ตอนที่ 136 เที่ยวงานวัดเช้า มืดของวันหยุดผมพาเจ้าตัวเล็กขับรถออกจากหอพักของเรา พร้อมกระเป๋าเป้ใบเขื่องของเราสองคนและนอกจากนั้นสิ่งที่เจ้าตัวเล็กไม่เคย หลงลืมเลยจากการเดินทางไกลๆ ทุกครั้ง คือของกินขนมนมเนยให้ผมได้แวะกินระหว่างขับรถและกาแฟหอมกรุ่นเพื่อเติมความ สดชื่นให้ผมตลอดเส้นทางการเดินทาง
เราสองคนขับรถลัดเลาะมาตามแนวเขา ที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย อากาศเย็นยะเยือกของสองข้างทางถูกส่งผ่านมายังเราสองคนผ่านทางสายตาโดยไอ หมอกที่ปกคลุมตลอดสองข้างทาง แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเริ่มให้ความอบอุ่นแก่สรรพชีวิตตลอดสองข้างทางที่เราขับรถผ่านมากขึ้น ผมพาเจ้าตัวเล็กแวะข้างทางชมแปลงดอกไม้ของชาวบ้านในอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยเฉพาะต้นคริสมาสต์สีแดงสดที่เกษตรกรปลูกไว้รับช่วงเทศกาลปีใหม่ยาวสุดลูก หูลูกตา และมวลดอกไม้นานาพรรณอีกมากมายที่สร้างความประทับใจและตื่นตามตื่นใจให้กับ นักท่องเที่ยงสองคนในตอนเช้าตรู่ไม่น้อย
ออกจากอำเภอภูเรือ เราสองคนก็ขับรถตระเวรเที่ยวกับไปเรื่อยๆ แบบไม่เร่งรีบ ประมาณว่ามีอะไรน่าแวะเจ้าตัวเล็กก็ไม่ปล่อยโอกาสดีๆ เหล่านั้นหลุดลอยไป ทั้งของฝาก ของกิน หรือของใช้ประจำท้องถิ่น เจ้าตัวเล็กเห็นอะไรน่ากินน่าใช้ก็ซื้อไปฝากป้าเสียทั้งหมดจนผมที่ทำหน้าที่ ช่วยถือของขึ้นรถเริ่มจะออกอาการปวดต้นแขนขึ้นมาเป็นระยะ
จนเกือบจะพลบค่ำรถผมก็มาถึงหน้าโรงเรียนประจำอำเภอเล็กแห่งๆ หนึ่ง ที่เคยเป็นโรงเรียนเก่าของเจ้าตัวเล็กในช่วงชั้นมัธยมปลาย เจ้าตัวเล็กบอกผมชะลอรถเล็กน้อย ก่อนเปิดประตูรถลงไปยืนข้างๆถนนหน้าโรงเรียนก่อนหันไปไหว้พระพุทธรูปที่ ประดิษฐานอยู่หน้าเสาธง ถ้าผมเดาไม่ผิดในตอนเช้าที่เคารพธงชาติเด็กๆในโรงเรียนแห่งนี้คงเข้าแถวหน้า เสาธงเคารพธงชาติ และไหว้พระสวดมนต์กันที่ลานคอนกรีตแห่งนี้เป็นแน่
จากนั้นเราก็ขับรถผ่านตัวอำเภอ และจอดแวะซื้อของเพื่อนำกลับไปทานมื้อเย็นกันในตลาดสดในอำเภอ
“กะติ๊บ” เสียงผู้หญิงวัยเดียวกันกับติ๊บถือของพะรุงพะรัง และร้องทักเจ้าตัวเล็กมาจากทางด้านหลังก่อนที่ผมจะหันไปและพบว่าพวกเธอมากัน หลายคนทีเดียวก่อนที่จะโผเข้าทักทายกันด้วยภาษาท้องถิ่นที่ผมก็ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ยืนยิ้มงงงวยให้เพื่อนๆ ของเจ้าตัวเล็กที่นานๆ จะหันมาให้ความสนใจผมซักทีนึง
“แล้วนี่เพิ่งกลับมาถึงเหรอติ๊บ” เสียงน้องผู้หญิงในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นดีหน่อยที่เธอพูดภาษากลางทำให้แขกต่าง ถิ่นอย่างผมพอจะรับรู้เรื่องราวที่พูดคุยกันได้บ้าง
“ใช่แล้วนี่ยังไม่ได้เข้าบ้านเลยแวะมาซื้อของกินกันก่อน แล้วค่อยขับรถกลับเข้าบ้าน”
