ตอนที่ 35 Six days in Chiang mai [3/3]
“จะออกไปกินหรือสั่งมาที่ห้อง” ผมถามคนที่บ่นหิว แต่กลับนอนหนุนตักผมอยู่บนชิงช้าตัวใหญ่นอกชานหน้าห้องนอนไม่ยอมลุกไปไหนตั้งแต่มาถึงรีสอร์ท ส่วนชิงช้าที่นั่งๆ นอนๆ กันอยู่ จะเรียกชิงช้าก็ไม่เชิง เพราะผมว่ามันเหมือนเอาโซฟาหรือเตียงขนาดย่อมมาแขวนไว้มากกว่า แล้วก็มีอยู่สองที่ทั้งในห้องนอนและตรงที่ผมนั่งอยู่
“สั่งมาที่ห้องนะ ตอนนี้ไม่อยากออกไปไหนแล้ว” คนที่นอนอยู่พูด แล้วก็จับมือผมเล่นตามเคย
“อื้อ ลุกก่อนเดี๋ยวไปสั่งให้ แล้วจะกินอะไร” ผมถาม แล้วดันตัวคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่ง
“อยากกินพวกอาหารเหนืออ่ะ มานี่เพิ่งกินแค่ไส้อั่วกับน้ำพริกหนุ่มเอง” พอเขาพูดจบผมก็ลุกไปโทรศัพท์สั่งอาหาร ก็ให้เขาจัดเป็นชุดขันโตกมาเลย
.
.
.
หลังจากไปเที่ยวกันช่วงเช้าเราสองคนก็มาถึงรีสอร์ทกันเกือบๆ ห้าโมงเย็น สำหรับรีสอร์ทที่ผมเลือกมาพักเป็นรีสอร์ทที่อยู่ในอำเภอแม่ริม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ถ้าขับรถเข้าเมืองก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง จุดเด่นของที่นี่คือจะมีแปลงปลูกข้าวอยู่กลางรีสอร์ท ซึ่งเน้นความเป็นธรรมชาติมากๆ
ส่วนห้องพักที่ผมเลือกเป็นแบบ Pool Villa ที่พอเปิดประตูที่อยู่ในห้องนอนออกมาก็จะเจอชานนั่งเล่นที่มีชิงช้าตัวที่ผมกับกรออกมานั่งเล่น ด้านหน้าเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว ด้านขวามีศาลาสำหรับพักผ่อนคล้ายๆ กับที่บ้านย่า ด้านหลังศาลาก็จะมีส่วนสำหรับล้างตัว เป็นชาวเวอร์กลางแจ้ง ส่วนด้านขวาของสระก็มีเตียงสำหรับนอนเล่นริมสระอยู่สองตัว และถ้ามองเลยสระว่ายน้ำไปก็ไม่ได้เห็นเป็นกำแพงนะครับ แต่เป็นป่าและทิวเขา
นอกจากสระว่ายน้ำที่เป็นจุดเด่นของห้องแล้วก็ยังมีอีกอย่างคือ อ่างอาบน้ำกลางแจ้ง ตอนเดินเข้าห้องน้ำไปก็ชอบแล้ว แต่จะว่าไปผมก็ชอบทั้งห้องนั่นแหละ แต่ห้องน้ำนี่พิเศษหน่อย เพราะเข้ามาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอเดินไปดูอ่างอาบน้ำเท่านั้นละครับ รีบมองซ้ายมองขวาสำรวจ ก็เล่นอยู่ซะกลางแจ้ง ถึงจะบอกว่าที่นี่ความเป็นส่วนตัวสูงแต่มันก็อดมองรอบข้างอย่างระแวงๆ ไม่ได้ เน้นให้สัมผัสธรรมชาติกันเหลือเกิน
.
.
.
