ตอนที่ 138 ปีใหม่กับความทรงจำครั้งเก่ารุ่งเช้าผมตื่นมาตอนเช้าด้วยการปลุกของเจ้าตัวเล็กท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บจนผมต้องเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมผ้าห่มผืนเล็ก
“ตื่นมาอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวได้แล้วเดี๋ยวจะให้พาไปวัดหน่อย อยากไปทำบุญให้ย่าอะ”
ไม่รู้ว่าผมจะถือว่านี่เป็นประโยคบอกเล่า คำขอร้องอ้อนวอน หรือมันคือคำสั่งดี
เพราะผมไม่มีโอกาสปฏิเสธได้เลย แม้ใจอยากจะเดินกลับเข้าไปนอนห่มผ้าคลุมโปงเสียมากกว่า
เช้า นั้นผมก็เลยต้องอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดสุภาพ เดินถือขับใบใหญ่พร้อมหิ้วปิ่นโตอาหารเดินตามเจ้าตัวเล็กและป้ามาพร้อมกับชาว บ้านคนอื่นๆ ด้วยเหตุผลว่าการเดินไปวัดจะทำให้เราได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับเพื่อนบ้าง มากกว่าที่เราขับรถไปที่วัด และการที่เราเอารถไปวัดเวลากลับออกมาก็จะมีดินมีทรายจากวัดติดล้อรถเรามา มากกว่าการเดินไปที่วัด เป็นการขโมยโดยมิได้เจตนาอีกด้วย เวลาถึงงานสงกรานต์ทีไรเลยต้องมีการขนทรายเข้าวัดนั่นไง
ได้ รับคำอธิบายแบบไม่ต้องมีการร้องขอแบบนี้แล้วจะทำไงได้อีกละครับนอกจากเดิน หอบขันน้ำและปิ่นโตเดินตามต้อยๆ และระหว่างทางผมก็ได้พบอีกหนึ่งความน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้าตัวเล็กเมื่อเจ้า ตัวเล็กยังไม่มีการหลงลืมสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นมาเมื่อครั้งก่อน ผมยังเห็นเจ้าตัวเล็กยกมือไหว้ทักทายกับผู้คนที่ผ่านไปพบเจออยู่ทุกคน จนถึงวัดเจ้าตัวเล็กก็ไปช่วยป้าและชาวบ้านในการจัดแจงภัตตาหารพระ และไหว้ทักทายผู้คนที่มาวัดอย่างคนสนิทสนมชิดเชื้อกันแทบทุกคนแม้ว่าคนที่มา วัดวันนี้บางคนจะแต่งตัวดูมีฐานะหรือมาในชุดพร้อมจะออกไปไร่ไปสวนแต่เจ้าตัว เล็กก็ไม่มีอาการมือไม้แข็งกระด้างแต่ประการใด แต่กลับไหว้ทักทายทุกคนอย่างคนโอนอ่อน นอบน้อม และนี่ทำให้ผมได้ยินกับสำเนียงคุ้นหูที่ได้ยินคนพูดถึงเจ้าตัวเล็กบ่อยๆเวลา ที่กลับมาบ้านทุกครั้ง….
