A's Diary 14 ( End )
สวัสดีครับสมาชิก Thaiboyslove ผมไม่ได้เข้ามา Up เรื่องน้องชายนานมากๆ ต้องขอโทษสมาชิกทุกท่านด้วยนะครับ เนื่องด้วยเหตุผลด้านการเรียน รวมถึงอะไรหลายๆอย่างที่มันประเดประดังเข้ามาทำให้ผมต้องพักการเขียนไปชั่วคราว
พอกลับมาอีกทีผมก็ไม่รู้จะเขียนไปในทิศทางไหนดี เพราะเรื่องราวก็ผ่านมาได้ 4 – 5 เดือนแล้ว ตอนแรกว่าจะเขียนต่อยาวหน่อย แต่ในส่วนของนิยายผมตัดจบไปแล้ว ส่วนนี้เลยเป็นแค่ไดอารี่เท่านั้น ดังนั้นส่วนท้ายนี้ผมขออนุญาตเขียนแบบบอกเล่าแทนนะครับ
------------------------
25 พ.ค.
“ครืดดดดด” เสียงผมเลื่อนประตูกระจกของยิมเปิดออก ก่อนจะเข้าไปในยิม ผมเดินไปวางกระเป๋าที่ชั้นวางอันเดิมที่ผมวางประจำก่อนจะมานั่งฟุบที่โต๊ะ ในใจผมก็ภาวนาขอให้ในวันนี้อะไรต่างๆ ระหว่างผมกับบียังคงเหมือนเดิมหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จริงๆ เรื่องนี้มันสุ่มเสี่ยงนะครับ เพราะผลที่ออกมามันจะเป็น 2 อย่าง คือ ถ้าน้องไม่เกลียดผมไปเลย ก็คงจะรักผมมากขึ้นสุดๆ ไปเลย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ...ห้าโมงสิบห้าแล้ว บีก็ยังไม่มา น้องๆ คนอื่นเริ่มมากันแล้ว ต่างจับกลุ่มนั่งเล่น นั่งคุยกันตามประสาเด็กน้อย บางส่วนก็มานั่งคุย นั่งเล่นกับผม แต่ระหว่างที่คุยนั้นก็มีน้องคนหนึ่งสังเกตถึงบางอย่างในตัวผมเลยถามออกมาว่า
“วันนี้พี่เอเป็นอะไรทำไมดูเงียบๆ” ต้นกล้าถามขึ้น
“นั่นซิ ทำหน้าเครียดๆ ด้วย เป็นอะไรหรือเปล่าพี่” อ้นถามเสริมขึ้นมา
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรครับ” ผมตอบไปพลางยิ้มๆกลบเกลื่อน
“มีอะไรก็บอกได้นะพี่” ว่านเสริมขึ้นมา
“ครืดดดด” แล้วไม่นานคนๆ หนึ่งที่ทำให้ผมหงอยก็มาถึง เมื่อประตูถูกปิดกลับแล้ว น้องบีก็นั่งยองๆ ลงแล้วถอดรองเท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะเอาไปวางที่ชั้นวางรองเท้า แล้วเดินถือกระเป๋าเข้ามาในสภาพเหงื่อชุ่มตัว ระหว่างที่เดินเข้ามาน้องหันมามองผม ทันทีที่น้องสบตามาผมก็ยิ้มให้ บียิ้มตอบกลับมา ก่อนจะเดินเอากระเป๋าไปวาง แล้วมานั่งรวมกลุ่มกับผม แล้วเราก็เริ่มคุยกันต่ออย่างสนุกสนาน
เวลานั้นผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่บียังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แล้ววันนั้นเองที่ผมคิดกับตัวเองว่า
“ในอนาคตต่อให้บีเปลี่ยนไปยังไง ความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้บีก็จะไม่มันจางหายไป” แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนทุกๆ วัน ทุกๆ ตอนระหว่างที่ผมเขียนไป แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปนั่นก็คือ การที่อ้นเลิกเรียนเทควันโด
สาเหตุเหรอครับ อ้นบอกผมว่า
