ร่างโปร่งล้างหน้าล้างตาเสร็จจึงออกไปสมทบทิเบต นิภามองเด็กหนุ่มหน้าตาซีดเซียว กระตุกใจให้นึกสงสารทั้งที่ขัดเคืองด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่น้อย
แต่เพราะมีใจเอ็นดูเด็กหนุ่มเป็นทุนเดิมจึงคอแข็งได้ไม่นาน พยักหน้ารับไหว้ ประสานสายตาโดยไม่ตั้งใจกับเด็กหนุ่ม
ดวงตาคู่สวยสดใสเป็นนิจหม่นหมองไปจนน่าใจหาย แววตาที่มองตอบมาสั่นไหวก่อนรีบหลุบตาหลบคล้ายประหม่า
อาการซุกซ่อนอะไรบางอย่างในแววตาย้อนกลับมาทิ่มแทงให้นิภารู้สึกเจ็บยอกในอก ท่าทีของเธอกำลังทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวาดระแวงและทุกข์ใจ พร้อมๆกับแสดงท่าทางขึงโกรธทุกคนเพื่อปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง
จะตั้งป้อมรังเกียจให้ทุกข์ทรมานใจกันไปทั้งสองฝ่ายทำไม ไหนๆมันก็อายจนเลิกอายไปแล้ว สู้หันหน้าเข้าพูดคุยกันดีกว่าเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ภาวะความตึงเครียดลดลง มองหน้ากันได้สนิทใจมากขึ้น
นิภาผ่อนลมหายใจรู้สึกตัวเบาเหมือนยกหินออกจากอก เมื่อปรับความรู้สึกของตัวเองได้จึงยกยิ้มบางให้เด็กหนุ่มซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
“เหนื่อยล่ะสิหอม”
“คะ...ครับ!”
ข้าวหอมไม่คิดว่าป้านิภาจะพูดด้วยเงยหน้าตอบตะกุกตะกัก และแววตาสะท้อนความเอื้ออาทรนั้นทำให้ในอกอุ่นวาบ
ด้วยแม้จะได้ฉายาบ่งบอกถึงความเกเรแสบสัน แต่ไอ้หอมคนนี้ไม่เคยคิดเหยียบหัวผู้ใหญ่หรือก้าวร้าวใส่ ชาวบ้านชาวช่องถึงเกลียดกันไม่ลง และครั้งนี้เด็กหนุ่มจึงกังวลนักกับสายตาอาการมึนตึงของนิภา เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่านับถือ จึงเสียใจที่เห็นแววตาเอื้ออาทรนั้นสะทกสะท้อนความผิดหวังในตัวเอง
“ถูกปลุกให้ไปตักบาตรแต่เช้าคงยังง่วงนอนอยู่ล่ะสิ แต่ทานข้าวทานปลาซะก่อนแล้วค่อยเข้าไปนอนต่อดีกว่า เดี๋ยวเสร็จตรงนี้ป้าก็จะกลับกันแล้ว”
“ครับ”
ข้าวหอมรับคำเบาๆรู้สึกแสบร้อนที่บริเวณจมูก ความเอื้ออารีของป้านิภาในครั้งนี้เหมือนหยาดน้ำเย็นเข้าประโลมหัวใจแห้งผากให้ชุ่มชื้นมีแรงเดินต่อไป และในทางกลับกันก็อยากให้อีกฝ่ายกลับมารักตนเช่นดังก่อน จึงรีบทำคะแนนเอาอกเอาใจทันที
“งั้นเดี๋ยวหอมไปเก็บผลไม้ให้ป้าเอากลับไปทานด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกลูก เหนื่อยก็นอนพักเถอะจ้ะ”
“ไม่เป็นไรครับป้า อยู่ใกล้ๆนี่เอง สวนเราไม่ใช้สารเคมี รับรองว่าป้าจะปลอดภัยไร้กังวล อาจโชคดีมีเพื่อนหนอนไปด้วยตัวสองตัว”
พอหายกังวลเด็กหนุ่มก็หัวเราะร่วนจนนิภาอดยิ้มตามกับความทะเล้นไม่ได้
อาการกระตือรือร้นของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาทิเบต บรรยากาศตึงเครียดคลายลงจนเขาเองก็พลอยรู้สึกปลอดโปร่งไปด้วย จึงมองดูภรรยาหมาดๆแสดงบทลูกสะใภ้ที่ดีจนต้องลอบแอบยิ้ม เพราะถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เป็นได้วงแตก
ผ่านไปจนเกือบเที่ยงนิภาจึงได้กลับกรุงเทพ เพราะลูกอ้อนของข้าวหอมชวนเข้าไปเก็บชมพูจนลืมเวลา ผลก็คือตอนนี้มีทั้งกล้วยทั้งมะม่วงชมพูมะละกอเต็มท้ายรถ
“กินกันเป็นอาทิตย์เลยมั้งเนี่ย”
โรมมองท้ายรถยุบลงแล้วยิ้มขำ พลางลูบเนื้อลูบตัวปัดเศษใบไม้ออกจากเสื้อ
“เอาไปฝากเพื่อนๆสิครับ ถ้าติดใจจะได้ไปอุดหนุนกัน”
ข้าวหอมหันไปบอกโรม ใบหน้าอ่อนเยาว์คลี่ยิ้มกระจ่างจับตา แม้แต่โรมยังนึกชื่นชม
เด็กคนนี้มีเสน่ห์!