แล้วก็ย้อนมาถึงสถานที่ที่เราสองคนไปเที่ยวกันมาวันนี้ เราไปสถานีเกษตรหลวงอ่างขางกันมา ก็ออกจากบ้านกันตั้งแต่เช้าเพื่อจะขับรถขึ้นดอยอ่างขาง ปู่กับย่าก็ออกมาส่งเราด้วย แต่ยังไม่ได้ล่ำลากันเสียทีเดียว เพราะวันสุดท้ายเราจะแวะมากินข้าวที่บ้านย่ากันก่อนกลับกรุงเทพฯ และสำหรับเช้าวันนี้ย่าก็ให้พี่แม่ครัวเตรียมแซนวิชใส่กล่องมาให้ด้วย แล้วยังมีนมกับน้ำผลไม้อีก ย่าบอกว่าจะได้ไม่ต้องไปแวะซื้อกินระหว่างทาง แล้วสุดท้ายก็ไม่ลืมที่จะให้พรเราสองคนให้เดินทางปลอดภัย
ระยะทางจากบ้านในตัวเมืองเชียงใหม่ถึงดอยอ่างขางประมาณร้อยกว่ากิโลฯ ใช้เวลาขับรถสองชั่วโมงกว่าก็มาถึง โดยผมเป็นคนขับรถขึ้นมา ระหว่างทางมีฝนลงเม็ดบ้าง แต่พอขึ้นมาถึงสถานีเกษตรหลวงอ่างขางฝนก็หยุดพอดี เราสองคนก็ไล่ดูไปเรื่อยๆ ตั้งแต่สวนแปดสิบ ที่เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ แล้วต่อด้วยสวนคำดอยที่อยู่ตรงข้ามกัน สวนนี้อยู่จะเน้นพันธุ์ไม้จากต่างประเทศ หลังฝนตกแบบนี้ผมว่ามันทำให้บรรยากาศดูสดชื่นมากเลยทีเดียว จากนั้นก็ตามด้วยสวนบอนไซ แปลงผลไม้ จนมาถึงเรือนดอกไม้ ที่ภายในจะมีจุดจำหน่ายผลผลิตของสถานี และผลิตภัณฑ์แปรรูป พร้อมมีมุมนั่งพักจิบกาแฟ ซึ่งเราสองคนก็แวะกันอีกตามเคย
พอช่วงบ่ายเราก็กลับกันลงมา ถึงจะบอกว่าอยากมาพักแบบสบายมากกว่ามาเที่ยวกันแบบลุยๆ แต่มาถึงเชียงใหม่ทั้งที ถ้าจะไม่มาสัมผัสธรรมชาติบ้างเลยมันก็เหมือนมาไม่ถึง เลยชวนกันขับรถขึ้นมาเที่ยวดอยอ่างขาง เดินไปก็ขำๆ กันไปสองคน ก็ผู้ชายสองคนพากันมาเดินอยู่ตามแปลงดอกไม้ แล้วด้วยความที่ยังไม่ใช่ช่วงวันหยุดคนเลยไม่เยอะ เลยทำให้เราสองคนเที่ยวกันแบบสบายๆ บางช่วงที่ไม่มีคน กรก็มาคว้ามือผมไปจูงบ้าง ผมจูงมือเขาบ้าง อย่างที่ทำไม่ได้เวลาอยู่กรุงเทพฯ
……………………………………………..
“เฮ้อ!! สบายจัง” เสียงกรที่นอนเอกเขนกกางแขนกางขาอยู่ข้างผมพูดขึ้นมา ตอนนี้สองทุ่มแล้ว เราสองคนกินข้าว อาบน้ำกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่ในศาลาริมสระ อากาศกำลังเย็นสบาย
“มาอยู่ที่นี่แล้วกรไม่อยากออกไปไหนเลยรู้ไหม” กรพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางผม ที่นั่งเอนตัวพิงหมอนอยู่ข้างเขา
“เอ้ย!!” ผมอุทานเมื่อคนที่นอนอยู่เมื่อกี้ อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา คร่อมตัวผมแล้วดันให้ผมนอนลงไปกับพื้นพรม
“พามาที่แบบนี้แล้วใครจะอยากออกไปไหนกัน หื้ม...” เขาก้มลงมาจนจมูกเขามาชนกับจมูกผมแล้วพูด
“อะ ไอ้บ้า ซาดิสต์” ผมยังไม่ทันจะตอบอะไร ก็ต้องพูดว่าเขาไปก่อน กรเขาแกล้งผมอีกแล้ว เขาเลื่อนลงไปงับซอกคอผม แต่ไม่ได้แรงอะไร แค่งับเบาๆ ไอ้บ้านี่ชอบกัด บางทีนั่งกันอยู่ก็คว้าแขน คว้ามือผมไปงับ ยิ่งมีอะไรทีผมโดนไปทั้งตัว เขาบอกว่าเห็นผมแล้วน่ามันเขี้ยวอยากกัด พอผมว่าไปก็เอาแต่หัวเราะ หึหึ แล้วก็ทำต่อ เพราะรู้ว่าผมไม่ได้ว่าเขาจริงจัง