“ผมไม่ชอบโค้ช ถ้าโค้ชยังมาสอนอยู่ ผมก็จะไม่มา ถ้าจะให้เรียนต่อผมจะไปเรียนยิมอื่น” ตรงนี้ผมคงบังคับใครไม่ได้ ในเมื่อโค้ชยังเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งในสองคนที่อยู่ในสายนี้อยู่ หลังจากนั้นไม่นาน บีเองก็ถูกคุณแม่กดดันอย่างหนักเรื่องของการเลิกเรียนเทควันโด บีเล่าให้ฟังหลายต่อหลายครั้งเวลาที่คุณแม่ดุเรื่องผลการเรียนของบี
จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เหลือแค่ผมกับบีสองคนอยู่ที่ยิมวันนั้นผมจำได้ว่าท้องฟ้าโปร่งมากผมนั่งมองท้องฟ้าแล้วก็รับลมเย็นๆอยู่ที่หน้าต่างข้างยิม มีบีนั่งข้างๆผมโดยมือของบีนั้นกุมมือผมเอาไว้อยู่อย่างหลวมๆ ผมคุยกับบีไปหลายเรื่อง แต่เรื่องที่คุยมันไม่สำคัญเท่าไหร่ จนในที่สุดระหว่างที่ผมคุยผมก็คิดอยู่ตลอดว่าจะถามดีไหม มันดูละลาบละล้วงเรื่องของครอบครัวน้องไปหรือเปล่า หลังจากนั่งคุยกับบีอยู่พักหนึ่งสุดท้ายผมก็ตัดสินใจถามไป
“บี” ผมเรียกชื่อน้องเบาๆ
“ครับ” บีหันมามองผมแล้วตอบ
“ทำไมคุณแม่ถึงอยากให้บีเลิกซ้อมล่ะ” “ก็....” บีกำมือผมแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ม๊าบอกว่า บีอะ ไม่เคยสนใจสัตว์เลี้ยงที่บ้านเลย วันจันทร์ถึงศุกร์ก็มาเรียนเทควันโดตลอด กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว เวลานั้นที่บ้านเอาพวกน้องนานะเข้านอนหมดแล้ว พอกลับมาถึงบ้านบีก็นั่งดูทีวีทำการบ้านอาบน้ำกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ซึ่งก็เป็นเวลานอนแล้ว แถมเสาร์อาทิตย์บีก็ไปเรียนพิเศษแต่เช้า กลับมาก็ค่ำ ม๊าเลยชอบดุว่าบีทิ้งภาระไว้ให้คนอื่นเค้า ทีนี้...”“บี” ผมเรียกชื่อน้องขณะที่น้องกำลังเล่าอยู่ น้องหยุดเล่าแล้วหันมามองผม
“ครับ” บีตอบกลับมา
ผมหันไปมองหน้าบี แล้วดึงตัวบีให้มานั่งบนตักผม ก่อนที่ผมจะโอบกอดบีเบาๆ ผมกระซิบข้างๆหูน้องว่า
“แล้วบีคิดว่ายังไง” ผมถามจบบีก็เอนหลังมาพิงผม แล้วเอามือขวาผมไปกำไว้แล้วเอามืออีกข้างมาลูบไปลูบมาบนมือผม
“บีว่ามันก็จริงแหละ จริงๆที่อยากเลิกไม่ใช่เพราะบีขี้เกียจหรือติดเกมนะ ไม่ใช่เพราะอ้นเลิกเรียนด้วย แต่บีรู้สึกว่าบีทิ้งภาระไว้ให้คนอื่นเค้าจริงๆ นั่นแหละ บีสงสารนานะด้วย อยากพานานะเดินเล่นตอนเย็น อย่าอาบน้ำให้นานะ” บีพูดจบผมก็ก้มลงหอมลงไปบนผมบีเบาๆ ก่อนจะกอดบีแน่นขึ้นอีกหน่อย
“ถ้าบีไม่มา....แล้วพี่จะเจอบีได้ยังไง” ผมพูดขึ้นเบาๆ
“.....” บีไม่ตอบอะไรกลับมา
วันนั้นผมจำได้ว่าเวลาผ่านไปจนเกือบ 2 ทุ่มแล้วยังไม่มีใครมารับเลย ผมเลยให้บีโทรถามที่บ้านว่าจะให้ผมไปส่งหรือเปล่า แล้วก็ได้ความว่าคุณพ่อน้องบีไปออกรอบอยู่ ให้ผมไปส่งที่สนามกอล์ฟ ก่อน 2 ทุ่มครึ่ง พอวางสายเสร็จผมหันมองนาฬิกา
