ตอนที่ 49 อยู่คนเดียว
“กันต์” เสียงกรเรียกผมดังมาจากด้านหลัง ทำให้ผมละความสนใจจากซี่รี่เรื่องโปรดที่ผมต้องเทสมาธิเกือบทั้งหมดที่มีไปกับการนั่งดูมันอย่างต่อเนื่องมาเกือบสองชั่วโมง มีสมาธิมากขนาดที่ว่าไม่ได้ยินเสียงกรว่าเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน จนเขาเกือบจะเดินมาถึงตัวอยู่แล้ว ถ้าไม่เรียก ผมคงยังไม่รู้สึกตัว แต่พอได้ยินเสียงเรียก ผมก็เอี้ยวตัวไปหาเจ้าของเสียงที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างทันที
“เรียกตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่สนใจกันเลย” กรบ่นกระปอดกระแปดไปตามเรื่อง ก่อนเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนที่ท้าวแขนของโซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่ แล้วยกมือขึ้นมาพาดไหล่ผมไว้
“อ้าว ไม่ได้ยิน” ผมบอก ระหว่างนั้นก็หยิบรีโมทจากโต๊ะด้านหน้ามากดเพื่อหยุดหนังที่ดูค้างอยู่ บอกแล้วว่าดูหนังเรื่องนี้ต้องใช้สมาธิสูง เลยไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวเลย
“ขอกอดหน่อย” กรพูด แล้วใช้มือสองข้างมาฉุดต้นแขนให้ผมยืดตัวขึ้น ก่อนดึงให้ตัวผมหันหน้าไปหาเขาอย่างไม่คิดรอคำตอบ จนผมต้องปีนขึ้นไปคุกเข่าอยู่บนโซฟา แล้วยกแขนเข้าสวมกอดคนที่เรียกร้องเอาไว้จนแน่น ไม่ให้แพ้แรงกอดที่เขาส่งมาให้ผม กอดกันจนพอใจกรถึงได้ปล่อยตัวผม และกลับลงมานั่งคุยกันต่อบนโซฟา ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกวัน พอนั่งลงได้กรก็สอดแขนมาทางด้านหลังแล้วรั้งตัวผมเข้าไปอยู่ใกล้ๆ จนแทบจะเกยขึ้นไปนั่งอยู่บนตัก
รู้ครับว่าเขากำลังดีใจที่ส่งโปรเจคและเสนองานผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย และยังเป็นคนแรกที่ผ่านแล้วอีก เรื่องรูปเล่มนี่กรทำเสร็จไว้ตั้งแต่ก่อนไปเชียงใหม่แล้วครับ เหลือแต่ในส่วนที่ต้องนำเสนอกับอาจารย์ที่ต้องเก็บรายละเอียดอยู่ หลังจากกลับมาจากเชียงใหม่เขาก็เร่งเก็บและแก้งานจนเสร็จ เรื่องของเรื่องเขาบอกผมว่าขี้เกียจไปแย่งคิวนัดอาจารย์เข้าฟังโปรเจคตอนปลายเทอมครับ ไปๆ มาๆ เลยเสร็จเรียบร้อยก่อนใคร เห็นว่าเพื่อนในกลุ่มก็กำลังทยอยตามๆ กันมา เพราะอย่างนั้นตอนนี้จะถือว่ากรเรียนจบแล้วก็ได้ครับ ส่วนเอกสารที่ยื่นเรื่องขอจบก็ถูกส่งไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ก็รอเวลาแค่นั้น
“จะไปวันไหนนะ” ผมถามเรื่องที่คุยค้างกับกรไว้เมื่อตอนบ่ายคือ เรื่องที่เขาจะไปดูงานที่เวียดนามกับพ่อ เมื่อตอนบ่ายก่อนที่กรจะโทรศัพท์มาบอกผมว่าโปรเจคเขาผ่านแล้ว เขาก็โทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่ก่อนแล้วครับ พอพ่อกรรู้ว่ากรเสร็จเรื่องโปรเจคแล้ว เลยจะให้ไปดูโรงงานที่นู่นด้วยกัน แล้วผมก็จำได้แต่ว่าเขาจะไปไหน ส่วนเรื่องวันไปผมไม่ทันฟังก็ต้องรีบวางสายไปก่อน เพราะมีสายนอกถูกโอนเข้ามา พอมาเจอหน้าเลยถามต่อ
“วันที่สิบถึงสิบสาม” กรตอบ ในระหว่างที่คุยผมก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าขึ้นมา แล้วเลือกแสดงตารางนัดหมาย ก่อนบันทึกวันตามที่กรบอก
“วันจันทร์หน้า” ผมบอก วันนี้วันศุกร์ก็อีกสองวัน