“มาอุดหนุนถึงสุพรรณเลยเหรอ เพื่อนพี่คงร้องโอย ถึงอยากกินก็ต้องอดอย่างเดียว”
“เปล่าครับ เรามีแผงผลไม้อยู่ที่ตลาดไท สำหรับขายผลไม้ในสวนเราแล้วก็รับซื้อของชาวบ้านแถวนี้ไปขายด้วยครับ”
“เหรอ อย่างนี้ก็ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางเลยสิ”
“ครับ แต่บางอย่างเราก็ขายส่งพ่อค้าคนกลางเพื่อความสะดวกอยู่เหมือนกัน คนงานเราไม่ค่อยพอน่ะครับ ไปทำงานโรงงานกันหมด”
“เหรอจ้ะ แล้วแผงอยู่ตรงไหนล่ะป้าจะได้ไปอุดหนุน”
นิภาซึ่งฟังอยู่เอ่ยถาม ข้าวหอมยิ้มประจบได้อีกครา
“ป้านิภาจะไปทำไมให้เหนื่อยครับ แค่โทรมาบอกหอมแป๊บเดียวเดี๋ยวหอมให้เด็กเอาไปส่งถึงบ้านเลย”
นิภาเผลอค้อนให้ลูกชายคนใหม่อย่างเอ็นดู
“ขอบใจจ้ะ งั้นป้ากลับก่อนล่ะนะ พ่อกำนันฉันกลับล่ะจ้ะ”
นิภายกมือไหว้พลางหันไปบอกให้ลูกให้หลานลาผู้ใหญ่ และเจ้าหลานทั้งสองซึ่งกำลังกินชมพู่เสียเต็มปากเต็มคำเต็มสองมือยกมือไหว้อย่างทุลักทุเล เป็นที่ขบขันแก่ผู้คนรอบข้าง
“จีน เพิร์ส...ทำไมทานเลอะเทอะแบบนี้ล่ะลูก”
โรมซึ่งมาคราวนี้ไม่ได้พาลลนา ผู้เป็นภรรยามาด้วย เพราะบิดาป่วยกะทันหันจึงต้องรับบทพ่อบ้านเลี้ยงลูกสาวลูกชายเต็มตัว
เจ้าเด็กทั้งสองยิ้มหน้าตายพยักรับรู้หงึกๆแต่ไม่ยอมปล่อยชมพู่ในมือเล่นเอาคนเป็นพ่อจนใจอุ้มขึ้นรถไปทั้งแบบนั้น
“รุ่นเดียวกับลูกเจ้าสารเลย นี่ถ้าอยู่ต่อเป็นได้เข้าก๊วนไอ้หอม ตามกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแน่ๆ วันหลังพามาค้างนานๆสิแม่นิภา” กำนันสิงห์เอ่ยบอก
“จ้ะ”
ข้าวหอมมองนิภารับปากแล้วก้าวขึ้นรถตามด้วยคุณวิวัฒน์และเวียนนา แต่คนร่างสูงผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีไม่ยักตามขึ้นรถไปด้วย
จะว่าไปก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเก็บข้าวของเลย หรือว่า!
ข้าวหอมที่แอบดีใจเก้อ คิดว่าทิเบตจะกลับพร้อมครอบครัว ใจแฟบลงทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายโบกมือลาหลานๆซึ่งยื่นหน้าออกมานอกรถยนต์
ทิเบตล่ำลาเสร็จ หันกลับมาก็พบสายตาขวางๆแปลความนัยไม่ยากของคนตัวเล็ก ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดเดินกลับขึ้นเรือน หากกำนันสิงห์ไม่เรียกไว้ก่อน
“หอม วันนี้ไม่มีงานอะไรใช่มั้ย พอแดดร่มลมตกก็พาพี่เขาไปดูไร่ดูสวนจะได้ชินทางนะ”
กำนันสิงห์ถามแบบไม่ให้โอกาสปฏิเสธ แต่ถ้ายอมกันง่ายๆก็ไม่ใช่ไอ้หอมล่ะ!