“พอดีว่าสิ้นปีนี้เพื่อนเขาจะกลับมาบ้านกัน ติ๊บว่างๆ ก็เข้ามานอนบ้านเรานะ เรียนจบก็แยกย้ายกันไปหลายปีแล้วยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าเพื่อนๆกันแบบพร้อม หน้าพร้อมตากันเลยทีเดียว”
“ได้ซิ เดี๋ยวจะเข้าไปเยี่ยมแม่พอดี ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน” ผมมารู้เอาตอนหลังว่า แม่ ที่ว่าคือแม่ของเพื่อนผู้หญิงที่รักและเอ็นดูติ๊บเหมือนลูกคนนึง ซึ่งมักจะให้ที่อยู่ที่นอนเวลาที่ติ๊บพลาดจากรถเที่ยวสุดท้ายไม่มีรถกลับบ้านก็จะอาศัยบ้านเพื่อนคนนี้นอนจนเช้าก็ไปโรงเรียนตามปกติ หรือเวลาที่มีงานมีกิจกรรมอะไรเด็กๆ ในกลุ่มก็จะมารวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคนนี้จนบ่อยๆเข้าติ๊บก็ชิน ที่จะนอนค้างอ้างแรมที่บ้านหลังนี้ไปโดยปริยาย แต่นั่นก็แลกมาด้วยการช่วยแม่ของเพื่อนคนนี้ขายก๋วยเตี๋ยวอย่างสนุกสนานและ เหน็ดเหนื่อยไปด้วยนั่นเอง
“นี่ไงติ๊บก็ไปลากไอ้ปุ๋มมาเป็นเพื่อนด้วยดิ เห็นมันบอกว่าจะกลับมาช่วงปีใหม่เหมือนกันลองถามมันดูดิ ปีใหม่ปีนี้เพื่อนเรากลับมารวมตัวกันอีกครั้งจะได้รำลึกอดีตไงแก คราวก่อนโน้นติ๊บก็ไม่ได้มาร่วมงานกะพวกเราทีนึงแล้วพลาดโอกาสไปแล้วทีนึง คราวนี้ห้ามพลาดน่ะจ๊ะ”
หลังจากพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอเจ้า ตัวเล็กก็ตระเวรซื้อกับข้าวหลายอย่างก่อนจะให้ผมขับรถกลับมาถึงบ้านเอาในตอนพลบค่ำซึ่งแน่นอนว่าป้าโทรศัพท์ตามหลายทีแล้วกว่าที่พวกผมจะพากันเข้า บ้านได้
ทันที่ที่รถจอดเทียบหน้าบ้านที่ตอนนี้สภาพไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปจากที่ผมกลับมาเมื่อปีกลายเท่าใดนัก ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้าน ต้นไม่ใหญ่น้อยในบ้านตลอดจนแปลงผักสวนครัวหลังบ้านทุกอย่างก็ยังอยู่ในสภาพ เดิม
เจ้าตัวเล็กโผลงจากรถวิ่งเข้าไปกราบและกอดป้าด้วยความคิดถึง ก่อนที่จะมาช่วยผมขนของลงจากรถซึ่งพอขนลงมาจากรถเรียบร้อยแล้วนั่นแหละเรา จึงพบว่าของที่เราซื้อกลับมาวันนี้ไม่ได้น้อยเลย
จากนั้นเจ้า ตัวเล็กจึงพาผมไปจุดธูปเทียนไหว้ย่า และไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ บอกถึงการกลับมาเยือนบ้านของเราสองคนเป็นที่เรียบร้อยจึงอาบน้ำอาท่ากลับมา กินข้าวมื้อเย็นด้วยอาหารพื้นเมืองหลายอย่างเป็นที่เอร็ดอร่อยถูกปากนัก ชิมอย่างผมนักเชียว
“วันนี้ที่วัดมีงานวัดด้วยนะ มีผ้าป่ามาลง อยากจะพากันไปเดินงานวัดมั้ยละ” ป้าเอ่ยปากบอกผมและเจ้าตัวเล็กหลังจากเก็บจานชามเข้าไปหลังครัวเรียบร้อย
“พี่ไม้อยากไปมั้ยขับรถมาเหนื่อยแล้ว เดินงานวัดไหวมั้ย”
“ใช่งานวัดแบบในรายการชิงช้าสวรรค์มั้ยติ๊บ” ผมถามให้เจ้าตัวเล็กเห็นภาพได้ง่ายขึ้นเพราะเด็กกรุงเทพอย่างผม ภาพงานวัดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็มีแค่ภาพงานวัดจากรายการทีวีต่างๆนั่นเอง
“อื้อ แบบนั้นแหละแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรมาเพิ่มหรือเปล่า”