“เป็นตาแพงเนาะ” ……
สายๆของวันสุดท้ายของปี 2548
ผม มีโอกาสได้พักผ่อนและช่วยเจ้าตัวเล็กทำความสะอาดบ้านเล็กๆน้อยๆในวันหยุดพัก ผ่อนของเราก่อนที่ผมจะนอนดูทีวีภายในบ้านที่อากาศหนาวเย็น ป้าออกไปสวนแตงกวาที่อยู่หลังบ้าน
“ติ๊บ อยู่บ้านหรือเปล่า” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากรั้วข้างบ้านผมและเจ้าตัวเล็กที่กำลังนอนดูทีวี ด้วยกันลุกพรวดพราดมายังหน้าบ้าน
“อ้าวพี่ไม้ หวัดดีคะ ติ๊บหวัดดี” เสียงคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี น้องปุ๋มนั่นเองนึกว่าใคร
“อ้าวไปไงมาไงอะแก จู่ๆก็มุดรั้วมาเนี่ยอะ” เสียงเจ้าตัวเล็กเอ่ยตอบกลับไป
“ก็ไม่ไงหรอกพอดีฉันเพิ่งกลับมาถึงบ้านลงรถทัวร์หน้าตลาดเมื่อเช้าเอง พอดีเห็นแม่บอกว่าแกกลับมาชั้นก็เลยแวะมาทักทาย อะนี่ผลไม้จากสวนบ้านชั้น” ปุ๋มยื่นตะกร้าผลไม้หลายอย่างที่ผลอาจดูไม่สวยหรือใหญ่เป้งแบบที่วางขายใน ตลาดเพราะปลูกแบบตามมีตามเกิด
แต่สิ่งที่งดงามกว่าคือน้ำใจของคำว่าเพื่อนที่ผมมองว่ามันงดงามเสมอจริงๆ
“ว่าแต่นี่ชั้นมาขัดจังหวะแกทำอะไรหรือเปล่าวะ” น้องปุ๋มพูดพลางใช้ภาษามือสื่อถึงการปฏิบัติภารกิจรักซะอย่างงั้นเล่นเอาผม เขินและเจ้าตัวเล็กก็หัวเราะร่าไปเลยทีเดียว
“ไอ้บ้า นอนดูทีวีกันอยู่จ๊ะ ไม่ได้ทำไรเลย” เจ้าตัวเล็กตอบเขินๆ
“อ้าว ก็ไม่รู้เนาะ เห็นเดินออกมาหัวฟูกันทั้งคู่เลยก็เลยนึกว่า…” น้องปุ๋มแซวและล้อเล่นกับเพื่อนรักอย่างสนิทสนมและมันก็ทำให้ผมอดหัวเราะไป ด้วยไม่ได้
“แล้วนี่กลับมากันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” น้องปุ๋มเอ่ยถามต่อ
“ก็กลับมาถึงเย็นวันก่อนอะ เมื่อวานก็ได้ไปวัดทำบุญแล้วก็นอนพักวันนึงละ วันนี้ก็ไม่มีไรทำเลยพากันนอนดูทีวีอยู่นี่แหละไม่ได้ไปไหน”
“วันนี้แกว่างใช่มั้ย พี่ไม้ว่างมั้ยค่ะ” ปุ๋มหันมาถามผมพร้อมทำตาบ้องแบ๊วตาโต
“ว่างดิ ทำไมเหรอ จะชวนไปไหน”
“ไปท่าอุเทน เพื่อนเขากลับมาหลายคนเลย คืนนี้มีนัดเค้าท์ดาวน์กันริมโขงแกไปเป็นเพื่อนชั้นนะ ไปรถชั้นก็ได้ นะนะนะนะ ห้ามปฏิเสธ”
เจ้าตัวเล็กหันมามองผมชั่วครู่เดียวสันชาตญาณก็บอกผมแล้วว่าการหันมามองสบตาผมครั้งนี้คือคำสั่ง จะทำไรได้นอกจากยอม เฮ้ออออออออออออ
วันนี้ เป็นวันสิ้นปี เพื่อนๆของเจ้าตัวเล็กที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวอำเภอที่เรียกว่า อำเภอท่าอุเทน เพราะเจ้าตัวเล็กมาเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอที่อยู่ไกลบ้านถึง 16 กิโลเมตรโดยการโหนรถเมล์ไปเช้าเย็นกลับสามปีในชั้นมัธยมปลาย จึงทำให้ชีวิตช่วงวัยรุ่นของเจ้าตัวเล็กมีเพื่อนๆที่บ้านอาศัยอยู่ในเมือง เสียมากกว่า ถ้าไม่นับรวมน้องปุ๋มคนสวยที่บ้านรั้วติดกันนั่นนะ
