ตอนที่ 35 Six days in Chiang mai [2/3]
เราสองคนลงจากดอยสุเทพ และกลับถึงบ้านย่าประมาณสี่โมงเย็น กลับมาก็เริ่มหิวนิดๆ แล้วก็ได้กล้วยบวชชีที่ย่าทำไว้ให้มารองท้องก่อนจะถึงมื้อเย็น โดยย่าให้คนตักมาให้เราสองคนนั่งกินกันที่ศาลาทรงปั้นหยาที่อยู่ในสวนหลังบ้าน ในศาลามีเบาะรองนั่ง หมอนสามเหลี่ยม และหมอนอิงอีกสองสามใบวางไว้สำหรับมานั่งเล่น หรือนอนเอนหลัง ด้านหลังศาลาเป็นบ่อปลาคาร์ฟขนาดใหญ่พอสมควร บ่อปลานี้พ่อให้คนมาทำเมื่อกลางปีที่แล้ว พอทำแล้วก็ช่วยให้บรรยากาศดูเย็นสบายมากขึ้นไปอีก ต้นไม้ในสวนหลังบ้านส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ใหญ่ และเป็นต้นไม้ไทย ๆ อย่างพวก ปีบ โมก การะเกด กนกลายไทย แล้วก็มีพวกจันผา ขิงแดงปลูกบังมุมของบ้าน ดูแล้วก็เข้ากันดีกับบ้านสไตล์ล้านนา แต่ถ้าเลยออกจากมุมที่ผมนั่งอยู่ออกไปก็จะมีพวกไม้ผลอยู่บ้าง อย่างมะม่วง กล้วย แล้วก็มีไม้ผลเมืองเหนืออย่าง ลิ้นจี่ ลำไย ไม่ได้ปลูกอะไรเยอะมากมายปลูกไว้แค่อย่างละต้นพอให้เห็นลูกเวลาถึงหน้าของมัน
“กรขึ้นไปเอาโน้ตบุ๊กนะ เดี๋ยวมา” กรบอกผม
“อื้อ” ผมรับคำ ก่อนที่กรจะลุกออกไป แล้วไม่ถึงห้านาทีเขาก็กลับมาพร้อมกับโน้ตบุ๊ก และกล้องถ่ายรูป
พออีกคนวางของลงเรียบร้อย และจัดการเอารูปที่ถ่ายมาลงโน้ตบุ๊กของเจ้าตัวแล้ว ผมก็เริ่มล้มตัวลงนอนคว่ำ ก่อนจะหยิบเอาหมอนที่อยู่ข้างตัวมารองข้อศอกไว้ แล้วเอื้อมมือไปหันหน้าจอให้มาอยู่ตรงหน้าของตัวเองแทน เพื่อที่จะดูรูปได้ถนัดๆ ส่วนกรก็ขยับตัวตามมา
“รูปสวยดี” ผมพูดชมรูปที่เขาถ่ายมา แล้วก็เปิดรูปไล่ดูไปเรื่อยๆ คนถ่ายก็มองภาพที่ตัวเองถ่ายมาไปพร้อมกับผม พอดูรูปที่ถ่ายมาวันนี้หมดแล้ว ก็ว่าจะเปิดดูรูปที่ถ่ายมาก่อนหน้านี้ดูอีก อย่างพวกรูปที่ถ่ายตอนไปหัวหิน แต่ก็มาสะดุดกับรูปในโฟลเดอร์หนึ่ง มันมีรูปตัวอย่างขึ้นอยู่หน้าโฟลเดอร์ แล้วอะไรที่มันสะดุดตาผมนะหรอ ก็รูปที่ผมเห็นมันเหมือนภาพผม แต่เปลือยท่อนบน แล้วก็ไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้นาน ผมเปิดเข้าไปดูทันที กรทำท่าเหมือนจะคว้ามือผมไว้แต่ไม่ทันแล้ว
“ถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามเสียงเย็น แต่ตายังมองอยู่ที่รูปตัวเองบนหน้าจอ
“อาทิตย์ที่แล้ว” คนที่นั่งอยู่ตอบแบบไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร
“เฮ้ย!! ไอ้บ้า แล้วจะถ่ายทำไม” ผมเริ่มโวยวาย เมื่อเปิดดูรูปอื่นต่อ แต่ก็มีรูปไม่เยอะมีแค่สี่รูป แต่ไอ้สี่รูปที่ว่ามันเป็นรูปตอนที่ผมหลับอยู่ แล้วเท่าที่เห็น ถึงผมจะมั่นใจว่าตัวเองใส่กางเกงอยู่ก็เถอะ แต่พอมีผ้าห่มมาปิดท่อนล่างไว้ แล้วท่อนบนเปลือยแบบนั้น มันก็ดูเหมือนไม่ได้ใส่อะไรอยู่เลย นอนตะแคงข้างซบหน้ากับหมอน แล้วหลับสนิท จะว่าถ่ายสวย ก็สวยอยู่หรอก แสงเข้ามากำลังดีเชียว แต่มันดูติดเรทเกินไปนะผมว่า แล้วเรื่องอะไรมาถ่ายไว้แบบนี้เล่า
“อยากน่ารักทำไมล่ะ เลยลองถ่ายดูเล่นๆ” เขาตอบแล้วก็ขำผม
“น่ารักบ้าอะไรล่ะ คนกำลังนอนก็มาถ่าย ลบเลย” ว่าแล้วผมก็กดลบ
“หึหึ ลบก็ได้ แล้วทำไมต้องหน้าแดง” คนที่ถ่ายรูปที่ผมเพิ่งลบไปหัวเราะเบาๆ นี่ผมหน้าแดงด้วยหรอ ไม่น่ารู้สึกว่าหน้ามันร้อนๆ แล้วมันน่าอายไหมล่ะ
“แล้วในกล้องมีอีกหรือเปล่า” ผมถามเพื่อความแน่ใจ แล้วพยายามทำเสียงให้นิ่งไว้
“ไม่มีแล้วลบไปหมดแล้ว” เขาตอบ หน้าก็ยังยิ้มเหมือนเดิม
“ลบหมดแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่ได้เอาไปทำอะไรหรอกน่า ถ่ายไว้ดูเล่นเฉยๆ เดี๋ยวก็ว่าจะลบแล้ว” เขาตอบผม แล้วดึงโน้ตบุ๊คไปตรงหน้าเขาแทน ก่อนจะเปิดรีไซเคิลบินแล้วลบรูปที่ผมเอามาทิ้งไว้เมื่อกี้อีกที
“ก็ตัวจริงอยู่ตรงนี้ ดูดีกว่าในรูปตั้งเยอะ” เขาก้มลงมาพูด แต่ผมพลิกตัวหลบออกมาก่อน แล้วลุกขึ้นนั่ง
“แน่นอน” ผมพูด เรื่องแค่นี้ผมเองก็ไม่ได้โกรธ หรือจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้เอาไปทำอะไรหรอก คงแค่ถ่ายเล่นๆ เหมือนทุกที แต่ผมนั่นแหละที่เห็นแล้วมันดันเขินๆ ยังไงไม่รู้ เลยให้ลบๆ ไป
หลังจากนั่งเล่นกันอยู่สักพักก็เห็นปู่ถือบัวรดน้ำ เตรียมมารดน้ำต้นไม้ในกระถางที่เพาะเอาไว้ ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับต้นเล็กๆ แล้วก็มีพวกกล้วยไม้พันธุ์ต่างๆ ปกติเรื่องรดน้ำต้นไม้ในสวนจะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ปู่ก็ออกมาทำเองบ้าง เล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย ผมเลยชวนกรเดินไปหาปู่ แล้วปู่ผมเขาเป็นคนคุยเก่ง พอเจอคนชวนคุยก็เพลินเขาละ แล้วก็อย่างที่รู้กรเขาคุยเก่งกว่าผมเยอะ ผมเลยทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีฟังเขาสองคนคุยกัน พอรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว ก็พากันเข้าบ้านไปกินข้าวเย็น
และสำหรับคืนแรกที่เชียงใหม่ เราสองคนพากันเข้านอนเร็ว เพราะตกลงกันไว้ว่าจะไปใส่บาตรตอนเช้า
......................................................................