“โอเคงั้นพี่ไหว เดี๋ยวคืนนี้ติ๊บพาพี่ไปเดินงานวัดหน่อยนะพี่อยากเห็นงานวัดของจริง”
“คับ เดี๋ยวพาไป รอให้คนบ้านเหนือโน่นเดินผ่านมาแล้วเราค่อยเดินไปกับพวกชาวบ้านก็ได้”
เจ้า ตัวเล็กเอ่ยกำชับก่อนจะหันไปชวนป้า ก่อนจะได้รับคำปฏิเสธเพราะป้าเป็นห่วงบ้านและอีกอย่างแกก็ติดนิสัยนอนแต่หัววัน เลยให้ผมกับเจ้าตัวเล็กไปเดินกันตามประสาเด็กๆ
ราวๆ ทุ่ม ครึ่ง ชาวบ้านก็เริ่มทยอยเดินผ่านหน้าบ้านเรามาเป็นกลุ่มๆ และมีบางคนที่คุ้นเคยกับป้าเอ่ยร้องตะโกนข้ามรั่วหน้าบ้านเข้ามาชวนป้าไปงาน วัดด้วยกัน ก่อนที่เราสองคนจะเดินลงไปสมทบกับชาวบ้านเดินมุ่งหน้าสู่เสียงที่ดังมาตาม ลำโพง ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ลานวัดนั่นเอง
ก่อนที่เรา สองคนจะเดินผ่านประตูรั้วเข้าไป ก็มีสาวๆแรกรุ่นมาติดเข็มกลัดดอกไม้ให้เราสองคนพร้อมกับที่เจ้าตัวเล็กจะ ยื่นเงินทำบุญให้ไปตามกำลังศรัทธา ก่อนจะได้รับคำอธิบายจากเจ้าตัวเล็กว่าทุกคนที่จะเดินผ่านเข้าไปในวัดได้ก็จะต้องถูกติดดอกไม้แบบนี้แหละ แล้วก็ทำบุญเข้าวัดตามกำลังศรัทธา จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็พาผมเข้าไปไหว้พระประธานในอุโบสถ ไหว้พระและพูดจากทักทายกับบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาถือศีลในวัด ที่นุ่งขาวห่มขาว และนอนในพระอุโบสถวัด เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งที่ผมเพิ่งเคยมีโอกาสได้เห็นก็คราวนี้แหละ
ติ๊บ เล่าให้ผมฟังว่าตอนเด็กๆ ย่ามักจะมาจำศีลที่วัดในช่วงของวันพระใหญ่ และจะมีผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหญิงและชายมาจำศีลที่วัด โดยการนุ่งขาวห่มขาว รักษาศีลและปฏิบัติธรรม ไว้พระสวดมนต์และเดินจงกรมเจริญภาวนากันตลอดทั้งคืนในคืนวันพระเพื่อเป็นการกำหนดศีลของตนเองและเป็นการตั้งสติของผู้ที่มา ตอนเด็กๆ ติ๊บก็ต้องมาปฏิบัติพิธีกรรมแบบนี้กับย่าเสมอๆ โดยจุดประสงค์หลักไม่ได้อยู่ที่การรักษาศีลหรือปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด แต่เป้าหมายอยู่ที่ขนมที่ชาวบ้านนำมาใส่บาตรพระในตอนเช้าแล้วพระก็จะนำมาแจก จ่ายให้เด็กๆ หลังจากที่พระฉันท์เสร็จแล้วนั่นเอง
หลังจากไหว้ พระประธานในอุโบสถแล้ว เจ้าตัวเล็กก็พาผมลงมาตักบาตรสวรรค์ต่ออายุให้กับตนเอง ก่อนจะไปช่วยทำบุญเข้าวัดด้วยการสอยดาวเสี่ยงโชค ครั้งแล้วครั้งเล่าผมก็สอยได้แต่ดินสอกับยางลบ ผิดกับเจ้าตัวเล็กที่ครั้งแรกที่สอยก็ประเดิมไปด้วยตุ๊กตาเป็ดตัวใหญ่เบ้อเริ่ม จนชาวบ้านที่ทำหน้าที่แจกจ่ายรางวัลสอยดาวถึงกับหัวเราะให้กับดวงของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