“อื้ม ไปสี่วัน ไม่อยากไปเลย” กรพูด แล้วเอนหลังพิงเบาะ ผมเองก็เอนตัวพิงตามลงไปหนุนหัวลงกับแขนเขาที่พาดอยู่บนพนักโซฟา
“แค่นี้เอง ใกล้ๆ แล้วเวียดนามก็น่าเที่ยวดีออก ยังเคยคิดว่าจะไปเที่ยว” ผมบอก แล้วหันไปมองหน้ากร ที่มองผมอยู่แล้ว
เรื่องที่ผมบอกว่าเคยคิดจะไปเที่ยวเวียดนามก็เรื่องจริงครับ เคยคิดไว้มานานมาแล้ว ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ตอนนั้นเปิดโทรทัศน์ไปเจอละครเรื่องหนึ่งเข้าพอดี แล้วเห็นว่าสถานที่ที่ถ่ายทำไม่ใช่ประเทศไทย เลยดูต่อจนรู้ว่าไปถ่ายทำที่เวียดนาม ทั้งที่ปกติไม่เคยดูละคร แต่ก็ดูแค่แป๊บเดียวแหละครับ ดูแค่รู้ว่าเป็นที่ไหน จากนั้นก็เกิดความคิดที่จะไปเที่ยว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไป
“น่าเที่ยว แล้วไปด้วยกันไหม” กรพูด ก่อนส่งสายตามาแบบคนมีความหวังมาให้ แต่…
“หึ ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว” ผมตอบปฏิเสธทันที เสียใจครับ ถ้าไปด้วยเรื่องงาน ปล่อยเขาไปคนเดียวจะดีกว่า มาเอาผมติดสอยห้อยตามไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แล้วนี่ก็เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่กันแค่อาทิตย์เดียว ผมยังจับงานไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเลย เพราะเจอตารางประชุมอัดแน่นมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์ที่กลับไปทำงาน ขืนให้หยุดไปอีกคงไม่ไหว งานการของผมไม่ต้องเดินหน้ากันพอดี
“เฮ้อ!!” เสียงถอนหายใจดังมาจากกร ก่อนที่ผมจะถูกฉุดให้ลุกขึ้น แล้วถูกจูงให้เดินตามเขาไป ส่วนหนังที่ดูค้างอยู่ถูกปิดไปเรียบร้อยแล้วครับ จะได้ดูจบกับเขาไหม ยังเหลืออีกตั้งหลายตอน
“ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าได้ไปดูบ้านกัน” ยังคงเป็นเสียงกรที่พูดอยู่ครับ
“อื้อ ว่าจะชวนไปเลือกวอลเปเปอร์กับผ้าม่านอยู่พอดี” ผมพูด ก่อนจะเดินตามกรเข้าห้องน้ำไปด้วย จะเข้าไปแปรงฟัน ส่วนกรก็เดินตรงเข้าห้องอาบน้ำ และเริ่มอาบน้ำของเขาไป แต่ก็ยังส่งเสียงมาคุยกับผมเรื่อยๆ เขาก็เล่าเรื่องโปรเจคเขาให้ฟัง ผมเองก็เงียบฟังไปอย่างเดียว เพราะพูดตอบไม่ได้แล้ว
“พรุ่งนี้เย็นกรนัดกับแม่ไว้ว่าจะไปกินข้าวกัน จะบอกตั้งแต่ตอนบ่ายก็ลืม” กรส่งเสียงออกมาคุยกับผมค่อนข้างดัง เพื่อแข่งกับเสียงของสายน้ำที่ไหลอยู่อย่างต่อเนื่อง
“ที่บ้านหรือที่ไหน” ตอนนี้พูดตอบเขาได้แล้วครับ ว่าแล้วก็พาตัวเองขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนเคานทเตอร์ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้ แล้วคุยกับกรต่อ จากตอนแรกที่จะออกไปรอคุยกันต่อข้างนอก
“ที่ตึกเพนนี บาลโคนี ฝั่งตรงข้ามเจ อเวนิว แต่กรจำชื่อร้านไม่ได้ ร้านเดียวกับที่กันต์ไปซื้อขนมให้ลูกค้าที่หลังสวนอ่ะ แม่บอกกรก็ลืม” กรตอบผมกลับมา
“อ๋อ แล้วนัดแม่ไว้กี่โมง” ผมถาม ตอนนี้กรอาบน้ำเสร็จแล้วครับ และนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมายืนอยู่ข้างผม เตรียมจะแปรงฟัน
“หกโมงครึ่ง” กรตอบ แล้วเริ่มแปรงฟัน ส่วนผมก็เดินออกมาล้มตัวลงบนเตียง เพราะเริ่มง่วงแล้ว
................................................................