“19.45” ผมคว้าตัวบีที่ยืนอยู่ข้างๆมากอด ก่อนจะซุกลงไปที่คอน้อง ตามด้วยล้วงมือเข้าไปในเสื้อบีทิ้งสองข้าง ผมอยากอดบีให้ได้มากที่สุด เพราะที่คุยกันวันนี้ผมรู้สึกว่า วันแห่งการจากลาจริงๆกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ๆแล้ว ผมอยากสัมผัสไออุ่นจากตัวบีให้ได้มากที่สุด นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ความรู้สึกผมมันบอกว่าให้ทำ แล้วผมก็ถอดเสื้อบีออก ก่อนจะคว้าบีมากอดอีกครั้งพร้อมด้วยซุกไปที่ต้นคอของบี แล้วผมจะซุกไซ้ไปทั่วตัวของบี วันนั้นไม่มีการสอดใส่....ผมแค่อยากให้บีมีความสุข ซึ่งผมคิดว่าน้องน่าจะพอใจในระดับหนึ่งจากการที่น้องมีการตอบสนองในด้านบวกกลับมา
หลังจากนั้นผมก็พาบีไปส่งตรงตามเวลาที่คุณพ่อบีบอกไว้ ตลอดทางผมขับรถไปอย่างช้าๆไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น มือของผมข้างหนึ่งล้วงเข้าไปกอดน้องบีจากข้างใน ไม่นานก็ถึงสนามกอล์ฟ บีลงจากรถแล้วหันมามองผม บียิ้มแล้วบอกว่า
“ขอบคุณครับ” ก่อนจะวิ่งไปหาคุณพ่อ
….............................
3 – 4 วันต่อมา...เหตุการณ์ที่ผมไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นมา....บีหายไป....เมื่อผมโทรหาน้องก็ได้คำตอบมาว่า
“ที่โรงเรียนกำลังจะมีการสอบกลางภาค ม๊าอยากให้อ่านหนังสือ” ครับ เท่าที่ผมรู้จักบีมาหลายปีเรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหยุดอ่านหนังสือเหรอ หึหึหึ หลังจากนั้นผมก็โทรหาน้องอีกหลายครั้ง แต่เหมือนว่าน้องจะมีกิจกรรมอื่นทำเสียแล้ว ทุกครั้งที่โทรไปเหมือนจะโทรไปกวนน้องซะมากกว่า ครั้นถามเรื่องกลับมาซ้อมคืนบีก็บอกว่า
“สอบเสร็จก่อนม๊าถึงจะให้มาซ้อมคืน” แล้วผมก็เริ่มโทรหาบีน้อยลง น้อยลง น้อยลง เพราะโทรไปทีไรก็มักพบว่าผมโทรไปช่วงที่น้องทำกิจกรรมอยู่ตลอดไม่ว่าจะโทรไปช่วงไหนก็ตาม คล้ายว่าผมจะโทรไปรบกวนน้องซะมากกว่า หลายครั้งที่ชวนน้องไปไหนก็มักถูกปฏิเสธอยู่เรื่อยๆจนผมไม่กล้าที่จะโทรชวนบีไปไหนอีก....ในที่สุดบีก็หายไปจากชีวิตผม....
ช่วงแรกที่บีหายไปผมคว้างมาก....ไม่รู้ซิครับว่าควรจะบรรยายยังไงออกมาให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกผมได้ เวลาที่ผมรอใครสักคนทุกวัน เวลาที่ไปซื้อของด้วยกันทุกวัน คำพูดกวนๆ ท่าทีขี้อ้อน อ้อมกอดเล็กๆ มืออุ่นๆนุ่มๆที่จับมือ เล่นมือ จูงมือผมอยู่ประจำ ใครสักคนที่มานั่งพิงคุณทุกๆวัน กลิ่นที่คุ้นเคย รอยยิ้ม สายตา ฯลฯ วันนี้มันหายไปหมดเลย เวลามีหนังเข้าใหม่ผมจะนึกถึงบีก่อนใครๆแล้วหลายครั้งผมก็เผลอล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าก่อนจะต้องใส่กลับเข้าไปคืน สุดท้ายก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องไปดูหนังคนเดียว ผมมักจะเผลอหันไปมองที่ประตูยิมเสมอๆในช่วงเวลาประจำที่บีมา ผมมักจะเว้นที่ว่างสำหรับวางกระเป๋าให้บีอยู่เสมอๆ ผมมักลืมซื้อน้ำ หรือ ของกินมาเผื่อบีอยู่เสมอๆ เวลาที่ผมนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างหลายครั้งผมเผลอนึกไปว่าข้างๆ ผมมีบีนั่งอยู่ด้วย และ ก่อนกลับบ้าน...ผมเผลอที่จะมองหาบีเพื่อที่จะบอกว่า
“ปะกลับบ้าน”มันเหงา....เหงาอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ......