เสี่ยงโชคด้วยสอยดาวยังไม่พอผมยังมาพบกับการเสียงโชคแนวใหม่ที่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้พบเห็นนั่นคือ “หนูนาพาโชค” โดยการนำหนูนาตัวเล็กมาใส่ในกรงแล้วตั้งไว้ตงกลางของวงกลมที่ทำขอบสูงขึ้นมา ก่อนนำกระบอกไม้ไผ่ที่เปิดปากด้านหนึ่งแล้วปิดปากกระบอกอีกด้านหนึ่ง เขียนเป็นชื่อจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เมื่อเปิดกรงที่อยู่ตรงกลาง แล้วหนูนาวิ่งไปเข้ากระบอกไม้ไผ่ที่เขียนป้ายชื่อจังหวัดใด ผู้ที่ซื้อป้ายจังหวัดตรงกับที่หนูนาวิ่งเข้าไปก็จะได้รับรางวัลในรอบนั้นๆ ทันที มันแปลกดีนะ
ถัดจากเล่นเกมหนูนาพาโชคไปหลายตาแต่ก็ไม่ เฉียดใกล้รางวัลแต่อย่างใด เจ้าตัวเล็กก็พาผมเดินออกมาเล่นเกมการละเล่นประจำงานวัดที่ผมคุ้นเคยนั่นคือ การยิงเป้าและปาลูกโป่ง และคราวนี้ผมก็ทำถูกใจเจ้าตัวเล็กเมื่อสามารถยิงปืนเข้าเป้าไปจนทำให้เจ้า ลิงตีฉาบป๊าบๆอยู่นั่นน่ะ และเรียกรางวัลเป็นตุ๊กตาให้เจ้าตัวเล็กไปหลายตัวก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะนำตุ๊กตาพวกนั้นไปฝากเพื่อนบ้านซึ่งตั้งซุ้มขายของอยู่ละแวกนั้นก่อนพาผมตระเวรเดินดูงานวัดที่วันนี้เรียกว่าเหนือความคาดหมายของผมจริงเพราะตรงลานหน้าวัดก็มีหนังกลางแปลงจอใหญ่ฉายอยู่และมีผู้คนนั่งดูหนังกันประปาย
ส่วนตรงด้านข้างของวัดก็ไม่น้อยหน้ากันมีเวทีมวยไทย ที่ชกกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ส่วนอีกข้างของวัดที่ผมรู้สึกว่าคนแน่นเป็นพิเศษเพราะมีหมอลำวงใหญ่เล่นอยู่ และมีชาวบ้านออกมาร่ายรำตามจังหวะกันอย่างสนุกสนาน
ถัดเข้ามาอีกหน่อยมีเวทีรำวงชาวบ้านที่เหมากันเป็นรอบทำบุญเข้าวัดกันไปตาม ประสาชาวบ้านก็เรียกความสนุกสนานให้ผู้ที่มาพบเห็นได้ไม่เบา และที่ทำให้ผมตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เมื่อเจ้าตัวเล็กคิดสนุกอยากจะขึ้นชิงช้าสวรรค์ขึ้นมา อันที่จริงมันก็ไม่ได้แปลกอะไรถ้าคนมางานวัดแล้วอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์ แต่เมื่อได้มาพบได้เห็นของจริงทำไมชิงช้ามันอันเล็กนิดเดียวเองละ คนตัวใหญ่ๆ อย่างผมก้าวเข้าไปก็แทบจะไม่มีที่ให้เก็บขายาวๆ ของผมแล้วและเจ้าตัวเล็กยังก้าวเข้ามาอีกคนแน่ะ มันโรแมนติกแบบบ้านๆ ดีเนอะ แต่ผมอะเหงื่อแตกพลั๊กๆ เมื่อผมมาอยู่บนยอดสุดของชิงช้าสวรรค์ตัวจิ๋วห้อยโตงเตงๆ และเจ้าตัวเล็กก็ แกล้งผมสนุกขึ้นด้วยการเขยิบตัวไปมาให้ชิงช้ามันแกว่งไปมาซะอีกแน่ะ ในขณะที่ผมเกร็งซะฉี่จะแตก กว่าจะหมดรอบก็เล่นเอาผมเสียเหงื่อไปจนเสื้อเปียกโชกไปทั้งตัว
“เป็นอะไรหรือเปล่าคับพี่ไม้ เหงื่อแตกพลั่กๆ แถมหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย” เจ้าตัวเล็กหันมาถามผมยิ้มๆ อย่างสนุกสนาน
“ก็ชิงช้าสวรรค์พี่คิดว่ามันจะใหญ่กว่านี้และรู้สึกปลอดภัยกว่านี้อะดิ นี่อะไรก็ไม่รู้โคตรเสียว”
แทน คำตอบเจ้าตัวเล็กเดินหัวเราะร่านำผมตรงไปยังลานขายของที่เต็มไปด้วยของขาย งานวัดจริงๆ ทั้งถั่วต้ม มันต้ม ลูกชิ้นปิ้งไข่ปิ้ง และที่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมพลาดก็เป็นกล้วยปิ้งที่เจ้าตัวชื่นชอบกับขนมถังแตก ที่เคยเล่าให้ผมฟังนั่นแหละมั้ง