“ว่าไงมึง” ผมรับสายไอ้ภพที่โทรเข้ามาตอนผมกำลังสตาร์ทรถเพื่อขับออกจากสนามบิน หลังมาส่งกรขึ้นเครื่องไปเวียดนามในช่วงสายของวันจันทร์ เอากับเขาสิครับ หาข้ออ้างมาต่อรองกับผมจนได้ เขาบอกว่า ในเมื่อผมไม่ยอมไปกับเขา ก็ต้องมารับมาส่งเขาที่สนามบิน และผมต้องเป็นฝ่ายโทรหาเขาทุกวันหลังจากผมกลับถึงคอนโดฯ แล้ว บอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่าเจ้าตัวเขาอยู่ในอารมณ์ไหน เกิดอาการขี้หวงเหมือนเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ หรือไงก็ไม่รู้ มาสั่งนู่นสั่งนี่ผมใหญ่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ อือออตอบรับไปลูกเดียว ออกฮามากกว่าด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรขึ้นมา
“คืนนี้ร้านเดิมนะมึง” เสียงไอ้ภพบอกกลับมา
“อะไรของมึง วันนี้วันจันทร์ กูไม่ไปไหนเว้ย” ผมตอบมัน ตั้งแต่มาทำงาน วันธรรมดาผมเลิกเที่ยวไปเลยครับ เพราะเช้ามาไม่ค่อยอยากจะตื่น และคงเป็นเพราะคนที่ผมเพิ่งส่งขึ้นเครื่องไปด้วย ที่ทำให้การเที่ยวของผมลดไปเยอะ จนแทบจะไม่ได้ไปเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกัน
“วันเกิดไอ้ยุมัน มึงอย่ามาทำมึน” ไอ้ภพมันด่าผม ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ครับ ก็ว่าได้ยินเสียงเรียกเตือนจากโทรศัพท์ มันดังสั้นๆ หนเดียวก็เงียบไป เลยนึกว่าเสียงข้อความเข้า แล้วขับรถอยู่เลยไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กะว่าถึงสนามบินแล้วจะดู ก็ลืมจนได้
“เออ ๆ กี่โมง แล้วเมื่อไหร่จะเลิกเที่ยวกันวะ แก่แล้วนะพวกมึง เจียมกันบ้าง” ผมบ่น ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดแบบนั้นออกไปได้ แต่ก็พูดไปแล้วครับ แล้วไอ้ที่บอกว่าแก่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับ อายุพวกผมก็ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดเท่าๆ กันทั้งกลุ่ม
“สาด ตั้งแต่มีสามีเป็นตัวเป็นตนนี่กลับตัวกลับใจเป็นคนดีเชียวนะมึง” ฟังมันพูดเข้า ถ้าผมไม่ด่ามันตอนนี้ จะให้ผมด่ามันตอนไหน ดีไม่ดีอาจจะแถมโบกเกรียนมันตอนเจอตัวอีกที ทำตัวเกรียนเข้าไปนะมึง
“เชี่ย มึงเงียบปากไป แสนรู้นักนะมึง ตกลงไปกี่โมง ถ้ามึงยังชักช้า กูจะโทรไปบอกไอ้ยุว่ากูไม่ไป เพราะไม่อยากเจอเพื่อนชั่วๆ แบบมึง” จัดไปก่อนชุดหนึ่งครับ เดี๋ยวเจอมันจังๆ ค่อยจัดหนัก โทษฐานมันรู้ดีเกินว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่ผมไม่เคยบอกอะไรมันสักคำ โคตรจะแสนรู้เลยพวกมันแต่ละตัว