สายๆ ของวันหยุดช่วงสิ้นปีเจ้าตัวเล็กและน้องปุ๋มพาผมมายืนดูตลาดสดที่มีทั้งคน ไทยและคนจากฝั่งลาวเพื่อนบ้านของเรามาขายของสดๆกันในตอนเช้าจนแน่นถนนเลียบ ฝั่งโขงของตัวอำเภอนี้ไปสุดลูกหูลูกตาเพราะมีตั้งแต่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ กระเป๋ารองเท้า ผักผลไม้เนื้อสัตว์ ไปจนถึงสมุนไพรแปลกๆ ต้นไม้ดอกไม้จากปาที่สวยงามแปลกตาและบางชนิดก็เป็นต้นไม้ที่ผมไม่คิดว่าจะ สามารถนำข้ามฝั่งมาขายได้ แต่ที่นี่ก็มีให้เห็นและโอนอ่อนผ่อนปรนกันแบบบ้านพี่เมืองน้อง
นอก จากนี้ทัศนียภาพที่ผมมองเห็นแม่น้ำโขงช่วงที่กว้างที่สุดตลอดเส้นทางที่ผ่าน ประเทศไทยก็คงเป็นที่นครพนมนี่แหละเพราะมันกว้างกว่าแถบจังหวัดอื่นๆที่ผมไป ดูมาแล้วแทบทั้งสิ้น ตอนนี้ยังไม่เข้าหน้าแล้ง แต่สันดอนทรายกลางลำน้ำโขงเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วทำให้เรือจากฝั่งลาวต้องขับ เรืออ้อมสันดอนทรายไปไกลทีเดียวกว่าจะวกกลับลงมาจอดยังท่าเทียบเรือที่เป็น ตลาดฝั่งไทยได้ ทำให้ผมตื่นเต้นและแปลกตากับภาพที่เห็นไม่น้อย นอกจากนี้ผมยังเรียนรู้อีกอย่างว่าภาษาวัฒนธรรม จารีตประเพณีของคนทั้งสองฝั่งโขงนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย เพราะผมยังเห็นเจ้าตัวเล็กและน้องปุ๋มพูดจาต่อรองซื้อข้าวของจากฝั่งลาวกัน อย่างคล่องแคล่วกันเลยทีเดียว
เจ้าตัวเล็กและน้องปุ๋มบอกกับผมว่ามาเดินตลาดลาวแห่งนี้ ( ชาวบ้านเขาเรียกว่าตลาดลาว )
เพื่อตั้งใจจะซื้อของไปฝากแม่เพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่จะใช้จัดงานของเด็กๆวันนี้
และ เป็นแม่ที่เด็กๆในรุ่นนับถือเพราะทุกคนสามารถมาฝากท้องและนอนหลับที่บ้าน หลังนี้ได้อย่างสะดวกสบายและแม่จะดูแลเด็กๆอย่างดีในช่วงที่มีกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก
น้องปุ๋มเล่าให้ผมฟังว่า