“ไม่เอาตรงนี้” ผมพูด แล้วคว้ามือคนที่กำลังจะจับชายเสื้อผมเลิกขึ้น เขาเลยทำหน้าเหมือนจะถามว่าทำไม
“เข้าไปข้างในก่อน อื้อออ...” ผมบอก แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ฟังผม เพราะเขายังทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ ถึงจะบอกว่าที่นี่ความเป็นส่วนตัวสูงก็เถอะ แต่ยังไงผมก็รู้สึกว่าตรงนี้มันคือกลางแจ้งอยู่ดี เมื่อกี้ที่อ่างอาบน้ำเขาก็ขอ แต่ผมก็หาข้ออ้างเอาตัวรอดมาได้ เพราะบอกเขาว่าเพิ่งกินข้าวมาอิ่มๆ อย่าเพิ่งทำอะไร
“ตรงนี้แหละ ไม่มีใครหรอก” เขาบอกผม พอผมทำท่าจะพูดก็โดนเขาหยุดไว้
“พอแล้วไม่ให้พูดแล้ว” เขาว่าแล้วเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาประกบปิดปากผม ส่วนมือเขาไม่ต้องพูดถึง ไวอย่างกับอะไร แค่เวลาไม่นานผมกับเขาก็ไม่มีผ้าสักชิ้นติดตัว ผมได้แต่เสตาไปมองด้านข้าง แล้วทำตาปริบๆ มองเสื้อผ้าที่ถูกสลัดทิ้งไว้ข้างตัว ก่อนจะละสายตากลับมามองหน้าคนด้านบนอีกครั้ง
“อึก อื้ออ...” ผมพยายามจะกลั้นเสียงตัวเองให้ดังออกมาน้อยและเบาที่สุด ก็มันอยู่นอกห้องใครจะกล้าส่งเสียงอะไรมาก แต่กรกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือกับผมเลย ยิ่งรู้ว่าผมพยายามกลั้นเสียง เขาก็ยิ่งแกล้ง พอผมยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ ก็ถูกจับออกแล้วตรึงไว้กับพื้นทั้งสองข้าง
จากหน้าผาก จมูก แก้ม ริมฝีปาก คาง ติ่งหู ซอกคอ บ่า ไหปลาร้า ไล่ลงไปจนถึงแผ่นอก เอว หน้าท้อง ทุกๆ ส่วนบนร่างกายผมแทบจะไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกสัมผัส จากด้านบนไล่ลงไปเรื่อยๆ แต่ละส่วนนั้นไป ส่วนที่แรงอารมณ์ของผมกำลังก่อตัวอยู่ เขาปล่อยมือที่ตรึงมือผมไว้ แล้วเปลี่ยนไปช้อนขาผมขึ้นมาแทน เขาไล่งับเบาๆ ที่ต้นขา ซอกขาด้านใน แล้ววนกลับขึ้นมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง “เขาจงใจแกล้งผมชัดๆ” แล้วคิดว่าผมจะยอมให้เขาแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวหรอ ไม่มีทาง ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ว่าแล้วผมก็หาจังหวะพลิกตัวกลับไปคร่อมเขาไว้แทน
“แกล้งกันนักหรอ หา...” ผมโน้มตัวลงไปพูดใกล้ๆ หูเขา แล้วก็ทำแบบเดียวกันกับที่เขาทำกับผม แต่แค่ไล่ลงมาถึงกลางลำตัว กรก็เหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว เพราะมือซนของเขาอ้อมไปอยู่ด้านหลังผมแล้ว
“อื้อ... เจ็บ” ผมร้องบอกเขา เพราะวันนี้มันไม่มีตัวช่วยอะไรเพิ่มเติม นอกจากสิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติล้วนๆ
“ไหวหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกรมา” กรพูดแล้วถอนนิ้วออกไป ก่อนทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น
“อ้ะ... ไม่ต้องไป แค่ช้าๆ พอ” ผมพูด แล้วซบตัวลงกับอกของคนที่อยู่ด้านล่าง โดยที่สองมือก็ยึดบ่าเขาไว้ ไม่มีแรงจะแกล้งใครแล้วตอนนี้ แค่ลำพังตัวเองก็จะไม่ไหวแล้ว
.
.
.