“สี่ทุ่ม แล้วชวนเพื่อนเขยกูมาด้วย มึงจะได้ไม่ออกลายมาก” ฟังที่มันพูดมาแต่ละอย่าง น่าขับรถไปโบกมันตอนนี้เลยจริงๆ นี่มึงกะจะกัดกูไม่ปล่อยเลยใช่ไหม ว่าแต่มันรู้ได้ยังไงว่าผมกับกรคบกันแบบไหน ยังไง ทำไมไม่คิดว่าเขาเป็นเพื่อนสะใภ้มึงบ้าง ส่วนเรื่องจริงจะยังไงก็ช่างมันเถอะ
“กูไปคนเดียว กรไปเวียดนาม” ผมตอบ แล้วเลี้ยวรถออกจากสนามบิน
“นั่นไง มึงไม่ปฏิเสธ กูว่าแล้ว ฮาๆ” อ้าว ไอ้เพื่อนชั่ว ตกลงผมเสียรู้มันใช่ไหม
“สันดาร วางไปเลยมึง กูจะรีบขับรถไปทำงาน” พูดจบผมก็กดวางเลยครับ ไม่รอให้มันตอบอะไรกลับมา ก่อนจะพาสมาธิทั้งหมดไปอยู่ที่การขับรถแทน
สำหรับวันเสาร์ที่ผ่านมาผมกับกรก็เข้าไปดูบ้านกันมาครับ ตอนนี้เหลืออีกแค่สิบเปอร์เซ็นต์ในส่วนของงานก่อสร้าง ไม่เกินสองสามอาทิตย์คงเก็บงานเสร็จ และเข้าไปจัดการในส่วนของการตกแต่งได้แล้ว ต่อจากไปดูบ้านกันแล้วก็ไปที่ร้านที่รับตัดผ้าม่านกับติดวอลเปเปอร์ ก็ใช้เวลาเลือกวอลเปเปอร์กันไม่นาน เพราะเลือกดูเฉพาะสีขาว จะต่างกันก็แค่ลายที่พิมพ์นูนขึ้นมา แล้วเลือกติดแบบเดียวเหมือนกันทั้งหลัง ไม่ได้เลือกลายเฉพาะเจาะจงสำหรับห้องไหนเป็นพิเศษ เลยจบเรื่องวอลเปเปอร์ไปได้เร็ว ส่วนผ้าม่านนานหน่อยครับ เพราะเฉดสีมันมีให้เลือกเยอะ ถึงจะคิดกันมาคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่พอมาเจอของจริง ก็ทำเอาตัดสินใจยาก เลือกกันอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะได้สีได้แบบ ส่วนเรื่องสั่งตัด เดี๋ยวต้องนัดไปดูสถานที่จริงอีกที
พอจบเรื่องวอลเปเปอร์กับม่านก็พากันไปหามื้อกลางวันกินกันที่ห้างใกล้ๆ บ้าน แล้วก็ถือโอกาสดูพวกของแต่งบ้าน กับพวกเครื่องใช้เล็กๆ น้อยๆ อย่างเครื่องครัว จาน ช้อน ไปจนถึงผ้าปูที่นอน ก็ดูไว้เฉยๆ ก่อนครับ ยังไม่ได้ซื้อ เพราะซื้อไปตอนนี้ก็ต้องลำบากไปหาที่เก็บอีก เราเดินดูกันไปจนใกล้ถึงเวลาที่กรนัดกับพ่อแม่ไว้ ถึงได้ขับรถออกไปที่ร้านที่นัดกันไว้
ช่วงมื้อเย็นก็ราบรื่นดีครับ ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องงานของกรเขามากกว่า แม่จะเป็นฝ่ายเล่าให้ผมฟังเป็นส่วนใหญ่ครับว่าจะให้กรเขาไปทำอะไรบ้าง แต่ก็ยังทิ้งท้ายไว้ครับว่า ที่ให้กรไปดูงานกับพ่อที่เวียดนาม ไม่ได้แปลว่าจะให้กรเริ่มทำงานเลย แค่ว่างตรงกับที่พ่อกรจะไปพอดี เลยให้ตามไปดู เดี๋ยวรอรับปริญญาแล้วค่อยเข้าไปทำเต็มตัว ช่วงนี้ถ้ากรอยากไปทำกับผมก่อนแม่ก็ปล่อยตามใจ แล้วยังชวนผมให้ไปเวียดนามด้วยกันอีก แต่ผมก็ยังยืนยันที่จะปฏิเสธอยู่ครับ
..........................................................