แม่ของเพื่อนคนนี้จะเอ็นดูเจ้าตัวเล็กเป็นพิเศษเพราะว่าติ๊บ เป็นเด็กเรียบร้อยอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาไพเราะ แต่ในขณะเดียวกันก็ตลกขบขันและออดอ้อนแม่เป็นระยะๆ แม่ของเพื่อนคนนี้จึงเอ็นดูติ๊บมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ และนอกจากนี้เจ้าตัวเล็กยังมาช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวและเป็นลูกแม่ค้าที่เป็น นางกวักของร้านได้เป็นอย่างดีเพราะติ๊บจะพูดจาเรียกลูกค้าเก่งมากกกก หลัง จากได้ของที่ต้องการแล้วเราก็เดินกลับรถเพื่อที่จะขับไปบ้านเพื่อนที่อยู่ ถัดจากตลาดลาวแห่งนี้ไม่ไกลนัก แต่ยังไม่ทันจะถึงรถเจ้าตัวเล็กกับน้องปุ๋มก็เจอเข้ากับคนรู้จักอีกแล้ว
เฮ้อ รู้จักคนเยอะจริงๆสองเพื่อนซี้คู่นี้
แม่ค้าขายลูกชิ้นปิ้ง ที่ผมดูท่าทียังไงก็ไม่น่าจะสนิทสนมกับสองว่าที่คุณหมอนี้ได้จนมากระจ่างเอาเมื่อน้องปุ๋มเล่าให้ผมฟังอีกว่า
“ตอนที่เรียนมัธยมปลาย พวกหนูจะเลิกเรียนกันตอนสี่โมงเย็น แต่ จะกลับบ้านในรถเมล์เที่ยวสุดท้ายคือตอนประมาณห้าโมงครึ่ง(รถเที่ยวสุดท้าย หมดไวมากเพราะที่นี่รถเมล์มีชั่วโมงละคัน) และระหว่างที่รอรถเมล์ชั่วโมงครึ่งนี้ พวกเพื่อนๆคนอื่นๆก็จะนั่งกินขนม กินลูกชิ้นปิ้ง กินน้ำอัดลมจากร้านป้าคนนี้เป็นประจำ แต่เจ้าตัวเล็กมีเงินมาโรงเรียนเพียงพอแค่สำหรับค่าข้าว และค่ารถในแต่ละวันเท่านั้นจึงไม่ค่อยมีโอกาสมานั่งร่วมวงกับเพื่อนๆคนอื่น เท่าไหร่นัก จึงไปช่วยแม่ค้าคนนี้ขายน้ำขายขนม เพราะความสนิทคุ้นเคยที่ต้องเจอกันทุกเย็น จนนานวันเข้าติ๊บก็กลายป็นลูกรักของเจ๊ขายลูกชิ้นปิ้งอีกคนเพราะความมีน้ำใจ และความขยัน ในตอนเย็นที่เด็กออกมาจากโรงเรียนหมดแล้วเจ๊ร้านขาย ลูกชิ้นปิ้งจะให้เงินเป็นค่าจ้างติ๊บอยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยรับค่าตอบแทนนั้นเลย เจ๊ร้านขายลูกชิ้นจึงให้ติ๊บกินลูกชิ้น ขนมและน้ำอัดลมฟรีๆ หลังจากที่ขายเสร็จในแต่ละวัน”
เมื่อน้องปุ๋มเล่าจบ ผมที่รักเจ้าตัวเล็กอยู่ท่วมท้นหัวใจแล้ว กลับยิ่งเอ็นดูเจ้าตัวเล็กมากขึ้นไปอีกเมื่อได้รับรู้เรื่องราวต่างๆของเจ้า ตัวเล็กผ่านปากของเพื่อนสนิทอย่างน้องปุ๋ม และแน่นอนคืนนี้ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนเก่าๆของเจ้าตัวเล็กอาจจะได้รับรู้ ข้อมูลเพิ่มเติมอีกเยอะเลยทีเดียว ชั่วไม่กี่อึดใจผมก็นำรถมาจอดในลานวัดที่มีพระธาตุหินอ่อน
รูป ร่างลักษณะคล้ายองค์พระธาตุพนมแต่ขนาดเล็กกว่ามาก เจ้าตัวเล็กและน้องปุ๋มพาผมเข้าไปไหว้พระประธานในวัดครู่เดียวก็พาผมเดิน ทะลุออกมาทางด้านข้างวัด พบกับบ้านไม้สองชั้นแบบโบราณที่หน้าบ้านมีร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ และขายขนมครก ตั้งอยู่หน้าบ้าน
และตอนนี้มีลูกค้านั่งอยู่แน่นร้านเพราะเป็นวันที่มีตลาดนัดผู้คนเยอะแยะ
