่ติลายังนิ้วเล็กเกินไปที่จะใส่ แต่ตอนนี้ใส่ได้แล้ว” ไตติลาเปิดปากถุงกำมะหยี่ เทลงบนมือ แหวนหยกแดงสองชิ้นกระทบกันเสียงดังกังวาลใส ทว่าหัวใจกษิดิสกลับขุ่นมัวด้วยความรู้สึกเสียใจ
“ติลาอยากยกให้คุณดิสวงหนึ่ง ส่วนอีกวงติลาจะเก็บไว้” ไตติลาหลบสายตาของอีกฝ่าย
“อย่าเลย” เสียงปรามนั้นแผ่วเบา ไตติลายังคงไม่ยอมฟัง
“เขาว่าหยกมีเป็นหินจากสวรรค์นะครับ ช่วยปกป้องคุ้มภัยได้ คุณดิสสวมให้ติลาได้หรือเปล่า?” รอยยิ้มบนดวงหน้าไตติลาระเหิดหาย เมื่อเห็นกษิดิสนิ่งงัน ไตติลาฝืนยิ้ม ก่อนจะสวมแหวนหยกแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง
“คุณดิสไม่ค่อยมีแรงใช้ไหม มา..ติลาจะสวมให้คุณดิสบ้าง” มือนวลจับมือกษิดิส ทว่ามือที่เคยอ่อนแรงนี้กลับกำเข้าหากันแน่น ไตติลาเม้นริมฝีปาก รู้สึกได้ถึงหัวใจราวกับถูกบีบ กระบอกตาของตนเองแสบร้อน
“คุณดิส” ไตติลาพูดออกไปด้วยเสียงราวกับสิ้นแรง ดวงตาฉ่ำชื้น มองสบตากับกษิดิส ความร้าวรานปราดเข้าใจที่ขั้วหัวใจราวกับมืออันอำมหิต ที่บีบหัวใจราวกับหมายจะฆ่า
“คุณดิส!” คราวนี้ไตติลาเรียกด้วยน้ำเสียงราวกับจะกรีดหัวใจคนฟัง มือคู่นั้นยังคงกำแน่นเข้าด้วยกัน ราวกับจะไม่มีวันคลายออกอีกสืบไป
“อย่าเลยไตติลา อย่าดิ้นรนอีกเลย” น้ำเสียงสงบนิ่งนั้นราวกับน้ำเย็นเฉียบราดลงบนศีรษะไตติลา ร่างโปร่งนั้นหายใจหอบราวกับจะขาดใจก่อนจะรีบผินหน้าหนี เมื่อไม่อาจห้ามน้ำตาหยดใหญ่ไว้ได้แล้วรีบปาดมันออกไปเสีย ร่างโปร่งนั้นพยายามซ่อนรอยน้ำตาไว้ใต้รอยยิ้มแห้งแล้งของตน
“คุณดิสร้อนหรือเปล่าติลาจะเช็ดตัวให้?”
“ไม่หรอก” กษิดิสทอดสายตาอบอุ่นมองไตติลา ก่อนจะอ้าแขนรออีกฝ่าย ไตติลาซุกกายลงบนอกนั้นอย่างลังเลใจ
“ไตติลา เธออย่าตีความความรักของฉันผิดเลย....มันไม่ใช่ความร้อนเร่าเหมือนเพลิงรัก ความรักของฉันเพียงแต่ปรารถนาให้เธออยู่ต่อไปได้ ด้วยกำลังของตัวเอง...ในวันที่ไม่มีฉัน เข้าใจไหม? หือม์” คนในอ้อมเขนนิ่งเงียบ มีเพียงความรู้สึกอุ่นร้อนที่หยาดหยดลงบนอกเสื้อกษิดิส
“ ติลาออกไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ” กษิดิสลูบศีรษะไตติลาแผ่วเบา ไตติลาพยักหน้ารับ ก่อนจะผลุนผลันเดินเร็วๆออกไป กษิดิสนิ่วหน้าด้วยความปวดร้าว ด้วยเพราะเสียงที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน เป็นเสียงร้องไห้ราวกับคนหัวใจสลาย และคนๆนั้นคือ...ไตติลา
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ไตติลานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของตัวเองในอพาร์ทเม้นต์เจ เขาลูบพรมหยาบหนาบนพื้นเล่นเบาๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้องนั่งเล่น จมูกราวกับได้กลิ่นหอมของอาหารจานโปรดจากห้องครัว ไตติลาจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัวแบบกึ่งเปิดของตนเอง ที่กลางห้องครัวนั้น มีใครบางคนยืนอยู่ที่นั่น กำลังค้นหาของบางอย่างจากตู้เก็บจานเหนืออ่าง ทำให้ไตติลาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนๆนั้นที่หลังประตูตู้ได้ จวบจนมือแข็งแรงที่ไตติลานึกชมเมื่อเห็นว่า สวยนั้น จับที่ประตูตู้จึงเห็นแหวนหยกแดง เป็นประกายอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้น ทันใดประตูตู้นั้นก็เหวี่ยงปิด ใบหน้าหลังบานประตู แย้มรอยยิ้มงดงาม บนดวงหน้าคมสัน จนเห็นลักยิ้มชัดทั้งสองข้างแก้ม
“ตื่นแล้วหรือ?”