“เบิร์ดเดย์ว่ะ มีความสุขมากๆ นะเว้ย” ผมตะโกนแข่งกับเสียงเพลงที่เกิดดัง หลังเดินเข้าไปตบไหล่เรียกไอ้ยุที่นั่งหันหลังอยู่ให้หันมาหา ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกับมัน ตอนนี้เพื่อนสนิทในกลุ่มผมมากันครบหมดแล้ว ก็มากันแก๊งค์เดิมสี่คนนี่แหละครับ มีผมมาถึงเป็นคนสุดท้าย ส่วนของขวัญก็มีให้มันนะครับ แต่ตั้งใจทิ้งไว้ในรถก่อน กลัวเมาแล้วลืมทิ้งไว้
ก่อนจะมานี่ผมก็ไม่ลืมที่จะโทรไปหากรนะครับ ก็บอกไปว่าจะออกมาเจอไอ้ยุ วันนี้วันเกิดมัน แล้วก็ไม่รู้ว่ากรเป็นอะไรครับ นอกจากข้อแม้ที่ว่าผมต้องไปรับไปส่งเขาที่สนามบิน โทรหาเขาทุกวันหลังจากถึงคอนโดฯ พอจะออกมาเที่ยวก็ถามนู่นถามนี่เสียละเอียดยิบทั้งที่ปกติไม่เคยเป็น ยังบอกว่าจะให้คนขับรถมารอรับผมกลับอีก มันชักจะเยอะเกินไปแล้วนะผมว่า แต่พอจะถามว่าเขาเป็นอะไร กรก็ขอวางสายไปก่อน เพราะกำลังจะออกจากโรงแรมไปกินข้าวข้างนอก
“ทำไมมาคนเดียววะ กรอ่ะ” เสียงไอ้ยุตะโกนถามข้างหู ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาชู เหมือนจะชนแก้วกันกลางอากาศกับสาวสวยหนึ่งในห้าคนที่ยืนอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามในชุดรัดรูปสีดำที่แนบพอดีไปกับลำตัวตัว แถมยืนอวดขาขาวเรียวให้พวกผมมองกันอีก ความห่างของโต๊ะก็มีแค่ทางเดินขนาดกว้างไม่เกินห้าก้าวเป็นตัวแบ่งโซน โดยฝั่งที่ผมนั่งมันเป็นโซฟา ส่วนโต๊ะอีกฝั่งจะเป็นโต๊ะตัวค่อนข้างสูงเหมือนเน้นมาเต้นกันมากกว่ามานั่งเล่นสบายๆ กันแบบโต๊ะผม สำหรับผมเองก็ส่งยิ้มกลับไปให้พอเป็นพิธี แต่ยิ้มให้กับอีกคนที่ยืนข้างคนที่ไอ้ยุมันทักนะครับ เฮอๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเดินไปหาแล้วล่ะครับ ส่วนตอนนี้แค่ยิ้มให้ก็น่าจะพอแล้ว “แค่มองกับยิ้มให้มันจะผิดไหมวะ”
“ไปเวียดนาม” ผมตะโกนตอบกลับไอ้ยุ ก่อนจะมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ก็นะมีอะไรให้มองตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ก็ออกแนว ดูแต่ตา มืออย่าต้อง เพราะกลัวจะเสียคนรัก ถึงกรจะไม่รู้ก็เถอะ แต่ไม่อยากเสี่ยงหาเรื่องใส่ตัวครับ เพราะที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีมากแล้ว ถึงทุกวันนี้จะยังพูดได้เต็มปากเต็มคำอยู่ว่า ผมยังชอบมองผู้หญิงอยู่ แต่มันก็แค่นั้นแหละครับ จะสนใจทำไมว่าผมจะชอบอะไร ในเมื่อทุกวันนี้ผมเจอคนที่ดีที่สุดแล้ว
“ถามแต่กู แล้วนิ้งไปไหน ทำไมไม่มาด้วยวะ” ผมถามถึงคนที่มันกำลังดูๆ อยู่ครับ แต่ดูจากการที่มันมานั่งเล่ห์สาวอื่นอยู่แบบนี้ได้ ท่าทางมันจะไปกันไม่รอด
“อย่างที่มึงกำลังคิด” ไอ้ยุมันตอบ มันรู้ความคิดด้วยหรอวะไอ้นี่ แต่ดูจากหน้ามันแล้ว ผมคงเดาถูกนั่นแหละครับ
“มึงสองตัวจะคุยกันอีกนานไหม” เสียงไอ้ตรี มันตะโกนข้ามโต๊ะมาครับ ผมกับเจ้าของวันเกิดเลยต้องหันไปสนใจมันกับไอ้ภพ แล้วมาเที่ยวเสียงดังๆ แบบนี้ แน่นอนครับว่าคงคุยอะไรกันต่อมากไม่ได้ ชนดื่ม แล้วก็ชนกันอยู่แค่นั้น ไอ้เรื่องนี้รู้กันทั้งนั้นแหละครับว่ามันไม่ดี แต่ก็ยังจะทำ
.
.
.