“เดี๋ยวตอนบ่ายจะไปไหนกันต่อละลูก” ย่าถาม หลังจากผมกลับเข้ามาถึงบ้านแล้ว เมื่อเช้าผมกับกรตื่นออกไปใส่บาตรกัน ขากลับก็แวะไปกาดหลวง หรือที่คนกรุงเทพฯ รู้จักในชื่อตลาดวโรรส เพื่อซื้อพวกหมูทอด ไส้อั่ว น้ำพริก และแคปหมู กลับมากินกัน
“กันต์ว่าบ่ายๆ จะไปเดินแถวนิมมานฯ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตอนสายๆ ย่าจะทำกล้วยปิ้งให้กิน ยังมีกล้วยน้ำว้าเหลืออยู่อีกสองหวี” ย่าผมพูด
“ครับ” พอพูดจบ ย่าก็ให้คนมาเอาของที่ผมซื้อมาไปใส่จาน และให้ไปจัดไว้ที่ศาลาหลังบ้าน ปู่กับย่าก็ออกไปนั่งกับผมสองคนด้วย
พอสายหน่อย ย่าก็เข้าไปทำน้ำเชื่อมสำหรับราดกล้วยปิ้งให้ ปู่ก็แยกตัวไปอยู่กับต้นไม้ แล้วก็หมา แมวที่เลี้ยงไว้ ส่วนผมกับกรรับหน้าที่จุดเตา แล้วเอากล้วยออกมาปิ้ง กล้วยที่เอามาก็เป็นกล้วยที่ปลูกไว้เอง ทำกล้วยบวชชีแล้วก็ยังอยู่อีกสองหวี เลยเอามาปิ้งหมดทั้งสองหวี ให้คนในบ้านกินด้วย
“เอาเปรียบกันนิ” เสียงคนที่นั่งอยู่หน้าเตาหันมาบ่นกับผมที่นั่งมองเขาจากบนศาลา
“เดี๋ยวปิ้งกล้วยให้ไง” ผมตอบ เอาเปรียบที่ไหน ก็แบ่งกันทำ แล้วกล้วยปิ้งจะให้ปิ้งด้วยเตาไฟฟ้ามันก็ไม่หอม ไม่อร่อยเหมือนใช้เตาถ่าน ลำบากหน่อยแต่ได้กินของอร่อย ก็ถือว่าคุ้ม
.
.
.
“ถึงไหนแล้วลูก” ย่าเดินมาถาม พร้อมกับมีคนถือจานกับถ้วยใส่น้ำเชื่อมตามหลังมา
“นั่นละ ได้แล้ว” ย่าผมพูด หลังจากก้มลงมามองกล้วยที่อยู่บนเตา ผมกับกรเลยช่วยกับคีบขึ้นมาใส่จานสองจาน ย่าก็มารับไปจากผมจานหนึ่งแล้วส่งให้กับคนที่เดินถือจานมาเมื่อกี้ ส่วนอีกจานก็เอาไว้กินเอง
“อร่อยไหมลูก” ย่าผมถามกร
“อร่อยครับ” กรตอบ ย่าผมก็ยิ้ม
“ชอบก็กินเยอะๆ แล้วตอนกลางวันจะกินข้าวที่บ้านหรือเปล่า” ย่าถาม
“เดี๋ยวกันต์ว่าจะออกไปกินกันข้างนอก ย่าไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะ แต่ตอนเย็นกันต์จะกลับมากินด้วย”
“แล้วอยากกินอะไร ย่าได้ทำให้”
“อะไรก็ได้ ย่าทำก็อร่อยทุกอย่าง” ผมพูด ไม่ได้พูดเอาใจนะครับ แต่ย่าผมทำกับข้าวอร่อยจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นย่าเข้าบ้านก่อนละ” ย่าผมพูด แล้วก็ลุกขึ้น ผมก็ช่วยพยุงนิดหน่อย จริงๆ ย่าผมก็ยังแข็งแรงอยู่แต่ช่วยระวังไว้คงจะดีกว่า
พอย่าเดินไปผมสองคนก็เริ่มเลื้อยแล้วครับ กินอิ่มๆ มันเลยพาลอยากจะนอนอีกรอบ ว่าแล้วผมกับกรก็พากันนอนหลับไปตรงนั้นทั้งคู่ กรหลับไปก่อนผมอีกต่างหาก
“กันต์... กันต์” เสียงเรียก ทำให้ผมงัวเงียลุกขึ้นมา พอดูนาฬิกาข้อมือก็เกือบจะเที่ยงแล้ว
“ไปอาบน้ำก่อนไหม” กรถาม หลังจากผมลุกขึ้นนั่งแล้ว ผมก็พยักหน้าตอบ ไม่อาบคงไม่ไหว เพราะจุดเตาเมื่อเช้ากลิ่นควันมันเลยติดตัว
.
.
.