“คุณน่ะ คนหรือผี?”
“ตอบคำถามผมก่อนสิครับ?” น้ำเสียงนั้น กล่าวอย่างขบขันโดยไม่ปิดบัง
“คุณนั่นแหล่ะ ตอบผมก่อน” ไตติลายังทำเสียงแข็ง
“แต่ผมถามก่อน”
“งั้นเอาใหม่ คุณหุงข้าวได้ไหม?” ไตติลาถามพลางยิ้มกว้าง
“ไหนหม้อ?” ทั้งคู่ประสานเสียงหัวเราะกัน จนไตติลาทำท่านิ้วชี้แตะริมฝีปาก เมื่อทั้งคู่หยุดหัวเราะได้ในที่สุด ไตติลาก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เป็นอะไร?” ร่างคุ้นใจไตติลาเลื่อนเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนัก
“เปล่าครับ”
“ทำตาแดงๆอย่างนี้นะหรือว่าเปล่า?”ไตติลาหันไปสบตากษิดิส เพราะจากน้ำเสียงคล้ายจะล้อเลียนนั้น ทว่าดวงตาที่ไตติลาเห็น ไม่ได้มีเค้าล้อเลียน แต่เป็นแววตาอาทรที่ทอดมา
“ผมไม่ได้ทำตาแดงๆ” กษิดิสรวบเอวอีกฝ่ายให้ร่างนั้น แนบกับอก
“คุณดิสอยู่กับติลาก่อนนะ” น้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนไม่มั่นใจนั้น ทำให้กษิดิสยิ้มเอ็นดู
“ได้ซี สัญญาเลย” ไตติลากอดตอบร่างนั้นแน่นเข้า รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองเสี้ยวหน้าของตน
“มองอะไรครับ?” ไตติลาถามแผ่วเบา คนถูกถามยกริมฝีปากหยักสวยที่มีไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นเล็กน้อย
“ติลา....มองไตติลา” เจ้าของชื่อ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง
“ขอมองหน่อย ติลาไม่สึกหรอก ใช่ไหม?” กษิดิส ยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกาย ชวนให้คันๆในหัวใจ มือแข็งแรงนั้นกุมมือนวลขึ้นแตะริมฝีปากลงไปฉาบฉวย ไตติลา ลอบยิ้มเขินกับตนเอง
“แน่ะ ยิ้มอะไรคนเดียวครับ?”
“ผ้ากันเปื้อนน่ารักดีนะครับ” ไตติลาชม เจ้าของผ้ากันเปื้อนยิ้มรับจนสองแก้มบุ๋มเห็นลักยิ้มชัด
“ติลาชอบหรือ?” คนถาม ถามแก้ขวย พลางยกจานอาหารมาที่โต๊ะกินข้าว
“ติลาชอบคนใส่” ดวงตาคู่สวยที่กษิดิสนึกชม มองตรงมาอย่างสื่อความหมายตามปากพูดโดยแท้ ดวงหน้าคมสันที่ถึงแม้จะมีไรหนวดจางๆ หากผิวแก้มนั้นกลับซับสีเรื่อ ไตติลายิ้มพึงใจกับตนเองไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็ระเหยหายเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา
“คุณดิส” ไตติลาเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอดที่โอบล้อมตนด้วยดวงตาแสบร้อน มือทั้งสองจิกกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น
“อย่าร้องไห้เลย ในที่สุด เราก็ได้เจอกันแล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้น อาบไล้ไปทั่วหัวใจไตติลา เจ้าตัวจึงไม่อาจควบคุมน้ำตาตัวเองได้ มือแข็งแรงลูบศรีษะอย่างปลอบขวัญ
“คุณดิส นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมตของผมบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณ และผมเจอชื่อคุณในหนังสือผลงานนักศึกษา ที่ระบุปี 1958....มันห่างจากปีที่ผมอยู่ตั้ง50กว่าปี คุณดิส ช่วยบอกหน่อยเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงได้ผิดสับสนไปหมด”
“ติลาเชื่อเรื่องมิติเวลาไหม? เชื่อไหมว่า สถานที่บางที่ มิติเวลาเหลื่อมซ้อนบรรจบกัน”
“นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ” ไตติลาไม่อยากจะเชื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้
“ต่อให้เป็นความฝัน ก็เป็นฝันที่ดีใช่ไหม?” ดวงตาที่ไตติลาปักใจรัก ทอดมาอย่างเว้าวอน รอคอยคำตอบ
“ครับ” กษิดิสยิ้มรับ ก่อนจะจับมือนวลอย่างสุภาพ สัมผัสริมฝีปากลงที่ข้อมือด้านใน ผิวแผ่ว
“ติลาครับ ติลาอาจไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดกับเรานี้เป็นเรื่องจริง แต่ผม อยากให้ติลารู้ไว้นะครับว่า”
“ความรู้สึกของผมนี้..เป็นเรื่องจริง” ไตติลามองสบกับแววตาเข้มแข็งคู่นั้น ที่ทอดมองอย่างจงรัก หนักแน่น ไตติลาอาจเคยได้ฟังคำบอกรักมามากมาย แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้ลำคอของไตติลาตีบตันด้วยเพราะตื้นตัน
“ติลา เธอจะยังรักฉันไหม? ถ้าวันหนึ่งฉันกลายเป็นตาแก่ใกล้ตาย?” ไตติลาไม่ได้ตอบความ กลับเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย มอบจุมพิตลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบที่ริมหู
“ไตติลา ความรักของฉันเพียงแต่ปรารถนาให้เธออยู่ต่อไปได้ ด้วยกำลังของตัวเอง...ในวันที่ไม่มีฉัน เข้าใจไหม? หือม์” ไตติลาส่ายหน้าเบาๆ หัวในข้างในอกนั้นวิบโหวงอย่างน่าประหลาด ไตติลาขยับริมฝีปากต้องการพูดบางอย่างออกมา แต่สมองกลับไม่อาจกลั่นกรองคำพูดใดออกมาได้มากไปกว่า
“ราตรีสวัสดิ์ครับคุณดิส” ไตติลากระซิบลงที่ข้างหูอีกฝ่าย ก่อนจะแนบริมฝีปากลงที่สันกราม ด้วยเพราะหมดสิ้นซึ่งถ้อยคำใดจะเอ่ยได้อีกต่อไป ในหูได้ยินเพียงเสียงแหลมสูงของบางสิ่ง กรีดร้องอยู่ในความเงียบ ทุกวินาทีกลับดังขึ้นเรื่อยๆราวกับจะฉีกทึ้งโสตประสาท
ไตติลาผวาตื่น โทรศัพท์มือถือที่ไว้ที่หัวนอนกำลังส่งเสียงเรียก ไตติลารีบคว้ามันไว้ก่อนที่จะตกเตียงไป ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์แสดงว่า สมิทธิ์ ไทยสรรค์ โทรมา มือนวลนั้น ยกขึ้นเช็ดที่หางตาเพราะรู้สึกถึงรอยเปียกชื้นของหยาดน้ำตาตนเอง ไตติลากดรับสาย ด้วยหัวใจที่บีบตัวหนักราวกับรับรู้ได้ ก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“ติลา.....ปู่..สิ้นแล้วนะ เมื่อคืนนี้...” ไตติลาไม่ได้ยินถ้อยคำอื่นใดอีก หัวคิ้วทั้งสองมุ่นเข้าหากันราวกับข่มความรู้สึกของตนเองไว้ ไตติลากอดตัวเองไว้แน่นราวกับหวังให้ความรู้สึกอันทรมานนี้บรรเทาลงจากความจริงที่ว่า
กษิดิสของไตติลา ได้ก้าวผ่านไปสู่ชีวิตใหม่เสียแล้ว
โปรติดตามตอนต่อไป
ไหนๆจะเเอ๊งค์เเตกเเล้ว ก็เอาให้มันม้วนเดียวจบจะได้ไม่ต้องบิ้วท์กันหลายทีหลากลีลา ฮ่าๆ
สำหรับท่านที่อ่านตอนนี้ในบลอคเเล้ว เวอร์ชั่นที่ลงที่นี่เป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงเเล้ว เพราะของเก่าพิมพ์ผิดเยอะเเยะมากมายค่ะ เลยมาตรวจทาน เขียนเพิ่มนิดหน่อย
อ่านตอนนี้จบเเล้วเมศก็ได้เเต่ยิ้มกับตัวเอง
ซาดิสซ์จริงๆเลยไอ้เมศเอ้ยยย
ตอนหน้า ตอนที่ ๑๖ หลังจากนั้นจะส่งท้ายเเล้วค่ะ
ยินดีรับฟังความคิดเห็น
ปล.ลืมเตือนให้เตรียมทิชชูไว้ เผื่อว่าต้องใช้....เอ๊ะ หรือเมศซาดิสซ์มากจนต้องใช้ผืนใหญ่กว่านั้น เอาน่า โอ๋นะโอ๋ เดี๋ยวก็ไม่มีเเล้วนะ