“เดี๋ยวกูมา” ไอ้ยุตะโกนบอกก่อนจะก้าวขาผ่านหน้าผมไป มันคงไปเข้าห้องน้ำแหละครับ พักหลังๆ เริ่มผลัดกันเดินบ่อย อย่างนี้ล่ะครับ วิธีช่วยไม่ให้เมามากอย่างหนึ่ง ดื่มแล้วก็ไปเอาออก
“เฮ้ย ไอ้ยุมันไปไหนวะ” ไอ้ภพมันโน้มตัวข้ามโต๊ะมาถามผมครับ ผมเองก็เริ่มผิดสังเกตแล้วเหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ยุมันหายออกไปนานเกินแล้ว
“เดี๋ยวกูไปดูมันเอง” ผมตะโกนตอบไอ้ภพ ก่อนลุกจากโต๊ะ แล้วแทรกตัวผ่านผู้คนที่ลุกขึ้นมาโยกขยับตัวกันอยู่เต็มพื้นที่ของทางเดิน เพื่อตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ห่างจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่คนละฟาก
“ตุ้บ!!” เสียงที่ได้ยินทันทีที่เปิดประตูผ่านเข้าไปในห้องน้ำครับ เสียงหมัดไอ้ยุกระแทกเข้าไปที่หน้าของอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันเต็มๆ แล้วคงไม่ใช่หมัดแรก เพราะดูจากสภาพเหมือนมีเรื่องกันก่อนผมเข้ามาแล้ว แล้วเรื่องต่อยตีแบบนี้คนอื่นคงไม่อยากเข้ามายุ่งให้ เพราะเผลอๆ จะซวยโดยไม่รู้ตัว มันถึงได้ต่อยกันโดยไม่มีใครสนใจจะห้าม
“เฮ้ย อะไรกันวะ” แต่บังเอิญหนึ่งในนั้นมันเป็นเพื่อนผมนี่สิครับ ผมเลยต้องไปเอี่ยวกับเขาด้วย ผมตะโกนไปก่อนจะเดินเข้าไปดึงตัวไอ้ยุไว้ ส่วนคนที่โดนมันต่อย เซล้มลงไปกับพื้นและกำลังยันตัวยืนขึ้นมา ไอ้ยุทำท่าจะเดินเข้าไปซ้ำ ผมเลยต้องรีบออกแรงดึงตัวมันไว้มากกว่าเดิม
“พอได้แล้วมึง อะไรกันวะ” ผมถามมัน ตั้งแต่รู้จักมันมา ผมไม่เคยเห็นมันไปมีเรื่องกับใครเลย เพราะปกติมันใจเย็นที่สุดในกลุ่มแล้ว
“ตุ้บ!”
“สัด” ผมสบถ คราวนี้เป็นเสียงผมแล้วครับ
“ตุ้บ!”
“ตุ้บ!!”
“ไอ้กันต์” คราวนี้เป็นเสียงไอ้ตรีครับ มันตะโกนเรียกชื่อ ก่อนที่มันจะวิ่งเข้ามาดึงตัวผมที่เพิ่งเตะซ้ำคนที่ผมซัดลงไปกองกับพื้น เพื่อไม่ให้เข้าไปซ้ำมันได้อีกเป็นครั้งที่สาม ก่อนที่ผมจะสะบัดมือไอ้ยุที่มาช่วยล็อคแขนผมอีกข้างเอาไว้ขึ้นมาเช็ดเลือดที่รู้สึกว่ามันซึมออกมาที่มุมปาก
“อยากเล่นทีเผลอนักนะมึง” ผมพูดใส่คนที่นอนขดตัวงออยู่ที่พื้น หลังจากมันลุกขึ้นมาซัดเข้าที่หน้าผม ตอนที่ผมดึงตัวไอ้ยุไว้ไม่ให้เข้าไปซ้ำมันในตอนแรก ผมไม่รู้หรอกครับว่าเพื่อนผมมีเรื่องอะไรกับมัน แต่บังเอิญว่ามันซวยที่มาทำผมเจ็บตัวอีกคน คิดหรือว่าผมจะยอมเจ็บฟรี แล้วไอ้แผลที่หน้าผมสองสามวันนี่มันจะหายทันไหมวะ ดันเป็นคนที่มีแผลแล้วหายช้าอีก
.
.
.