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว เราสองคนก็ออกจากบ้าน ใช้เวลาจากบ้านย่าแค่สิบห้านาทีก็ถึงถนนนิมมานฯ ผมจอดรถไว้แถวๆ ต้นซอย เพราะจะเริ่มเดินไปตั้งแต่ซอยหนึ่ง แล้วไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ร้านค้าที่อยู่ซอย 1 ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่ขายพวกของแต่งบ้าน งานศิลปะ เราสองคนมาเดินกันตอนกลางวันก็จริง แต่วันนี้อากาศถือว่าดีทีเดียว แดดไม่แรงมาก และมีลมเบาๆ พัดมาตลอด
ปกติเราสองคนก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสออกไปเดินเล่นอะไรกันเรื่อยเปื่อยแบบนี้สักเท่าไหร่ มักจะไปแบบมีจุดหมายมากกว่าอย่างไปซื้อของก็จะไปต่อเมื่อต้องซื้อ หรือมีของที่อยากได้ แต่คราวนี้มาเที่ยวก็เลยลองใช้เวลาแบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินเล่นดูร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยๆ อะไรน่าสนใจก็ลองเข้าไปดูเผื่อเอาไปเป็นไอเดียเวลาทำงานบ้าง
แล้วด้วยความที่ช่วงเช้าเจออาหารมื้อหนักเข้าไปเลยอยู่ท้องกันมาถึงตอนนี้ เราสองคนเลยตกลงกันว่าจะเข้าไปหากาแฟกับขนมกินกันแทนในช่วงบ่าย จากซอย 1 ก็เดินมาจนถึงซอย 9 ซอยนี้และโดยรอบจะเต็มไปด้วยร้านกาแฟชื่อดังทั้งในท้องถิ่น ในประเทศ และต่างประเทศ เรียกได้ว่าเป็นถนนสายกาแฟ ผมเลือกที่จะเข้าร้านกาแฟของคนท้องถิ่นแทนการเข้าร้านของต่างประเทศอย่างปกติที่เคยเข้าเวลาอยู่กรุงเทพฯ ก็มาถึงเชียงใหม่ทั้งทีจะเข้าร้านเดียวกันกับที่บ้านทำไมกัน แล้วที่เลือกร้านนี้คงเพราะเคยมาแล้วชอบบรรยากาศสบายๆ ของร้านที่ดัดแปลงมาจากบ้านเรือนทรงล้านนาเก่าๆ กับโต๊ะที่จัดไว้ด้านหลังร้านใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ที่ไม่น่าจะมีอยู่ด้านหลังของบ้านไม้ที่หลังไม่ใหญ่มากแบบนี้
“สวัสดีครับ” เสียงจากพนักงานที่อยู่ด้านหลังเคานท์เตอร์เอ่ยทักทาย เมื่อเราสองคนก้าวเข้าไปในร้าน
“รับอะไรดีครับ” พนักงานเอ่ยถามเมื่อผมเดินเข้าไปเพื่อจะสั่งกาแฟ
“กันต์เอาอะไร” กรหันมาถามผม
“กาแฟเย็น” ผมเลือกที่จะสั่งกาแฟเย็นธรรมดา
“เอากาแฟเย็นกับไอซ์บูมไวท์ม็อคค่า” กรสั่ง แล้วเราก็เลือกขนมกันมาอีกคนละชิ้น หลังจากสั่งกาแฟแล้ว ช่วงที่ผมกำลังจะเดินออกจากเคานท์เตอร์ เพื่อออกไปที่โต๊ะด้านหลังร้าน ก็เจอกับโต๊ะทางด้านข้างที่มีคนนั่งอยู่สามคน เป็นผู้ชายสอง ผู้หญิงหนึ่ง แล้วผู้ชายหนึ่งในสองคนนั้นก็ยิ้มให้ผม ผมเองก็เลยยิ้มกลับไป ก่อนจะเดินออกไปหลังร้าน
“รู้จักกันหรอ” กรถามผม เมื่อนั่งลงแล้ว
“เปล่า” ผมตอบ ก็มีคนยิ้มให้ แล้วผมกำลังอารมณ์ดีเลยยิ้มตอบแค่นั้นเอง จะว่าไปเหมือนผมจะเคยเห็นหน้าคนนั้น แต่ก็นึกไม่ออก
“อารมณ์ดีจริง” กรพูดกับผม
“ได้มาเที่ยว เลยอารมณ์ดีเป็นธรรมดา” ผมตอบแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไม่นานนักกาแฟกับขนมที่สั่งก็ถูกนำมาวางลงบนโต๊ะ เราสองคนก็จิบกาแฟ กินขนม และนั่งคุยเพื่อวางแผนคร่าวๆ ว่าจะเที่ยวไหนกันบ้างกับวันที่เหลือ
“ไปเข้าห้องน้ำนะ เดี๋ยวมา” ผมพูด หลังจากนั่งคุยกันไปได้สักพัก
.
.
.
