ตอนที่ 44 รัก คือ ... [1/2]
>>ก๊อกๆ<<
“เชิญครับ” ผมตอบรับเสียงเคาะประตูห้องทำงานตอนใกล้เที่ยง
“อ้าวป่าน เป็นไงวันนี้” ผมถามป่านที่เดินมาเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะทำงานผม
“ดี ครับพี่กันต์ รูปออกมาสวย” ป่านตอบ วันนี้ป่านกับกรออกไปกับทีมงานเพื่อไปถ่ายรูปนอกสถานที่กันตั้งแต่เช้า นัดกันเจ็ดโมงที่ออฟฟิศ กรเขาก็ตื่นและออกมาให้ทันเวลานัดกับทีมงาน ส่วนผมวันนี้เข้าสาย กว่าจะตื่นขึ้นมาก็เก้าโมงกว่า เรื่องของเรื่องคือมันเพลีย เลยพาลไม่อยากตื่น เหตุผลมีแค่นั้นเลยครับ แล้วก็อย่าถามนะครับว่าไปทำอะไรมา
“เป็นอะไรเรา แล้วไม่ออกไปกินข้าวหรือไง” ผมถามคนที่ตอนนี้นอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานผม ส่วนกรคงออกไปกินข้าวแล้ว
“ยังไม่ค่อยหิวเลย เดี๋ยวเที่ยงนี้ป่านว่าจะหลบไปนอนสักงีบ พี่กันต์คืนนี้ป่านขอไปค้างที่คอนโดฯ พี่กันต์ได้ไหม” ป่านลุกขึ้นมานั่ง แล้วพูดกับผม
“อืม ไปสิ แล้วกินข้าวกับพี่ที่นี่แหละ เดี๋ยวพี่สั่งให้ กินเสร็จนอนอยู่ห้องนี้ก่อนก็ได้ บ่ายโมงค่อยออกไป แล้วจะกินอะไร” ผมบอกและถามป่านมัน ผมว่ามันคงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ
“หมูทอดกระเทียม ไข่ดาว” ป่านตอบผม ส่วนผมก็ยกหูโทรศัพท์ไปสั่งแม่บ้าน
”เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามป่านหลังจากสั่งข้าวให้มันเสร็จแล้ว ผมว่าพักหลังมันดูซึมๆ ไป ผมเองก็ห่วงมันนะ
ตอนเด็กๆ ผมอยากมีน้องมาก แต่แม่ก็มีผมแค่คนเดียว พอน้านาถแม่ของป่านมีป่านออกมา แล้วผมได้ไปเห็นน้องตัวเล็กๆ แก้มแดงๆ เลยไปอ้อนกับน้านาถ ขอป่านมาเป็นน้องชายผม ตามประสาของคนที่อยากมีน้อง น้านาถเขาก็ยกให้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กแหละครับ จำได้เลยว่าตอนนั้นผมเห่อมันมากเลยครับ เที่ยวบอกใครต่อใครไปทั่วว่ามีน้องแล้ว พอช่วงปิดเทอมผมกับป่านจะติดสอยห้อยตามกันไปตลอด จะว่าไปผมก็เหมือนมีสี่คนพี่น้อง พี่กาวน์ พี่ปอ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของป่าน แล้วก็เป็นเพื่อนรักของพี่กาวน์ ตัวผม แล้วก็ป่าน แล้วป่านเวลามันมีเรื่องอะไร ทำไมผมจะดูไม่ออก แต่ก็ไม่อยากไปเซ้าซี้กับมันมาก อาจเป็นเพราะโตๆ กันแล้วด้วย ถ้ามันอยากเล่าให้ผมฟัง มันคงเล่าเอง
“ไปกินข้าวก่อนดีกว่าพี่กันต์” ป่านพูด เมื่อแม่บ้านถือถาดที่มีมื้อกลางวันของผมกับป่านเข้ามาในห้อง ส่วนผมก็ปิดแฟ้มเอกสาร ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วชวนป่านเดินไปนั่งบนโซฟาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จากนั้นก็ลงมือกินข้าวกัน กินเสร็จก็ปล่อยให้ป่านมันนอนไป ส่วนผมกลับไปนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่หลังโต๊ะทำงาน แล้วหยิบโทรศัพท์มากดพิมพ์ข้อความ ส่งไปหากรว่าคืนนี้ป่านจะไปค้างที่คอนโดฯ ด้วย
แต่จะว่าไป ผมเองก็ยังไม่เคยบอกให้ป่านรู้ว่า ผมกับกรคบกันแบบไหน ผมควรจะบอกมันก่อน หรือให้มันไปรู้เองตอนไปถึงคอนโดฯ ผมเลยทีเดียว
แบบไหนมันน่าจะดีกว่ากัน
ก็ เอาตามที่มันเห็นแล้วกัน ถ้ามันสงสัยเดี๋ยวมันคงถามผมเอง ถึงเวลานั้นผมค่อยตอบ แล้วกับป่าน ไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนแบบพี่กาวน์ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะผมว่า ถึงจะไม่ได้กังวลกับมันเท่ากับตอนที่พ่อแม่ผมรู้เรื่อง หรือตอนที่พี่กาวน์รู้เรื่อง แต่ผมก็เป็นห่วงความรู้สึกมันอยู่เหมือนกัน
......................................................