เจ้าของร้านเป็นหญิงหน้าตาใจดีวัยกลางคน กำลังทำก๋วยเตี๋ยวอย่างขะมักเขม้นพร้อมกับลูกสาวที่ช่วยเป็นลูกมืออยู่ไม่ไกล
“รับสมัครคนงานช่วยมั้ยคับ” เจ้าตัวเล็กออกอาการออดอ้อนไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในร้านดี
“ต๊ายยย ลูกชายชั้นมา” หญิงวัยกลางคนอุทาน ก่อนวางมือจากตะแกรงลวกก๋วยเตี๋ยวออกมากอดรับขวัญพอเป็นพิธี ติ๊บและปุ๋มสองเพื่อนซี้ไหว้ทักทายแม่ก่อนแนะนำผมให้แม่และเพื่อนๆที่นั่ง อยู่ในบ้านได้รู้จักก่อนจะสวัสดีปีใหม่แม่ด้วยผลไม้ที่ไปตระเวรซื้อกันใน ตลาดลาวเมื่อครู่
ตอนนี้ในบ้านมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันนั่ง อยู่ราวสี่ห้าคน และบอกว่าเพื่อนๆคนอื่นๆก็ออกไปเดินช๊อปปิ้งในตลาดลาวเหมือนกับพวกเราสามคน และตอนนี้ผมก็ได้เรียนรู้ว่าเด็กๆที่จบจากโรงเรียนในตัวอำเภอรุ่นราวคราว เดียวกับติ๊บนี้ เป็นเด็กที่มีโอกาสได้เรียนต่อในสถาบันที่มีชื่อเสียงกันแทบทุกคน อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กกลุ่มนี้คือเด็กห้องคิงส์
( สมัยผมเรียกเด็กห้องคิงส์ หมายถึง ห้องของเด็กเก่งที่มีหัวกะทิอยู่กันทั้งห้อง จะเป็นพวกเรียนดี เกรดดีๆกันจะอยู่ห้องที่ลงท้ายด้วย /1 เช่น ม.4/1 ม.5/1 ม.6/1 เป็นต้น )
อย่าง เช่นเจ้าตัวเล็กตอนที่เรียนม.ปลาย ก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง เพราะน้องคนที่เรียนเก่งที่สุดในห้องก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้า ตัวเล็กแต่เป็นสาขากายภาพบำบัด ส่วนคนอื่นๆก็มีเรียน เภสัช บัญชี วิศวะ กันตามความถนัดของแต่ละคนและที่ผมอดแปลกใจไม่ได้คือทุกคนมักจะเป็นเด็กทุน โดยเฉพาะเพื่อนสนิทของติ๊บที่เป็นนักพูดเหมือนกันเมื่อตอนเรียนมัธยมก็เป็น เด็กทุนและจะกลับมาเป็นครูที่โรงเรียนเดิมที่ตัวเองจบไปในไม่ช้า
มา ถึงตอนนี้ผมก็เริ่มสนิทสนมและกล้าพูดกล้าคุยกับพวกเด็กๆบ้างแล้ว เพราะบางคนก็เริ่มจะหนักข้อขึ้นด้วยการเริ่มแซวผมกับเจ้าตัวเล็กจนหน้า แดงอยู่บ่อยๆ
“พี่ไม้ค่ะ ถ้าวันนี้พี่ไม้เจอคนคนนึงพี่ไม้จะหึงจะหวงมั้ยค่ะ ถ้าหนูจะพาแฟนเก่าติ๊บมาร่วมงานนี้ด้วย”
“หือ ติ๊บมีแฟนเก่าด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความอยากรู้พลางหันไปทางน้องปุ๋มก่อนปุ๋มจะผงกหัวรับและหัวเราะหึๆ
ชั่วครู่เดียวเด็กๆก็ปรบมือกันเกรียวกราวต้อนรับคนที่บอกว่าเป็นแฟนเก่า หมอติ๊บ
ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กเองก็ยิ้มเขินจนตาหยี และคนผู้มาใหม่ก็จัดว่าหน้าตาหล่อเหลาคมคายใช้ได้เลยทีเดียว
ก่อนที่ลมหึงตะตีหน้าผมก็ได้รับคำเฉลยว่า ตอนเรียนนั้นเพื่อนของติ๊บคนนี้ชอบล้อ แกล้ง บอกคนอื่นๆว่าเป็นแฟนกับติ๊บ จนเพื่อนๆล้อเล่นกันเป็นเรื่องปกติไปซะเลยและเพื่อนของติ๊บคนนั้นก็บอกว่า เลิกกับติ๊บเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะการกลับมาบ้านของตนคราวนี้คือพาแฟนมาเปิดตัวกับพ่อแม่และคืนนี้จะพาแฟน มาร่วมเค้าท์ดาวน์กับเพื่อนๆด้วย
ท่ามกลางเพื่อนฝูงที่อยู่ ร่วมกันคงทำให้เจ้าตัวเล็กหวนคิดถึงอดีตและร่วมวงสนทนากับเพื่อนๆอย่างออกรส ออกชาติ ผมจึงเดินเลี่ยงมาดื่มโอเลี้ยงอยู่นอกบ้านที่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนสนิทของติ๊บคนหนึ่ง ที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้รู้จักและพูดคุยกันในตอนนี้
เพื่อนของ ติ๊บคนนี้สูงโปร่งออกจะผอม ผิวคล้ำ และดูมีอายุไปกว่าติ๊บเยอะแล้วอาจจะเพราะเคร่งเครียดกับการเรียนมาก เลยกระมัง น้องคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า
“เมื่อตอนที่เรียนมัธยมปลาย ติ๊บมาเป็นเพื่อนใหม่สมาชิกใหม่ของห้องเพราะย้ายมาจากโรงเรียนประจำตำบล แต่ที่ทำให้ผมขำออกมาคือ น้องคนนี้เล่าว่าวันที่สอบเข้าโรงเรียนแห่งนี้เพื่อทำการวัดพื้นฐานของเด็ก แต่ละคน เพื่อทำการจัดเรียงลำดับเด็กตามพื้นฐานและความรู้ความสามารถว่าใครจะอยู่ ห้องไหน พวกตนซึ่งไม่มีใครอ่านหนังสือเตรียมตัวมาสอบกันเลยและเจอข้อสอบที่เรียกว่า ยากเอาเสียมากๆ ขนาดตนเองซึ่งเคยได้ 4.00 มาแล้วเมื่อตอนอยู่ ม.ต้น ก็ไม่สามารถทำข้อสอบได้ แต่ปุ๋มบอกว่าเพื่อนของตนคนนี้เก่งมาก ปุ๋มจึงลอกข้อสอบไปจากติ๊บ และไปกระจายให้เพื่อนๆในกลุ่มเดียวกัน ผลออกมาสุดท้ายเพื่อนๆที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้อยู่ห้องคิงส์กันหมดเลยเพราะลอก ข้อสอบจากเจ้าตัวเล็กแท้ๆ”
“ส่วนตอนที่เรียนด้วยกันน้องคนนี้ก็บอกว่าไม่เคยพบเคยเจอคนที่มีความสามารถ รอบด้านแบบติ๊บมาก่อน อย่างตนชอบคณิตศาสตร์ก็จะเรียนได้ดีแค่เฉพาะวิชานี้ กิจกรรมอย่างอื่นก็จะไม่ทำแล้ว แต่พี่ไม้เชื่อมั้ยเวลาที่มีการสอบแข่งขันระดับจังหวัดอาจารย์ทุกวิชาจะวิ่ง ตรงมายังติ๊บกันทุกคน ไม่เพียงแค่วิชาการเท่านั้น กีฬาติ๊บเองก็สามารถเล่นได้และเล่นได้ดีทุกอย่าง”
“พี่ไม้เคยเห็นนักกีฬาคนไหนใส่ชุดเชียร์หลีดเดอร์ ลงแข่งกีฬามั้ย” น้องคนนั้นเอ่ยถามผมติดตลก