“ไม่ว่างนะพ่อ ฉันต้องไปโรงสี ช่วงนี้ยุ่งจะตาย”
ร่างโปร่งรีบออกตัว ริมฝีปากบางแบะออกอย่างไม่ยี่หระให้ทิเบตรู้สึกคันยิกๆในหัวใจ
ไอ้ตัวแสบจอมวายร้าย! จะตั้งหน้าตั้งตาจงเกลียดจงชังกันไปถึงไหน
“ดีเลยนี่ ก็พาพี่เขาไปดูด้วยเสียเลย ว่าไงพ่อทิ อยากไปดูโรงสีบ้างมั้ย”
กำนันสิงห์หันไปถามทางลูกเขย เข้าข้างกลายๆ
ทิเบตเห็นสายตาคู่ดุโชนแสง เหมือนจะบอกว่า ถ้าไปเป็นเรื่องแน่! ยิ่งทำให้รู้สึกอยากลองดียังไงไม่รู้ ริมฝีปากบางได้รูปจึงคลี่ยิ้มตกปากรับคำ และก็ได้เห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่น ถลึงตาจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า จนอดขำกับท่าทีเหมือนเด็กไม่รู้จักโตไม่ได้
และน่าแกล้งเป็นที่สุด!
“ไปกันเลยมั้ย”
คำถามของทิเบตทำเอาข้าวหอมเนื้อตัวกระตุก เดินกระทืบเท้าขึ้นเรือน เพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อพ่อตัวเองเข้าข้างอีกฝ่ายเห็นๆ
กำนันสิงห์มองดูลูกสะบัดตูดหนีผัวตัวเองให้รู้สึกหนักใจ ก็วันก่อนมันนอนกอดกันกลม แต่วันนี้มันกลับเหม็นขี้หน้ากันซะงั้น เล่นเอาคนแก่อย่างเขาตามความคิดไม่ทัน แต่ลงแรงลงเรือมาขนาดนี้แล้วก็ไม่มีคำว่าถอยกลับเหมือนกัน!
“พ่อทิก็อย่าไปถือสาน้องมันเลยนะ” กำนันสิงห์หันมองลูกเขยคนร่วมก่อเรื่อง “แล้วคิดหรือยังว่าจะอยู่ยังไงกัน ผัวเมียห่างกันแบบนี้มันไม่ค่อยดีนะ”
ทิเบตสะอึกกับคำเรียกขานใหม่ไม่ชินหู ทำเอาขนลุกอยู่ไม่น้อย และท่าทางส่อเจตนาต้องการให้เขามาอยู่ที่นี่ทำเอาคิดหนัก ในเมื่อดูท่าทีของข้าวหอมแล้วไม่ต้องการแม้กระทั่งหายใจสูดอากาศร่วมกัน จึงตั้งใจจะอยู่ที่นี่ซักสองสามวันแล้วจากนั้นนานๆถึงจะมาที แต่เห็นตากำนันสิงห์ตอนนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไรถ้าจะบอกแบบนั้นออกไป
นี่คงตั้งใจจะให้อยู่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันเลยจริงๆสินะ ชายหนุ่มรู้สึกเหงื่อเย็นๆออกท่วมหลัง แล้วยิ้มแห้งๆให้กับสายตาดุๆของพ่อตา
“ช่วงนี้คงมาอยู่ได้เฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ล่ะครับ จนกว่าโรงพยาบาลทางนี้จะสร้างเสร็จถึงมาประจำอยู่ที่นี่ได้”
“อืม...เอางั้นก็เอา” ผู้สูงวัยลอบถอนใจ “เพราะเจ้าหอมต้องช่วยงานอยู่ทางนี้ ฉันคงให้ตามพ่อธิไปอยู่ทางนู้นไม่ได้หรอกนะ”
คงยอมหรอกพ่อกำนัน! ทิเบตนึกตอบในใจทันควัน
บ่ายคล้อยทิเบตตามข้าวหอมขึ้นรถกระบะไปยังโรงสีข้าว มีไอ้ขันนั่งอยู่ท้ายกระบะ และที่เรียกความสนใจจากหมอหนุ่มคือเจ้าสุนัขสองตัวก็กระโดดขึ้นรถมาด้วยอย่างเคยชิน
“ไอ้โก๊ะกับโจ๋น้อยก็ไปด้วยเหรอ”
ทิเบตยิ้มมองเจ้าสัตว์สี่ขายื่นหน้าโต้ลม หากไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของมันแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงหันมองคนข้างตัวซึ่งทำหน้าเฉยเมย ตั้งหน้าตั้งตาขับรถเหมือนไม่มีเขานั่งมาด้วยให้นึกเคือง
ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นแล้วจะทำยังไงก็ได้หรือไง! ทิเบตจ้องมองจมูกโด่งรั้นอย่างหมั่นเขี้ยว สายตาจับจ้องของร่างสูงทำให้ร่างโปร่งตวัดสายตามองกลับ
“ทำไม?”