“ขยับได้ไหม ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ” เขาถามผม ที่นั่งอยู่บนตัวเขา ผมเองพยักหน้าตอบ มันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันมันก็มีอารมณ์อื่นที่มากกว่านั้น
“อื้อ...“ ผมตอบตกลง พอเขาเห็นว่าผมตกลง มือทั้งสองข้างของเขาที่ประคองอยู่ที่เอวผม ก็จับตัวผมขยับขึ้นลงจากช้าๆ ในตอนแรก แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผมได้แต่เอามือยันหน้าท้องของเขาประคองตัวเองไว้ไม่ให้ฟุบลงไป และปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเอง
“อะ อะ...” เสียงที่ดังออกมาไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะไม่รู้อะไรแล้ว ได้แต่เคลื่อนไหวไปตามแรงที่ถูกส่งมาจากด้านล่างแค่นั้น
“เร็วกว่านี้อีก จะไปแล้ว อ้ะ...” พอผมพูด เพื่อให้คนที่กำลังช่วยปลดปล่อยอารมณ์ให้ผมเร่งขยับมือของเขาเร็วขึ้น แต่ที่ตามมามันไม่ใช่แค่มือ เพราะตัวผมก็ถูกเร่งให้ขยับเร็วขึ้นตามไปด้วย
“อื้อ... อื้อออ...” เสียงครางยาวถูกปล่อยออกมา พร้อมกับอารมณ์ของผมที่ถูกปลดปล่อยในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ผมจะยันตัวเองไว้ไม่ไหว ฟุบลงไปกับอกของคนที่ช่วยปลดปล่อย แต่คนที่ช่วยผมเขายังไม่ได้ถูกปลดปล่อยเช่นเดียวกันกับผม พอผมหมดแรงฟุบลงไปแล้ว เขาก็จัดการพลิกตัวผมให้ลงไปอยู่ด้านล่าง ก่อนจะขยับตัวต่อไปอีกสักพักถึงได้ตามมาอยู่ที่จุดเดียวกันกับที่ผมเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้
“อ้า........” เสียงสุดท้ายที่แสดงให้รู้ว่าคนด้านบนก็ได้ปลดปล่อยออกมาแล้วเช่นกัน จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงมาทับผมไว้ แต่ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งหมด เพราะเอาแขนยันพื้นไว้ แล้วหลังจากนั้นก็มีแต่เสียงหอบหายใจของเราสองคนที่ดังอยู่
.
.
.
“ต่อเลยได้ไหม” คนที่เพิ่งจะไปถึงฝั่งเมื่อกี้ถามผม แต่เขาก็ไม่รอให้ผมตอบอีกตามเคย เพราะเขาเริ่มขยับตัวอีกครั้ง
“อ้ะ...”
“แล้วจะถามทำไมกัน” ผมได้แต่คิดในใจ เพราะเสียงที่รอดออกมาตอนนี้ มันกลายเป็นเสียงอื่นไปเสียแล้ว
“อื้มมม...”
.
.
.
นั่นแหละครับคืนแรกของผมที่รีสอร์ท และก็ดูเหมือนว่าคนที่มาด้วยกันกับผม เขาจะทำตามที่เขาพูดนะว่า มาที่นี่แล้วไม่อยากออกไปไหน เพราะวันรุ่งขึ้นผมกับเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนจริงๆ กว่าจะตื่นมาก็เที่ยงแล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะลุกไปไหนเหมือนกัน เลยสั่งอาหารเข้ามากินที่ห้องอีกครั้ง ส่วนตอนเย็นถึงได้ออกไปกินมื้อเย็นที่ห้องอาหารที่อยู่ริมสระว่ายน้ำหลักของรีสอร์ท ซึ่งมื้อเย็นเราก็เปลี่ยนมากินอาหารอิตาเลี่ยนกันบ้าง อาหารอร่อย บรรยากาศดี ส่วนได้พักเต็มที่หรือเปล่าอันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองจะเหนื่อยมากกว่าปกติ
แล้วหลังจากกลับมาจากกินอาหารมื้อเย็น เราก็ได้ใช้สระว่ายน้ำในห้องกันครั้งแรก ไม่ได้ว่ายอะไรจริงจัง เพราะสระก็ไม่ได้ใหญ่อะไร แค่ลงไปลอยตัวเล่นกันมากกว่า ระหว่างที่อยู่ในสระก็เปิดเพลงฟังไปด้วยเพลินๆ แต่เรื่องจะทำอะไรกันในสระนี่ไม่มีนะ ขอกลับไปอยู่บนเตียงแบบปกติ แล้วผมก็ต้องขอให้เขาลดๆ อะไรลงบ้าง ไม่อย่างนั้นวันรุ่งขึ้น เราคงไม่ได้ออกไปไหนกันอีกแน่ๆ