ผมกับป่านกลับมาถึงคอนโดฯ ก่อนครับ ผมให้ป่านจอดรถทิ้งไว้ที่ออฟฟิศ ส่วนกรแวะไปซื้อกับข้าว อีกสักพักน่าจะมาถึง
“พี่กันต์จะสร้างบ้านใหม่หรอ” ป่านถามขึ้นมาตอนเดินไปที่โต๊ะเขียนแบบของผม ที่มีแบบร่างเก่าๆ วางอยู่ ส่วนแบบที่สำเร็จถูกส่งให้ไอ้ยุไปแล้ว
“อื้ม ป่านนอนห้องเดิมได้เลยนะ เดี๋ยวพี่มา” ผมตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อล้างหน้าล้างตา ตอนที่ป่านบอกว่าจะมาฝึกงานที่บริษัทฯ ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะชวนมาอยู่ด้วยกันเพราะบ้านป่านมันอยู่ไกล ก็ใกล้กับบ้านพ่อแม่ผมนั่นแหละ แต่มันมาบอกผมก่อนว่าจะไปอยู่กับพี่กาวน์ เพราะพี่กาวน์ก็เพิ่งซื้อคอนโดฯ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่ แล้วช่วงที่ซื้อใหม่ๆ พี่กาวน์กลับไปอังกฤษ มันเลยไปอยู่ดูคนขนของเข้าคอนโดฯ แทน
ผมขอเล่าย้อนไปอีกนิดนึงว่าบ้านผมกับบ้านป่านสนิทกันมายังไง คือ แม่ของป่านเขาเป็นเพื่อนสนิทกับอาพิมหรือแม่ของพี่กาวน์ แล้วก็มาแต่งงานกับพ่อของป่านซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อผม หรือว่ากันง่ายๆ เพื่อนสนิทของพ่อกับอาผมเขามาแต่งงานกันครับ เรื่องพ่อสื่อ แม่สื่อก็ไม่ต้องสงสัยครับ พ่อกับอาผมนั่นแหละ เพราะแบบนี้เราสามครอบครัวเลยสนิทกัน
.
.
.
“อ้าว กร มาได้ไง” ผมได้ยินเสียงป่าน ตอนที่ผมกำลังจะเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น กรคงกลับมาแล้ว พอผมเดินไปถึงก็เห็นป่านมองกรที่เดินถือถุงใส่ของที่ไปซื้อมาแบบงงๆ แล้วกรก็ไม่ได้ตอบอะไรครับ แต่หันมามองผม เหมือนจะบอกป่านว่า ให้มาเอาคำตอบจากผม ป่านมันเลยหันมามองผมตามกร จากนั้นกรก็เดินเอาของเข้าไปเก็บในครัว ส่วนผมก็ยังไม่ตอบครับ แต่เดินตามกรเข้าไปในครัว
“อยากกินอะไร” ผมถามป่าน ที่ยังนั่งมองผมกับกรอยู่ ปล่อยไปก่อนครับ ให้มันงงๆ ไปก่อน เดี๋ยวค่อยบอก กับกรผมก็บอกไว้แล้วครับว่าไม่ต้องบอกอะไรป่านมัน แล้วอีกอย่างให้มันสนใจอยู่กับเรื่องของผมก็ดีครับ มันจะได้ไม่ต้องเอาเวลาไปคิดเรื่องของมัน ผมสังเกตมันอยู่นะครับ พอผมไม่ชวนมันคุย ปล่อยให้มันอยู่เงียบๆ สักพัก มันก็จะทำหน้าหงอยๆ
“พี่กันต์มีกุ้งป่ะ อยากกินไข่เจียวกุ้งสับ” ป่านบอก เมื่อเดินตามผมกับกร เข้ามาในครัว