เสียงห้วนถาม หากอีกฝ่ายไม่ตอบ ยกแขนขึ้นเท้าประตูเหมือนกำลังใช้ความคิด ขณะกวาดตามองร่างโปร่ง สายตาจับจ้องนั้นทำเอาข้าวหอมรู้สึกหนาวๆร้อนๆพิกลจึงถลึงตาใส่
“มีอะไร?”
“เปล่า เห็นถามแล้วไม่ตอบก็นึกว่าเป็นใบ้”
เจอทิเบตย้อนกลับเข้าให้ ร่างโปร่งถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าหน้าตาสุภาพเรียบร้อยจะย้อนกันโต้งๆแบบนี้ ใบหน้าขาวร้อนวูบก่อนแยกเขี้ยว
“แล้วอยากเห็นคนใบ้เตะคนดีบ้างมั้ยล่ะ อย่าคิดว่าพ่อฉันถือหางแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!”
ทิเบตเห็นลูกไฟในดวงตาอีกฝ่ายจึงขยับตัวห่างช่วงขาเพรียว ชิดประตูมากขึ้น พลางถอนใจกับกิริยาก้าวร้าวข้ามรุ่น ดูท่าจะตามใจกันมาไม่น้อยเลย ถึงได้ถือดีขนาดนี้
“นี่หอม ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่ถามเฉยๆ มีแต่เรานั่นล่ะที่เอาแต่ตั้งแง่อยู่คนเดียว หันหน้ามาคุยกันดีกว่า ถึงเรื่องจะเป็นแบบนี้ฉันก็อยากให้เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“เพื่อนเหรอ มันจบไปตั้งแต่วันที่นายฉวยโอกาสกับฉันแล้ว!”
“ฉวยโอกาส? ฉันว่าฉันควรจะเป็นฝ่ายโวยวายเสียมากกว่า ในเมื่ออยู่ๆนายก็เข้ามาจูบฉันก่อน”
ทิเบตย้อนหน้าซื่อตาใสยิ่งทำให้ข้าวหอมอายผสมโมโหจนควันออกหู หันหน้ามองอีกฝ่ายสลับกับถนนอย่างหงุดหงิด ด้วยมือเท้ามันไม่ว่าง!
“โกหก!”
“เปล่า...เรื่องจริง แต่เอาเถอะเราอย่ามาเถียงกันเรื่องนี้เลย ถ้าไม่อยากเป็นเพื่อนก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็เป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว”
ทิเบตมองอีกฝ่ายอ้าปากค้าง ก่อนจะเหยียบเบรกกะทันหัน จนทั้งคนทั้งสุนัขหัวทิ่ม
“ทุเรศ! ใครเป็นผัวเป็นเมียนาย พูดให้ดีนะ”
ทิเบตที่ตั้งหลักได้หันไปยกยิ้มมุมปากให้คนขี้โมโห
“ก็นายไม่อยากเป็นเพื่อน งั้นเป็นเมียฉันจริงๆเลยแล้วกัน จะได้สมใจกำนันไง ลืมแล้วเหรอเมื่อวานเราเพิ่งจะแต่งงานกันเองนะ”
ร่างสูงไม่ตั้งใจจะยั่วโมโหแต่อีกฝ่ายก็เกเหลือเกินจนอดไม่ได้
และอีกฝ่ายก็ทนไม่ได้จริงๆ โถมตัวเข้าใส่ทิเบตเร็วจนร่างสูงตั้งรับแทบไม่ทัน หมัดเล็กๆเฉียวศีรษะไปนิดเดียว หากสภาพในรถไม่เหมาะให้วิวาท คนโถมกายเข้าใส่เปิดช่องโหว่ให้ร่างสูงรวบเอวได้ถนัดถนี่แล้วถูกยึดไว้แน่น
“ปล่อย!”