แล้ววันเวลาก็ผ่านไป.....จนผมเกือบจะชินกับเรื่องพวกนี้ได้แล้ว วันนั้นผมจำได้ว่า หลังเลิกซ้อมคุณพ่อน้องบีมาดักรอผมอยู่หน้ายิม
“พี่เอว่างไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” พ่อน้องบีพูดขึ้น
“ครับ” ผมตอบกลับไปแล้วยิ้ม
วันนั้นคุณพ่อน้องบีพาผมไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านแห่งหนึ่ง คุณพ่อน้องบีพูดเรื่องนั่นเรื่องนี่หลายเรื่อง ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนว่าคุณพ่อน้องบีอยากจะหาเพื่อนคุยมากกว่า แต่แล้วจู่ๆ ระหว่างที่คุยคุณพ่อน้องบีก็เงียบลง ก่อนจะหันมามองผมแล้วพูดว่า
“พี่เอ...ชวนบีกลับมาเรียนเทควันโดหน่อยได้ไหม” สายตาของคุณพ่อน้องบีจ้องมาที่นัยน์ตาของผม น้ำเสียงจากที่คุยเล่นสนุกสนานเมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
“ครับ ได้” ผมตอบกลับไป รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของคุณพ่อน้องบีทันที ผมรู้สึกตะหงิดๆทันทีว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
“แต่เห็นน้องบอกว่าคุณแม่ให้อ่านหนังสือสอบ สอบเสร็จก่อนค่อยกลับมาเรียนนี่ครับ ?” ผมถามหยั่งเชิงกลับไปเล็กน้อย เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าเหตุผลอ่านหนังสือสอบมันก็แค่ข้ออ้างหรูๆที่ฟังดูดีเพื่อไม่ให้บีมาซ้อมเท่านั้น ทันทีที่ผมถามคุณพ่อน้องบีหลบตาผมทันทีแล้วคุณพ่อน้องบีก็เริ่มเล่าว่า
“หลังจากที่บีเลิกเรียนเทควันโด บีก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน วันแรกๆบีก็ดูแลอะไรๆดีอยู่ แต่หลังจากนั้นบีก็ทำตัวเหลวไหล เริ่มไม่ทำการบ้าน จนสุดท้ายต้องไปลอกเพื่อนตอนเช้าทุกวัน เริ่มมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนบ่อยขึ้น พอกลับบ้านก็เอาแต่ดูทีวี ไม่ก็คลุกอยู่ในห้องไม่ทำอะไร คุณแม่บีเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังพอบอกได้ว่า ถ้าไม่ทำจะไม่ให้ไปเรียนเทควันโด แต่เดี๋ยวนี้พูดไม่ได้แล้ว” คุณพ่อบีเล่าจบผมก็ทานเสร็จพอดี
“ครับเดี๋ยวยังไงผมจะโทรหาบี แล้วชวนมาเรียนดูนะครับ” ผมตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มตามมารยาท
“โทรศัพท์พี่เอมีเงินไหมล่ะ เอาโทรศัพท์ผมโทรก็ได้นะ” พูดจบคุณพ่อน้องบีก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ายื่นมาให้ผม
“อ่า...เดี๋ยวผมโทรเครื่องผมก็ได้ครับ” ผมตอบกลับไป
“ไม่เป็นไรๆ โทรเลยก็ได้เดี๋ยวผมกดเบอร์บีให้นะ” คุณพ่อน้องบีทำท่าทางลุกลี้ลุกลน เหมือนจะให้ผมโทรหาบีให้ได้ตอนนี้เลย แต่จะให้ผมพูดอะไรล่ะครับ....ขนาดคุณพ่อคุณแม่ยังพูดไม่ได้ แล้วน้องเองหยุดไปตั้งพักใหญ่จากนิสัยน้องแล้ว น้องคงหากิจกรรมใหม่ทำแล้วล่ะ เพราะก่อนหน้านี้ที่โทรๆไปน้องเองก็เหมือนจะไม่ว่างอยู่ตลอด ส่วนเรื่องความสัมพันธ์หน่ะเหรอ....ผมยังจะหวังอะไรได้มากมาย บีเองก็ยังเด็กเค้าจะมาใส่ใจเรื่องของความรู้สึกพิเศษๆพวกนี้มากมายเหรอครับ ?