“ไม่เคยคับ ชุดเชียร์หลีดเดอร์มันใช้ลงแข่งอะไรได้ด้วยเหรอ”
“เพื่อนผมคนนี้เคยทำมาแล้วจำได้ว่าวันนั้นเป็นงานกีฬาสี ทุกคนประหลาดใจมาก เมื่อติ๊บตกลงปลงใจเป็นเชียร์หลีดเดอร์ให้กับคณะสีของตน เมื่อโชว์เสร็จเจ้าตัวก็วิ่งไปแข่งปิงปองต่อโดยที่ยังใส่ชุดเชียร์หลีดเดอร์ ไม่ทันได้เปลี่ยน และมันก็เก่งมากจนถึงขั้นเอาชนะพี่ที่เป็นนักกีฬาเขตได้ มันยังบ้าดีเดือดได้อีกนะพี่พอแข่งปิงปองเสร็จยังดีที่มันเปลี่ยนชุดมาแข่ง บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เปตอง และอีกหลายกีฬา แข่งเสร็จก็มาแต่งตัวโชว์หลีดรอบตัดสินในช่วงบ่าย ตอนนั้นพวกผมทุกคนงงกันหมดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับติ๊บ แต่พอวันถัดมาที่เสร็จสิ้นการแข่งขันเสร็จสิ้นกิจกรรมมันก็กลับมาเรียบร้อย สู่สถานะเดิม”
“แต่ผมนับถือน้ำใจติ๊บเขานะ ผมว่าผมจนแล้วนะพี่แต่ผมยังพอมีเงินไปเที่ยวไปเรียนพิเศษบ้าง แต่ กับติ๊บนี่ไม่เคยเลยใครจะเชื่อว่าวันนึงคนที่ไม่เคยไปเรียนพิเศษ หรือแม้กระทั่งมาติวกับอาจารย์ในช่วงเสาร์ อาทิตย์ วันดีคืนดีจะสอบติดแพทย์ได้แบบเหนือความคาดหมายของทุกคนแต่ผมก็ต้องขอบคุณติ๊บเขานะ”
“พี่รู้อะไรมั้ยที่ผมสอบทุน สควค. (ทุนส่งเสริมครูผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษ ) และกำลังจะกลับมาเป็นครูที่โรงเรียนเดิมใกล้ๆบ้านของผมแบบนี้ได้ ต้องขอบคุณที่ครั้งนึงติ๊บมันสละสิทธิ์ทุนนี้ผมที่เป็นตัวสำรองก็เลยได้ทุน นี้ไป เลยทำให้ผมรักและชื่นชมเพื่อนคนนี้มากขึ้นไปอีก”
“อะไรที่ทำให้น้องคิดว่าติ๊บคนนี้เป็นที่รักของเพื่อนๆได้แบบนี้” ผมตัดสินใจถามเพื่อนสนิทของติ๊บราวกับสัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ แต่ก็นะถ้าเรารักใครซักคนเราก็ต้องอยากรู้เรื่องของเขาให้มากที่สุดจริงมั้ย ครับ
“ถ้าให้ผมตอบคือผมคิดว่าติ๊บเป็นคนยิ้มง่ายเข้ากับคนอื่นง่าย มีน้ำใจ และที่ให้คำจำกัดความของติ๊บได้เข้าที่ที่สุดไม่ว่าจะในฐานะไหนก็คือ ผมว่าติ๊บเป็นคนน่ารัก มันน่ารักโดยสันดานอะพี่”เออ เอากับน้องเขาซิ นี่คือชมเพื่อนแล้วใช่มั้ยนิ ประโยคนี้
“พี่อย่าตกใจนะ คือมันน่ารักโดยที่ไม่ต้องปรุงแต่งหรือปรับอะไรเลยพี่ดูเวลามันอยู่กับแม่ ที่ขายก๋วยเตี๋ยวซิ มันก็อยู่บนบทบาทของลูกที่น่ารัก ช่วยงานเขาแบบนี้ใครจะไม่รัก หรือพี่ดูตอนที่มันอยู่กับเพื่อนๆซิ มันก็เป็นเพื่อนที่น่ารัก แต่ที่ผมชอบติ๊บคือผมไม่เคยได้ยินคำหยาบหรือไม่สุภาพออกจากปากมันเลย มันไม่เคยขึ้นมึง กู หรือด่าเพื่อนคนอื่นเลย คำหยาบที่สุดที่ผมเคยได้ยินจากปากมันคือคำว่า ไอ้บ้า” เออ อันนี้ผมเห็นด้วยแฮะเท่าที่อยู่ด้วยกันมาสามปีนี่แหละคำหยาบที่สุดที่ผมเคย ได้ยินจากปากเจ้าตัวเล็กจริงๆ