“มีเรื่องอะไรกันวะ” ไอ้ภพถามตอนที่มันออกมาเจอผมที่ลานจอดรถหน้าร้านแล้ว ไอ้ตรีเป็นคนโทรตามมันออกมาหลังจากพวกผมสามคนออกมาจากห้องน้ำแล้ว มันก็ตัดสินใจว่าจะกลับเลย เจอแบบนี้มันคงหมดอารมณ์จะอยู่แล้วล่ะ แต่ผมก็ยังไม่รู้จนถึงตอนนี้ว่ามันไปมีเรื่องอะไรกันก่อนที่ผมจะเข้าไปเจอ
“ไม่มีอะไร ช่างมันเหอะ กูยังไม่อยากพูด” ไอ้ยุตอบ พวกผมสามคนที่เหลือเลยไม่มีใครถามอะไรต่อ เพราะดูแล้วไอ้ยุเองก็กำลังหงุดหงิดเอาเรื่องอยู่ ส่วนตอนนี้สภาพพวกผมสี่คน ถ้าดูแค่ว่ามาเที่ยวแล้วเมาหรือเปล่า ไม่นับเรื่องสภาพของผมกับไอ้ยุที่มีแผลบนหน้าคนละแผล ตอนนี้ไม่มีใครเมาครับ ปกติกันดีอยู่ อย่างไอ้ยุกับไอ้ภพนี่แค่เรียกว่ากำลังกรึ่มๆ แต่ไม่ต้องไปห่วงมันเรื่องขับรถ เพราะวันนี้ไอ้ตรีมันเป็นคนดี เป็นคนขับรถพาเพื่อนกลับบ้าน บ้านมันสามคนอยู่ทางเดียวกัน ขามาไอ้ตรีมันก็แวะรับมา ขากลับเดี๋ยวมันก็พาสองคนนั้นส่งถึงบ้าน ส่วนผมไม่มีปัญหาครับ ถัดไปไม่กี่ซอยก็ถึงคอนโดฯ ผมแล้ว
“เออๆ งั้นพวกกูกลับเลยแล้วกัน มึงก็ขับรถกลับดีๆ” ไอ้ตรีมันพูด ก่อนจะอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วยกมือขึ้นมาโบกให้ ผมเองก็โบกมือกลับไป
“กูไปนะเว้ย กลับดีๆ” เสียงของไอ้ภพดังตามมา พร้อมยกมือมาตบไหล่ผม ก่อนเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
“ไปได้แล้วมึง เอานี่ เบิร์ดเดย์เว้ย มีอะไรอยากบอกกูก็โทรมา” ผมพูด แล้วส่งของในมือให้มัน ระหว่างยืนรอไอ้ภพให้ออกมาหาพวกผมนอกร้าน ผมเลยถือโอกาสเดินไปหยิบของขวัญที่ซื้อมาให้ไอ้ยุที่ผมเก็บไว้ในรถผมมาให้มัน
“ขอบใจว่ะ แล้วก็โทษทีวะ อย่าบอกกรมันนะเว้ยว่าเจ็บตัวเพราะกู” ไอ้ยุพูด เหมือนมันจะอารมณ์เย็นลงแล้วครับตอนนี้
“เอ้ย กูไม่เป็นไร มึงเหอะ โอเคเปล่าวะ” ผมตอบและถามมัน
“กูโอเคอยู่ มึงไปเหอะ ไว้คุยกัน” มันพูดกับผมก่อนจะเปิดประตูด้านหลังของรถไอ้ตรี แล้วขึ้นรถไป ส่วนผมก็หันหลังเดินกลับไปขึ้นรถตัวเอง และขับรถกลับคอนโดฯ
.
.
.
พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็มีแต่แสงไฟสีส้มที่ส่องจากระเบียงเข้ามาในห้อง เพราะผมตั้งเวลาให้มันเปิดอยู่ทุกคืน ส่วนไฟในห้องผมไม่ได้เปิดทิ้งไว้เลยแม้แต่ดวงเดียว แล้วก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแปลกๆ กับการกลับเข้ามาในห้อง ทั้งที่เป็นคอนโดฯ ของตัวเองแท้ๆ อาจเพราะวันนี้ผมรู้สึกว่ามันเงียบกว่าที่เคย ผมเดินเข้าไปดูไอ้เรนกับซูชิปลาทองสองตัวที่เลี้ยงไว้ เมื่อเห็นว่ามันสองตัวอยู่สุขสบายดี ก็เดินเข้าไปในครัวต่อโดยที่ไม่ได้เปิดไฟในห้องสักดวง
“แม่ง เอ้ย” ผมสบถเมื่อเอามือไปโดนแผลที่มุมปากตอนวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ผมเดินมาล้างหน้าในครัวแทนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว พอล้างเสร็จก็พาหน้ากับมือเปียกๆ ถอยห่างออกมาจากอ่างล้างจาน และมายืนพิงโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องครัวแทน ก่อนจะหันไปดึงกระดาษเช็ดมือที่วางอยู่บนโต๊ะมาซับน้ำออกจากหน้า ก็เช็ดไปแบบลวกๆ เช็ดเสร็จก็วางกระดาษทิ้งไว้บนโต๊ะแบบนั้น ไม่ได้เอาไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทางอย่างเวลาปกติ