เดี๋ยวพอเจอกิจกรรมใหม่ๆ รุ่นพี่คนใหม่ๆ เค้าก็คงจะลืมผมไปได้ไม่ยาก ก่อนหน้านี้ผมคงคาดหวังมากเกินไปโดยลืมไปว่าน้องยังเด็กอยู่ แต่พอเริ่มห่างกัน ความห่างเหินก็เริ่มเข้ามาแทรกตรงกลาง จน ณ เวลาที่ผมคุยกับคุณพ่อน้องบีอยู่นี้ ผมแทบจะกลายเป็นแค่รุ่นพี่คนหนึ่งในวงจรชีวิตของน้องบีไปแล้วด้วยซ้ำ ทำไมผมถึงคิดแบบนั้นเหรอครับ เพราะการโทรหาลดน้อยลง ระยะเวลาที่คุยก็น้อยลง เวลาที่คุยบีให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่าไม่เหมือนเมื่อก่อนที่บีจะหยุดทำแล้วมาคุยก่อนพักหนึ่งถึงจะขอวางสาย
“ผมขอตัวไปธุระก่อนนะครับ...แล้วผมจะติดต่อบีเอง” ผมตอบกลับไปแล้วยิ้มอีกครั้งให้คุณพ่อน้องบีแล้วจึงเดินไปจ่ายเงินแล้วขับมอเตอร์ไซค์ออกมา ระหว่างนั้นผมสังเกตเห็นว่าคุณพ่อน้องบียืนมองผมอยู่ตลอด จนผมออกมาพ้นหน้าร้าน ผมรู้มันไม่สุภาพเท่าไหร่ คุณพ่อน้องบี คงไม่รู้ว่าวันนี้ที่คุณพ่อน้องบีมาพูดแบบนี้มันทำให้ผมมีความหวังขึ้นมา...ความหวังที่ว่าอย่างน้อยๆบีจะกลับมา ความหวังที่ว่าที่บ้านบีไม่ใช่ทุกคนที่อยากให้บีเลิกเรียน....ความหวังที่ว่าผมจะได้ยินเสียงหัวเราะ ได้เห็นรอยยิ้ม ได้เห็นสายตาแบบนั้นของบี และ...ความหวังที่จะได้กอดบีอีกครั้งกอดบีอีกครั้ง....ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว...นี่มันไม่ใช่นิยายรักน้ำเน่าไร้สาระ ที่ตัวเอกจะต้อง รักกันอยู่ตลอดเวลา คิดถึงกันอยู่ตลอดเวลา ลืมกันไม่ลง แล้วสุดท้ายไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงรัก คิดถึง และ ห่วงใยกันอยู่ตลอดไป
สุดท้ายผมก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง....ที่ว่าต่อจากนี้เป็นต้นไปผมต้องอยู่โดยไม่มีบี.....ส่วนความทรงจำดีๆที่ผ่านมาระหว่างผมกับบี ผมจะเก็บมันไว้ตลอดไป....ผ่านนิยายเรื่องนี้.......
…..........................................................
ผมมองดูนาฬิกา
“21.00 น.” เลือกเบอร์ที่คุ้นเคยและกดโทรออก
“ตรู๊ดดดดด.......ตรู๊ดดดดดดด.....ฮัลโหลววววว”“บีเหรอ...ทำอะไรอยู่ครับ”“กำลังจะนอนแล้วพี่เอมีอะไร”“คิดถึง”“.......อื่อ....”“เมื่อไหร่จะกลับมาเรียน”“เปิดเทอมหน้ามั้ง....แค่นี้ก่อนนะพี่ง่วงแล้ว”“ฝันดีครับ”"ครับ"