………………………………………………
ผมว่าเวลามันผ่านไปเร็วมากๆ เพราะพรุ่งนี้ก็ถึงวันที่เราต้องกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว วันนี้เราสองคนมีแผนจะไปทำบุญไหว้พระกันก่อนกลับบ้าน ส่วนตอนเย็นจะเข้าเมืองเพื่อไปเดินเล่นกันที่ถนนคนเดินท่าแพ
วัดที่เราไปกันในช่วงเช้าคือ วัดพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งอยู่ในอำเภอแม่ริม ระหว่างทางขึ้นวัดค่อนข้างคดเคี้ยว เมื่อผ่านหมู่บ้านและทุ่งนาไป ก็จะมีแต่เขาและลำธารคู่กับถนนไปเรื่อยๆ ถ้าลองสังเกตดีๆ ช่วงนี้จะเห็นต้นพลับตามข้างทาง ออกลูกเต็มต้น
หลังจากไหว้พระก็กลับมากินมื้อเที่ยงกันที่รีสอร์ท ส่วนช่วงบ่ายที่ไม่มีแผนว่าจะไปที่ไหน ผมเลยชวนกรไปลองทำสปา ออกมาก็สบายตัวดีเหมือนกัน พอตกเย็นก็ขับรถเข้าเมืองกัน เพื่อไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินท่าแพ ที่มานี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรส่วนตัว มีแต่ของฝากคนอื่นทั้งนั้น แล้วใช้เวลาไม่นานผมก็ได้กระเป๋าผ้ากับพวงกุญแจหน้าตาตลกๆ กลับไปเป็นของฝากคนที่ออฟฟิศ ส่วนพรุ่งนี้เช้าก็คงแวะไปกาดหลวงเพื่อซื้อพวกแคปหมูกับน้ำพริกหนุ่ม
.
.
.
แล้วคืนนี้ก็ถือเป็นคืนสุดท้ายของเราที่เชียงใหม่ แล้วก็ตามที่ผมตั้งใจไว้คือ ผมอยากจะทำอะไรบางอย่างให้กร เรื่องของเรื่องคือ ผมรู้สึกว่าเมื่อวันเกิดเขาที่ผ่านมา ผมไม่ได้ให้เวลาหรืออะไรหลายๆ อย่าง ตามที่ผมตั้งใจจะทำให้เขา ผมเลยถือโอกาสช่วงที่ผมกับเขาเข้าไปทำสปา ซึ่งเราสองคนอยู่คนละห้อง ติดต่อกับพนักงานของรีสอร์ทเพื่อให้เตรียมตามสิ่งที่ผมต้องการ
“อ้าว ทำไมมืดแบบนี้ละ” กรถามผมเมื่อเรากลับเข้ามาถึงห้องพักกันประมาณสองทุ่มครึ่ง ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร แต่คว้ามือของเขาให้เดินตามผมมา ผมพาเขาเดินมาจนเห็นแสงสว่างจากเทียนสามเล่มในเชิงเทียนที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะกินข้าว ซึ่งมีอาหารจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่าอาหารนั้นยังร้อนอยู่ ผมจับบ่าทั้งสองข้างของเขา และดันตัวเขาให้มาอยู่ตรงเก้าอี้ เป็นสัญญาณบอกให้เขานั่งลง พอเขานั่งลงแล้วผมก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา โต๊ะที่ผมให้คนมาจัดไว้อยู่นอกชานของห้องนอนริมสระว่ายน้ำ ซึ่งตอนนี้เหนือผิวน้ำเต็มไปด้วยดอกบัวที่มีเทียนเล่มเล็กที่ถูกจุดปักอยู่ตรงกลาง
“ตอนวันเกิดกร ตั้งใจว่าจะทำให้แบบนี้” ผมพูดกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แต่ไม่ได้ทำ เลยมาทำให้ตอนนี้แทน” ผมพูดกับคนที่กำลังมองหน้าผมอยู่ ก่อนที่เขาจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาผม ผมเองก็ลุกขึ้นตามเขา กรเข้ามากอดผมไว้ ผมเองก็ยกแขนขึ้นกอดเขาตอบ
“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่อยู่กับกรจนถึงวันนี้ ขอบคุณ รักกันต์นะ” คนที่กอดผมไว้ พูดอยู่ข้างหูผม
“ขอบคุณและรักเหมือนกัน” ผมพูดกับเขาเช่นเดียวกัน
และอาหารมื้อค่ำของวันนี้ก็จบลงด้วยเค้กช็อคโกแลตปอนด์เล็ก ที่ผมสั่งมาให้เขา
--------------------------------------------------------------