ตอนนี้ไม่รู้ครับว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหน เจ็บตัวมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับสาเหตุที่โดนต่อย ถือว่าซวยไป แต่มันน่าหงุดหงิดตรงที่พรุ่งนี้ผมต้องออกไปคุยงาน แล้วจะไปคุยได้ไงวะ คิดไปคิดมาจนเริ่มโมโหขึ้นมาจนได้ แล้วที่ห้องก็ดันเงียบสนิทแบบนี้อีก ผมคิดฟุ้งซ่านอยู่ในที่มืดๆ คนเดียวได้สักพัก ก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเลือกเบอร์โทรออกไปนอกประเทศ ช่วงที่รอสายก็เดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟา คืนนี้คงนอนมันตรงนี้แหละ พอเจอแอรเย็นๆ ชักจะเริ่มเคลิ้มๆ ส่วนจะให้ไปนอนคนเดียวในห้องก็ไม่อยากเข้าไปนอน ดันเกิดจะคิดได้ว่าเตียงมันใหญ่เกินกว่าจะนอนคนเดียวขึ้นมา สู้มานอนอยู่บนโซฟาแบบนี้ดีกว่า
“นอนยัง” ผมถาม ถึงจะรู้คำตอบ แต่ก็ยังถาม เกือบจะตีสองแล้วแบบนี้ปลายสายคงกำลังหลับอยู่ตอนที่ผมโทรไป
“อื้ม แล้วนี่กลับมาถึงห้องแล้วหรอ” กรงัวเงียถาม ส่วนผมเองก็เริ่มหาวแล้วเหมือนกัน แต่ยังอยากคุยอยู่ ส่วนท่านอนก็กำลังได้ที่เตรียมหลับ พลิกตัวหันหน้าเข้าซุกกับพนักโซฟา คว้าหมอนอิงสองใบมากอดไว้ ใบหนึ่งถูกหนีบไว้ที่ขา อีกใบก็ใช้แขนกอดไว้
“อื้อ เพิ่งกลับมา กำลังนอน” ผมพูด แล้วปิดตา แต่ไม่ยอมวางสาย
“วันนี้ไปกินอะไรแปลกๆ มาตั้งหลายอย่าง มารู้ที่หลังขนลุกอ่ะ” กรเล่า เรื่องของเขาวันนี้ให้ผมฟัง ผมก็อืออาตอบรับไปเรื่อยๆ
“เจอเหล้าดองไข่แพะด้วย” เสียงปลายสายยังเล่าเรื่องให้ฟังต่อ
“หึหึ” ผมหัวเราะหึหึในลำคอ ถ้าปกติก็คงขำดังกว่านี้ แต่ตอนนี้สภาพไม่ค่อยเอื้ออำนวยแล้ว
“กินเข้าไปได้” ผมพูด แล้วปกติกรเป็นคนที่ไม่ยอมกินหรือลองอะไรแปลกๆ เลย ยิ่งเป็นพวกเนื้อสัตว์แล้วด้วย สงสัยวันนี้จะเจอไปเยอะ จนถึงกับโอดครวญ
“ก็มันไม่รู้ พ่อบอกกินๆ เข้าไปเถอะ คนมันมีมารยาทก็ทำตามดิ แล้วเป็นไงบ้างไปเที่ยวมา” กรพูดเรื่องตัวเอง ก่อนจะถามผมกลับมาบ้าง
“ก็ดี” ผมบอกแค่นี้ ไม่อยากเล่าว่าเจออะไรมาบ้าง เดี๋ยวจะเป็นห่วงกันเปล่าๆ
“คิดถึง” กรบอก ส่วนผมถ้าตอนนี้ลุกขึ้นไปส่องกระจกดูคงเห็นว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ แต่อีกใจก็คิดว่าจะมาพูดทำไมตอนนี้วะ อารมณ์ยิ่งไม่ค่อยปกติ มันก็คิดถึงมากๆ เหมือนกันนะเว้ย เหงาด้วย ห้องเงียบเกิน
“เหมือนกัน นอนเหอะ จะนอนแล้ว” ผมพูด
“พรุ่งนี้เช้าจะโทรไปหาแล้วกัน” กรพูด พอผมตอบรับคำ เขาก็วางสายไป ส่วนผมพอกดวางสายแล้วก็เอาโทรศัพท์ไปวางไว้ที่โต๊ะทางด้านหลัง ก่อนนะหันมาซุกตัวนอนหลับอยู่บนโซฟาไปถึงเช้า
-------------------------------------------------------------
หายไปซะนาน แต่เอามาลงให้แบบยาวๆ แทนนะ ^_^