หลังจากเดินในงานจนทั่วแล้ว เจ้าตัวเล็กก็พาผมเข้าไปกราบลาพระประธานในวัดก่อนที่เราจะเดินฝ่าความมืดมา ทางด้านหลังวัด มิน่าตอนที่เรามาป้าถึงบอกว่าให้รอเดินสมทบไปกับเพื่อนบ้านเพราะว่าทางที่ ผ่านจากบ้านของเจ้าตัวเล็กมายังวัดนี้เป็นทางด้านหลังวัดซึ่งคนไม่ค่อยใช้ เส้นทางนี้ในตอนกลางคืนเท่าใดนักเนื่องจากไม่มีบ้านผู้คน และไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างให้กับผู้ที่เดินทางสัญจรไปมา จึงได้แต่อาศัยแสงสว่างจากระจันทร์คืนเพ็ญเท่านั้นเป็นตัวให้แสงสว่างและผม ก็เพิ่งเรียนรู้ในคราวนี้แหละครับว่าพระจันทร์คืนเพ็ญในต่างจังหวัดแบบนี้ สุกสว่างและสวยงามเพียงใด ถ้าผมอยู่แต่ในกรุงเทพคงไม่มีโอกาสได้รับรู้อีกหนึ่งความสวยงามแบบนี้แน่นอน
แต่ที่ผมจะไม่ชอบเอาเสียเลยคือนอกจากความมืดในคืนนี้ แล้ว ความเงียบและหนาวเหน็บก็ทำให้ผมขนลุกได้ไม่ยาก ยิ่งตอนเดินเข้าใกล้หัวโค้งที่มีต้นยางใหญ่ถูกพันรอบด้วยผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอก หลายชิ้นตลอดจนศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่เรียงราย ทำให้ขนผมลุกชันไปทั้งตัว ตอนนี้ผมรู้สึกรักเจ้าตัวเล็กขึ้นมาอย่างสุดหัวใจมือผมกระชับมือเจ้าตัวเล็ก แน่น แน่นอนว่าแน่นพอที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กไม่สามารถสะบัดและออกวิ่งไปโดยลำพัง โดยไม่มีผม เมื่อผมเดินหลุดหัวโค้งที่มีต้นยางใหญ่นั้นมาได้สายตาผมก็ปะทะเข้ากับแสงไฟ จากบ้านหลังแรกที่ให้แสงสว่างแก่คนเดินทางให้หัวใจชื้นขึ้นมา ถ้าเจ้าตัวเล็กไม่บอกอะไรบางอย่างกับผมซะก่อน
บ้านหลังแรกที่ เราเห็นเป็นบ้านของคุณตาคนนึงที่แกมีหลานสาวอยู่หลายคน และติ๊บมักจะมาเล่นกับหลานสาวของแกเสมอๆ เพราะเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันจนแกรักและเอ็นดูติ๊บเหมือนเป็นหลานของแกอีกคนไปเลยทีเดียว และแกก็เพิ่งจะเสียไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองเพิ่งเผาเสร็จไปหมาดๆ เห็นมั้ยว่ามีด้าย สายสิญจน์พันอยู่รอบบ้านแกเต็มไปหมด เอาละซิเมื่อติ๊บเล่ามาถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมขนลุกไปทุกจุดขายาวๆ ของผมก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นไปทุกทีก้าวขาแทบจะไม่ออก อากาศหนาวเหน็บเกาะกินไปทุกส่วนในร่างกายผมแต่ทำไมเหงื่อผมออกจนมือที่จับ เจ้าตัวเล็กชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผ่านบ้านหลังใหญ่นี้ไปอีกสองสามหลังอาการดังกล่าวจึงหมดสิ้นไปเมื่อเห็นไป ส่องสว่างมาจากบ้านสวนที่คุ้นตา รอดแล้วเว้ยไม้ แกรอดแล้วววว
TBC…
// ยินดีต้อนรับน้องใหม่ นักอ่าน และสมาชิกใหม่ที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ด้วยนะ เห็นมีสมาชิกที่สมัครใหม่หลายคนเลย เป็นปลื้ม