“เออ พี่กันต์ป่านไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา” ป่านพูด ตอนที่มายืนเกาะเคานท์เตอร์มองผมกับกร ที่เริ่มลงมือทำกับข้าว ผมก็พยักหน้าให้ ก่อนที่มันจะเดินไปเอาเป้ที่วางอยู่บนโซฟาแล้วเดินเข้าห้องนอนอีกห้องไป
“ยังไม่ได้บอกป่านหรอ” กรถาม พร้อมถือกล่องใส่กุ้งที่เอาออกมาจากช่องแช่แข็งในตู้เย็น ออกมาวางในอ่างล้างจาน แล้วเปิดฝากล่องออก
“ยัง อยากรู้เดี๋ยวมันก็ถามเอง” ผมตอบ ผมรู้ครับว่าป่านมันนิสัยยังไง มันอดทนเก็บความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัยของมันไว้ได้ไม่นานหรอก
“ไม่กลัวมันตกใจหรือไง” กรถามผม ก่อนจะหันไปหยิบผักกาดขาวที่ผมแช่น้ำไว้ขึ้นมาหั่นเตรียมไว้ใส่แกงจืดเต้าหู้
“อาจจะพอรู้บ้างแหละมั้ง ไม่ก็สงสัยอยู่ แล้วป่านไม่เคยถามหรอว่าเรารู้จักกันได้ยังไง” ผมถาม พร้อมกับหยิบเต้าหู้ที่อยู่ในตู้เย็นออกมาส่งให้กรให้กรรับไปหั่น
“เคยถามตอนที่เจอกันครั้งแรก แต่ตอนนั้นกรบอกว่ามาช่วยงานกันต์เลยรู้จักกัน” กรตอบ พร้อมหยิบหม้อใบเล็กที่เก็บอยู่ในชั้นใส่ของออกมา เปิดน้ำใส่ แล้วเอาไปตั้งไฟ
“อื้ม” ผมตอบรับ แล้วเอากุ้งที่น้ำแข็งเริ่มละลายมาแกะเปลือก
“แล้วคิดจะทำอะไรเนี่ย จะบอกมันก็ไม่บอก” กรถามผม ก่อนจะหยิบเอากุ้งที่ผมแกะแล้วไปสับ
“แกล้งมัน” ผมตอบกร ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเรื่องของผมกับกรจะทำให้น้องชายผมมีท่าทีแบบไหน แต่หน้าตามันตอนที่เห็นกรเดินเข้ามาในห้อง กับตอนที่มันหันมามองหน้าผมแบบจะขอคำตอบ มันก็ดูตลกๆ ดีครับ
“พี่กันต์โตแล้วเหอะ เล่นเป็นเด็ก ไม่กลัวมันรับไม่ได้ขึ้นมาหรอ” กรพูดกับผมแบบขำๆ ในประโยคแรก แล้วกลับมาเรียกผมว่าพี่เหมือนจะย้ำว่าผมนะโตแล้ว แต่ประโยคหลังที่ถามว่ากลัวป่านมันรับไม่ได้บ้างหรือเปล่า อันนี้ก็…
“ไม่นะ ไม่รู้สิบอกไม่ถูก” ผมตอบตามความรู้สึก
“มาเดี๋ยวเจียวไข่เอง” ผมบอกกร แล้วหยิบเอากระทะออกมาตั้งบนเตา ส่วนกรก็เจียวไข่ ใส่กุ้งสับ แล้วก็ปรุงรสเตรียมไว้ให้ ส่วนผมแค่ลงมือทอด ส่วนกับข้าวอย่างที่สามก็ดอกกุยช่ายผัดกับตับ ช่วงที่กรผัดผักอยู่ผมก็เห็นป่านเดินออกมาจากห้องพอดี ออกมาแล้วก็เดินมานั่งที่หน้าเคาทน์เตอร์มองผมกับกรทำกับข้าวเงียบๆ
พอเห็นกรผัดผักใกล้จะเสร็จแล้ว ผมก็หยิบจานข้าวออกมา แล้วตักข้าวใส่จานมาวางตรงเคานท์เตอร์ ป่านมันก็หยิบเอาจานข้าวที่ผมวางไว้ เดินเอาไปวางที่โต๊ะกินข้าว แล้วผมก็ยกกับข้าวตามออกไป
.
.
.