“สวัสดีครับ” เสียงทักดังมาจากด้านหลัง ตอนที่ผมกลับไปที่เคานท์เตอร์เพื่อจะสั่งขนมเพิ่มอีกชิ้น ตอนแรกยังไม่กล้าสั่งเยอะเพราะกลัวกินไม่หมด แต่นั่งไปนั่งมาชักเพลินเลยกลับมาหาขนมไปนั่งกินต่อ ขนมก็เป็นอีกอย่างที่ปกติผมจะไม่ค่อยกิน นานๆ จะอยากกินสักที
“เอ่อ ครับ” ผมพูด เมื่อหันไปด้านหลังแล้วเห็นว่าคนที่เข้ามาทักเป็นคนเดียวกันกับที่ยิ้มให้ผมตอนแรก
“ใช่ พี่กันต์หรือเปล่าครับ” เขาถาม เหมือนเขาจะรู้จักผมจริงๆ แต่ผมยังจำเขาไม่ได้อยู่ดี
“ครับ” ผมตอบ
“ผมนัทครับ ลูกพี่ลูกน้องพี่ตรี” เขาแนะนำตัวเอง ผมเลยนึกออก ที่แท้ก็ญาติไอ้ตรี คงเจอกันตอนงานทำบุญบ้านมันเมื่อต้นปีที่แล้ว ไอ้ตรีมันพามาให้รู้จักพวกผม แล้วยังบอกว่าน้องมันเรียนสถาปัตย์อยู่ที่นี่ พอนึกออกผมก็พยักหน้ารับ
“มาเที่ยวหรอครับ” เขาถามผม ก่อนจะหันไปสั่งขนมกับพนักงาน
“อื้ม ขอโทษทีพี่จำไม่ได้” ผมตอบ แล้วพูดขอโทษเขา
“ไม่เป็นไรครับพี่ พอดีเห็นพี่เข้ามา ผมเลยลองมาทัก ผมไม่กวนแล้ว เที่ยวให้สนุกนะครับ” เขาพูด แล้วกลับไปนั่งกับเพื่อนที่โต๊ะ ผมเลยเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเองบ้าง แล้วก็เห็นว่าคนที่นั่งอยู่แล้ว กำลังมองผมอยู่ ผมก็นั่งลงแล้วทำเป็นไม่บอกอะไร หาอะไรสนุกๆ เล่นดีกว่า ฮาๆ
“ไม่กินหรอ” ผมถาม เพราะเค้กที่ผมสั่งมาใหม่ถูกเอามาวางไว้ตั้งแต่ผมยังมาไม่ถึงโต๊ะ แล้วคนที่นั่งอยู่ก็ยังไม่ได้กินมันเลย
“เป็นอะไร” ผมถาม เมื่อเขาเริ่มหยิบส้อมมาเขี่ยๆ ขนม แต่ยังไม่กิน
“ใครอ่ะ ไหนบอกไม่รู้จัก” คนที่นั่งเอาส้อมเขี่ยเค้กถามผม ผมก็พยายามปั้นหน้าไม่ยิ้ม เมื่อได้ยินเขาถาม
“รู้จักแล้ว ชื่อนัท” ผมตอบ แล้วกลั้นยิ้มแบบสุดๆ
“...........” เงียบเลยครับทีนี้
“เฮ้ย!! เป็นไร หึงอ่ะดิ” ผมแซวเขา แล้วยิ้มออกมา ที่กล้าพูดเพราะโซนที่ผมนั่งอยู่ไม่มีคน ส่วนใหญ่จะอยู่กันด้านในร้านที่ติดแอร์
“มากอ่ะ” เขาตอบ ผมหัวเราะแล้วครับทีนี้ ในใจก็ยิ้มร่าแล้วครับ
“นั่นอ่ะ ลูกพี่ลูกน้องไอ้ตรีมัน เคยเจอกัน ตอนแรกก็จำไม่ได้ น้องมันมาทักเลยนึกออก” ผมเฉลย
“หึงซะเมื่อไหร่ จะถามว่าใครต่างหาก หน้าตาดี จะเข้าไปขอเบอร์ไว้” คนที่นั่งตรงข้ามผมพูด แล้วยักคิ้วให้แบบกวนๆ ก่อนจะตักเค้กเข้าปาก
“ช้าไปแล้วละ ขอมาแล้ว ว่าจะเข้าไปจีบ เผื่อโดนคนแถวนี้ทิ้ง” ผมพูดบ้าง คราวนี้เลยพากันหัวเราะทั้งคู่
“ว่าแต่ขอมาจริงหรือเปล่า แต่ถึงจะขอมาจริง ก็คงไม่ได้โทรหรอก เพราะไม่มีทางทิ้งอยู่แล้ว”
“อื้อ”
----------------------------------------------------------------