“ปล่อยให้นายต่อยฉันเรอะ”
“นี่! ไม่ปล่อยใช่มั้ย”
ร่างโปร่งดูท่าทีอีกฝ่ายยืนยันคำพูดตัวเองแล้วเม้มปาก เงื้อกำปั้นทุบหลังแข็งแรงทันที
“โอ๊ย!เจ็บ” ทิเบตหยีตา เจ็บแปลบๆบริเวณกลางหลัง “เอาจริงเหรอเรา” สายตาสอดส่ายหาวิธีแก้ลำ ขณะยึดยื้อร่างเล็กเต็มกำลัง
ไอ้ขันซึ่งกำลังตกตะลึง มองลูกพี่โถมตัวเข้าไปนัวเนียกับหมอทิกลางวันแสกๆแล้วนึกอยากเอามือปิดตา แต่สมองอันชาญฉลาดเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดี ไม่อยากให้ลูกพี่ถูกคนผ่านไปผ่านมาเอาไปนินทา จึงรีบกระโดดลงไปแยกคนทั้งคู่
“พี่หอม!ถึงจะแต่งแล้วก็อายผีสางเทวดาบ้างเถอะ รอให้มืดก่อนแล้วค่อยกอดกันที่บ้านนะพี่”
ข้าวหอมชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องบอกของสมุน
“แกว่าอะไรนะ!” ร่างโปร่งหันมองไอ้ขันหน้าตาตื่นทางฝั่งคนขับ
“ฉันว่ารอให้มืดก่อนแล้วค่อย...ค่อยกอดกันก็ได้”
เห็นหน้าตาโมโหสุดขีดของลูกพี่ ไอ้ขันถึงกับเสียงอ่อย
“แกแหกตาดูแล้วไม่รู้หรือว่าเขากำลังกอดกันหรือทะเลาะกันน่ะไอ้ขัน ไอ้...ไอ้บื้อ!”
“หึๆ”
เสียงหัวเราะแผ่วๆทำให้คนหน้าตาแดงก่ำด้วยความโมโหหันกลับมามองทิเบตซึ่งยังไม่คลายวงแขนออก ดูเผินๆก็เหมือนคนกำลังกอดกัน ถึงสำนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในที่สาธารณะ และเสียงรถทางสวนกำลังใกล้เข้ามา ข้าวหอมจึงรีบสลัดตัวออกจากอีกฝ่าย
ท่าทางหน้าบางผิดไปจากที่คิดเรียกความเอ็นดูจากทิเบตไม่น้อย แม้จะนึกขยาดในความแสบสะท้านอยู่บ้างก็ตามที ร่างสูงมองไอ้ขันยืนอิหลักอิเหลื่อหน้ามุ่ย จึงออกปากแทนข้าวหอมซึ่งมีสีหน้าอยากจะเตะลูกสมุนตัวเองเต็มแก่ที่รู้ดีเกินเหตุ
“ไม่มีอะไรหรอกขัน แค่ลูกพี่เราเขาดีใจเกินไปหน่อยเท่านั้นล่ะ กลับไปนั่งที่เถอะ”
ไอ้ขันพยักหน้าหงึกๆเดินเกาหัวเหมือนยังสรุปไม่ได้ว่าที่พี่หอมโกรธเพราะมันเข้าไปขัดจังหวะ หรือเพราะทะเลาะกันจริงๆ
ไอ้ขันหันไปมองเจ้าสัตว์สี่เท้าซึ่งมองตอบอย่างไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวรักเดี๋ยวเกลียด คนแต่งงานแล้วมันเป็นแบบนี้กันทุกคนมั้ยฟะไอ้โก๊ะ”
เสียงบ่นพึมพำของไอ้ขันไม่พ้นคนหูดีได้ยิน ถึงกับมือเท้าสั่นอยากออกไปเตะซักป้าบสองป้าบ แต่หากทำแบบนั้นวันนี้คงไปไม่ถึงโรงสี จึงข่มใจเหลือบมองคนนั่งข้างๆอย่างหมายมาดแล้วเข้าเกียร์ออกรถไปยังจุดหมาย
- TBC -
คนโพสหนีไปทะเลมา กลับมาถึงรีบมาต่อให้เลยจ้า
ปล. หมอทิกับหอมไม่ได้กัน เอ้ยยยย ไม่รักกันง่ายๆหรอก