“และพี่อย่าหาว่าผมยุ่งเรื่องส่วนตัวนะ เวลามันอยู่กับพี่ผมก็เชื่อว่ามันเป็นแฟนที่น่ารักของพี่ด้วยจริงมั้ย” เออ อันนี้จริงไม่เถียงเลยซักคำ
“ผมรักและสนิทกับติ๊บมันมาก มาวันนี้ภาพติ๊บคนเก่าที่หมองๆซึมถูกลบหายไปหมดวันนี้ติ๊บมันดูสดใส มีสง่าราศี และมีความสุขกว่าเมื่อก่อนเยอะผมฝากพี่ดูแลเพื่อนผมคนนี้ให้ดีที่สุดเลยนะ”
หลังจากเรียนรู้เจ้าตัวเล็กผ่านปากของเพื่อนสนิทเจ้าตัวเล็กแล้ว ก็ทำให้ผมมั่นใจมากว่าผมเลือกคนไม่ผิดแล้วจริงๆ
พลบ ค่ำหลังจากที่ช่วยแม่ที่เป็นเจ้าของบ้านเก็บร้านก๋วยเตี๋ยว และร้านขนมครกของแกเรียบร้อยแล้ว เด็กๆก็เริ่มทยอยกันมามากขึ้นบางส่วนก็เรี่ยไรเงินออกไปซื้อของมาเตรียม สำหรับงานปาร์ตี้คืนนี้ที่ตลาด ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เก็บและจัดเตรียมสถานที่
ราวๆ สองทุ่มเด็กๆก็มาพร้อมหน้ากันราวยี่สิบคนไม่เกินนี้ ตอนนี้ทุกคนเริ่มอร่อยกับอาหารที่ช่วยกันลงมือทำ จนได้ที่จึงมีบางส่วนเริ่มด้วยการดื่ม บางแล้ว เด็กๆที่ไม่ได้เจอกันนานจึงเริ่มคุยจอแจกันแล้วเป็นที่สนุกสนานเฮฮา แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินเท่าไหร่นักเพราะทั้งเจ้าตัวเล็ก และน้องปุ๋มตลอดจนเพื่อนคนอื่นๆหันมาหยอกล้อและแซวผมกับเจ้าตัวเล็กเป็น ระยะๆ
เที่ยงคืนและเริ่มการนับถอยหลัง
5
4
3
2
1
สวัสดีปีใหม่ 2549
ผม นั่งมองเจ้าตัวเล็กที่สนุกสนานร่าเริงไปกับเพื่อนๆ ความสุขในวัยเยาว์ได้หวนมาอีกครั้งเมื่อเพื่อนฝูงกลับมารวมตัวกัน และตอนนี้ผมก็ไม่ได้เมาหรือเข้าข้างตัวเองแต่อย่างใดผมรู้สึกว่า ติ๊บ ดูเด็กที่สุดในบรรดาเพื่อนฝูงของตัวเองแล้ว อาจจะเป็นเพราะการใช้สมองอยู่บ่อยๆนั่นแหละมั้งจึงทำให้ดูเด็กอยู่เสมอๆ
ผมมีความสุขจาการเห็นคนที่ผมรักมีความสุข มันสุขสุดๆแล้วตอนนี้ เวลานี้
TBC…
// น่าจะตั้งตอนนี้เป็นชื่อว่า “
เมียเทวดา” จะเหมาะดีกว่าไหม คนอาร๊ายยย เพอร์เฟ็คแมน(เมีย)ขนาดนี้
อ่านแล้วขนลุกไปตามๆ กัน อิจฉาอย่างแรงเลยนะ บุญของเฮียไม้จริงๆ ที่ได้พี่ติ๊บมาเป็นแฟน ตาร้อนวุ้ย... และชอบคำนี้อ่ะ “มันน่ารักโดยสันดานอะพี่” ใช่พี่ติ๊บน่ารักเป็นสันดาน แต่สันดานในที่นี้หมายถึงสันดานที่ดี คิดดี ทำดี ประพฤติดีต่างหาก (ได้เวลาแซวคืนตามระเบียบ
)