“กร มึงคบพี่กูอยู่หรือเปล่าวะ” อ้าวไอ้นี่ พี่มันนั่งหัวโด่อยู่แทนที่จะถาม หันไปถามเพื่อนเสียอย่างนั้น พอจะถามขึ้นมาก็เข้าประเด็นไม่มีอ้อม และตอนนี้พวกผมสามคนมานั่งที่โต๊ะกินข้าวแล้ว
“แล้วคิดว่ายังไง” ผมถามกลับ แล้วเริ่มตักกับข้าวใส่จาน เริ่มจากผัดผักที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างแรก ตอนนี้ป่านมันยังดูนิ่งๆ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามันคิดอะไรอยู่
“มึงเลิกมองพี่กูบ้างก็ได้ พี่กูสึกหมด” ป่านพูดกับกร ที่นั่งอยู่เยื้องกัน
“ไม่ให้กูมองพี่มึงแล้วจะให้กูมองใคร มองมึงหรือไง” กรพูดแล้วยักคิ้วให้ป่านกวนๆ คู่นี้เขาสนิทกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันที่หัวหินแล้วครับ ส่วนเรื่องป่านจะรับได้ รับไม่ได้คงไม่ต้องสนใจแล้วมั้งครับ มันเล่นพูดมาซะขนาดนี้ สงสัยผมจะมองมันผิดไปหน่อย
“มีอะไรไม่เคยบอกน้องบอกนุ่ง ถ้าป่านไม่มาจะรู้ไหมว่าพี่กันต์คบกับมันอยู่ เจอข้างนอกก็ธรรมดาหรอก แต่อยู่บ้านโคตรหวาน ไม่น่ามาเลย เห็นแล้วอิจฉาว่ะ” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมพูด ก่อนจะตักไข่เจียวเข้าปาก
“มึงรับได้” กรถาม
“ไม่ได้มั้ง แล้วทำอย่างกับว่าถ้ากูรับไม่ได้พี่กันต์กับมึงจะเลิกกัน กูว่าตัดพี่ตัดน้องกับกูง่ายกว่า” ป่านพูดแล้วทำท่าน้อยใจ แม่งน้องกู ปัญญาอ่อนได้โล่ ผมรู้ครับว่ามันแกล้งทำไปอย่างนั้น
“ไม่รับโทรศัพท์” ผมถามเพราะได้ยินเสียงจากโทรศัพท์มือถือมันดังอยู่หลายรอบ
“ช่างเหอะพี่กันต์ กินข้าวก่อน เดี๋ยวโทรกลับที่หลังได้” ป่านมันตอบแบบไม่ใส่ใจ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
.
.
.
“พี่กันต์ไปคบกับกรได้ไง” ป่านที่ยืนช่วยผมล้างจาน ถามขึ้นมา ส่วนกรเข้าไปอาบน้ำ
“ก็ไม่ยังไง อยู่ด้วยแล้วสบายใจก็แค่นั้น” ผมตอบ อย่างคนที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง จะรักแรกเจอมันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เหมือนเจอแล้วถูกชะตา พออยู่ใกล้แล้วสบายใจ เหมือนความรู้สึกดีๆ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยกัน อยากใช่ชีวิตด้วยกัน ก็คงประมาณนั้นมั้งครับ
“รักมากไหม” นี่มันจะสัมภาษณ์ผมเพื่อเอาไปออกพ้อคเก็ตบุ๊คให้หรือไง
“ไม่รักจะอยู่ด้วยกันได้หรือไง ถามแปลกๆ” ผมตอบมัน
“ตอบไม่ตรงคำถาม” มันกวนผม
“บอกว่ารัก ก็คือ รัก” ผมตอบ
“เฮ้อ!!” ป่านมันถอนหายใจ
“เป็นไรวะ” ผมถามมัน
“ไม่มีไรพี่กันต์ ป่านแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“แล้วไอ้ที่บอกว่าโคตรหวานนี่มันยังไง ดูออกขนาดนั้นเลย” ผมถาม นี่ผมกับกรแสดงออกกันชัดขนาดนั้นเลย ชักสงสัยแล้วครับ เรื่องบางเรื่องเราทำอะไรไปมักจะรู้สึก หรือคิดไม่ตรงกับคนที่มองมาหรอกครับ ว่าแล้วก็ลองถามมันดู
“ก็ไม่หรอก แต่พี่ดูมีความสุข พี่กันต์รู้หรือเปล่าว่าพี่เปลี่ยนไปมากขนาดไหน” ป่านมันตอบผมกลับมา แต่แทนที่ผมจะได้คำตอบที่ทำให้ความสงสัยของผมมันกระจ่าง มันกลับทำให้ผมไม่เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมอีกครับ
----------------------------------------------------------------